ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (EXO-KAISOO) Anterograde Tomorrow. -ฟิคแปล-

    ลำดับตอนที่ #2 : - Part I : Lost and Stuck -

    • อัปเดตล่าสุด 3 ม.ค. 57


    PART I : LOST AND STUCK


     



    คยองซูมีสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่เขาเอาไว้บันทึกเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับผู้คนที่เขารู้จักพร้อมกับแนบรูปใบเล็กๆเอาไว้...




    จื่อเทา เพื่อนรวมงานที่บาร์ (6/6/2010)




    อี้ฝาน ลูกค้าประจำที่บาร์ (19/12/2009)




    แบคฮยอน ขาดการติดต่อ (6/7/2008)




    เหมือนสมุดเล่มนี้เป็นตัวแทนความทรงจำทั้งหมดของโดคยองซู... เป็นสิ่งเดียวที่คยองซูเอาไว้ยึดเหนี่ยว




    เมื่อเปิดไปถึงหน้าท้ายๆ เขาก็เจอกับรูปของร่างสูงคนหนึ่งกำลังยืนพิงกำแพง ใบหน้าแหงนมองขึ้นฟ้า นิ้วเรียวทั้งสองคีบบุหรี่เอาไว้เฉยๆ... คยองซูไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกได้ถึงอารมณ์หมองหม่นของคนในรูป ควันบุหรี่ที่ลอยละล่องออกมาจากริมฝีปากท่ามกลางหยาดฝนที่โปรยปรายให้ความรูสึกว้าเหว่และเหน็บหนาว เขารูสึกได้ว่า...ผู้ชายในรูปเป็นคนที่โดดเดียวที่สุดในโลก




    พอเลื่อนสายตาไปถึงคำอธิบายใต้ภาพกลับมีเพียงสองคำสั้นๆ... เพื่อนบ้าน, สูบบุหรี่




    --




    หนังสือพิมพ์วันนี้พิมพ์ไว้เด่นหราว่าวันนี้คือวันที่ 12 มิถุนายน 2012 แต่ในความทรงจำของคยองซู เมื่อวานคือวันที่ 24 พฤษจิกายน 2008 เท่านั้น หนำซ้ำรูปที่พาดหัวข่าววันนี้ยังเป็นรูปของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังสวมใส่เสื้อของเขา เสื้อโปโรโร่ตัวโปรดที่เขาเย็บเองกับมือไปอยู่บนตัวคนๆนั้นได้อย่างไร?




    เมื่อกวาดสายตาอ่านเนื้อข่าวคร่าวๆก็จับใจความได้ว่า “นักเขียนนวนิยายชื่อดัง คิมจงอิน ถูกเรียกตัวไปสอบสวนที่โรงพักหลังจากก่อจลาจลขึ้นใจกลางกรุงโซล คิมจงอินให้การว่าเขาเป็นตัวการในการทำฝนเงินหรือเขานั่นเองที่เป็นคนโปรยเงินจำนวนมากลงมาจากคอนโดสุดหรูชั้น 33 ก่อให้เกิดการจราจรติดขัดเนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ต่างก็วิ่งกรูกันเข้ามาเก็บเงินที่ปลิวว่อนลงมาจากตึกสูง”




    “นายว่าเสื้อฉันไปอยู่ที่นักเขียนนั่นได้ไงอ่ะมินซอก?” คยองซูถามก่อนจะจ้องไปที่รูปบนหน้าหนังสือพิมพ์อีกครั้ง จึงไม่ได้สังเกตสักนิดว่ามินซอกกำลังมองผ่านร่างของคยองซูไปยังโต๊ะมุมในสุดของบาร์ โต๊ะที่มีร่างสูงคุ้นตานั่งไขว่ห้างอยู่ในชุดสูทราคาแพง ในมือถือแก้ววิสกี้ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม...




    --




    ในความคิดของคยองซู, พวกเขาเจอกันครั้งแรกในลิฟต์ของอพาร์ทเม้นที่คยองซูอาศัยอยู่ วันนั้นเป็นเช้ามืดของวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน...เช้ามากเสียจนคยองซูไม่คิดว่าจะมีใครตื่น เขาเพิ่งกลับมาจากการทำงานที่บาร์ยามค่ำคืน กลิ่นบุหรี่และเหล้ายังคงติดตัวมาจางๆ




    ภายในลิฟต์เงียบสงัด...ร่างสูงที่คีบบุหรี่อยู่ในปากเป็นฝ่ายหันมามองเขาก่อนด้วยสายตาหลากหลายอารมณ์ แสงไฟสลัวสีส้มภายในลิฟต์ทำให้คยองซูเห็นใต้ตาดำคล้ำและใบหน้าอิดโรยของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน เขาสงสัยจังว่าทำไมคนตรงหน้าเขาถึงได้ดูเหนื่อยขนาดนั้น?




