คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : 100 MANKAI NO KISS (A) YOU MAY DREAM
และแล้ว ความอดทนของโรคุทันดะ ฮีรากิก็หมดลง พร้อมๆ กับบทเพลงที่มีชื่อว่า ‘ชิอาวาเสะ นิ นาโร’ (มีความสุขกันเถอะ) ซึ่งดูเหมือนจะตรงกันข้ามกับเธอที่แสร้งทำเป็นก้มหน้าง่วนอยู่กับการบ้านวิชาภาษาอังกฤษที่เพิ่งจะเรียนไปตอนคาบเช้า ในเมื่อเจ้าตัวแสดงออกชัดเจนมาตั้งแต่เช้าแล้วว่าไม่อยากเสวนากับใคร จึงไม่มีเพื่อนคนไหนกล้าเข้ามากวนน้ำให้ยิ่งขุ่น ไม่แม้แต่การเอ่ยปากทักทายของเพื่อนร่วมห้องที่คุยเล่นหัวกันได้ แล้วปล่อยให้เธอใช้เวลาช่วงพักเที่ยงนั่งจับเจ่าอยู่คนเดียวไป
แต่ทั้งหมดที่ว่ามานั้นดูจะตรงกันข้ามกับบรรยากาศความครึกครื้นของห้องเรียนชั้นปีสองบีขณะนี้ ไม่เพียงแค่มาจากกลุ่มเด็กผู้ชายหลังห้องที่ชอบโหวกเหวกโวยวายกันอยู่แล้ว แม้พวกเขาจะจับกลุ่มกันอยู่ที่สุดมุมห้องริมหน้าต่าง ห่างจากเธอที่นั่งหน้าสุดติดประตูมาตั้งโยชน์ แต่ยังรวมถึงเพื่อนต่างห้องที่ดูเหมือนจะเป็นศูนย์กลางของวงสนทนาในวันนี้ หรือก็คือศูนย์กลางความหงุดหงิดใจของฮีรากิในวันนี้ ที่จะทำให้เธอซึ่งอดทนฟังเรื่องน้ำเน่าชวนอ้วกที่ผ่านเข้าหูทั้งที่ไม่ได้อยากฟังเลยสักนิดอยู่ได้ตั้งนานสองนาน ตัดสินใจกระแทกปากกา กระชากทั้งหูฟังและโทรศัพท์มือถือที่หยิบขึ้นมากดปิดเพลงลงบนโต๊ะเสียงดังปึงปัง ก่อนลุกพรวดพราด เลื่อนบานประตูออกไปจากห้องโดยไม่สนใจต่อเสียงหัวเราะที่เงียบลงไป หรือสายตาของพวกเขาที่ฮีรากิแน่ใจว่าต้องเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
เพราะไม่มีใครหน้าไหนที่จะมาเข้าใจเธออยู่แล้ว...หรืออย่างกับว่าเธอต้องการให้มีใครมาเข้าใจ นอกจากคายามะ ซานะ เพื่อนสนิทที่สุดซึ่งกำลังไปแข่งตอบคำถามวิชาการที่โตเกียว และฮีรากิก็ไม่อยากเพิ่มปัญหาหนักอกจากโอซากะไปให้หล่อนที่ดูเหมือนจะมุ่งมั่นตั้งใจเป็นอย่างมากกับการคว้ารางวัลติดไม้ติดมือมาให้ได้
เหตุการณ์ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นจากเสียงตะโกนดังมากที่ทะลุผ่านหูฟังซึ่งเธอก็มั่นใจว่าเร่งเสียงดังมากแล้วเข้ามาว่า “นาซึนะ! ไทโช! ในที่สุดก็คบกันแล้วเหรอ!” เช่นเดียวกับสีหน้าท่าทางที่แสดงความตื่นเต้นเมื่อวิ่งผ่านเธอไปของเด็กสาวต่างห้องที่ยืนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่บนระเบียง ด้วยชื่อของเด็กผู้ชายที่คุ้นเคยดีมากนั้นเองเรียกให้ฮีรากิหันขวับ มองตามเสียงหวีดร้องของพวกเธอที่ปรี่เข้าไปหาคู่ชายหญิงที่ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเดินตามหลังมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เป็นเพราะส่วนสูงเกินมาตรฐานของคนทั้งคู่ แม้ว่าพวกเขาจะกำลังถูกรุมล้อมก็ยังสามารถมองเห็นรอยยิ้มเก้อเขินชวนแสลงตา แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความแสลงใจอย่างกับมีเข็มนับร้อยพันกำลังทิ่มแทง ให้ฮีรากิสะบัดศีรษะขวับ เลื่อนบานประตูเปิดเข้าไปในห้องเรียนที่อยู่ห่างไปเพียงไม่กี่ก้าว จากนั้นกระแทกกระเป๋านักเรียนลงไปบนโต๊ะด้วยสีหน้าบึ้งตึงอย่างไม่สบอารมณ์
มันเป็นความลับที่ยังต้องไม่มีใครรู้ว่าเธอตกหลุมรักเพื่อนต่างห้องที่ชื่ออิวาซากิ ไทโชอยู่ ถึงฮีรากิเองก็ชี้ชัดลงไปไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ แค่ว่าพอรู้ตัวอีกที เด็กหนุ่มที่กลายมาเป็นเพื่อนร่วมก๊วนเที่ยวเล่นของเรย์อะเหมือนกับเธอ คนที่ฮีรากิไม่เคยรู้สึกอะไรด้วยมากไปกว่าความรำคาญใจเพราะความเป็นคนร่าเริง อัธยาศัยดี พยายามสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนอื่น แม้แต่กับเธอที่ไม่เคยร้องขอหรือว่าต้องการ กระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง เขาก็ได้กลายมาอยู่ในความคิดที่ว้าวุ่นของเธอ
ฮีรากิไม่แน่ใจว่า ‘ตอนนั้น’ คือจุดเริ่มต้นหรือเปล่า
จากตอนที่เธอมีปัญหากับอดีตคนรักอย่างฟุคุโมโตะ ไทเซย์ ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งกลายเป็นอดีต แต่หมายถึงสองสัปดาห์ช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นปีการศึกษาใหม่ด้วยการบอกเลิกผ่านคำด่าทอที่ดุเดือดเลือดพล่าน ไม่ต่างจากความรักที่ครั้งหนึ่งเคยดูดดื่มร้อนแรง ถือเป็นโชคดีที่ไทเซย์โดนสุ่มย้ายไปอยู่ห้องอื่น ฮีรากิจึงไม่ต้องทนมองหน้าหรือว่าฟังเสียงของเขาที่ทำให้เธอเคยตกหลุมรักแทบบ้าได้มากขนาดนั้นเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา
ทั้งที่คิดว่าเขาไม่ได้มีอิทธิพลอะไรกับชีวิตของเธออีกแล้ว ต่อจากนี้ฟุคุโมโตะ ไทเซย์จะเป็นตายร้ายดียังไงก็ช่าง! แต่พอได้เห็นเขาช่วยสอนคีบตุ๊กตาให้เด็กผู้หญิงห้องอื่นอย่างใกล้ชิดเอามากกับสองตาตัวเองเข้าจริงๆ ฮีรากิก็กลับรู้สึกเจ็บจี๊ดในอกขึ้นมาจนต้องขอตัวแยกจากกลุ่มของเรย์อะที่ชักชวนกันมาเที่ยวเล่นเกมเซ็นเตอร์หลังเลิกเรียนด้วยเหตุผลที่ว่ามีธุระทางบ้าน
แต่ฮีรากิก็ไม่ได้กลับไปจมจ่อมอยู่กับตัวเองที่บ้าน นอกจากสาวฝีเท้าเรื่อยเปื่อยไปตามทาง ไม่มีน้ำตาไหลหลั่งลงมาสักหยดจากความโกรธเกลียดที่สลับกันเข้ามาในห้วงความคิดที่ตีรวนวุ่นวาย ไม่ต่างจากท้องถนนที่ขวักไขว่พลุกพล่าน ก่อนฮีรากิจะรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่วางแปะลงบนไหล่ ไม่ทันให้เธอได้หันขวับไปมองด้วยซ้ำ ใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ฮีรากิคุ้นตาดีก็จะเป็นฝ่ายกระโจนมาอยู่เบื้องหน้าให้เธอต้องแหงนเงยมอง จากนั้นริมฝีปากที่ฉีกเป็นรอยยิ้มกว้างอยู่แล้วก็ขยับเอ่ยประโยคสั้นๆ เพียงแค่ “ไปกันเถอะ!”
ฮีรากิไม่เคยไปไหนมาไหนกับไทโชแค่สองต่อสอง ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาจะเรียกว่าคุ้นเคยได้แล้วก็ใช่ว่าสนิทสนมอะไรเหมือนอย่างเพื่อนคนกลาง ฮีรากิรู้ว่าที่ไทโชทำแบบนี้เพราะอะไร ทั้งที่เรื่องของเธอกับเพื่อนร่วมห้องที่เขาเริ่มสนิทสนมด้วยในพักหลังมานี้อย่างไทเซย์ก็ไม่น่ามีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับชีวิต หากก็เหมือนกับที่เขาคอยพยายามทำให้คนรอบข้างมีความสุขอยู่เสมอ และฮีรากิที่ไม่มีแก่ใจจะต่อล้อต่อเถียงหรือแบ่งปันความหงุดหงิดไปให้ใครก็ยอมตามเขาไปนั่งชิงช้าสวรรค์ที่เฮปไฟว์อย่างว่าง่าย
“เมื่อไหร่ที่ฉันรู้สึกเศร้า ฉันจะขึ้นมาบนนี้”
“ฉันไม่ได้กำลังเศร้าสักหน่อย” ฮีรากิท้วงกลับไปทันควัน “ที่จริงนะไทโช นายไม่จำเป็นต้องทิ้งพวกเรย์อะเพื่อมาทำอะไรแบบนี้เลย เพราะว่าฉันไม่ได้กำลังเศร้า! ไทเซย์ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกเศร้าอีกแล้ว! ไม่เลยสักนิดเดียว!”
