ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกมหายุทธ์ชิงบัลลังก์ทอง

    ลำดับตอนที่ #2 : ผู้วิเศษพิณโบราณ

    • อัปเดตล่าสุด 2 ต.ค. 48




    ผู้วิเศษพิณโบราณ





    ยามบ่าย

    เสียงฝีเท้าม้ารัวดังกึกก้อง เศษดินและฝุ่นกระจายคลุ้งตลบเส้นทางเล็กๆ สายหนึ่ง

    ชายวัยกลางคนควบขับอาชาอย่างร้อนรน ที่ด้านหลังของมันห่างไปไม่ไกลนักมีชายฉกรรจ์อีกสิบสองคนบนหลังม้ากำลังไล่ล่าโดยกระชั้นชิด



    ชายวัยกลางคนใบหน้าเปรอะเปื้อนสกปรก ตามร่างกายยังมีบาดแผลหลั่งโลหิตชโลมอยู่หลายแห่ง สีหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึง



    ส่วนพวกชายฉกรรจ์ที่ไล่ล่าอยู่ด้านหลัง ผู้ที่นำหน้าสองคนแรกสวมชุดสีทองแวววาว ที่เหลือล้วนสวมชุดสีเงิน สะพายกระบี่ที่กลางหลังครบครัน



    อาชาที่ชายวัยกลางคนขับขี่วิ่งไปได้อีกสักพัก พลันส่งเสียงร้อง จากนั้นโถมตัวสองขาหน้าทรุดลงไปกับพื้น ที่มุมปากมีน้ำลายสีขาวเป็นฟองไหลนอง เข้าใจว่ามันควบตะบึงวิ่งมาเป็นระยะทางยาวไกล จึงหมดแรงล้มลงนอนหายใจระรวย ชายวัยกลางคนก็เสียหลักกระเด็นจากหลังม้ากลิ้งไปอีกด้านหนึ่ง



    ชายฉกรรจ์ทั้งสิบสองคนรั้งบังเหียน ค่อยๆชักฝีเท้าม้าเข้าล้อมรอบชายวัยกลางคน ชายชุดทองสองคนคล้ายมีศักดิ์ศรีเหนือกว่าพวกชุดสีเงิน ยังคงอยู่นำหน้าพวกมัน



    บริเวณนั้นเป็นหนทางเปลี่ยวนอกเมือง สองฟากทางของถนนมีแต่เนินเขาและพงหญ้ารกทึบ ปราศจากบ้านเรือนและผู้คน ชายวัยกลางคนสำนึกตนว่าไม่อาจหนีรอดพ้นชะตากรรม ได้แต่นอนหลับตาหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย



    ชายฉกรรจ์ชุดทองใบหน้าแหลมเสี้ยม แสยะยิ้มกล่าวว่า

    “จิวเช็ง ดูว่าเจ้าจะหนีไปที่ใดได้อีก?”



    ชายฉกรรจ์ชุดทองเคราครึ้มอีกผู้หนึ่งตวาดว่า

    “เด็กน้อยนั้นหลบซ่อนอยู่ที่ใด? หากเจ้าบ่งบอกมา พวกเราจะไว้ชีวิตเจ้า”



    จิวเช็งร้องสวนคำด้วยโทสะ

    “บังอาจ ลบหลู่เบื้องสูง พวกเจ้า...เหล่าสุนัขรับใช้ขันทีชั่ว”



    ชายฉกรรจ์ชุดทองเคราครึ้มถลึงตา แค่นเสียงเย็นชาสั่งพรรคพวกว่า

    “เตียวฟง เจ้าเข้าไปตัดแขนมันข้างหนึ่ง ให้มันได้ลิ้มลองรสชาติความเจ็บปวดดูบ้าง”



    ชายฉกรรจ์ชุดเงินที่ด้านหลังผู้หนึ่งรับคำ กระโดดลงจากหลังม้า ชักกระบี่ออกจากฝักเดินตรงเข้าหาจิวเช็ง



