คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Miracle of life
‘เนื้องอกในสมองมันเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หมอเกรงว่า...’
คำพูดของหมอในวันนั้น ทำให้โลกของผมถูกย้อมไปด้วยสีดำ...สีแห่งความเศร้าและหมดหวังในการที่จะมีชีวิตอยู่
ผมใช้ชีวิตไปวันๆ รอว่าเมื่อไหร่ผมจะตาย ผมอยากหลับและตายไปซะเฉยๆ ไม่ต้องตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองยังหายใจ ยังคงต้องทนเจ็บปวดจากโรคร้ายที่ค่อยๆกลืนกินชีวิตผม
“คุณ..คุณครับ”
ผมตื่นจากภวังค์และเงยหน้าขึ้นไปตามเสียงเรียก ผมเห็นใบหน้าของชายคนหนึ่งกำลังยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร แต่ผมไม่ค่อยจะสนใจใยดีอะไรเท่าไหร่แล้วล่ะ
“มานั่งทำอะไรเหรอตรงนี้ครับ อากาศเย็นขนาดนี้แท้ๆ”
เขาพูดจากับผมอย่างสุภาพพร้อมกับยื่นถ้วยกระดาษซึ่งภายในบรรจุของเหลวสีน้ำตาลดำ ส่งกลิ่นหอมกรุ่น เหมาะกับสภาพอากาศที่มีหิมะปกคลุมโดยรอบอย่างงี้
“ขอบคุณครับ ก็...นั่งคิดอะไรเพลินๆนิดหน่อยน่ะครับ”
ผมรับกาแฟมากิน ก่อนที่คนข้างๆจะถือวิสาสะมานั่งข้างๆผม� ผมหันไปมองพินิจใบหน้าเขาอยู่ช่วงนึง ผิวขาวซีดกับใบหน้าคมสัน จมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูป เหมือนกับคนๆนี้ถูกพระเจ้าปั้นแต่งขึ้นมาอย่างบรรจง ผมเหยียดยิ้มให้กับตัวเอง ในเรื่องที่ว่า พระเจ้าไม่เคยมอบความเมตตาที่เท่าเทียมให้กับมวลมนุษย์เลย
ผมเหลือบมองสไตล์การแต่งตัวของเขา ซึ่งนอกจากผ้าพันคอขนสัตว์หนาที่เกือบจะปิดบังหน้านั้นไปเกือบครึ่งหน้าโผล่มาแค่สันจมูกกับปากแล้ว ก็เป็นเสื้อยืดแขนยาวกับกางเกงขนสัตว์หนาเท่านั้น
“คุณไม่มีงานทำเหรอครับ ถึงได้มีเวลามานั่งชมหิมะอย่างงี้”
เขาเริ่มเปิดการสนทนาอีกครั้งหลังจากที่พวกเรานั่งเงียบกันอยู่นาน สวนสาธารณะที่มีบ่อน้ำ ขนาดใหญ่ให้เหล่าสัตว์ปีกและสัตว์น้ำใช้ในการอยู่อาศัย ตอนนี้ได้กลายเป็นพื้นน้ำแข็งและ ต้นไม้ที่มี แต่เพียงเกล็ดหิมะปกคลุม ไม่ค่อยมีผู้คนเดินมากนักในสภาพอากาศแบบนี้เลยเป็นที่ๆดีที่จะได้นั่งคิดอะไรคนเดียว หรือไม่ก็ หาเพื่อนคุยแก้เหงาก่อนผมจะตายอย่างเดียวดาย
“เลิกงานแล้วน่ะครับ ผมเลยมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะน่ะ แปลกนะครับ นึกว่าจะมีแค่ผมที่ชอบเดินเล่นเวลาหิมะตกซะอีก”
เขาหันมายิ้มอย่างเป็นมิตรกับผม นับเป็นรอยยิ้มแรกที่ผมได้รับจากคนอื่นๆ นอกจากพวกนางพยาบาลและหมอ
�“ที่จริง ผมชอบฤดูใบไม้ผลิครับ”
“หืม?”
“เพียงแต่ ตอนนี้ผม...ไม่มีความรู้สึกอะไร เรียกได้ว่าด้านชาเหมือนกับความหนาวเหน็บของหิมะเหล่านี้นั่นล่ะครับ”
“.....”