“งั้นเธอกำลังรู้สึกอะไรล่ะ?” ไทโชย้อนถามด้วยรอยยิ้ม...และรอยยิ้มที่ทำเหมือนกับว่ารู้เท่าทันก็จะทำให้เธอต้องเบือนหน้าหลบออกไปยังทิวทัศน์ประดาแสงสีของตัวเมืองยามค่ำคืนแทน “โกรธมั้ง ไม่ก็เกลียด”
“ก็เพราะอย่างนั้นเธอถึงได้กำลังเศร้า”
ฮีรากิคร้านจะเถียงกับคนที่พยายามทำเหมือนว่าเข้าใจเธอ ในเมื่อนี่คือชีวิตของเธอ ทำไมเธอถึงจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไรอยู่ หลังจากปล่อยให้ความเงียบลอยอวลในชั้นบรรยากาศอยู่ครู่ขณะ เธอก็ขยับเปลี่ยนท่านั่งเป็นเอนหลังกอดอก เอ่ยปากถามเขาโดยไม่หันมองว่า “ถามจริงๆ เถอะนะไทโช นายไม่เบื่อหรือไงที่คอยพยายามปลอบใจคนโน้นคนนี้อยู่ได้ทั้งที่เขาไม่ต้องการ ไม่คิดเหรอว่ามันน่ารำคาญ”
“เห็นเธอรำคาญก็ยังดีกว่าเศร้านี่”
ฮีรากิจึ๊ปาก
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้เศร้า! เพราะอย่างนี้นายถึงได้น่ารำคาญไง อิวาซากิ!” ถึงเธอจะเริ่มขึ้นเสียงดังก็ใช่ว่าเป็นเพราะโกรธเคืองอะไร เพราะอย่างน้อยๆ ไทโชก็ไม่เคยทำให้เธอเกิดความรู้สึกรุนแรงแบบนั้น
และสิ่งที่เด็กหนุ่มฝั่งตรงกันข้ามในกระเช้าทำยามเธอเหลือบแลสายตากลับมาก็คือการมองดูเธอด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม น่าแปลกที่เขาทำให้ความโกรธเกลียดใดๆ — ที่ฮีรากิจะยังคงยืนยันอย่างหนักแน่นว่าไม่ใช่ความเศร้า — ต่อผู้ชายอีกคนสลายหายไปได้อย่างสิ้นเชิง
หากในค่ำคืนนั้น ฮีรากิก็ไม่ได้เก็บเอาไทโชไปฝันถึงหรือคิดคำนึงเมื่อต้องแยกจาก เขายังคงเป็นเด็กหนุ่มช่างเซ้าซี้ที่ทำให้เธอนึกรำคาญใจได้เสมอเวลาเจอหน้ากันที่โรงเรียน ก็เพราะอย่างนั้นฮีรากิถึงไม่คิดว่าจะมีสิ่งใดที่แปรเปลี่ยน
กระทั่งวันหนึ่งมันก็เกิดขึ้น โดยไม่มีแม้แต่สัญญาณเตือนล่วงหน้าใดๆ เมื่อปุบปับเรื่องของไทเซย์กับผู้หญิงคนอื่นจะไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเจ็บแปลบข้างในอกขึ้นมาอีกแล้ว ถึงการประชดประชันตามประสาแฟนเก่าที่เคยรักมากก็ย่อมเกลียดมากกว่าเป็นธรรมดาจะยังเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ เพราะฮีรากิแค่ทนไม่ได้ที่จะเห็นเขามีความสุขกับใครอื่นขณะที่เธอไม่ ตรงกันข้ามกับไทโชที่แค่ได้เห็นซานะเข้าไปคุยเล่นด้วยเหมือนอย่างทุกทีก็ทำให้เธอเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
อาจฟังเหมือนเป็นการเข้าข้างตัวเอง แต่ฮีรากิเกือบจะแน่ใจเลยว่าไทโชมีใจให้กับเธอในแง่นั้น เขาปฏิบัติกับเธอแตกต่างไปจากเพื่อนผู้หญิงคนอื่น เช่นว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เธอมีปัญหากับไทเซย์ ไทโชจะเป็นคนแรกที่เข้ามาปลอบใจเธอด้วยวิธีที่เล็กน้อยที่สุดอย่างการยื่นกระป๋องน้ำอัดลมหรือขนมขบเคี้ยวที่เธอชอบมาให้ แนะนำเพลงโปรดที่ชอบฟังในเวลาที่เศร้า...ถึงเธอจะไม่ได้เศร้า เพราะอย่างนั้นเมื่อถึงวันหนึ่งที่เธอพร้อมจะสารภาพรัก เขาก็น่าจะตอบรับได้อย่างไม่ยากเย็น เสียจนฮีรากิไม่คาดคิดว่าจะมีวันนี้
วันที่จู่ๆ เขาก็คบหาดูใจกับเด็กผู้หญิงร่วมห้องทั้งที่ไม่มีวี่แวว ตอกย้ำให้รู้ว่าทั้งหมดก็เป็นแค่ความหลงผิดไปเองของฮีรากิเท่านั้น
ใช่ว่าโจนิชิ นาซึนะเป็นเด็กสาวที่แย่ อันที่จริงต้องบอกว่าตรงกันข้ามเลยต่างหาก ทั้งสูงยาวเข่าดีอย่างกับนางแบบจนน่าอิจฉา ไหนจะใบหน้าที่ก็น่ารักเหมือนกับดาราและมักจะมีรอยยิ้มสดใสแต้มแต่งอยู่เสมอ แตกต่างจากเด็กผู้หญิงอึมครึมอย่างฮีรากิแทบทุกกระเบียด ฮีรากิรู้จักชื่อและหน้าตาของหล่อนซึ่งมักจะตกเป็นบทสนทนาทั้งในกลุ่มเพื่อนชายหญิงอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็แค่นั้น ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือไม่ใช่จากไทโชที่เธอไม่เคยเห็นทั้งสองคนพูดคุยกันนอกห้องเรียนมาก่อนด้วยซ้ำ แต่เธอจะไปรู้อะไรกับเรื่องในห้องเรียนของพวกเขากัน
ฮีรากิไม่รู้เลยว่าทำไมเธอถึงไม่ได้ร้องห่มร้องไห้ออกมาอย่างที่ควรจะเป็น หรืออาจเพราะเธอเป็นมนุษย์จำพวกที่ถือความโกรธเกลียดเป็นใหญ่ เหมือนอย่างที่กำลังมุ่งหน้าตอกฝีเท้าขึ้นไปบนดาดฟ้าที่รู้อยู่แล้วว่าจะได้พบกับ...เขา
เสียงประตูที่ถูกผลักออกอย่างแรงมากจะทำให้เด็กหนุ่มที่กำลังนอนเล่นดีเอสอยู่ลดเครื่องเกมในมือลงแล้วมองเลยมา ครั้นเห็นว่าตัวต้นเหตุเป็นใคร ไทเซย์ก็จะส่งยิ้มที่ดูอย่างไรก็เป็นการเย้ยเยาะมาให้
“คนที่ชอบไปมีแฟนแล้ว เจ็บใจน่าดูเลยสิท่า”
พอได้ยินประโยคน่ารังเกียจนั้นเข้ากับหู เหนือกว่าเหตุผลที่ว่าเขารู้หรือมองออกได้ยังไง ฮีรากิก็จะฉุนกึกขึ้นมาเสียจนรีบปรี่เข้าไปยืนค้ำอยู่เหนือหัวเขา
“ฝีมือนายเหรอไทเซย์!”
หนนี้เป็นเสียงหัวเราะดังลั่นที่ระเบิดออกมา และนั่นก็อาจทำให้ความอดทนของเธอระเบิดแตกเฉกเช่นกัน
“ฉันเนี่ยนะ? ถามจริงฮีรากิ ฉันจะไปทำอะไรกับความรักของคนอื่นได้”
“แค่เพราะนายไม่อยากเห็นฉันมีความสุขกับคนอื่น...”
“เรื่องนั้นเธอเก็บไปบอกตัวเองเถอะ” ไทเซย์สวนกลับมาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ไม่ใช่เธอเองหรือไงที่ทำแบบนั้น ถ้าไทโช... หมายถึงว่าถ้าหมอนั่นชอบเธออย่างที่ฉันเชื่อว่าเธอคงมั่นใจจนไม่เผื่อใจ ก็ไม่แปลกหรอกที่มันจะทนไม่ไหวจนตอบรับนาซึนะที่มองแค่ตัวเองคนเดียว เพราะการแสดงออกของเธอมันก็ฟ้องอยู่เห็นๆ”
ฮีรากิพ่นลมหายใจออกมาด้วยความขบขันเสียเต็มประดา
“ฟ้องว่าอะไร? ฟ้องว่าฉันยังชอบนายหรือไง?”
