คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1
บทที่ 1
ประเทศสารขัณฑ์ ปี 20xx
เล่นเป็นหนังไซไฟไปได้ มันก็ปีปัจจุบันน่ะแหละ
วันจันทร์ของเดือนที่สุดแสนจะร้อนเดือนหนึ่ง สองสัปดาห์หลังจากเปิดภาคเรียนวันแรก
นี่คือวันที่เรื่องราวทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น...เรื่องราวที่คุณอาจจะไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้จริง...
แม้กระทั่งผมที่เขียนบันทึกเล่มนี้เอง ก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องนี้จะทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้
จะขอเล่าตั้งแต่ต้นเลยแล้วกัน...
ผมชิน...หนุ่ม ม.5 สุดหล่อมาดเท่(ตั้งเอง) ขณะนั้นกำลังหลงละเมอเพ้อพกอยู่กับสาวน้อยนางหนึ่งในห้องเรียน
ผมสีเกาลัดยามถึงบ่ามัดผมส่วนหนึ่งไว้ทางขวา ดวงตาสีฟ้าอ่อนราวกับตาของชาวต่างชาติ ใบหน้ามนได้รูปดูงดงาม รอยยิ้มของเธอก็น่ารักจนดูสดใส ไม่ว่าดูจากมุมไหนเธอก็งดงามไร้ที่ติ
ผมหลงรักเธอตั้งแต่แรกพบ และเราก็รู้จักกันมานานกว่าสามปีแล้ว โดยที่เราก็ยังไม่แยกจากกันไปไหน ไม่เคยทะเลาะกันซักครั้ง แม้เราอาจจะเคยห่างเหินกันไปบ้างแต่สุดท้ายก็ต้องสบยให้รอยยิ้มอันแสนน่ารักของเธอเหมือนเดิม หญิงสาวผู้ฝันอยากจะเป็นดาราที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งใดคนนี้ช่างงดงามราวกับนางฟ้า
อา...นางฟ้าของผม โฮโนกะจัง...
ผลัวะ!!...เสียงคล้ายๆเสียงตบหัวดังลั่น รู้ตัวอีกทีระยะห่างของผมกับโฮโนกะก็ลดสั้นลงจนแทบจะจูบกันได้ โอ้ เธอช่างน่าหลงไหลอะไรเช่นนี้ ใจเต้นตึกตักไปหมดแล้ว
ริมฝีปากของเราสองคนใกล้กันแล้ว ผมหลับตาพริ้มเตรียมสัมผัสรสของจุมพิตอันแสนวิเศษของนางฟ้า
แต่ก็ถูกมารมาผจญซะก่อน
“ไอ้บ้า นี่แกยังไม่เลิกเพ้ออยู่อีกหรอวะ!” ผมหันไปหาเจ้าของเสียง ฝ่ามือของเขาอยู่บริเวณที่เคยเป็นหัวของผมพอดี
เขาเป็นชายหนุ่มท่าทางน่ากลัว คิ้วทั้งสองข้างตั้งขึ้นอย่างหาเรื่อง ตาคมกริบคล้ายสุนัขป่า ท่าทางดูเหมือนอารมณ์เสียตลอดเวลา ยิ่งบวกกับส่วนสูง 180 เซนติเมตรของเขาแล้วยิ่งทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาเข้าไปใหญ่ แต่ความจริงหมอนี่นิสัยดีมาก และมันก็เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม เดช...