    จิวเช็งทั้งบาดเจ็บทั้งอ่อนล้าไม่มีกำลังวังชาที่จะคิดต่อต้าน ซึ่งความจริงแล้วต่อให้ในยามปกติวิชาฝีมือของมันก็มิใช่คู่ต่อสู้ของพวกคนเหล่านี้แม้สักผู้เดียว



    พลันมีเสียงติงตังดังขึ้นเป็นทำนองเสนะโสต

    ที่แท้ที่ด้านหลังจิวเช็งเป็นโขดหินใหญ่ กลับมีร่างคนผู้หนึ่งกำลังนั่งบรรเลงพิณอยู่



    ชายฉกรรจ์ทั้งสิบสองคนตื่นตระหนก คนที่บรรเลงพิณผู้นี้ปรากฏตัวมาตั้งแต่เมื่อไร ไฉนพวกมันจึงไม่รู้ตัว เมื่อเพ่งตามองออกไป พบว่าร่างนั้นเป็นชายชราผมและเคราขาวโพลน ใบหน้ากลับแดงเข้มไม่มีริ้วรอยเหี่ยวย่น คาดเดาอายุไม่ถูก สีหน้าท่าทางเรียบเฉย สวมชุดยาวผ้าปอป่านสีขาวหม่น นิ้วมือที่เรียวยาวกรีดร่ายพิณที่วางอยู่เบื้องหน้าคล้ายไม่สนใจโลกภายนอก



    เสียงเพลงของชายชราสดใส ท่วงทำนองดั่งชมนกชมไม้ในป่าเขาลำเนาไพร หากมิใช่บรรยากาศแวดล้อมไปด้วยการฆ่าฟัน จะไพเราะน่าฟังยิ่งนัก



    ชายฉกรรจ์ชุดเงินนามเตียวฟงชี้กระบี่ไปที่ชายชรา ตวาดถามว่า

    “ท่านเป็นใคร?”



    ชายชรายังคงเล่นเพลงพิณต่อไป แต่ปากกล่าวว่า

    “เราเป็นนักดนตรีพเนจร แล้วพวกท่านเป็นใคร ไฉนมาทำลายบรรยากาศสุนทรีของเรา?”



    จิวเช็งกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง

    “ผู้อาวุโส พวกมันเป็นองครักษ์วังหลวงสังกัดมหาขันทีโฉด ล้วนแต่ฝีมือเหี้ยมโหดอำมหิตยิ่ง”



    ชายชราร้องอ้อ มองไปยังชายฉกรรจ์ชุดทองทั้งสอง แล้วกล่าวว่า

    “ท่านทั้งสองคงจัดอยู่ในสิบสามองครักษ์เสื้อทอง ส่วนที่เหลือเป็นเหล่าองครักษ์เสื้อเงินกระมัง?”



    ชายฉกรรจ์ชุดทองหน้าแหลมเสี้ยมตอบว่า

    “เรารั้งอยู่อันดับเก้า เรียกว่าซีเบ๊ยู่งั้ง ส่วนมันอยู่อันดับสิบเอ็ดนามเล็กง้วนฉี”



    ชายฉกรรจ์ชุดทองเคราครึ้มนามเล็กง้วนฉี ดูออกว่าชายชราผู้นี้มีความเป็นมาไม่ธรรมดา แต่มันทะนงในฝีมือของตน ไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา ทั้งยังมีพรรคพวกอีกจำนวนมาก

    “เฒ่าผู้นี้สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของราชสำนัก หรือรำคาญที่จะมีชีวิตอยู่สืบต่อไป?”