“แล้วจริงไหมล่ะ?”
“อย่าพูดจาน่าหัวเราะหน่อยเลยเหอะ!”
“ก็คงงั้น” เขาไหวไหล่ เลื่อนสายตากลับลงไปหาเครื่องเกมในมืออีกครั้งเป็นการตัดบท การกระทำแบบไม่แยแสของเขาที่มีส่วนต้องรับผิดชอบกับเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยจะทำให้ฮีรากิโกรธยิ่งกว่าเดิม เธออยากจะเข้าไปเขวี้ยงดีเอสของเขาเข้ากับกำแพงไม่ก็พุ่งหลาวลงไปจากดาดฟ้าให้ยับเยินเหมือนกับหัวใจของเธอในตอนนี้เลยยิ่งดี แต่เพราะไม่ใช่พวกที่เอาความโกรธไปลงกับข้าวของของคนอื่น ทางเลือกเดียวที่ฮีรากิทำได้คือการก้มลงไปเพื่อจะทุบตีเขาหมายระบายความขุ่นเคือง แต่ก็ไม่ไวไปกว่าเด็กหนุ่มที่พลันฉวยคว้าข้อมือหนึ่งของเธอไว้ กดบีบมันจนแน่นเมื่อยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง เหวี่ยงเอาร่างของเธอที่คร่อมอยู่เข้ามาใกล้ แม้ว่าฮีรากิจะพยายามขืนขัดในทีแรก แต่สุดท้ายเธอก็ไม่อาจสู้เรี่ยวแรงของคนที่ออกกำลังกายและติดอันดับท็อปวิชาพละของชั้ันปีที่มีมากกว่าได้ไหว
“ฉันไม่เคยถือสาที่เธอตามหาเรื่องฉันเลยนะ ฮีรากิ เพราะการได้เห็นความขี้อิจฉาน่าสมเพชของเธอมันทำให้ฉันขำจะตาย แต่พอเหตุผลเป็นเพราะผู้ชายคนอื่นแล้วมันโคตรจะน่าหงุดหงิดเป็นบ้า”
“ผู้ชายที่มีดีกว่านาย...”
คำพูดของฮีรากิหยุดลงแค่นั้นจากริมฝีปากที่เขากดลงไป บดขยี้ด้วยความรุนแรงมากเหมือนกับแรงที่ข้อมือซึ่งเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยจาก แต่เป็นตรงกันข้ามให้ฮีรากิรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก ไทเซย์ยังคงเป็นความโกรธเกลียดที่มากมายของเธอ และในตอนนี้เขาก็กำลังมอบความทรมานที่ไม่มีทางออกมาให้แม้แต่การไขว่คว้าเพื่อหาที่ยึดเหนี่ยวหรือกอบโกยเอาอากาศเข้าไป แต่ไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นหรอกหรือที่ช่วยทำให้คนเราลืมเลือนทุกอย่าง
แม้แต่ความรักต่อผู้ชายโง่เง่าที่แสนจะงี่เง่าสิ้นดี
แม้ว่าในสายตาของใครหลายคน...หรืออาจต้องบอกว่าเกือบทุกคนในโรงเรียนมัธยมปลายโคบาชิแห่งนี้...ความสัมพันธ์ของเด็กสาวโรคุทันดะ ฮีรากิที่ชอบวางท่าว่าเหนือกว่าเด็กสาวคายามะ ซานะ — ทั้งที่รูปลักษณ์ภายนอกของหล่อนต่างหากที่เหนือกว่า — อาจดูไม่มีความเทียมเท่ากันฉันเพื่อนเลยอยู่ในนั้น หากสิ่งที่ทำให้มนุษย์เราเหนือกว่าก็แน่อยู่แล้วว่าย่อมต้องมาจากเงินทองของนอกกาย เมื่อครอบครัวชนชั้นกลางของฮีรากิเกิดร่ำรวยขึ้นมาจากมรดกของตายายจนสามารถย้ายจากบ้านเช่าที่เล็กอย่างกับรูหนูไปอยู่อพาร์ตเมนต์หรูหราราคาแพงระยับที่สามารถมองเห็นทะเลสาบได้ ไม่เคยต้องขัดสนเรื่องเงินทองอีกต่อไปเมื่ออายุได้สิบสี่ ทุกคนก็เลยเชื่อว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้เธอปฏิบัติตัวแบบนี้ต่อเพื่อนสนิทตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นที่ทั้งฐานะและครอบครัวไม่ได้ดีเด่อะไรนัก แม้หลังจากที่ซานะจะมีพ่อเลี้ยงคนใหม่เป็นหนที่สองแล้วก็ตาม
แต่พวกเขาจะมารู้อะไรกับเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนกัน
ถึงฮีรากิจะเป็นผู้หญิงที่ปากร้าย บางครั้งก็โหดร้าย ใจร้าย ดูเหมือนไม่เคยสนใจเรื่องของใครเลยนอกจากตัวเอง แต่เมื่อไหร่ที่มีปัญหา ซานะก็รู้ว่าสามารถไว้วางใจเพื่อนคนนี้ได้เสมอ...เฉกเช่นในทางกลับกัน
อย่างเช่นในตอนพักเที่ยงที่ฮีรากิจะรีบลากตัวเพื่อนสนิทออกไปกดตู้เสบียงในโรงอาหารทันทีที่กริ่งดัง ก่อนหอบหิ้วของกินขึ้นมายังห้องสมุดบนชั้นสองของตึกเก่า จับจองที่นั่งประจำริมหน้าต่างซึ่งไม่มีใครจะมาบ่นว่า ทั้งจากจำนวนผู้ใช้บริการที่มีอยู่เพียงน้อยนิดไม่ถึงหยิบมือ ขนาดครูบรรณารักษ์ยังผลุบหายไปอยู่ที่ห้องพักด้านหลังและแทบจะไม่โผล่หน้าออกมาก่อนหากไม่มีใครกดกระดิ่งเรียกหา ด้วยเหตุนั้นพวกเธอเลยเลือกใช้ที่แห่งนี้เป็นฐานทัพลับในโรงเรียนเวลาที่คันปากอยากเมาท์เรื่องชาวบ้าน และฮีรากิก็กำลังทำตามจุดประสงค์นั้นอย่างแข็งขันด้วยการเล่าเหตุการณ์ที่ได้ยินมาแบบไม่ปะติดปะต่อกันนักให้ซานะที่ไม่ได้อยู่ด้วยในวันนั้นฟัง
“หมอนั่นเล่าให้พวกเรย์อะฟังว่าพอถูกสารภาพรักก็ตอบตกลงทันทีเลย”
“โอ้โห! ไวไฟมาก! ทั้งที่ไม่มีวี่แววมาก่อนเลยด้วยนะ!” ซานะเสริมรับคำบอกเล่าจากน้ำเสียงเนือยหน่ายของเพื่อนสนิทด้วยโทนเสียงที่ดังเกินระดับปกติ ท่าทีโอเว่อร์เกินจริงของหล่อนทำให้ฮีรากิที่รู้เท่าทันต้องปรายตามอง กระนั้นเจ้าหล่อนก็หาได้รู้สึกรู้สาอะไรเมื่อเอ่ยต่อไปว่า “ฉันรู้จักคุณโจนิชินะ เคยติวด้วยกันช่วงสั้นๆ สมัยที่แข่งตอบคำถามวิชาการตอนปีหนึ่ง อันที่สุดท้ายฉันก็ไม่ได้ไปแข่งเพราะเกิดอาหารเป็นพิษจนต้องเข้าโรงพยาบาลไง! ถ้าเกิดว่าฉันพูดอะไรไปแล้วอย่าด่านะฮีรากิ มันคันปากยุบยิบจริงๆ แต่เด็กคนนั้นทั้งน่ารัก นิสัยดี ลองได้คุยกันแค่สักครั้งแล้วจะเกลียดก็เกลียดไม่ลงเลยล่ะ แถมยังเป็นลูกรักของครูอาเบะจังด้วยนะ! โจนิชิคุงอย่างนั้น โจนิชิคุงอย่างนี้ แต่ไม่รู้ว่ามาเป็นที่รักของไทโช...ของเธอ...ได้ยังไงนี่สิ” ด้วยเสียงหัวเราะแห้งแล้งที่ดูอย่างไรก็เป็นการฝืดฝืน
“ถ้าจะกัดฟันพูดขนาดนั้นก็ไม่ต้องพูดหรอก”
“ให้ฉันไปต่อยหน้าไทโชให้เอาไหมที่บังอาจมาหลอกให้ความหวังเธอ”
“สภาพ! แค่โดนผลักทีเดียวเธอก็ลงไปนอนกองแล้วมั้ง!” ฮีรากิพ่นลมหายใจออกมา “ช่างเถอะ ไม่ต้องไปพูดหรือทำอะไรทั้งนั้นแหละ พอคิดว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าข้างตัวเองแล้วมันน่าขายหน้าออกจะตาย ยิ่งโดยเฉพาะกับคนแบบนั้นด้วยอีก แต่แล้วยังไงล่ะ! ไม่ได้ก็ไม่เอาหรอก! ผู้ชายไม่ได้มีแค่คนเดียวบนโลกสักหน่อย!”