“ใครว่าฝันล่ะเว้ย ก็เธอมีตัวตนอยู่จริงๆนี่ไง!” ผมพูดพลางชี้ไปยังหนังสือที่อยู่ในมือ สาวน้อยคนที่ผมรักยังคงยิ้มแย้มอยู่ในนั้นเช่นเดิม
“ในหน้าหนังสือเนี่ยนะ?” เจ้าเดชทำหน้าระอาใจ
“ก็เออสิวะ” ผมพูดพลางยิ้มอย่างเป็นสุข
ใช่ครับ นางฟ้าของผมนั้นมีตัวตนอยู่เพียงในหน้ากระดาษ เธอมีตัวตนอยู่เพียงแค่ในหนังสือเท่านั้น แต่แล้วยังไงล่ะ...ความรักไม่ได้เกี่ยวสักหน่อยว่าคนที่เรารักจะเป็นใคร อายุต่างกันแค่ไหน ฐานะต่างกันเท่าไหร่ เผ่าพันธุ์เดียวกันหรือไม่ หรือแม้แต่มาจากโลกเดียวกันหรือเปล่าก็ตาม
ขอแค่ว่าเธอคนนั้นยิ้มให้ร่าเริงให้ผมอย่างนี้ทุกๆวัน เท่านี้ผมก็พร้อมที่จะรักเธอจนหมดหัวใจแล้วล่ะ
ผมยิ้มพึงใจให้สาวน้อยหน้ากระดาษ ในขณะที่เพื่อนผมส่ายหัวอย่างระอา
“เออ...ตามใจแกก็แล้วกัน” เจ้าเพื่อนคนนี้รู้ดีว่าผมไม่มีทางเปลี่ยนใจอะไรง่ายๆอยู่แล้ว เขาถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะกางหนังสือเรียนอ่านอยู่ข้างๆกัน
ช่วงเวลายามพักกลางวันในโรงเรียนผมมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ...ก่อนที่พวกยัยตัวน่ารำคาญจะมาก่อกวนน่ะนะ
“อิ๊...ทำไมห้องสมุดกลิ่นเหม็นอย่างนี้ล่ะเธอ” ยัยตัวน่ารำคาญมาแล้ว
“นั่นสิๆ กลิ่นเหม็นอย่างกับอะไรเน่าเลย” แล้วพวกของหล่อนก็ตามมาอีกสี่คน
“กลิ่นเน่าของพวกบ้าผู้หญิงในกระดาษแน่ๆเลยแก ไม่งั้นไม่เหม็นแบบนี้หรอก” เจ้าสาวๆที่ไม่รู้จักคำว่ามารยาทพวกนี้ส่งเสียงหัวเราะไปทั่ว ไม่รู้หรือไงว่านี่มันห้องสมุดน่ะ
ผมกับเดชทำกิจกรรมของตัวเองต่อไปโดยไม่สนใจเสียงนกเสียงกาเหล่านั้น ทว่ายัยพวกนี้กลับยังส่งเสียงรบกวนไม่เลิก
“ชอบไปได้ยังไงอ่ะ ชีวิตก็ไม่มี ทำได้แค่แสดงออกตามที่คนเขากำหนดไว้เท่านั้นแหละ” ยัยอ้วนประจำกลุ่มพูด
“คนที่ไปหลงชอบนี่สมองคงเน่าไปแล้วล่ะเนอะ ดูสิ กลิ่นของหมอนี่แรงเชียว” ยัยผมสั้นอีกคนเสริมขึ้น
“สู้หนุ่มๆของพวกเราก็ไม่ได้ เตชอน หล่อที่สุดเลยล่ะ”
สาวๆพวกนี้คือเพื่อนร่วมชั้นของผมเอง พวกเธอมีสมาชิกกันอยู่ทั้งหมดห้าคน ได้แก่ยัยเอิร์นหัวโจก ยัยเมย์หน้าปลวก ยัยปลาหน้าอ้วน ย้ยน้อยสิวเขรอะ และยัยแพรสาวแว่นผมเปีย
และที่มาพูดจาเยาะเย้ยถากถางผมทั้งๆที่อยู่ในห้องสมุดนั่นก็เพราะเหตุผลเดียว เราอยู่คนละฝ่ายกันนั่นเอง
พวกเธอชื่นชอบในดาราหนุ่มหน้าพลาสติก และแต่ไหนแต่ไรมาคนที่บ้าสาวน้อยในกระดาษอย่างพวกผม ก็มักจะถูกดูถูกจากสาวๆกลุ่มนี้เสมอ นั่นทำให้ทั้งสองกลุ่มนี้ทะเลาะกันอยู่เรื่อยๆ และก่อเกิดเป็นสงครามภายในห้อง
ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะผมไม่มีทางยอมยัยพวกนี้ง่ายๆหรอก...