“อา...ผมคงพูดอะไรแปลกๆสินะครับ ต้องขอโทษด้วย”
“ม...ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ว่านะ ซักวัน ผมว่าคุณต้องละลายหิมะในจิตใจได้แน่นอนครับ”
“ฮะๆ ครับผม”
ผมหัวเราะแห้งๆกลับไป มันก็คงจะมี หากว่าผมยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานกว่านี้นะ
“คือว่า ถ้าไม่รังเกียจ ให้ผมพาคุณไปส่งที่บ้านได้มั้ยครับ จะได้มีเพื่อนคุยระหว่างทางด้วย”
“แล้วคุณ ไม่มีบ้านให้กลับเหรอไงครับ ถึงได้มีเวลาว่างมาส่งผมน่ะ”
เขาไม่ตอบอะไรนอกจากระบายยิ้มให้ผม ผมไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว เลยเดินนำให้ชายแปลกหน้าคนนี้เดินตามไปส่งผมถึงคอนโด ตลอดทางเรา2คนคุยกันในหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องเรียน เรื่องหนังสือ หรือเรื่องทั่วไป ทำให้ผมรู้สึกมึความสุขมากตลอดหลายปีที่ต้องอยู่กับความว่างเปล่า เมื่อเดินมาถึงคอนโดที่ผมอยู่ ผมหันมาหาเขาเพื่อจะบอกลา แต่ว่าแปลก...ที่ผมไม่อยากให้เวลานี้จบลงง่ายๆอย่างงี้เลย
“ขอบคุณที่มาส่งผมนะครับ คุณ...”
“ซีวอนครับ ผมชื่อ ชเว ซีวอน แล้วคุณล่ะ”
“คิม ฮีชอลครับ เรียกผมว่าฮีชอลเฉยๆก็ได้”
“ครับผม”
“นี่ก็ดึกมากแล้วถ้าไม่รังเกียจ ก็นอนค้างที่ห้องผมก่อนก็ได้”
“อา...ขอบคุณมากนะครับ”
.........
...........
.............
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามา ทำให้ผมต้องรีบเอาผ้าห่มมาปิดหน้าเอาไว้ อาการปวดที่ศีรษะของผมเพิ่งมากขึ้นเรื่อย ผมพยายามลืมตาขึ้นฝืนความเจ็บปวด เพื่อจะทำกิจกรรมที่ทำเป็นประจำเวลาตื่นนอน ผมแต่งตัวเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งเมื่อคืน คนที่ผมเจอที่สวนสาธารณะนอนอยู่ แต่ปรากฏว่าแทนที่จะมีร่างของชายแปลกหน้าคนนั้นอยู่กลับไรซึ่งร่างของคนๆนั้น
หายไปไหนแล้วล่ะเนี่ย...
ผมเดินดูรอบๆ ก็พบกับอาหารเช้าแบบฟูลคอร์สตามโรงแรม พร้อมกับโน้ตแผ่นหนึ่งวางเอาไว้
ขอบคุณสำหรับที่พักและการพูดคุยที่แสนสนุกนะครับ นี่เป็นของตอบแทนเล็กๆน้อยๆของผม อาจจะไม่ค่อยอร่อยแต่ว่ายังไงก็กินซะนะครับ
จาก� ชเว ซีวอน
ผมอ่านโน้ตแผ่นนั้นโดยไม่รู้เลยว่า ริมฝีปากของผมกับลังระบายยิ้มอยู่ เป็นครั้งแรกเลยที่ผมยิ้มออกมาด้วยใจหลังจากวันที่หมอวินิจฉัยโรคของผม ผมกินอาหารเช้าของซีวอนก่อนจะ ออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังที่ประจำที่ผมต้องไป เกือบทุกวัน โรงพยาบาล
ผมเดินเข้าไปที่ ประชาสัมพันธ์ นางพยายามมองหน้าผมก่อนจะบอกเลขห้องของหมอให้เหมือนกับรู้ว่าผมจะมาหาใคร ทำไงได้ก็ผมน่ะ เข้าออกที่นี่เหมือนเป็นบ้านหลังที่สองของผมไปแล้วก็ว่าได้
“มาแล้วเหรอ ฮีชอล นั่งลงสิ”
ผมนั่งลงตรงหน้าคุณหมอ ก่อนที่เขาจะเริ่มทำการตรวจตามปกติ หลังจากนั่งรอซักพัก ผลตรวจของผมก็มาถึง ทันทีที่เขาอ่านผมสังเกตได้ว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดไปวูบนึง ก่อนจะหันมาหาผม
“ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เธอกลับบ้านได้แล้วล่ะ”
“ครับ”
ผมลุกขึ้นขอบคุณหมอก่อนจะเดินออกจากห้องตรวจไป ผมรู้ว่าหมอไม่อยากให้ผมเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องอาการป่วยของผม หากอาการผิดปกติไปแม้แต่นิดเดียวเขาก็จะไม่บอกผมให้ผมมานับถอยหลังสู่ความตายของผมเอง
“อาการนายหนักขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ ไม่คิดจะปลูกถ่ายเปลี่ยนอวัยวะบ้างเหรอ?”