“ทำมาเป็นพูดดี ไม่ใช่ว่าคนอย่างเธอได้ไม่ได้ก็ต้องเอามาให้ได้อยู่ดีไม่ใช่หรือไง?” เรียกค้อนวงใหญ่จากคำค่อนแขวะที่ต่างก็หาได้จริงจังกันทั้งคู่ “แต่รายนี้ฉันว่าอย่าเลยดีกว่าฮีรากิ แค่นึกถึงหน้าคุณโจนิชิก็บาปแล้ว อย่าว่าโง้นงี้เลยนะ ฉันว่าเธอคบกับไทเซย์ดีๆ ก็ดีอยู่แล้ว ผู้ชายอย่างไทโชไม่เห็นจะเหมาะกับเธอตรงไหน”
พลันนั้นเอง คนที่นั่งเอนหลังดูดนมกล่องอยู่ฝั่งตรงกันข้ามก็เปลี่ยนจากสีหน้าเฉยชาไปเป็นบูดบึ้ง แผดน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจออกมาว่า “ถ้าฉันบอกว่าเธอควรคบกับอุกิโช ไม่ใช่พี่โยชิ เพราะแค่เห็นหน้าแฟนพี่เค้าก็บาปแล้ว เธอจะยิ้มรับอย่างหน้าชื่นตาบานเหมือนกันหรือเปล่าล่ะ!”
“เอ้า! แล้วเรื่องของฉันมันไปเกี่ยวอะไรด้วย!”
“เพราะคนอย่างเธอมันไม่เคยรู้อะไรเลยไง!”
“แค่เพราะฉันบอกว่าไทโชไม่เหมาะกับเธอเนี่ยนะ!”
“พี่โยชิก็ไม่เหมาะกับเธอเหมือนกันนั่นแหละ!” หลังจากที่ตะโกนสวนย้อนกลับไปแล้ว ฮีรากิก็จะลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้จนเกิดเป็นเสียงดังโครมคราม ทิ้งรอยลากเก้าอี้บนพื้นไม้ย้ำซ้ำเดิมจนเกิดรอยถลอก ไม่แน่ว่านั่นอาจเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ข้างในหัวใจของเธอที่ไม่ควรต้องมีใครมาตอกย้ำซ้ำเติม และคนที่ไม่เคยรู้อะไรเลยก็ได้แต่มองตามหลังของเพื่อนสนิทที่เดินกระฟัดกระเฟียดออกไปจนลับสายตาเพียงเท่านั้น
ฮีรากิยังคงไม่สามารถทนมองหน้าของไทโชโดยไม่รู้สึกอะไรได้ ทั้งความโกรธเกลียด ผิดหวัง เสียใจ น้อยใจ ถึงจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์อะไรเลยสักอย่าง เหมือนกับที่ก็ไม่มีสิทธิ์ไปพาลใส่ซานะที่ไม่เคยรู้อะไรเลยสักอย่าง ในเมื่อขนาดเรื่องความรักของตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด ไม่ว่าจะมาจากการคิดเข้าข้างตัวเองจากท่าทีทั้งหมดเหล่านั้นที่ไทโชแสดงออก หรือจากความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่ามีแค่เธอคนเดียวที่รักคนไม่เอาไหนแบบนั้นมากที่สุดจนไม่คิดจะเผื่อใจ แต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่เรื่องโง่เง่า เหมือนกับความรักที่เธอมีให้กับผู้ชายโง่เง่า คนที่ยังคงยิ้มโง่เง่าให้เธอในตอนที่บังเอิญเดินสวนกันบนขั้นบันไดระหว่างขากลับขึ้นห้องเรียน เขาไม่ได้ควงคู่มากับหญิงคนรักที่จะยิ่งทำให้ฮีรากิรู้สึกขุ่นเคืองใจได้มากจนถึงกับเจ็บปวดใจในตอนที่เขาร้องเรียกชื่อ จับท่อนแขนข้างหนึ่งไว้แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเหมือนอย่างที่เป็นมาว่า
“หมู่นี้ดูท่าทางไม่ค่อยดีเลย เป็นอะไรหรือเปล่า?”
ให้ฮีรากิรีบสะบัดตัวพ้นจากการเกาะกุม ส่งน้ำเสียงที่แสดงความไม่พอใจออกไปเฉกเช่นเดียวกับสีหน้าว่า
“เอาเวลามายุ่งเรื่องของฉันไปสนใจแฟนตัวเองเหอะ!”
“ฮีรากิ ถ้าฉัน...” แต่ไทโชก็ไม่ทันได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น จากเด็กหนุ่มที่ปุบปับก็จะกระโดดเหยงขึ้นมาหยุดยืนอยู่ข้างกันกับเธอ
“เพื่อนเค้าถามดีๆ ทำไมต้องตะคอกกลับด้วยนะฮีรากิ ปากคอเราะร้ายแบบนี้ใครมันจะไปทนไหว”
“ทนไม่ไหวก็ไม่ต้องทนสิ!” ฮีรากิหันไปตะคอกใส่หน้าไทเซย์ด้วยความเหลืออดต่อผู้ชายสองคนที่เธอโกรธเกลียดมากที่สุดในตอนนี้ หรือไม่แน่ว่าสิ่งที่มีมากกว่าอาจเป็นความละอาย ตั้งแต่เลิกรากันไปด้วยไม่ดี...ถึงขั้นเลวร้าย ฮีรากิก็ไม่เคยนึกอยากแตะต้องหรือมีความใกล้ชิดแค่ทางกายแม้แต่นิดเดียวกับผู้ชายคนนี้อีก แต่อย่างน้อยๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง ไทเซย์ก็สามารถทำให้เธอลืมเลือนผู้ชายอีกคนหนึ่งออกจากความคิดและหัวสมองได้จริง เพราะเซ็กซ์ที่ไม่ได้มีความรักเข้ามาข้องเกี่ยวมันก็ย่อมเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง
มือของฮีรากิกำเข้าหากันแน่น ปลายเล็บยาวกดจิกลงไปบนเนื้อหนัง และเธอก็คาดหวังถึงร่องรอยของความเจ็บปวดเพื่อตอกย้ำว่าเธอไม่ได้ต้องการมันอีกแล้ว
“เอ...นายไปทำอะไรให้ฮีรากิโกรธหรือเปล่านะไทโช?” ทั้งอย่างนั้นไทเซย์ก็ไม่ได้ใส่ใจต่อท่าทีที่เขาอ่านมันออกได้อย่างง่ายดาย “หรือเพราะความรักของนายกับนาซึนะมันไปขวางหูขวางตาคนขี้อิจฉาเข้าล่ะ?”
“ทำไมคนอย่างฉันต้องลดตัวลงไปอิจฉาใครด้วยเหรอ?” ฮีรากิทำคอเชิดขณะจ้องสบตากับเด็กหนุ่มตัวสูงกว่าตรงหน้า “เรื่องของนายไม่เคยอยู่ในสารบบชีวิตของฉันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วอิวาซากิ จะไปรักกันจนตายกับใครที่ไหนก็ไป ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแหละ!” ก่อนที่จะตวัดกลับมาหาใครอีกคนในที่นั้น “นายเองก็เหมือนกันไทเซย์ ไปให้พ้นหน้าฉันเลยไป้! ลงนรกไปเลยยิ่งดี!”
“ทั้งที่ฉันเคยพาเธอขึ้นสวรรค์ไม่รู้ต่อกี่ครั้งแท้ๆ นะฮีรากิ” เขาโน้มตัวลงไปกระซิบถ้อยคำริมใบหูด้วยเรื่องที่รู้กันแค่สองคน แต่ก็ทำให้คนที่หัวร้อนเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้วยิ่งโกรธจัดขึ้นไปอีก ใบหน้าขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ หันไปยกมือทั้งสองข้างขึ้นผลักอกของเขาอย่างแรงมาก แม้ผลลัพธ์จะออกมาน่าผิดหวังด้วยการซวดเซเพียงน้อย แถมยังตามมาด้วยเสียงหัวเราะน่ารังเกียจอีก ฮีรากิทำได้แค่สบถออกมาเป็นคำหยาบคาย เดินกระแทกส้นรองเท้าตึงตังจากไปจนเกือบจะเป็นวิ่งในตอนที่พ้นขั้นบันไดขึ้นไปยังระเบียงทางเดิน
“บางคนเวลาโกรธก็ชอบพูดอะไรตรงข้ามกับใจอยู่เรื่อย”
ไทโชมองหน้าเพื่อนร่วมห้องโดยไม่ได้เปิดปากพูดอะไร
“ความหึง ความรัก ความเกลียด” ไทเซย์มองตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มที่ดูอย่างไรก็เป็นการเยาะหยัน แม้ไทโชจะไม่แน่ใจนักว่าหมายถึงเขา...หรือเธอ “นายไม่อยากลองทำบาปที่ร้อนแรงจนแผดเผาตัวเองให้ตายได้เหมือนที่ยัยนั่นกำลังรู้สึกดูบ้างเหรอ?” หากถ้อยประโยคที่สื่อเจตนายั่วเย้าชัดเจนมายังเขาก็จะทำให้ไทโชรู้สึกไม่พอใจ
∞
ฮีรากิแยกจากซานะที่เฮปไฟว์เมื่อมองเข้าไปเห็นว่ามีแค่โยชิโนริที่กำลังนั่งเท้าคางรออยู่ในร้าน ระหว่างพวกเธอไม่ได้มีกฎข้อใดมาบัญญัติ แต่ฮีรากิก็ไม่อยากเป็นก้างขวางคอเพื่อนต่อความรักข้างเดียวที่น่าเศร้านี้ เมื่ออย่างไรมันก็ไม่มีทางที่จะสมหวัง หรืออย่างน้อยๆ ซานะก็ไม่มีทางที่จะทำให้มันสมหวังแม้แค่เพียงครั้ง
แล้วเธอล่ะ...กล้าที่จะทำให้ความรักสมหวังแม้แค่เพียงครั้งหรือเปล่า?