“นี่พวกเธอ...” ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว เจ้าพวกน่ารำคาญพลันเงียบเสียง
“ดาราที่พวกเธอชอบนะ เมื่อก่อนหน้าตาก็ไม่ได้ต่างจากพวกหน้าปลาจวดแถวนี้หรอกนะ”
สิ้นเสียงพวกสาวๆก็กริ๊ดลั่น แล้วต่างก็ร่ายคำสบถออกมาไม่หยุดหย่อน
“อย่ามาว่า เตชอนของฉันนะ” ใครว่าดาราของเธอ?
“ซิงซิงของฉันหล่อกว่านายเป็นพันเท่าย่ะ” ฉันมันหล่อธรรมชาติเฟ้ย
“หน้าอย่างนายเทียบจีวอนของฉันไม่ได้หรอก” ไม่อยากเทียบกับใครอยู่แล้วเว้ยครับ แล้วไอ้ชื่ออย่างกับเครื่องนุ่งห่มพระนั่นมันอะไร!?
“การ์ตูนพวกนี้มันดีตรงไหน จ้างให้พวกฉันก็ไม่มีทางไปยุ่งหรอกย่ะ ขยะแขยง”
“ก็เรื่องของพวกเธอสิ” ผมพูดขึ้นและเดินออกไปพร้อมกับเพื่อนสนิท ทิ้งให้ยัยพวกนั้นโดนครูดุอย่างสะใจ
ผมไม่สนใจคำสบประมาทเหยียดหยามทั้งหลายแหล่ที่เหล่าพวกนิยมแต่รูปลักษณ์ภายนอกสรรหามาด่าผมเท่าที่สมองน้อยๆเหล่านั้นจะนึกออก ในสมองของผมมีเพียงเด็กสาวหัวสีเกาลัดผู้มีความฝันและกระตือรือร้นไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดๆ ทั้งยังยิ้มแย้มได้เสมอไม่ว่าจะเจอเรื่องลำบากขนาดไหน ผิดกับยัยพวกนี้ที่วันๆเอาแต่พูดถึงแต่เรื่องหนุ่มๆพลาสติกพวกนั้นลิบลับ ยิ่งคิดแบบนี้ความน่ารักในแบบของเธอก็ยิ่งน่ารักเจิดจ้าขึ้นไปอีก
ผมไม่สนใจหรอกว่าใครจะมองสิ่งที่ผมรักยังไง มันเป็นสิทธิ์ของผมที่จะทำอะไรยังไงก็ได้ เพราะฉะนั้นแล้วต่อให้ไม่มีใครเข้าใจ ผมก็จะรักในสิ่งที่ผมรักต่อไป และใครก็ตามที่เหยียดหยามสิ่งที่ผมรัก ผมก็จะไม่มีวันยอมอ่อนข้อให้ผู้นั้นเด็ดขาด ผมเลือกที่จะรักเธอเพราะผมรักและไม่มีเหตุผลที่ผมจะยอมแพ้เพราะคำว่า”คนละโลก”ด้วย
ระหว่างนั้น ผมไม่รู้เลยว่ามีใครคนหนึ่งกลับจ้องมองผมโดยไม่ละสายตา...
เลิกเรียน ผมที่ไม่ได้สังกัดชมรมก็มุ่งตรงกลับบ้าน แสงแดดยามบ่ายสามช่างร้อนระอุจนอยากจะรีบกลับไปตากแอร์ให้ไว เด็กนักเรียนบ้าเกมหลายคนกำลังวิ่งสุดชีวิตไปจองเครื่องโปรด...บ้ารึเปล่าพวกนายน่ะ ไอ้เกมเถื่อนๆพวกนั้นมีดีตรงไหน อีกอย่างเล่นที่บ้านก็ได้ไม่เห็นต้องไปเปลืองตังเลย
เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเลิกงานผมจึงสามารถเดินทางกลับบ้านได้อย่างสบายใจ พอมาถึงชุมชนใกล้บ้านแล้วบรรยากาศยามบ่ายแก่ๆแบบนี้ช่างเงียบสงบนัก ผมสูดอากาศยามบ่ายอยู่ใต้ร่มเงาของต้นคูณที่แผ่กิ่งก้านสาขาบดบังแสงแดดอย่างแข็งขัน
ไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่...