    “เราบรรเลงเพลงพิณอยู่ดีๆ เป็นพวกท่านต่างหากที่เข้ามาสอดแทรก ไฉนไม่นั่งลงให้เรียบๆร้อยๆรับฟังเพลงของเราเช่นเดียวกับท่านผู้นี้”



    เล็กง้วนฉีร้องเฮอะ กล่าวว่า

    “พวกเราไม่มีเวลาล้อเล่นกับท่าน เตียวฟง เจ้าเข้าไปจับกุมคนแซ่เจ็ง”



    เตียวฟงปราดเข้าไปหาจิวเช็ง มืออีกข้างที่ไม่ได้กุมกระบี่ของมันกางตะปบไปที่ทรวงอกของจิวเช็ง หมายคว้าจับ



    ชายชราที่กำลังบรรเลงเพลงชมนกชมไม้อยู่ พลันปาดนิ้วไปที่สายพิณ เสียงเพลงขาดหายกระทันหันเกิดเสียงหวีดหวิวคล้ายลมพายุแทน

    แลเห็นพลังสีขาวจางๆ สายหนึ่งพุ่งออกจากพิณเก่าคร่ำคร่าเบื้องหน้าชายชราตรงไปยังเตียวฟงดุจสายฟ้า!



    เตียวฟงรู้สึกเย็นวาบที่ข้อมือวูบหนึ่ง จากนั้นต้องแผดเสียงร้องอย่างโหยหวน ที่แท้มือซ้ายของมันที่กำลังจะคว้าจับจิวเช็งถูกพลังจากสายพิณตัดขาดเสมอข้อ โลหิตฉีดพุ่งนองทั่วพื้นหญ้า มันล้มลงเกลือกกลิ้งเจ็บปวดแทบสิ้นสติ



    ซีเบ๊ยู่งั้งกับพวกตื่นตระหนกคล้ายพบเห็นภูตผี ชายชราผู้นี้อยู่ห่างออกไปสิบกว่าวากลับใช้ลมปราณแทรกเข้าไปในเส้นเอ็นสายพิณรีดเร้นพลังดีดทำร้ายองครักษ์เสื้อเงินผู้หนึ่งได้อย่างง่ายดาย



    เหล่าองครักษ์แห่งวังหลวงพากันชักกระบี่ออกจากฝัก ทราบว่าวันนี้เผชิญกับสุดยอดฝีมือผู้หนึ่งเข้าแล้ว



    ชายชรากลับมาดีดพิณในท่วงทำนองเดิม ใบหน้ายังคงเรียบเฉย ปากกล่าวว่า

    “พวกท่านเมื่อไม่ยอมรับฟังบทเพลงของเราก็กลับไปเถอะ เราจะบรรเลงให้สหายแซ่จิวท่านนี้ฟังเพียงผู้เดียว”



    ซีเบ๊ยู่งั้งร้องเสียงสั่นสะท้าน

    “ท่าน...ท่านเป็นใคร กล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับราชสำนัก”



    ชายชราสาดประกายตาดุจสายฟ้า

    “ไม่ต้องยกราชสำนักมาข่มขู่ เราผู้เฒ่าหาแยแสสนใจไม่”



    ซีเบ๊ยู่งั้งระงับความตื่นเต้น  ขบกรามตวาดเสียงเกรี้ยวกราด

    “เฒ่าบัดซบรนหาที่ตาย...รับกระบี่!”

    มันทะยานตัวลอยออกจากหลังม้า พุ่งโฉบเข้าหาชายชราดุจวิหคยักษ์ ความสูงส่งของวิชาตัวเบาต้องนับอยู่ในระดับแถวหน้า เพียงขยับร่างคราเดียวโดยไม่ต้องสัมผัสพื้นก็บรรลุถึงตัวฝ่ายตรงข้าม กระบี่ทองในมือจี้ปราดเข้าใส่ชายชราอย่างสุดกำลัง เจตนาปลิดชีวิตศัตรูในกระบี่เดียว



    ชายชรายิ้มที่มุมปาก เห็นมันประกบนิ้วกลางเข้ากับนิ้วโป้งดีดสะบัดไปที่สายพิณด้วยท่าทีปลอดโปร่ง



    เสียงกรีดแหลมดังสั่นสะท้าน คลื่นพลังสีขาวทะลักออกจากสายพิณ คราวนี้ม้วนฉวัดเฉวียนเข้าหาซีเบ๊ยู่งั้งดั่งอสรพิษร้าย