ฮีรากิที่ไม่มีเรื่องอยากทำเป็นพิเศษบังเอิญคิดถึงแผ่นซีดีรวมฮิตซิงเกิลเพลงบัลลาดของเกลย์ที่พี่ชายยืมไปแล้วไม่เอากลับมาคืนสักทีพร้อมกับข้ออ้างร้อยแปดประการ ในเมื่อมันไม่ใช่แผ่นเพลงหายากอะไร ฮีรากิเลยตัดสินใจถือโอกาสนี้เดินเลี้ยวเข้าไปในร้านซีดีพร้อมกับเป้าหมายที่ชัดเจน
ก่อนฮีรากิจะต้องชะงักงัน ในตอนที่มือของเธอจะเอื้อมไปแตะโดนคนที่มีเป้าหมายเป็นแผ่นซีดีเดียวกัน
“เอ๊ะ? คุณโรคุทันดะที่เป็นเพื่อนของไทโชนี่นา” น้ำเสียงของหล่อนกระตือรือร้นมากเหมือนกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าที่จะทำให้ฮีรากิได้แต่ลอบกลืนน้ำลายลงคอ ยิ่งหลังจากตอนที่เด็กผู้ชายในชุดเครื่องแบบโรงเรียนเดียวกันจะเดินตามมาสมทบ แล้วยิ้มให้เธอที่จะรีบเบือนหลบไป
“ดูสิ คุณโรคุทันดะก็ชอบฟังเกลย์เหมือนไทโชเลย!”
ฮีรากิอยากแผดตะโกนออกไปให้ทุกคนบนโลกรู้ว่าเขาต่างหากที่ชอบฟังตามเธอ! เพราะไม่มีใครในกลุ่มเพื่อนสนิทที่ไม่รู้ว่าเธอเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งของเกลย์ ถึงขนาดที่เรย์อะเคยโดนเธอตะโกนใส่หน้าหลังจากกล่าวหาว่าไม่ยอมเป็นแฟนคลับของลาร์ค-ออง-เซียลจากบ้านเกิดเหมือนกับทุกคนว่า “ฉันเกิดที่ฮาโกดาเตะแล้วถึงย้ายมาอยู่ที่โอซากะตอนประถมต่างหากย่ะ!” ขณะที่คนอื่นอาจฟังเพลงฮิตติดชาร์ทของวงดนตรีที่เธอรักบ้าง แต่คนที่ดูจะใส่ใจมากถึงขนาดเลือกเพลงตอนไปร้องคาราโอเกะกับเธอทุกครั้งก็คือ...ไทโช
แต่ก่อนที่ก้อนสะอึกจะขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอยเมื่อได้เห็นสีหน้าอบอุ่นอ่อนโยนมากของเขาที่ก้มลงไปฟังคำพูดของหล่อนอย่างใส่ใจ ฮีรากิก็จะรีบปั้นแต่งใบหน้าฝืดฝืนบอกกับเด็กสาวอีกคนว่า “ไม่เป็นไร คุณโจนิชิเอาไปเถอะ” แล้วหันหลังสาวฝีเท้าเร็วๆ จากไป
แม้ว่าฮีรากิจะวิ่งหนีออกมาไกลมากแล้วเธอก็ยังคงไม่ได้ร่ำร้องไห้ออกมา นอกจากความโกรธเกลียดที่มาจากความอิจฉาข้างในอก ถ้าทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม ไทโชคงจะออกตามหาเธอจนเจอ อาจเป็นฝ่ายทำตัวเอาแต่ใจเสียเองด้วยการพาไปโน่นนี่ทั้งที่ไม่ได้ร้องขอ แต่ไม่อีกแล้ว...ต่อให้เธอจะเฝ้ารอแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางทิ้งคนรักมาหาคนที่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเพื่อนธรรมดาอย่างเธอ
แต่ฮีรากิจะต้องสนใจไปทำไม ใช่ว่าทุกคนจะต้องอ่อนแอ ใช่ว่าทุกคนจะไม่สามารถอยู่คนเดียวลำพังได้ สิ่งเหล่านั้นต่างก็เป็นแรงขับเคลื่อนให้ฮีรากิไปต่อ เธอไม่ได้ต้องการผู้ชายคนนั้น ไม่ได้ต้องการผู้ชายอีกคนเพื่อทำให้ลืมความรักที่ไม่สมหวังด้วย เธอไม่ต้องการทั้งไทโชหรือว่าไทเซย์
เธอไม่ต้องการใครทั้งนั้น
∞
“ทุกคนอยากทำอะไรในงานวัฒนธรรมกันเอ่ย?”
และเมื่อครูมุไคเอ่ยคำถามนี้ขึ้นมาหลังจากเช็กชื่อเสร็จเรียบร้อยตอนคาบโฮมรูม เด็กนักเรียนชั้นปีสองบีที่อึกทึกกันอยู่แล้วก็จะพากันส่งเสียงตะโกนโหวกเหวกเสนอความเห็นเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะพวกของเรย์อะที่ดูจะสรรหากิจกรรมพิลึกพิลั่น เรียกทั้งเสียงหัวเราะขบขันของเพื่อนๆ เสียงก่นด่าแบบไม่จริงจังนักของคุณครู ก่อนสุดท้ายจะมาจบลงที่ ‘ร็อกอะคาเดมีคาเฟ่’ ซึ่งได้รับการลงคะแนนเสียงไปมากที่สุด ในเมื่อทุกคนในห้องล้วนเคยได้ยินเสียงสวรรค์และเป็นประจักษ์พยานต่อฝีมือร้องเพลงเล่นกีตาร์ของเรย์อะกันมาแล้ว ไหนจะความป๊อปปูลาร์ในหมู่สาวๆ ของเจ้าตัวที่เรียกว่าไม่เบาเลย เพราะฉะนั้นยังไงก็ต้องเรียกลูกค้าได้เป็นกอบเป็นกำ
ขณะที่ซานะเองก็ดูจะตื่นเต้นไปกับคนอื่นๆ ด้วย ฮีรากิที่ไม่ได้แสดงท่าทีกระตือรือร้นเท่าไหร่นักก็จะแสดงความสนใจแรกสุดของวันขึ้นมาในตอนที่ครูมุไคถามว่า “ห้องเรามีใครอยากเป็นคณะกรรมการฝ่ายกิจกรรมหรือเปล่า?” จากแขนข้างขวาที่ยกขึ้น เรียกริมฝีปากที่อ้าค้างของเพื่อนสนิทขึ้นได้
“โรคุทันดะเหรอ?” กระทั่งครูมุไคก็ดูจะตกใจอยู่ไม่น้อย “งานเหนื่อยแล้วก็หนักมากนะ แน่ใจแล้วเหรอ?”
“ค่ะ” เด็กสาวตอบรับเพียงแค่นั้น
“งั้นฉันจะเป็นด้วย!” ซานะทำท่าว่าจะยกมือตามเพื่อนสนิทไปด้วยอีกคน แต่ฮีรากิก็จะหันมาทำตาขวาง เอ็ดอึงใส่ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “ไม่ต้องมาตามฉันต้อยๆ ได้ไหมซานะ! ถ้าเธอไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ!” ให้เจ้าตัวได้แต่ทำหน้าเงื่องหงอย
ด้วยเหตุนี้เอง ฮีรากิกับนาสุที่เป็นคณะกรรมการนักเรียนอยู่แล้วจึงไม่ได้เข้าร่วม ‘ร็อกอะคาเดมีคาเฟ่’ กับเพื่อนคนอื่นๆ ในห้อง รวมถึงสมาชิกชมรมการแสดง ชงชา คัดลายมือ และกีฬาบางส่วนที่ต้องไปจัดซุ้มหรือทำการแสดงประจำชมรมของตัวเอง แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความสามัคคีภายในห้องเรียนที่กลมเกลียวของพวกเขาลดน้อยลงไปเลย
อาจเว้นก็แต่ความกลมเกลียวของฮีรากิกับซานะที่เคยตัวติดกันเสียยิ่งกว่าอะไร
ฮีรากิไม่คาดคิดมาก่อนว่าการเป็นคณะกรรมการฝ่ายกิจกรรมจะทำให้เธอยุ่งจนหัวหมุนยได้มากกว่าที่ครูมุไคเตือนมากถึงขนาดนี้ ทั้งการประชุม เตรียมการ ประสานงานกับทุกภาคส่วน กว่าจะได้กลับถึงบ้านก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจนแทบไม่มีเวลาคิดหรือทำอะไรไหว
แม้ว่าตอนเช้าเธอจะบังเอิญเดินสวนทางกับไทโชที่ยืนพูดคุยหัวเราะอยู่กับกลุ่มเพื่อนผู้ชายของเขาตรงระเบียงทางเดิน ครั้นหันมาเห็นเธอก็ทำท่าว่าจะขยับริมฝีปากพูดอะไรด้วยสักอย่าง โชคดีที่นาสุป้องปากตะโกนเรียกเธอจากหน้าประตูห้องเรียนพอดี ฮีรากิจึงทำเฉไฉหลบหน้าเขาไปได้ แต่มันก็ทำให้วันนี้เป็นวันที่เลวร้ายมากขนาดที่ฮีรากิกลับมาฟุ้งซ่าน จินตนาการถึงความรักระหว่างเธอกับเขาที่ไม่มีวันจะสมหวังจนหัวสมองหนักอึ้งไปหมด
“เธอโกรธอะไรไทโช?”