“นี่เธอ...” ผมสะดุ้งสุดตัวที่ได้ยินเสียงโดยไม่คาดคิด เมื่อหันไปมองก็พบกับชายคนหนึ่ง
ดูจากหน้าตาเขาน่าจะอายุราวๆ 50 ไว้หนวดเครายาวแต่ดูเรียบร้อย ผมที่มีสีขาวประปรายถูกจัดแต่งทรงเป็นอย่างดี เขาแต่งกายด้วยชุดสูทเต็มยศจนนึกสงสัยว่าไม่ร้อนบ้างเหรอ
“ไม่ร้อนเท่าไหร่หรอก” เขาพูดอย่างกับอ่านใจผมออก นั่นทำให้ผมตกใจไม่น้อย
“ไม่ต้องตกใจไปหรอกพ่อหนุ่ม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน บรรยากาศของเขานั้นเหมือนกับพ่อที่มองลูกอย่างอ่อนโยน นั่นทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจได้บ้าง
“คุณลุง...มีอะไรงั้นเหรอครับ” พอถามไปแบบนั้นคุณลุงก็เงียบกริบ สายลมอ่อนๆพัดผ่านเราสองคนไป เช่นเดียวกับเวลาที่ไหลไปอย่างช้าๆ
“ฉันมาเตือนเธอน่ะ...” ในที่สุดเขาก็เอ่ยปาก
“เตือน?”
“ใช่แล้ว...” เขาพูด
“จงระวังสิ่งที่มาจากโลกอื่น ถ้าหากไม่อยากเสียใจทีหลัง...” เขาพูดจบก็ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง สายลมที่พัดอ่อนๆเมื่อครู่จู่ๆก็พัดอย่างรุนแรง เมื่อผมที่กัมหน้าหลบลงเหล่านั้นหันกลับมาอีกครั้ง ชายคนนั้นก็ไม่อยู่เสียแล้ว
ชายคนนั้นช่างน่าประหลาด จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นและจู่ๆหายไป คำพูดที่พูดออกมาก็ยิ่งไม่เข้าใจ ผมใช้ความคิดกับมันสักพักก่อนจะไล่ความคิดทั้งหมดออกไป
“ไม่มีทางหรอก...เพราะโลกนี้น่ะ โฮโนกะจะเป็นคนเดียวที่ฉันหลงรัก”
ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจความหมายของถ้อยคำของเขาแม้แต่น้อย และไม่นานนักมันก็ถูกลืมเลือน
สี่ทุ่มกว่าแล้ว...นี่คือเวลาของเด็กดีที่สมควรจะนอนได้แล้ว แต่ทว่าผมไม่ใช่เด็กแบบนั้นเพราะฉะนั้นจึงหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือการ์ตูนเล่มหนึ่ง
มันเป็นเล่มที่โฮโนกะที่ผมหลงใหลโลดแล่นอยู่ เป็นเรื่องราวของเหล่านักเรียนที่มีความฝันจะเป็นดารา และต่างก็ก้าวไปสู่ความฝันเหล่านั้นด้วยความพยายามของตัวเอง
ตอนนี้การ์ตูนเรื่องนี้มาถึงจุดสุดท้ายแล้ว การประกวดรอบชิงชนะเลิศของสาวๆทั้งเก้าคนกำลังจะเริ่มต้น ทุกๆคนต่างก็พยายามมาอย่างเต็มที่ แต่สำหรับผมแล้ว โฮโนกะนี่แหละคือคนที่โดดเด่นที่สุด และเธอก็จะเป็นผู้ชนะ
ผมเฝ้าติดตามเธอมาตลอดตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอได้โลดแล่นอยู่กระดาษ หญิงสาวผ่านเรื่องเลวร้ายมามากมายกว่าจะมายืนได้ ณ จุดนี้ เธอเป็นเหมือนพระอาทิตย์ที่คอยชี้นำทุกๆคนให้สู้อย่างไม่ยอมแพ้ เพราะฉะนั้นแล้ว เธอจะแพ้ได้อย่างไรล่ะ
ต้องขอบคุณนักเขียนท่านนี้จริงๆที่ทรงรังสรรค์ผลงานอันแสนสุดยอดนี้ให้ชื่นชม
เอาล่ะ...มาถึงฉากสำคัญแล้ว!