    ซีเบ๊ยู่งั้งแม้ระมัดระวังตัวอยู่แล้วแต่ยังต้องใจหายวูบ มันทราบดีว่าชายชราผู้นี้มีกำลังภายในล้ำลึกแต่คาดไม่ถึงว่าชายชราจะบังคับพลังเสียงพิณม้วนวนได้ อย่างไรก็ตามมันไม่เสียทีที่เป็นยอดฝีมือเสื้อทองแห่งวังหลวง รีบชักกระบี่วกกลับเข้าปกป้องลำตัวอย่างรวดเร็ว



    เสียงดังเหง่งหง่างกังวาน พลังเสียงพิณพลันปะทะเข้ากับกระบี่ทอง



    มือที่กุมกระบี่ของซีเบ๊ยู่งั้งสะท้านสะเทือนจนกระบี่แทบพลัดหลุด ที่ง่ามมือมีโลหิตไหลซึม  แม้ใช้กระบี่ป้องพลังลมปราณของชายชราไว้ได้ แต่ตัวของมันโดนพลังกระแทกจนปลิวกระเด็นกลับไปที่เดิม นอกจากนี้พลังเสียงพิณม้วนวนยังแฉลบกรีดเข้าที่ไหล่ซ้ายของมันเป็นแผลลึก



    ชายชรารั้งมือกลับ วางลงบนสายพิณ

    “นับว่าไม่เลว ทอดตาทั่วแผ่นดินจะมีสักกี่คนที่สามารถต้านรับพลังพิณอัสนีทลายสวรรค์ของเราผู้แซ่ฟงได้”



    ซีเบ๊ยู่งั้งที่บาดเจ็บกับเล็กง้วนฉีพลันนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้ โพล่งร้องออกมาพร้อมกัน

    ท่านคือผู้วิเศษพิณโบราณ ฟงฉางอิ้ว!



    “นึกไม่ถึงว่าคนรุ่นใหม่ยังจดจำชื่อแซ่ของเราผู้เฒ่าได้”



    ผู้วิเศษพิณโบราณเป็นสุดยอดฝีมือที่ถูกจัดอยู่ในทำเนียบยอดคนแห่งยุค พลังพิณอัสนีทลายสวรรค์ที่บังคับลมปราณแทรกเข้ากับสายพิณทั้งแกร่งกร้าวทั้งแหลมคมไร้ผู้ต่อต้าน เพียงแต่เมื่อยี่สิบปีก่อนมันหายสาบสูญไปจากยุทธจักร วันนี้กลับพลันปรากฏตัว ณ ที่นี้อย่างกะทันหัน



    ซีเบ๊ยู่งั้งข่มจิตใจให้เป็นปกติ กล่าวว่า

    “ท่านมิได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกมาหลายสิบปี วันนี้กลับปรากฏตัวเข้าสอดแทรกเรื่องของพวกเรา มิทราบมีเจตนาใด?”



    “เราต้องการให้พวกเจ้ากลับไปวังหลวง อยู่ปรนนิบัติรับใช้เว่ยล้อให้ดีเถอะ”



    ซีเบ๊ยู่งั้งกับพวกทราบว่าผู้วิเศษพิณโบราณออกหน้าปกป้องจิวเช็ง คนผู้นี้มีพลังฝีมือลึกล้ำเป็นที่น่าเกรงขาม สำนึกดีว่าเมื่อสักครู่ชายชราปล่อยพลังเสียงพิณเพียงเส้นสายเดียว หากแม้นฝ่ายตรงข้ามจู่โจมตามมาอีกหนึ่งกระบวนท่า ตอนนี้มันคงต้องจบชีวิตลงไปแล้ว แม้พวกมันทั้งหมดเข้ากรุ้มรุมจู่โจมก็ยังไม่มีความมั่นใจว่าจะได้ชัย แต่จิวเช็งเป็นบุคคลสำคัญที่พวกมันได้รับคำสั่งให้จับกุม จึงได้แต่ยืนลังเลไม่ทราบจะทำประการใด