เป็นคำถามจากฟูจิอิ หัวหน้าห้องอี คณะกรรมการร่วมของเธอ เจาะจงกว่านั้นก็คือเพื่อนสนิทของไทโช ถ้าเป็นคนอื่น ฮีรากิคงจะตะโกนใส่หน้าว่าไม่ใช่เรื่องไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับฟูจิอิ เธออาจไม่ได้สนิทสนมกับเขาเหมือนอย่างซานะก็จริง แต่หลังจากที่ได้ใช้เวลาทำงานร่วมกันมา ฮีรากิก็พูดได้เต็มปากว่าชอบพอนิสัยใจคอและความมีเหตุผลในแบบผู้ใหญ่ของเขา อีกทั้งการระบายอารมณ์ใส่คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลยก็ออกจะเกินไปหน่อย แม้แต่กับคนอารมณ์ร้อนอย่างเธอเองก็ตาม
“ไม่รู้สิ” ฮีรากิเลี่ยงตอบไปแบบนั้น “ฉันก็โกรธคนไปเรื่อยโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้แหละ ใครๆ ก็รู้”
“คนเราจะโกรธโดยไม่มีเหตุผลได้ยังไง”
“ได้สิ”
“ไม่ได้!” ฟูจิอิสวนย้อนกลับไปอย่างรวดเร็ว “โรคุโกรธที่ไทโชมีแฟนใช่ไหม? เพราะรู้สึกเหมือนโดนแย่งเพื่อนไปใช่หรือเปล่า?”
“หมอนั่นจะทำอะไรก็ช่างสิ”
“ไทโชมันแคร์เธอมากนะ”
ฮีรากิต้องข่มอกข่มใจเป็นอย่างมากที่จะไม่แผดตะโกนออกมาให้สุดเสียงว่า “ถ้าหมอนั่นแคร์ฉันอย่างที่นายว่าจริงๆ แล้วทำไมถึงต้องไปคบกับผู้หญิงคนอื่นด้วยล่ะ!” ในเมื่อไทโชย่อมต้องรู้ดีว่าถ้าทำแบบนั้น ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาก็ย่อมไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก เขาไม่สามารถปลอบใจเธอได้ ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังแค่สองต่อสองได้ แค่จะไปเที่ยวด้วยกันกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆ แล้วเล่นหัวกันเหมือนอย่างที่แล้วๆ มาก็ทำไม่ได้ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าแคร์กันได้อยู่อีกเหรอ
หากสิ่งที่ฮีรากิทำก็คือการพยายามกดกลั้น ไม่แสดงอารมณ์ที่ปะทุอยู่ข้างในอกออกมากับคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยผ่านรอยยิ้มฝืดเฝื่อน
“บอกให้หมอนั่นเอาเวลาไปแคร์คนรักเถอะ”
“ไม่ว่าเธอโกรธอะไรมันอยู่ แต่ยกโทษให้มันเถอะนะ”
“มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องอภัยให้ได้หรือไม่สักหน่อย” ฮีรากิแสร้งทำเป็นหัวเราะ “ฟูจิอิก็รู้ว่างานของพวกเราหนักแค่ไหน ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาจะคิดเรื่องอื่นหรอก ขอตัวนะ” เธอตัดบทเพียงแค่นั้น ก่อนรีบเดินหนีไปเพื่อไม่ให้เขาได้ทันพูดอะไรอีก
“โกรธจนไม่อยากแม้แต่จะเรียกชื่อเลยนะ”
อารมณ์ที่ขุ่นมัวอยู่ก่อนแล้วของฮีรากิยิ่งขุ่นข้องขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้เห็นเด็กหนุ่มที่ยืนกอดอกอยู่ตรงมุมทางเดินห่างออกมาไม่ไกล อย่างน้อยๆ ก็มากพอที่เขาจะต้องได้ยินเรื่องอะไรก็ตามที่เธอคุยกับฟูจิอิโดยไม่ต้องแอบฟังด้วยซ้ำ
“ทำไม? ถ้าเรียกแล้วเธอจะอดทนไม่ไหวเหรอ? ลองเรียกดูสิ อิ-วา-ซา-กิ-ไท-โช”
“หุบปากแล้วไปให้พ้นๆ หน้าฉันสักทีเหอะไทเซย์!”
ปากพูดอย่างนั้น แต่คนที่เร่งฝีก้าวเพื่อจะได้ไปให้พ้นหน้าอีกฝ่ายเองก็คือเธอ นอกจากไทโชแล้ว ฮีรากิคิดว่าตัวเองสามารถหลบหน้าคนรักเก่าได้อย่างเกือบยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน และตอนนี้ฮีรากิก็หงุดหงิดมากขนาดที่การหาเรื่องโต้เถียงด้วยอย่างที่เธอเคยรักที่จะทำกับเขายังเป็นอะไรที่เปลืองเปล่า
“เธอจะอดทนได้นานแค่ไหนนะฮีรากิ?”
“นายไม่ได้รู้จักฉันดีขนาดที่จะเที่ยวมาพล่ามพูดโน่นนี่กับตัวฉันเอง!”
ไทเซย์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนขยับตัวแล้วเอ่ยว่า “งานวัฒนธรรมปีนี้ต้องสนุกมากแน่ๆ เลย แทบทนรอไม่ไหวแล้วล่ะ” ขณะวาง...กด...มือลงบนไหล่เป็นการยั่วโมโหให้ฮีรากิรีบสะบัดทิ้งด้วยความรังเกียจ เป็นฝ่ายเดินหนีไปก่อนโดยไม่สนใจประมวลคำพูดที่เธอไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิดของไทเซย์เสียเอง
ฮีรากิที่เดินก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความในเว็บบอร์ดผ่านโทรศัพท์มือถืออยู่ไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองระหว่างเส้นทางกลับบ้าน จากน้ำเสียงที่เธอไม่อยากแม้แต่จะแหงนเงยมองนอกจากวิ่งหนีไปให้ไกล แต่เพราะไม่อยากรู้สึกพ่ายแพ้ให้ยิ่งสมเพชตัวเองมากกว่าเดิม ฮีรากิจึงกลั้นใจเชิดใบหน้าขึ้นไปสบกับไทโชที่ยืนอยู่บนสะพานข้ามเหมือนกับว่าเขากำลังรอเธออยู่
“ฉันรู้ว่าเธอไม่อยากคุยกับฉัน แต่อย่างน้อยๆ ช่วยฟังคำขอโทษของฉันทีเถอะนะ ไม่ว่าฉันทำอะไรให้เธอไม่พอใจ...”
“นายไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหละ!” ฮีรากิขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วน “ฉันแค่ไม่อยากคุยกับนาย ไม่อยากเห็นหน้านาย เลิกเอาเวลามาเสียกับฉันแล้วไปสนใจเรื่องของแฟนตัวเองเหอะไป!”
“เพราะเรื่องของโจนิ...”
“ไม่ใช่!” ฮีรากิสวนย้อนกลับไปก่อนที่เขาจะได้เอ่ยแค่นามสกุลของหญิงคนรักที่ชวนให้แสลงใจออกมาจนจบ “นายไม่ต้องขอโทษอะไรฉันทั้งนั้นแหละไทโช แค่ไปให้พ้นหน้าฉันก็พอ ขอร้องเหอะ”
“มีอะไรก็บอกกันมาตรงๆ ฮีรากิ แต่อย่ามาไล่กันแบบนี้”
ฮีรากิอยากจะกรีดเสียงร้องตะโกนออกไปทั้งคำสาปแช่ง ด่าทอ ทุกอย่างที่อยู่ในใจ กระทั่งคำว่า ‘รัก’ ที่ได้แต่เก็บกดเอาไว้ข้างในใจ คำพูดของฟูจิอิที่เป็นเพื่อนสนิทของเขายังคงชัดเจน เขาบอกว่าแคร์เธอใช่ไหม? ถ้าแคร์กันจริงงั้นก็เลิกคบกับผู้หญิงคนนั้นได้หรือเปล่า? แต่ฮีรากิก็ทำอะไรไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว ขณะรู้สึกถึงความร้อนผ่าวตรงขอบตาที่ไม่ต้องการปลดปล่อยมันออกมา เพราะถ้าเธอร้องไห้ออกมา ไทโชก็จะต้องพยายามเค้นเอาคำตอบให้ได้...และหนนี้เขาจะทำได้ โชคดีที่เสียงริงโทนมือถือของเขาจะแผดดังขึ้นมา และในตอนที่ไทโชล้วงหยิบมันออกจากกระเป๋าเสื้อกันหนาวที่สวมอยู่ ฮีรากิก็ตัดสินใจถือโอกาสนั้นสาวเท้าไปให้เร็ว
“เธอจะเอาแต่หนีแบบนี้เหรอ?”