“เอาล่ะครับ...ต่อจากนี้ขอเชิญผู้สมัครหมายเลข 7 โฮโนกะซังครับ!!” พิธีกรเอ่ยเสียงเรียก
มาแล้ว!!...ผมรีบเปิดไปยังหน้าถัดไปทันที ทว่า...
ทั้งหน้าเป็นสีขาวทั้งหมด รวมไปถึงหน้าถัดไปและถัดไป จนไปถึงหน้าสุดท้าย กระดาษหนังสือกลับขาวสะอาดราวกับไม่เคยมีหมึกใดเคยสัมผัสมาก่อน จะบอกว่าโรงพิมพ์ผิดพลาดก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะว่าผมเคยอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วไม่น้อยกว่าสิบรอบ และตอนนั้นหนังสือไม่ได้เป็นแบบนี้...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
จังหวะที่ผมกำลังสับสนอยู่นั่นเอง จู่ๆหน้ากระดาษนั่นก็เปล่งแสงสว่างจ้าจนแสบตา ทัศนวิสัยรอบตัวกลายเป็นสีขาวโพลน แต่ไม่นานนักแสงนั้นก็ดับวูบลง
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาผมไม่อยากจะเชื่อ!
“ค่า...สวัสดีค่า ดิฉันผู้สมัครหมายเลข 7 โฮโนกะเองค่า” เธอตะโกนขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มร่าเริงอย่างเต็มที่ ลักยิ้มน้อยๆของเธอสดใสจนรู้สึกเจิดจ้า ชุดที่เธอใส่ตอนนี้ก็เข้ากับเธอได้ดีจนงดงามไร้ที่ติ
ที่สำคัญ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงของเธอ!!
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เธอคนนั้นกลับมายืนอยู่ต่อหน้าผมไม่ใช่โลกแห่งกระดาษอีกต่อไป มันคือโลกแห่งความจริง!!
ไม่รู้ทำไม แต่ปาฎิหาริย์ได้เกิดขึ้นแล้ว!!
“อะ...เอ๊ะ!” ดูท่าทางหญิงสาวเพิ่งจะรู้ตัวถึงสถานการณ์ของตัวเองเธอหันมองรอบตัวอย่างแปลกใจ
“ที่นี่...ที่ไหนกัน” เธอมองมาที่ผมด้วยความประหลาดใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลและประหลาดใจมาให้ ใบหน้านั้นช่างน่ารักเหลือเกิน
“ฉันน่าจะกำลังประกวดเวทีดาราหน้าใหม่อยู่นี่นา แล้วทำไมจู่ๆฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” เธอจ้องมองมาทางนี้ และพูดพึมพำราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังเจออยู่
น่ารัก...น่ารักชะมัดเลย ทนไม่ไหวแล้ว!!
“โฮโนกะ ผมรักคุณ!!!” แค่พูดไม่พอ ผมยังกระโจนใส่เธอราวกับสัตว์ป่าผู้หิวกระหาย
“กริ๊ด!!!”
สิบนาทีต่อจากนั้น...