    เล้กง้วนฉีกล่าวเสียงกร้าวว่า

    “คนแซ่จิวผู้นี้เป็นนักโทษของทางการ หากท่านเรียกให้พวกเรากลับไปมือเปล่า คงต้องให้ท่านร่วมทางไปว่ากล่าวชี้แจงกับท่านมหาขันทีด้วยตนเองแล้ว”



    “เฮอะ ฟังว่าเว่ยล้อสำเร็จวิชาระฆังทองคุ้มครองร่าง ไม่เกรงกลัวดาบกระบี่ หลายปีที่ผ่านมานี้ถูกมือดีลอบสังหารหลายครั้งยังไม่ระคายผิวกายมันแม้แต่น้อย เราผู้เฒ่าก็ใคร่คิดทดสอบว่าพลังเสียงพิณของเราสามารถตัดศีรษะมันได้หรือไม่”



    “ท่านกล้าประกาศตนเป็นศัตรูกับท่านมหาขันทีโดยเปิดเผย ชั่วชีวิตไม่มีวันสงบสุขแน่”



    “ฮา... ฮา... เราเก็บตัวผ่านวันเวลาที่เงียบเหงามาถึงยี่สิบปี นับว่าเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง หากได้ขันทีแซ่เว่ยเป็นเพื่อนเล่นในวัยชรา คงสนุกสนานเบิกบานใจนัก”

    หยุดเล็กน้อยเน้นเสียงว่า

    “พวกเจ้ากลับไปบอกต่อเว่ยล้อว่า เราฟงฉางอิ้วหากมีเวลาว่างจะไปเยี่ยมเยียนถามสารทุกข์สุขดิบมันสักครา”



    ซีเบ๊ยู่งั้งขบกราม ดวงตาทอแววอาฆาต กล่าวว่า

    “ประเสริฐ วันนี้เห็นแก่หน้าท่านผู้เฒ่าแซ่ฟง พวกเราจะละเว้นคนแซ่จิวไว้ชั่วคราว แต่บางทีไม่ต้องรอให้ท่านมีเวลาว่าง พวกเราพี่น้องสิบสามองครักษ์เสื้อทองจะกลับมาทวงบัญชีหนี้จากท่านเอง”



    ผู้วิเศษพิณโบราณไม่ว่ากล่าวกระไรอีก ซีเบ๊ยู่งั้งสบสายตากับเล็กง้วนฉี เห็นเล็กง้วนฉีผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงให้ถอนกำลัง องครักษ์เสื้อเงินสามสี่คนเข้ามาช่วยเหลือเตียวฟงห้ามโลหิตที่มือซ้าย แล้วพยุงขึ้นหลังม้า ซีเบ๊ยู่งั้งก็ฝืนอาการบาดเจ็บกระโดดขึ้นม้าตาม โบกมือให้พรรคพวกล่าถอย เพียงชั่วครู่ทั้งคนทั้งม้าก็หายลับไปจากสายตา



    จิวเช็งตะเกียดตะกายขึ้นมาคุกเข่าคำนับชายชรา

    “ท่านผู้อาวุโสยื่นมือเข้าช่วยด้วยคุณธรรม บุณคุณครั้งนี้จิวเช็งขอจดจำไปจนวันตาย”



    ผู้วิเศษพิณโบราณโบกมือให้ลุกขึ้น

    “เจ้าไม่เป็นไรกระมัง?”



    “ผู้น้อยยังพอทานทนได้”



    “เจ้าก็เป็นคนในวังหลวง?”



    จิวเช็งรับคำอ้อมแอ้มไม่เต็มปาก



    “หากคาดเดาไม่ผิด เจ้ายังถึงกับเป็นคนสนิทของฮ่องเต้”



    จิวเช็งสะท้านเฮือก

    “ท่าน...ผู้อาวุโส...”