ฮีรากิรู้ว่าถ้าเธอหันหลังกลับไปหาเขา ทุกอย่างจะต้องระเบิดออกมาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไม่อาจกดกลั้น เธอจะพ่ายแพ้ทั้งกับตัวเอง กับไทโช หรือแม้แต่กับไทเซย์ สายลมอบอุ่นในคืนฤดูใบไม้ร่วงได้ผ่านพ้นไปแล้ว หรือไม่ มันก็อาจไม่ได้มีอยู่จริงตั้งแต่แรกแล้ว
บรรยากาศความครื้นเครงของงานวัฒนธรรมประจำปีสองพันของโรงเรียนโคบาชิเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาในรั้วโรงเรียน หรือสำหรับใครหลายคนแล้วอาจหมายถึงภาระงานที่แสนจะหนักหนาสาหัส ทั้งการเตรียมการ ประสานงาน ขายของ เรียกลูกค้า เตรียมพร้อมสำหรับการแสดงความสามารถพิเศษต่างๆ ทั้งอย่างนั้นก็เป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนตั้งใจและเต็มใจเพื่อสร้างความทรงจำครั้งหนึ่งในชีวิตกับเหล่าเพื่อนพ้อง แม้ฮีรากิจะสำนึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยที่เลือกเป็นคณะกรรมการและต้องประจำอยู่ที่ซุ้ม คอยตอบคำถาม ให้ความช่วยเหลือผู้เข้าร่วมงานทุกคนไม่ว่าเรื่องน้อยใหญ่แค่ไหน แต่ก็โชคดีที่มีนาสุคอยช่วยประกบเหมือนกับพี่เลี้ยง ฮีรากิที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อนจึงสามารถผ่านพ้นภารกิจอันเหนื่อยยากนี้ไปได้ด้วยดี
ล่วงเลยมาจนถึงเวลาบ่ายแก่ๆ ที่ผู้คนเริ่มเบาบางลงไปให้ฝ่ายคณะกรรมการได้พักเหนื่อย ก่อนฮีรากิที่นั่งดื่มน้ำอยู่จะเปลี่ยนเป็นความกระตือรือร้นเมื่อมองเลยออกไปเห็นใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มที่คุ้นเคยดีกำลังเดินมาที่ซุ้ม เมื่อนั้นเธอจึงรีบลุกขึ้นค้อมหัวพลางเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงเริงร่าว่า “สวัสดีค่ะพี่โยชิ ซานะไม่เห็นบอกเลยว่าจะมาด้วย”
“ซานะเองก็ไม่รู้นะ” โยชิโนริหัวเราะ พลอยให้ฮีรากิรวนเสียงหัวเราะตามไปด้วย แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้บอกทางไปห้องเรียน เสียงเรียกชื่อต้นของเขาก็ดังมาก่อนตัว เกือบจะเป็นเสียงกรี๊ดเลยด้วยซ้ำในตอนที่ซานะวิ่งทั่กๆ มาที่ซุ้ม ทักทายพี่ชายด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจ โดยมีฮิดากะเดินตามหลังหล่อนมา สีหน้าตอนที่เขามองสองพี่น้องไม่แท้ก็ทำให้ฮีรากิแน่ใจว่าเขาเข้าใจทุกอย่าง ถึงอย่างนั้นเธอก็เชื่อว่าสักวันหนึ่ง...หัวใจที่ใช่ว่าแข็งแกร่งอะไรนักหนาของซานะจะต้องแปรเปลี่ยนไปได้ด้วยความผูกพันกับเขาที่มากเกินพอ ฮีรากิได้แต่เฝ้าภาวนาให้ฮิดากะอยู่ในใจ
“จะมาทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะคะ?”
“โทษที ตั้งใจจะมาเซอร์ไพรส์น่ะ” โยชิโนริมองดูท่วงท่าน่าเอ็นดูของน้องสาวแล้วตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินไทโชคุงว่าจะขึ้นเล่น...” หากก็จะถูกเบรกด้วยเสียงตะโกนกลบเกลื่อนดังลั่นของซานะจนฮีรากิไม่ทันได้สงสัย หรืออาจต้องบอกว่าไม่มีเวลาให้ได้สงสัย เมื่อซานะจะรีบพุ่งตัวเข้ามาคว้าแขนเธอ บอกกับนาสุที่ยืนอยู่ไม่ห่างว่า “ขอยืมตัวฮีรากิ แต่ไม่มาส่งคืนนะ” จนคนที่ถูกพาดพิงต้องเป็นฝ่ายแหวเข้าให้
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวงานก็เลิกแล้ว โรคุไปเถอะ”
“จะไปได้ยังไง...”
แต่ก็ไม่ทันซานะที่ดึงแขนเธอออกไปเลยหลังคำพูดที่ว่า “ขอบคุณมากเลยเจ้าค่ะคุณหัวหน้าห้อง! เอาล่ะ งั้นเราไปกันเถอะค่ะพี่โยชิ ฮิดากะก็ด้วย” เป็นโอกาสให้ชายหนุ่มต่างวัยทั้งสองคนได้เปิดปากทักทายกันตามประสาคนคุ้นหน้าในอพาร์ตเมนต์ พวกเขาต่างก็พูดคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติมากเสียจนฮีรากิที่เดินนำหน้าไปกับซานะได้แต่รู้สึกตงิดอยู่ในใจ เหมือนกับที่คำถามถึงชื่อที่พี่ชายของหล่อนพูดถึงก่อนหน้านั้นก็จะพลันถูกกลบกลืนไปเสียสนิท เมื่อซานะจะเล่าเรื่องคาเฟ่ (ส่วนใหญ่คือวีรกรรมกวนประสาทชาวบ้านชาวช่องของเรย์อะที่เรียกลูกค้าขึ้นมาร้องเพลงดีดกีตาร์ด้วยกันบ้างล่ะ แซวเค้าบ้างล่ะ) ไม่ได้หยุด ขนาดฮีรากิที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับรายนั้นก็ยังอดขำไปด้วยเมื่อนึกภาพตามไม่ได้
ก่อนเสียงหัวเราะเฮฮาของพวกเธอตอนที่เดินไปถึงหน้าเวทีจะเจื่อนจางลงไปพร้อมๆ กัน เมื่อได้เห็นเด็กสาวต่างห้องสองคนเดินมาสมทบกับเพื่อนร่วมห้องของตัวเอง ฮิดากะหันไปทักทายนาซึนะและเพื่อนสนิทของหล่อน ขณะที่ฮีรากิกับซานะก็ปิดปากเงียบโดยไม่แม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ ไม่นานหลังจากนั้น เสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาวๆ รวมถึงเสียงโห่ร้องจากหนุ่มๆ จากการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มนักดนตรีทั้งสี่คนบนเวทีก็จะรั้งเรียกความสนใจของทุกคน เช่นเดียวกับฮีรากิที่ได้แต่เบิกตากว้าง อ้าปากค้างด้วยความไม่เชื่อ
ในตอนที่เธอได้มองสบตากับไทเซย์ซึ่งส่งยิ้มเหยียดแสดงความเย้ยหยันมาให้โดยไม่ปิดบัง ฮีรากิถึงได้เข้าใจความหมายในคำพูดเมื่อสองวันก่อนของเขา เมื่อเลื่อนสายตาหันไปหาเด็กหนุ่มคนที่กำลังก้มหน้าง่วนอยู่กับการปรับกีตาร์ที่สะพายคล้อง
“เธอรู้อยู่แล้วใช่ไหม?”
ซานะยกสองมือขึ้นแปะแล้วก้มหัวปะหลกๆ “ขอโทษนะฮีรากิ แต่เรย์อะบอกให้ฉันเก็บเป็นเซอร์ไพรส์เพราะอยากร้องเพลงปลอบใจเธอน่ะ” ก่อนลดเสียงลงจนเกือบเป็นกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคนเมื่อพูดต่อว่า “แล้วก็อยากให้เธอคืนดีกับไทโชด้วย” ก่อนปรับระดับกลับขึ้นมาเป็นปกติอีกครั้ง “เพราะงั้นอย่าโกรธเลยนะ อย่าหนีไปก่อนเพลงสุดท้ายจะขึ้นด้วยล่ะ นะๆ ไม่เห็นแก่ฉันก็เห็นแก่เรย์อะเถอะ”
“เธอกับเรย์อะนี่เหลือจะเชื่อเลย ซานะ!”
แม้รู้ดีว่าสุดท้ายแล้วมันอาจทำให้ปณิธานของเธอต้องพังทลายลงไป ทั้งที่คนรักของเขาก็อยู่ห่างเพียงแค่เอื้อม
ฮีรากิทั้งขันทั้งฉิวกับเซ็ตลิสต์ที่เรย์อะเลือกมาร้องทั้ง ‘เซเวนท์ เฮฟเว่น’ ‘ฮันนี่’ ต่อด้วย ‘เรดดี้ สเตดี้ โก’ ของวงจากบ้านเกิดเมืองนอนที่เจ้าตัว คนข้างตัว และอาจจะรวมถึงหนุ่มสาวจากโอซากะทั้งหลายแหล่ (หรือก็คือเกือบทุกคน ณ ที่นี้) กำลังส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดและแหกปากร้องเพลงตามด้วยความบ้าคลั่งอยู่รอบตัว ฮีรากิพยายามจดจ่ออยู่แต่กับเรย์อะและมือกลองที่เธอจำได้ว่าเขาอยู่ห้องเดียวกับไทโชโดยไม่หันมองไปยังอีกสองคนที่เหลือ ถึงจะไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างทุกครั้งคราวที่เผลอมองไปทางไทเซย์ และเขาก็จะทำให้เธอหงุดหงิดด้วยรอยยิ้มที่เหยียดขึ้น หรืออีกเหตุผลหนึ่งก็อาจเป็นเพราะเขากำลังเล่นเบสได้เท่มากไม่แพ้กับมืออาชีพ ทั้งที่เขาไม่เคยสนใจเรื่องการเล่นดนตรีมาก่อนเลยใรชีวิต แต่ครั้งหนึ่งที่เธอเคยบอกกับทุกคนว่า “ฉันชอบจิโร่มากเลยล่ะ!” ไทเซย์ก็จะเริ่มต้นฝึกเล่นเบสตามด้วยเหตุผลที่ขนาดตัวเธอยังคิดว่าช่างไร้สาระ แต่แน่นอนว่าก็อดดีใจนิดๆ ไม่ได้ เมื่อครั้งหนึ่งเขาก็เคยมีความมุ่งมั่นจากความรักร้อนแรงที่มีให้กันตั้งขนาดนั้น
“ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่กำลังเศร้า ผมเลยอยากเป็นกำลังใจให้กับเธอคนนั้น เช่นเดียวกับทุกๆ คนครับ!”