“ไม่หรอกครับ”
“คิดให้ดีๆหน่อยนะครับ คุณ ซีวอน”
เท้าผมหยุดชะงักทันทีที่ได้ยินชื่อคนไข้ที่หมอพูดออกมา ผมหันไปมองทางต้นเสียงทันทีก็พบกับเขา คนที่ผมเจอเมื่อวานและได้หายตัวไปอย่างลึกลับในตอนเช้า แต่ว่า ตอนนี้เขากลับมานั่งอยู่ที่นี่ ที่เดียวกันกับผม
“ผมตัดสินใจแล้วล่ะครับ หมอไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก”
หมอของซีวอนมีท่าทีเครียดทันที ผิดกับคนป่วยที่ยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
ทำไม...ทั้งๆที่นายเองก็ป่วย ทำไมถึงยังยิ้มได้อีก
“อ้าว คุณฮีชอล”
ผมได้สติเงยหน้าขึ้นพบว่า คนที่เพิ่งคุยกับหมอตอนนี้กำลังยืนอยู่ข้างหน้าผม รอยยิ้มที่อบอุ่นถูกส่งมาให้ผมอีกครั้ง
ทำไม...ถึงรู้สึกอบอุ่น...เพียงแค่รอยยิ้มของเขาแท้ๆ
“คุณมาทำไรที่นี่เหรอครับ?”
“มาโรงพยาบาลจะให้ไปจีบนางพยาบาลเหรอไงครับ”
“เออ ขอโทษที่ถามนะ”
ผมยื่นปากใส่เขาอย่างอารมณ์เสีย
คนอุตส่าห์เป็นห่วง...เดี๋ยวนะ ฉันห่วงไอ้คนที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่วันเดียวเนี่ยนะ?
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ไปเดินเล่นกับผมหน่อยได้มั้ยครับ?”
“คราวนี้จะไปที่สวนอีกแล้วเหรอ?”
“เปล่าครับ อีกที่นึงน่ะ”
“?????”
รองเท้าหนังสีดำขลับค่อยๆเหยียบลงบนพื้นใสทำจากน้ำแข็ง อาการเซเล็กน้อยเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่มาลองเล่นไม่กี่ครั้ง หลังจากตรวจสอบความแข็งแรงของทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็งไปเพราะความหนาว ซีวอนก็ค่อยๆหันมาหาใครอีกคนหนึ่งที่มองพื้นน้ำแข็งอย่างตื่นเต้น มือหนาค่อยๆยื่นออกมาให้ร่างบาง พร้อมกับรอยยิ้มละมุนซึ่งส่งมาให้กับใครคนหนึ่งที่ยืนชั่งใจอยู่ที่ริมฝั่ง
“ผมจะคอยจับมือคุณไว้ ไม่ต้องกลัวนะครับ”
ร่างบางพยักหน้าช้าๆก่อนจะมือของร่างสูง เท้าเล็กๆค่อยๆก้าวลงบนธารน้ำแข็งช้าๆ ขณะที่มือของใครอีกคนคอยประคองเอาไว้ไม่ปล่อย หลังจากลงมายืนที่ธารน้ำแข็งแล้ว ซีวอนก็ค่อยๆไสล์ทตัวไปด้านหน้า พร้อมกับดึงร่างบางให้ไหลตามไปด้วย
“ซ...ซีวอน มันจะไม่แตกแน่นะ”
“ไม่หรอกครับ เชื่อผมสิ”
ร่างบางมองคนข้างหน้าเล็กน้อยก่อนจะลองทำอย่างเดียวกับร่างสูง สีหน้าเริ่มมีความมั่นใจและสนุกขึ้นเรื่อยๆ มือบางค่อยๆปล่อยมือออกจากมือหนาที่คอยประคองตนเองก่อนจะไสล์ทตัวไปรอบๆ ทะเลสาบ แต่เพราะความที่กะจังหวะการสเก็ตพลาดไปนิดทำให้ร่างบางเสียการทรงตัวและเซหงายหลัง ร่างบางหลับตาปี๋รอการกระแทก แต่กลับสัมผัสได้ถึงมือหนาที่มาประคองตนเองเอาไว้ได้ทัน