    “เราได้รับข่าวลับว่าฮ่องเต้หายสาบสูญไปจากวังหลวงเมื่อครึ่งเดือนก่อน ที่แท้เป็นเรื่องราวใด?”



    คราวนี้จิวเช็งยิ่งตระหนกกว่าเดิม

    “ท่านทราบได้อย่างไร?”



    ผู้วิเศษพิณโบราณแหงนมองท้องฟ้า ถอนใจกล่าวว่า

    “เราถอนตัวจากยุทธจักรถึงยี่สิบปี ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวใดๆในโลกอีก โอ...สุดท้ายถูกหลวงจีนเลี่ยวคง เจ้าอาวาสวัดเสี่ยวลิ้มยี่ทั้งอ้อนวอนทั้งขู่เข็ญ ฉุดลากเราให้ออกหน้าปกป้องฮ่องเต้น้อย หลวงจีนเฒ่ายกอ้างเรื่องความสงบสุขของอาณาประชาราษฎร์... มารดามันเถอะ มันไม่ยอมลงมือเองกลับยกภาระหนักอึ้งนี้ให้กับเรา”



    จิวเช็งตาเป็นประกาย

    “เลี่ยวคงไต้ซือให้การช่วยเหลือฮ่องเต้ นับเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง”



    “สายภายในวังหลวงของเสี่ยวลิ้มยี่รายงานว่า ฮ่องเต้ไม่ได้ออกว่าราชการเป็นเวลาติดต่อกันหลายวัน ทางฝ่ายมหาขันทีอ้างว่าฮ่องเต้ทรงพระประชวร แต่เหล่าองครักษ์สังกัดวังหลวงมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ บรรดานางสนมกำนัลต่างไม่มีผู้ใดพบเห็นฮ่องเต้ สายลอบเข้าไปตรวจสอบพระกระยาหาร ข้าวของเครื่องทรงก็ไม่พบร่องรอยการเสวยหรือใช้สอย จึงคาดเดาว่าฮ่องเต้หายตัวไปจากวังหลวงโดยที่ฝ่ายเว่ยล้อไม่ทราบเรื่อง พวกมันจึงระดมกำลังติดตามตัวฮ่องเต้กลับคืน”



    จิวเช็งลังเลเล็กน้อยจึงผงกศีรษะยอมรับ

    “เป็นผู้น้อยนำพาฮ่องเต้หลบหนีออกจากวังหลวงเอง”



    “ไฉนจึงต้องหลบหนีออกมา?”



    จิวเช็งทอดถอนใจ กล่าวอย่างท้อแท้ว่า

    “ฮ่องเต้ทรงถูกขันทีโฉดบังคับคุกคามหนักขึ้นทุกวัน แต่ไม่อาจทำอย่างไรกับมันได้ ไทเฮาก็ตกอยู่ในความควบคุมขององครักษ์สังกัดขันทีโฉด บางครั้งถึงกับขู่เข็ญให้พระองค์ออกพระราชโองการลิดรอนอำนาจขุนนางตงฉินที่เป็นปรปักษ์กับมัน บางคนโชคดีเพียงแค่ถูกปลดจากตำแหน่ง ที่โชคร้ายถูกประหารชีวิต ขันทีโฉดแอบอ้างว่าขุนนางเหล่านั้นคิดก่อการกบฏ ฮ่องเต้ทรงคับแค้นพระทัยยิ่งนัก สุดท้ายไม่ยอมเป็นหุ่นเชิดให้กับมันอีกต่อไป รับสั่งให้ผู้น้อยหาหนทางหลบหนีออกจากวังหลวง”



    “ฮ่องเต้น้อยคิดเสด็จไปที่ใด?”