ฮีรากิส่ายหัวให้กับเรย์อะที่มองลงมาหาเธอแล้วฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับชูนิ้วโป้งให้ กระนั้นก็เป็นไปด้วยความขบขันมากกว่าเอือมระอา
แต่ทันทีที่เสียงแหลมสูงของเรย์อะเริ่มต้นร้องว่า “การที่ฉันได้พบเธอ...ทำให้ฉันได้พบกับความสุข” ก็จะทำให้รอยยิ้มถึงก่อนหน้านั้นหุบกลับลงไป นัยน์ตาของเธอเคลื่อนขยับไปหามือกีตาร์ด้วยความตั้งใจของตัวเองเป็นครั้งแรก ที่เมื่อได้สบประสานกับเธอ ไทโชก็กระทำในสิ่งที่ทำให้หัวใจของฮีรากิต้องเจ็บปวด ด้วยรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน ด้วยสายตาที่แสดงความใส่ใจ เหมือนตอนที่เขาคอยทอดมองดูเธอที่เป็นลูกคู่ร้องเพลง ‘บี วิท ยู’ ในห้องคาราโอเกะด้วยกันเสมอ
เพราะทุกคนในกลุ่มรู้ดีว่านี่คือเพลงที่เธอชอบที่สุดของเกลย์ เพราะเรย์อะอยากให้กำลังใจเธอ เขาถึงได้ยอมร้องเพลงของวงที่ไม่ได้ชอบอะไรมากมาย ฮีรากิได้เข้าใจถึงความห่วงใยของเพื่อนสนิททั้งบนเวทีและข้างตัวเธอในตอนนี้ เช่นเดียวกับความรักที่เธอแน่ใจแล้วว่ามีให้ไทโชอย่างมากมายแค่ไหน คนที่มีจิตใจดี คนที่เธอเชื่อใจได้ คนที่จะคอยจับมือเธอไว้ คนที่ทำให้เธอรับรู้ว่าแท้จริงแล้วทุกคนล้วนอ่อนแอและต้องการใครสักคน
ฮีรากิรู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวที่ขอบตากับภาพเบื้องหน้าที่เริ่มจะมัวพร่า เธออยากจะหลบออกไปร่ำร้องไห้ที่คงจะทะลักทลายลงมาจากความอดกลั้นอันเนิ่นนาน แต่เธอก็ไม่อยากให้ความตั้งใจของเรย์อะ ซานะ รวมถึงไทโชต้องพังลงไป ถึงได้พยายามกล้ำกลืนมันไว้ด้วยการมองดูแต่นักร้องนำแทน ตลอดเวลานั้น ฮีรากิไม่หันมองทั้งไทโชหรือว่าไทเซย์อีกเลย
และเมื่อบทเพลงจบลงพร้อมกับเสียงโห่ร้องปรบมือยกใหญ่ ฮีรากิก็จะรีบก้มหน้าฝ่ากลุ่มคนออกไป ไม่แม้แต่จะบอกความเป็นไปให้ซานะที่ตะโกนร้องเรียกชื่อเธอไล่หลัง ครั้นออกวิ่งไปจนถึงตึกเก่าซึ่งร้างไร้ผู้คน ที่สุดฮีรากิก็นั่งก้มหน้ากอดเข่าตัวเองบนขั้นบันไดหนึ่งแล้วระเบิดน้ำตาออกมาอย่างสุดจะกลั้นได้ไหวอีกต่อไป ราวกับการระเบิดความรักและความเจ็บปวดที่มีต่อไทโชซึ่งกักเก็บไว้ออกมา
เพราะสิ่งเดียวที่ฮีรากิต้องการคือการได้อยู่เคียงข้างและเป็นความรักของเขา
∞
ฮีรากิมารู้สึกตัวตื่นตอนที่ครูบรรณารักษ์เดินเข้ามาบอกว่ากำลังจะปิดห้องสมุด ความอึกทึกครึกครื้นตลอดทั้งวันเงียบลงไปแล้ว แทนที่ด้วยความมืดมิดซึ่งเริ่มโรยตัวลงมา ฮีรากิรีบกล่าวขอบคุณและก้มหัวขอโทษครูที่ไล่เธอไปล้างหน้าล้างตาเสีย
เวลาบนหน้าจอมือถือที่ฮีรากิหยิบขึ้นมาดูเมื่อหยุดยืนอยู่หน้าตึกก็คือหกโมงสิบห้านาที มีทั้งสายที่ไม่ได้รับและข้อความจากซานะอยู่ในนั้น แต่ฮีรากิยังไม่มีแก่ใจจะโทร.กลับไปหาหรือกดอ่านแม้แต่ข้อความเดียว ครั้นหย่อนกลับลงไปในกระเป๋ากระโปรงแล้วก็จะรีบก้มหน้าก้มตาเดินไป เพราะอย่างนั้นเธอถึงไม่ทันได้เห็นคนที่ยืนพิงกำแพงอยู่ไม่ห่าง ก่อนรองเท้าผ้าใบคู่ใหญ่ที่มองเห็นอยู่ตรงหน้าจะทำให้ให้ฮีรากิผงะงัน โชคดีที่เธอหยุดฝีเท้าของตัวเองได้ทันก่อนที่จะพุ่งชน
“คุยกับฉัน ฮีรากิ”
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนาย”
แต่ไทโชต่างหากที่จะเป็นฝ่ายพุ่งตัวเข้ามาฉวยคว้าข้อมือเอาไว้ก่อนที่เธอจะได้เดินหนีไป
“ฉันจะถามเธอแค่ข้อเดียว แล้วหลังจากนี้ถ้าเธอไม่ต้องการ ไม่อยากคุย ไม่อยากเจอหน้า อยากให้ฉันไปให้พ้นจากชีวิตของเธอ ฉันก็จะทำตามที่เธอต้องการทุกอย่าง ขอแค่ข้อเดียวเท่านั้นฮีรากิ ก่อนหน้านี้ที่เวที เธอร้องไห้ทำไม?”
“ถ้าฉันตอบแล้วนายจะเลิกยุ่งกับฉันจริงๆ ใช่ไหม?”
ทั้งอย่างนั้นไทโชก็ไม่ได้ตอบรับเป็นคำพูดหรือแม้แต่ท่าที ฮีรากิจ้องสบตากับเขาด้วยความแน่วแน่ เฉกเช่นเดียวกับการตัดสินใจของตัวเอง
“ได้! ที่ฉันร้องไห้เพราะนั่นคือเพลงของฉันกับนาย! เพราะมันทำให้ฉันคิดถึงนาย! เพราะว่าฉันชอบนาย! ฉันชอบนายมาตลอด!” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ฮีรากิก็รู้สึกได้ถึงแรงเกาะกุมบนข้อมือที่คลายลงไป “นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวแค่ไหน ฉันไม่ได้ใจดีพอที่จะยอมเห็นนายไปมีความสุขกับคนอื่น ฉันทนกลับไปเป็นเพื่อนนายอีกไม่ได้จริงๆ ไทโช เพราะงั้นก็ต่างคนต่างอยู่เถอะ”
“ฮีรากิ ฉัน...ฉันไม่รู้เลย...ฉันนึกว่าเธอยังชอบไทเซย์...”
“จะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วไม่ใช่หรือไง”
“ฉัน...”
เป็นตอนนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์ของเขาจะแผดดังขึ้นในจังหวะที่เรียกได้ว่าพอดิบพอดี หนนี้ฮีรากิไม่ได้เดินหนี เธอพร้อมแล้วกับการมองดูเขาจากไป ทว่าไทโชที่ยืนจ้องสบตาจนถึงก่อนหน้ากลับเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา แล้วกระทำในสิ่งที่ฮีรากิได้แต่เฝ้าฝัน นั่นคือการก้มลงมาจูบเธอ
ไทโชจูบเธออย่างแนบแน่น ลึกซึ้ง ราวกับจะดูดกลืนลมหายใจให้ฮีรากิแทบทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่จนต้องเอื้อมมือไปยึดท่อนแขนของเขาไว้ อาจเนิ่นนานหรือไม่ก็เพียงแสนสั้น หากฮีรากิก็คาดหวังให้เป็นชั่วนิรันดร์ กระทั่งเสียงริงโทนหนวกหูนั้นเงียบลงไปแล้วเขาถึงได้ผละจาก
“คืนนี้อยู่กับฉันนะฮีรากิ”
_______________
ความคิดเห็น