ร่างบางค่อยๆลืมตาขึ้นพบใบหน้าของใครบางคนที่อยู่ใกล้จนจมูกแทบชิดกัน
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ”
“ข...ขอบใจนะ”
ร่างบางยิ้มเขินๆ ดวงตากลมเหมือนลูกแมวจ้องใบหน้าคมเข้มนั้นไม่วางตา เป็นครั้งแรกที่ร่างบางได้เห็นใบหน้าของซีวอนใกล้ๆ เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง ริมฝีปากของทั้งสองค่อยๆคืบคลานเข้าหากันจนในที่สุดริมฝีปากของทั้งสองก็ประกบกัน ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ทั้งสองคนยังคงจูบกันอยู่เช่นนั้น จนในที่สุดร่างบางก็เป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกไปเอง ไม่มีใครพูดอะไร ฮีชอลหันหน้าไปทางอื่นทันที เพื่อซ่อนแก้มแดงๆของตนเอง
“กลับกันมั้ยครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”
ฮีชอลไม่พูดอะไรนอกจากพยักหน้าเล็กน้อย มือของทั้งสองกุมกันแน่นจนกระทั่งไปถึงที่พักของร่างบาง รสจูบของซีวอนยังคงอยู่บนริมฝีปากแดงสด ในสมองของร่างบางมีแต่คำเดิมวนไปวนมา
ทำไมผมถึงไปจูบกับซีวอนได้ และ จูบแรกของผมเป็นของผู้ชาย!
.....
.......
.........
อาการปวดหัวของผมเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมกินยาแก้ปวดหัวเพื่อบรรเทาอาการปวดของผม เพื่อที่ผมจะไม่ทำให้ใครคนหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของผมต้องเป็นกังวล
“ฮีชอล มากินข้าวได้แล้วล่ะ”
“ขอบใจนะซีวอน”
หลังจากคืนนั้นที่ผมกับเขาจูบกันที่ทะเลสาบ ผมก็ชวนเขามาอยู่กับผมเพราะซีวอนไม่มีใครอยู่ด้วยและท่าทางเขาก็เต็มใจมามากๆ จนผมก็อดสงสัยไม่ได้
“วันนี้นายต้องออกไปไหนเปล่า?”
“ไม่นะ ทำไมเหรอ?”
“เปล่าหรอก จะชวนไปกินข้าวข้างนอกน่ะ ผมรู้จักร้านอาหารร้านหนึ่งอร่อยมากเลย”
“อา...ก็เอาสิ ยังไม่เคยออกไปกินข้าวข้างนอกมาก่อนเลย”
เพราะผมป่วยจนไม่อยากกินอะไรที่ไหน นอกจากที่บ้านตนเอง
“ถ้างั้น เย็นนี้นะ ผมโทรไปจองโต๊ะให้ก่อน”
เมื่อซีวอนเดินออกไปจากห้องแล้ว ผมก็รีบหยิบยาออกมาและกระดกเข้าปากทันที ผมหลับตาลงพยายามกลั้นความเจ็บปวดที่เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ฮีชอล เป็นอะไรเหรอครับ?”
ผมลืมตาขึ้นทันที เห็นใบหน้าของเขาเกือบจะชิดกับปลายจมูกของผม ผมส่ายหน้าก่อนจะยิ้มเล็กน้อยเพื่อให้เขาสบายใจ มือหนาของเขาเลื่อนมาสัมผัสที่แก้มผมอย่างอ่อนโยนจนผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากมือของเขา
“แน่ใจนะ?”