    “พระองค์มีแผนเดินทางไปยังภาคเหนือสมทบกับแม่ทัพใหญ่ไช่เหวินปู้ที่เมืองซีเอี้ยน ทรงดำริว่าแม่ทัพไช่จงรักภักดี ทั้งเก่งกาจสามารถด้านการรบ คิดอาศัยกองทัพของแม่ทัพไช่หวนกลับสู่เมืองหลวงยึดอำนาจคืนจากขันทีโฉด”



    ผู้วิเศษพิณโบราณสั่นศีรษะ

    “เหลวไหล หากไช่เหวินปู้ยกทัพกลับ เมืองหน้าด่านต้องถูกพวกมงโกลตีแตกเป็นแน่แท้”

    หยุดเล็กน้อยเปลี่ยนเป็นถามว่า

    “เหตุใดไม่ทรงร่วมมือกับอัครเสนาบดีแซ่กังกำจัดเว่ยล้อ?”



    “กำลังฝ่ายอัครเสนาบดีแซ่กังนับเป็นตัวถ่วงดุลกับมหาขันทีโฉด หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกกำจัดออกไป อีกฝ่ายจะกลายเป็นผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จทันที   ความจริงอัครเสนาบดีก็มีความคิดจะโค่นล้มเว่ยล้ออยู่นานแล้ว เพียงแต่...ท่านอัครเสนาบดีชรามากแล้ว ไม่มีกำลังวังชาบริหารงานแผ่นดินเช่นแต่ก่อน ผู้ที่เข้ามารับช่วงอำนาจคือบุตรชายคนโต กังเจี่ยะเฮาะ คนผู้นี้นิสัยทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง ฮ่องเต้เกรงว่าหากแม้นฝ่ายอัครเสนาบดีกำจัดเว่ยล้อได้จริง กังเจี่ยะเฮาะจะพลอยถือโอกาสกำจัดพระองค์ไปด้วย แล้วตั้งตนเป็นฮ่องเต้แทน พระองค์จึงไม่วางพระทัยที่จะร่วมมือกับฝ่ายอัครเสนาบดี”



    “ท่านไฉนแยกทางกับฮ่องเต้?”



    “ผู้น้อยกับฮ่องเต้หลบหนีจากวังหลวงมาได้สามวัน ก็เผชิญกับการไล่ล่าของเหลาองครักษ์เสื้อเงินเสื้อทอง จวนเจียนจะถูกจับได้หลายครั้ง สุดท้ายผู้น้อยวางแผนเบนความสนใจของพวกมัน แยกทางกับฮ่องเต้ที่เมืองเหลยอาน จงใจเปิดเผยร่องรอยหลอกล่อให้พวกองครักษ์ติดตามมา ส่วนฮ่องเต้เดินทางอ้อมไปทางเมืองฉงกวนแล้วค่อยวกกลับขึ้นเหนืออีกครั้ง ตกลงกันว่าหากผู้น้อยรอดตายค่อยพบกันที่เมืองหู่โจว”



    “อันตรายนัก ฮ่องเต้อายุยังน้อยมีความคิดวู่วาม แต่เจ้า...เจ้ากลับสนับสนุนฮ่องเต้ออกมาเสี่ยงภัยเช่นนี้ นับว่าเหลวไหลยิ่ง”



    จิวเช็งก้มศีรษะยอมรับผิด

    “ฮ่องเต้ยืนกรานหลบหนีออกจากวังหลวง ข้าพเจ้าทัดทานอย่างไรก็ไม่ทรงรับฟัง สุดท้ายเกรงว่าหากนิ่งเฉย พระองค์จะแอบเสด็จออกมาเพียงพระองค์เดียว จึงได้แต่ร่วมมือกับพระองค์”



    “หากฮ่องเต้ถูกเหล่าองครักษ์พบเห็น อย่างไรเสียก็ยังไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต พวกมันเพียงต้องการจับตัวพระองค์กลับไปเป็นหุ่นเชิดในวังตามเดิม เว่ยล้อไม่มีปัญญายกตนขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดิน ได้แต่อาศัยฮ่องเต้เป็นตัวแทนคงอำนาจของตนไว้ แต่ที่น่าวิตกคือ หากข่าวฮ่องเต้หลบหนีจากวังแพร่ออกไป พวกห้าสำนักมาตรฐานคงต้องระดมกำลังไล่ล่าฮ่องเต้อีกทางหนึ่ง พวกนี้อาจดำเนินการหุนหันปลงพระชนม์พระองค์ เพื่อเปิดโอกาสให้เซี่ยเซินอ๋องนั่งบัลลังก์มังกรแทน”