ความวุ่นวายทั้งหมดก็จบลงในที่สุด ผมนั่งคุกเข่าสำนึกผิดอยู่กลางห้อง ในขณะที่โฮโนกะยืนหายใจหอบอย่างอ่อนแรงอยู่เบื้องหน้า ไม่รู้ว่าเธอใช้ไมค์ฟาดผมไปกี่ครั้งแต่ที่แน่ๆมันทำเอาปวดระบมไปทั้งตัว
“สรุปแล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ คุณชิน” เธอถามคำถามผมด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ
“เธอท่าทางจะหลุดออกมาจากหนังสือล่ะ”
“จะบ้าเหรอคะ?” เธอทำหน้าเหมือนเห็นของน่าขยะแขยง
“จะมีเรื่องแฟนตาซีแบบนั้นได้ยังไงล่ะ ตื่นจากฝันได้แล้วมั้ง” เฮ้ๆ ก็มันเกิดขึ้นจริงแล้วนี่นา แล้วเธอนี่แหละที่หลุดออกมาจากหนังสือน่ะ!
“ไม่เชื่อเธอก็ลองอ่านหนังสือเล่มนี้สิ” ผมหยิบหนังสือที่มีเธอให้เจ้าของหนังสือดู
“นี่มัน...เพื่อนๆของฉันนี่?”
“ก็บอกแล้วไงล่ะ ว่าเธอน่ะหลุดออกมาจากหนังสือจริงๆ” ผมสำทับ
“แล้ว...ฉันจะกลับไปได้ยังไงกันละเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อเลย” โฮโนกะพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ไม่รู้เหมือนกันแหะ” เมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็ก้มหน้าใช้ความจริง เธอช่างน่ารักยิ่งนักไม่ว่าจะอยู่ในอากัปกิริยาไหนๆก็ตาม ผมสีเกาลัดของเธอพลิ้วไหวเล็กน้อยตามแรงของพัดลม ไออุ่นของเธอก็เป็นของจริง
ผมเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าเธอจะมีตัวตนขึ้นมาเช่นในความฝัน เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมจึงมีความสุขที่สุดเลย
ผมอยากให้ช่วงเวลานี้อยู่ต่อไปอีกนานเท่านาน แต่โทรศัพท์ของผมดังขึ้นมาเสียก่อน เช่นเดียวกับที่โทรศัพท์ของหญิงสาวดังขึ้นเช่นกัน
เมื่อกดรับโทรศัพท์ ความตกใจก็ถาโถมเข้าสู่ผมเป้นครั้งที่สามของวัน
เสียงผู้ชายที่เจอกันใต้ต้นคูณคนนั้น
‘วิธีเดียวนายจะนำเธอกลับไปยังโลกของเธอได้ มีเพียงการทำความปรารถนาของเธอให้เป็นจริงเท่านั้น’ ชายผู้นั้นไม่แม้แต่จะกล่าวสวัสดี เขาพูดเพียงแค่นั้นก็วางสายไป ทิ้งให้ผมประหลาดใจกับคำพูดเหล่านั้น ชั่วจังหวะเดียวกับที่หญิงสาววางสายโทรศัพท์พอดีเช่นกัน
“ชิน!” “โฮโนกะ!”
เราสองคนส่งเสียงเรียกพร้อมกันซึ่งมันทำให้เราหน้าแดงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โฮโนกะโบกมือไล่ความอายเป็นพัลวัน
“มีคนโทรศัพท์มาหาฉัน เขาบอกฉันว่าเขาเป็นคนของโลกที่ฉันจากมา”
“ทางฉันก็เหมือนกัน มีคนโทรมาพูดเรื่องแปลกๆให้ฉันฟัง”
“ของเธอพูดว่าอะไรล่ะ” โฮโนกะถาม
“วิธีเดียวนายจะนำเธอกลับไปยังโลกของเธอได้ มีเพียงการทำความปรารถนาของเธอให้เป็นจริงเท่านั้น....ของเธอล่ะ”
“วิธีเดียวที่ฉันจะกลับไปยังโลกของฉันได้ มีเพียงแต่ทำให้ความปรารถนาของนายเป็นจริงเท่านั้น!”
เราสองคนมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!
Chapter 1 End
ความคิดเห็น