“อื้อ ฉันไม่เป็นไรหรอก”
มาช่วยฉันทำความสะอาดบ้านซะดีๆเลย
ผมรีบเปลี่ยนเรื่องโดยลากเขาไปช่วยทำงานบ้านทันที พอตกเย็น ผมกับซีวอนก็ออกไปกินข้าวกันตามที่คุยกันเอาไว้ ร้านอาหารที่ซีวอนพาไปนั้นเป็นร้านอาหารระดับ5ดาว ผมตื่นเต้นมากเพราะไม่เคยมาสถานที่แบบนี้มาก่อน ผมนั่งลงที่โต๊ะที่ซีวอนโทรมาจองไว้ก่อนจะ มองอาหารในเมนูอย่างตั้งใจ ผมเริ่มต้นสั่งอาหาร ก่อนจะหันไปมองซีวอนซึ่งเอาแต่มองผมตาไม่กระพริบ
“มองอะไร? รีบๆสั่งอาหารสิ”
“ครับผมๆ”
ผมยิ้มขำๆกับท่าทางเหมือนเด็กของเขา หลังจากนั้นไม่นานอาหารก็มากองที่โต๊ะของผม ผมจัดการกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย มีบางครั้งที่ซีวอนจะตักของชอบของผมมาให้ผม ผมยิ้มกว้างกับการกระทำนั้น หลังจากกินเสร็จเขาก็จ่ายเงินให้กับพนักงาน แต่พอผมจะลุกจากที่นั่งนั้นเขาก็เอื้อมมือมาจับผมเอาไว้
“มีอะไรเหรอซีวอน?”
ผมมองหน้าเขางง ใบหน้าของเขาดูจริงจังกว่าทุกครั้ง
“ฮีชอล ผมมีบางอย่างจะบอก”
“อะไรเหรอ?”
“ผม...ผมชอบคุณนะ ได้โปรดเป็นแฟนกับผมได้มั้ย?”
“!!!”
ผมรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ออกมาจากปากของเขามาก
“ซ...ซีวอน ต...แต่ว่าฉัน...”
“ผมรักคุณนะ แต่ว่าหากคุณรู้สึกอึดอัดหรือว่าไม่ได้รู้สึกเหมือนกับผมก็บอกมาได้ครับ ผมจะไม่เสียใจเลย”
“ม...ไม่ใช่ ค..คือฉันก็ช...ชอบนายนะ ต...แต่ว่า...”
“แต่ว่า?”
ผมก้มหน้าลงเล็กน้อย ผมรักซีวอนแต่ว่าผมไม่สามารถคบกับเขาได้ เพราะอีกไม่นานผมก็ต้องตาย ผมไม่อยากผูกมัดเขาไว้กับคนที่ใกล้ตายอย่างผม
“ฉัน...อึก...”
เมื่อผมกำลังจะอธิบาย ผมก็รู้สึกหน้ามืดกะทันหัน จนเซ มือของผมท้าวกับโต๊ะเอาไว้ อาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนหัวจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ
“ฮีชอล เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”
ผมยกมือขึ้นปิดหน้าและเริ่มไอและอาเจียนอย่างหนัก เมื่อผมเอามือออกสิ่งที่ผมเห็นก่อนจะวูบลงพร้อมกับเสียงร้องของซีวอนนั่นคือ เลือดสีแดงสดที่เปอะเต็มมือของผม
“ฮีชอล! ทำใจดีๆเอาไว้นะ ตามรถพยาบาลให้ผมหน่อย”
.
..
รถเข็นแล่นไปตามโถงทางเดินของโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว บนเตียงรถเข็น มีร่างของใครคนหนึ่งซึ่งเนื้อตัวเริ่มซีดเซียวตามโรคร้ายที่เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ข้างๆเตียงใครคนหนึ่งที่คอยดูแลผู้ป่วยคนนี้ในยามมีสติได้กุมมือเขาเอาไว้ตลอดเวลา ใครคนหนึ่งที่หัวใจแตกสลายเมื่อได้เห็นสภาพของคนที่ตนรัก
“ฮีชอล ทำใจดีๆเอาไว้นะ นายต้องไม่เป็นไร”
เตียงผู้ป่วยเข็นเข้าห้องไอซียูไปอย่างรวดเร็ว� ร่างสูงทรุดนั่งลงหน้าห้องผ่าตัดอย่างเจ็บปวดใจพร้อมกับเป็นกังวลว่าคนด้านในจะเป็นอะไรมากหรือไม่ เมื่อเห็นหมอเดินออกมาจากห้องพยาบาลร่างสูงจึงลุกขึ้นถามอาการของร่างบางที่อยู่ในห้องผ่าตัดทันที
“หมอครับ ฮีชอลเป็นอะไรเหรอ?”