    จิวเช็งรับฟังจนตระหนกหน้าซีดเผือด เซี่ยเซินอ๋องมีศักดิ์เป็นอาของฮ่องเต้ มันพอจะทราบว่าท่านอ๋องผู้นี้ผูกไมตรีคบหากับเจ้าสำนักคุนลุ้น คงท้ง ฮั่วซัว เตียมชัง และง้อไบ๊ มีกำลังหนุนที่เข้มแข็งจากชาวยุทธจักร พร้อมจะแย่งชิงอำนาจขึ้นมาเป็นฮ่องเต้แทนได้ทุกเมื่อ



    ผู้วิเศษพิณโบราณทอดถอนใจ แล้วกล่าวสืบต่อ

    “เสี่ยวลิ้มยี่มีมุมมองที่แตกต่างจากห้าสำนักมาตรฐาน หลวงจีนเฒ่าเลี่ยวคงเห็นว่าจงไท่ฮ่องเต้สืบราชบัลลังก์จากฮ่องเต้องค์ก่อนผู้เป็นพระบิดา จึงมีความชอบธรรมที่จะปกครองแผ่นดิน ฮ่องเต้เพียงแต่ยังเยาว์วัยถูกขันทีโฉดครอบงำ ไม่เป็นตัวของตัวเอง หามีความผิดอย่างใดไม่ ห้าสำนักมาตรฐานคิดกำจัดเว่ยล้อนั่นเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว แต่จะยกแผ่นดินให้เซี่ยเซินอ๋อง เสี่ยวลิ้มยี่ไม่เห็นด้วย...เรื่องนี้หลวงจีนเลี่ยวคงยังไม่กล้าแตกหักกับห้าสำนักใหญ่ จึงวานให้เราผู้เฒ่าออกหน้าเสื่อแทน”



    “โอ...ยามนี้ฮ่องเต้ทรงโดดเดี่ยวลำพังเพียงพระองค์เดียว ไม่ทราบผู้น้อยสมควรทำประการใด?”



    “เจ้าเดินทางไปพักรักษาตัวที่วัดโพ่วเง้ยยี่ นอกเมืองตังโป่ว ห่างจากนี่ไปทางทิศตะวันออกประมาณห้าสิบลี้ วัดโพ่วเง้ยยี่เป็นสาขาของเสี่ยวลิ้วยี่ จะให้ความคุ้มครองอารักษ์ขาเจ้าปลอดภัยจากการไล่ล่าของเหล่าองครักษ์ ส่วนเราจะไปรับตัวฮ่องเต้ที่เมืองหู่โจวเอง”



    “หากพบตัวฮ่องเต้ ท่านผู้เฒ่าจะดำเนินการใดต่อ?”



    “มีอยู่สามทาง หนึ่งคือส่งกลับวังหลวง สองพาไปหลบซ่อนที่เสี่ยวลิ้มยี่ ประการสุดท้ายคุ้มครองเดินทางไปให้ถึงที่มั่นของแม่ทัพไช่เหวินปู้ เรื่องนี้ต้องให้เลี่ยวคงเป็นผู้ตัดสินใจ”



    จิวเช็งกัดฟัน ก้มลงกราบกรานชายชรา

    “ภาระคุ้มครองฮ่องเต้ ผู้น้อยต้องขอฝากฝังแก่ท่านผู้เฒ่าแล้ว”



    “เจ้านับเป็นบ่าวไพร่ที่ซื่อสัตย์ เอาเถอะ...เรารับปากหลวงจีนเฒ่าแล้ว ย่อมต้องทุ่มเทกำลังเต็มความสามารถ เจ้าไปรักษาตัวให้ดี หากมีความเคลื่อนไหวใด เราจะส่งคนไปแจ้ง”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×