“คนไข้เป็นโรคเนื้องอกในสมองครับ ตอนนี้เนื้องอกนั้นขยายใหญ่จนกดทับเส้นประสาทจนหมดแล้ว หมอเกรงว่า....”
ราวกับโรคทั้งโลกหยุดหมุน ร่างสูงทรุดลงไปนั่งที่พื้น ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว พร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหลออกมา
“ก...โกหก...ฮีชอล...ทำไมคุณไม่เคยบอกผม...”
“หมอเสียใจด้วย”
“หมอต้องช่วยเขานะ ผมขอร้อง ผมไม่อยากเสียเขาไป”
“.....”
มีเพียงความเงียบปกคลุม เสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้นเมื่อน้ำตาไม่อาจที่จะกลั้นได้อีกต่อไป ร่างสูงทรุดลงร้องไห้อย่างนัก ในใจนึกโทษตัวเองที่น่าจะรู้แต่แรกว่าร่างบางเป็นอะไร ทั้งๆที่เห็นคนที่ตนรักกินยาและกุมศีรษะของตนเองอยู่บ่อยครั้ง
“ฮีชอล...ผมขอโทษ...ผมน่าจะรู้เรื่องของคุณให้มาก...ผม...เฮือก!!”
จู่ๆร่างสูงก็กระตุกเกร็งอย่างแรง มือกุมที่หน้าอกข้างซ้ายแน่น ริมฝีปากอ้าขึ้นพยายามหายใจเอาอากาศเข้าไป แต่ยิ่งพยายามหายใจมันกลับหายใจลำบากยิ่งขึ้น ร่างสูงกระตุกเกร็งแรงๆก่อนจะนิ่งไปพร้อมกับสติสุดท้ายท่ามกลางความตกใจของเหล่าพยาบาล
‘ฮีชอล’
.
..
.
กลิ่นเหม็นอับของผ้าและกลิ่นฉุนของยาเป็นสิ่งแรกที่ผมรู้สึกก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นชาๆ ตาของผมกระพริบตาถี่เพื่อปรับภาพให้ชัดเจน ผมมองไปรอบๆห้องสีขาวซึ่งข้างๆตัวผมมีสายน้ำเกลือระโยงงรยางค์อยู่ผมมองไปรอบๆ ก่อนจะมีชายสูงวัยในชุดกาวน์เดินเข้ามาหาผม
“รู้สึกตัวแล้วเหรอ?”
“ที่นี่ที่ไหนครับ?”
“โรงพยาบาลครับ คุณสลบไปสามวันเลยนะ”
“เอ๋?”
“คุณเป็นเนื้องอกในสมอง เส้นประสาทของคุณถูกเนื้องอกกดทับจนหมด ตอนแรกผมคิดว่าคุณจะไม่รอดซะแล้ว นับว่าคุณเป็นหนึ่งในเคสหายากที่จะรอดมาได้อย่างงี้”
นี่...ผมรอดมาได้งั้นเหรอ? แล้วซีวอนล่ะ?
“ถ้าอยากได้อะไรกดปุ่นข้างเตียงเพื่อเรียกพยาบาลของเราได้นะครับ ผมขอตัวไปดูคนไข้อีกคนหนึ่งก่อน”
“หมอครับ แล้ว....หมอเจอคนตัวสูงๆ ท่าทางเหมือนคุณชายเปล่าครับ?”
�“หืม?”
“คือ คนที่ผมอยู่กับเขาก่อนจะหมดสติไปน่ะครับ”
“อ๋อ...ครับผม เขาเป็นคนโทรแจ้งมายังโรงพยาบาลนี้เองครับ”
“แล้ว...เขาอยู่ไหนแล้วล่ะครับ?”
ทันทีที่ผมถามถึงเขา หมอก็มีสีหน้าหนักใจขึ้นมาทันที มันทำให้ผมรู้สึกใจหายแปลกๆ
“ที่จริง...เขาเป็นคนไข้อีกคนในการดูแลของผมครับ”
“หมายความว่ายังไงเหรอครับ?”
“คนที่มากับคุณ ที่จริงแล้ว เขาเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบครับ ทันทีที่คุณเข้าไอซียู อาการของเขาก็กำเริบขึ้นมาทันที”
“!!!”
�
ผมรู้สึกเหมือนมีใครมาตีหัวผมอย่างแรง ผมรู้สึกชาไปทั้งตัวทันทีที่ได้ยินเรื่องจากหมอ มันทำให้ผมนึกถึงวันที่มาหาหมอ และพบซีวอนกำลังคุยอยู่กับหมอ
นายเอง...ก็ป่วยหนักขนาดนี้...แต่นายยังใช้ชีวิตเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น...ทำไมล่ะ...
�
“ขอผมไปพบเขาได้มั้ย?”
“อา...ก็ได้นะครับ แต่ว่าระวังอย่าให้สมองกระเทือนมากนะครับ”
.....
.......
........
ผมแทบจะทั้งล้มทั้งยืน เมื่อเห็นร่างที่นอนติดเครื่องช่วยหายใจอยู่บนเตียงสีขาวนั้น คือคนที่เข้ามาเติมเต็มทุกอย่างให้กับผม คนที่อยู่ข้างๆผมตอนที่ผมไม่มีใคร ผมลากขาที่ไร้เรี่ยวแรงไปที่เตียงผู้ป่วย ผมค่อยๆจับมือของเขาขึ้นมาแนบที่แก้ม ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาจากมือของเขาอบอุ่น...จนเจ็บไปทั่วทั้งหัวใจ
“ฮึก...คนบ้า...ทำไม...นายไม่บอกฉัน”
ผมเริ่มสะอื้น น้ำตาค่อยๆไหลลงมาจากตาผมช้าๆ ผมได้แต่โทษพระเจ้าที่ท่านกำลังจะพรากคนสำคัญของผมไป คนที่ผม "รัก" ที่สุด
“ทำไม...ทำไมพระเจ้าต้องทำกับผมอย่างงี้ด้วย ทำไม...ต้องเป็นเขา ทำไมไม่เอาลูกไปแทน!!”
ความอ่อนแอเริ่มกัดกินหัวใจผมช้าๆ ผมผวาเข้าไปกอดร่างของซีวอนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงแน่น ผมซุกหน้าลงกับอกของเขา ที่ๆผมมักจะใช้ซุกนอนเป็นประจำทุกคืน
“ลืมตาขึ้นมาสิ ซีวอน...ตื่นขึ้นมาฟังคำตอบจากฉันก่อน คำตอบที่นายอยากฟังมากที่สุดไง”
“.....”
“ฮรึก...ฉันไม่ได้ชอบนายหรอก....ฮรึก...แต่รักเลย ได้ยินมั้ยคนบ้า ฉันรักนายนะ”
“......”
ผมค่อยๆพยุงร่างที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงของผมขึ้น ผมเขย่งตัวขึ้นไปจูบที่ริมฝีปากของเขาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆหันหลังกลับและเข็นรถเข็นออกไปอย่างคนที่ไร้ซึ่งวิญญาณ สมองของผมคิดแต่อย่างเดียวว่าหากซีวอนต้องตายจริง ผมก็จะขอมอบหัวใจดวงนี้ให้เขา
ให้เขามีชีวิตในส่วนของผม เพราะผมจะอยู่กับเขาตลอดไป....
“ฮี...ชอล...”
“!!!”
“อย่า...เพิ่ง...”
ผมค่อยๆหันกลับไปมองช้าๆ ผมยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เมื่อพบว่าคนที่นอนไม่ได้สติอยู่เมื่อกี้กำลังหันมามองผม พร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นซึ่งมอบให้ผมเป็นประจำ ผมผวาลุกจากเก้าอี้รถเข็น วิ่งไปกอดเขาแน่น ผมเริ่มร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง เพราะคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าของเขาอีกแล้ว
“อย่า...ร้อง”
“ฮึก...คนบ้า นายมันบ้า! ทำไมไม่เคยบอกฉันเลย รู้มั้ยว่าฉันแทบหัวใจสลายตอนรู้ว่านายเป็นโรคอะไร”
ผมทุบอกเขารัว ทั้งแค้น ดีใจ โกรธ ปะปนไปหมด เพราะการกระทำของเขา
“ขอ...โทษ”
“นายนอนพักเยอะๆเถอะนะ ฉันจะไปให้หมอเข้ามาดูอาการให้”
พอผมจะลุกขึ้นอีกครั้ง จู่ๆเขาก็จับมือผมเอาไว้ ผมมองหน้าเขางงๆ ก็เห็นซีวอนขยับปากเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง ผมเลยก้มหน้าเข้าไปใกล้ๆ เพื่อฟังว่าเขาจะพูดอะไร
“รัก...”
ผมระบายยิ้มให้ ก่อนจะจูบปากของเขาเบาๆ เพื่อเป็นคำตอบว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเขาก่อนจะเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป
อาการของซีวอนดีขึ้นมาก แต่ว่าก็ต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อขยายหลอดเลือดหัวใจ หลังจากอยู่โรงพยาบาลได้สองอาทิตย์พวกผมก็ออกจากโรงพยาบาล หิมะเริ่มจะละลายแล้ว อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ผมเดินจับมือกับคนรักของผมอย่างอารมณ์ดี เราเดินไปเรื่อยๆก่อนจะผ่านสวนสาธารณะ เจ้าเก่าที่ผมกับซีวอนพบกันครั้งแรก
“เดินมาไกลแล้วนะ พักกันตรงนี้ก่อนเถอะ”
ผมพยักหน้ารับก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้นั่ง ผมเงยหน้ามองวิวทิวทัศน์ข้างหน้าอย่างคุ้นตา
“จำครั้งแรกที่เราเจอกันได้มั้ย?”
จู่ๆซีวอนก็พูดขึ้นมา ผมค่อยๆหันไปมองหน้าเขานิ่งเพื่อฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อ
“นายนั่งเหม่ออยู่คนเดียว ตอนนั้นนายสวยมากเลยเวลาอยู่ท่ามกลางหิมะ ฉันตกหลุมรักนายตั้งแต่ตอนนั้น”
หน้าของผมเริ่มร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่ออกมาจากปากของแฟนของผม
“เมื่อได้ใกล้ชิดกับนายฉันเริ่มรู้จักคำว่าการมีชีวิตอยู่เพื่อใครบางคนมากขึ้น สำหรับฉันนายเป็นคนๆนั้น คนที่ฉันอยากจะใช้ชีวิตด้วยจนกว่าจะหมดลมหายใจ”
จู่ๆ ซีวอนก็ลุกขึ้นเดินมาหยุดอยู่หน้าผม เขาจับมือของผมขึ้นก่อนจะนั่งในท่าชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง ใบหน้าของเขาดูจริงจังจนผมอดที่จะสงสัยไม่ได้ เดี๋ยวก่อนนะ...หรือว่าจะ...
“ฮีชอล แต่งงานกันนะ”
เขาพูดช้าๆ ชัดๆ ก่อนจะหยิบกล่องเล็กๆออกมาจากกระเป๋าและเปิดให้เห็นแหวนเพชรเล็กๆ ในนั้น ผมได้แต่อึ้งและรู้สึกดีใจจนพูดไม่ออก ผมค่อยๆหยิบแหวนขึ้นมาก่อนจะส่งมันให้กับซีวอน ทำเอาเขาหน้าจ๋อยไปเล็กน้อย ผมกลั้นหัวเราะกับท่าทางอย่างกับเด็กของเขาเอาไว้ก่อนจะตีหน้าขรึม
“ใส่ให้หน่อยสิ คุณสามี”
ผมก้มหน้างุดๆทั่นทีที่พูดออกไปอย่างงั้น ซักพักแหวนวงนั้นก็สวมเข้าที่นิ้วนางซ้ายของผมอย่างทะนุถนอม ซีวอนดึงผมเข้าไปกอดและจูบทิ่ริมฝีปากของผมอย่างนุ่มนวล
“ฉันรักนายนะ ฮีชอล”
“ฉันก็รักนายนะ ซีวอน”
จากตอนแรกที่ผมนั่งนับวันรอความตายผมกลับอยากให้เวลานั้นเดินช้าลงเพื่อจะได้อยู่กับเขานานๆ...สำหรับผม ซีวอนเป็นเหมือนดวงไฟเล็กๆที่ให้แสงสว่างกับผม...แสงที่มีชื่อว่า "ความหวัง"
ความคิดเห็น