    “ร้อน..วันนี้อากาศร้อนเนอะ” ชายหนุ่มแปลกหน้าเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศน่าอึดอัด มือเรียวถูกหยิบยื่นมาให้คยองซูจับเพื่อทำความรู้จัก




    “เอ่อ..” ถึงแม้จะลังเลเล็กน้อยแต่คยองซูก็ตอบรับมารยาทของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ทันทีที่สองมือสัมผัสกัน...เขาก็รู้สึกถึงมือเย็นเฉียบ สัมผัสที่ทำให้คยองซูรู้สึกหนาวอย่างไม่รู้สาเหตุ ไหนจะยังสายตาที่จ้องมองมาอย่างไม่ลดละนั่นอีก




    คยองซูยอมรับ...ว่าเขากำลังรู้สึกอึดอัดมากๆ




    “ใช่..วันนี้อากาศร้อนแฮะ” คยองซูเอ่ยตอบไปด้วยความประหม่า




    ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไรกลับมา เพียงแค่ไล่สายตามองร่างของคยองซูตั้งแต่หัวจรดเท้าเท่านั้น...สายตาแผดเผาของร่างสูงทำให้คยองซูอยากจะมุดตัวเข้าไปแอบในเสื้อกันหนาวที่ตนสวมใส่ทั้งที่รู้ว่ามันคงช่วยอะไรไม่ได้มาก




    วินาทีที่น่าอึดอัดดำเนินไปอย่างเชื่องช้าจนคยองซูถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก แต่ทันทีที่คยองซูก้าวเท้าออกมาจากลิฟต์และกำลังเดินไปที่ห้องตัวเองนั้น เขาก็สังเกตว่าชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นกำลังเดินตามเขามา บางทีเขาอาจจะเคยรู้จักคนๆนี้เพียงแต่เขา...จำไม่ได้




    “ผมเคยรู้จักคุณหรือเปล่าครับ?” คยองซูตัดสินใจหมุนตัวกลับมาถามให้รู้เรื่อง




    ชายหนุ่มหยุดลงที่ประตูห้องข้างๆ นิ้วชี้ควงกุญแจไปมาดังกรุ้งกริ้ง...ร่างสูงอยู่ในชุดสูทหรูหราราคาแพงและร้องเท้าหนังเงาวับ ซึ่งมันไม่เหมาะสมกับอพาร์ทเม้นโทรมๆแห่งนี้เอาซะเลย




    “แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ?” ร่างสูงถามก่อนจะยกยิ้มมุมปาก




    คยองซูขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเช้าตอนที่เขาเปิดสมุดบันทึกของเขาอ่านดู...ไม่เห็นมีคนๆนี้อยู่ในสมุด หรือเขาอาจจะอ่านข้ามไป? คิดได้ดังนั้นมือเล็กก็เอื้อมเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบสมุดบันทึกออกมาเช็คอีกครั้ง แต่เสียงหัวเราะขื่นๆก็ดังขึ้นมาซะก่อน




    “แสดงว่าเรื่องที่คุณความจำเสื่อมเป็นเรื่องจริงสินะ”




    “อะไรนะ?”




    “น่าสนใจดี...สิ่งสุดท้ายที่คุณจำได้คืออะไรเหรอ?” ชายหนุ่มถามขึ้นอีกครั้งก่อนจะยืนพิงประตูห้องมองคยองซูที่กำลังพยายามไขกุญแจเข้าห้องตัวเองอย่างขบขัน




    คยองซูทบทวนคำถามที่ร่างสูงเอ่ยปากถาม แต่พอเงยหน้าจะตอบ...ชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นก็หายไปซะแล้ว




    --




    ในความคิดของคยองซู, พวกเขาเจอกันครั้งแรก “อีกครั้ง” ตรงบันไดหนีไฟของอพาร์ทเม้น...วันนั้นเป็นเช้าวันจันทร์ของฤดูร้อน คยองซูรีบลงบันไดอย่างเร่งรีบเพื่อไปทำงานที่โรงงานให้ทันเวลาในขณะที่ร่างสูงของใครบางคนกำลังเดินสวนขึ้นมา ในปากคีบบุหรี่ที่ยังไม่ได้จุด




    หัวไหล่ของทั้งสองสัมผัสกันเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจแต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้คยองซูหยุดชะงัก ร่างสูงกลับไม่สนใจคยองซูเลยแม้แต่น้อย ขาทั้งสองข้างยังคงก้าวขึ้นบันไดอย่างเชื่องช้า เสียงหอบหนักๆดังก้องภายในความเงียบ ใบหน้าคมของชายหนุ่มมีเหงื่อเกาะพราวอยู่ทั่วทั้งใบหน้า คยองซูมองขาที่สั่นน้อยๆราวกับว่ามันจะหักออกเป็นสองท่อนแล้วก็ใจหาย แผ่นหลังกว้างค่อมลงราวกับว่าเจ้าของมันกำลังแบกโลกไว้ทั้งใบ




    คยองซูอยากจะยกกล้องขึ้นถ่ายแผ่นหลังของคนๆนี้ไว้และเอามาแปะลงในสมุดบันทึกของตนเหลือเกิน แต่เขาไม่รู้จะเขียนคำอธิบายใต้รูปว่าอย่างไร ในเมื่อเขาไม่รู้จักกับคนๆนี้เสียหน่อย

     




    สำหรับคยองซู, ฤดูร้อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว...ทุกๆวันคือการตื่นไปทำงานที่โรงงานของเล่น ตกเย็นก็ไปทำงานเป็นนักร้องที่บาร์แห่งหนึ่ง สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปในฤดูร้อนของคยองซูคือสมุดบันทึกที่ตัวอักษรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ




    อี้ฝาน กับ จื่อเทา เป็นแฟนกันแล้ว




    มินซอกแต่งเพลงใหม่สำเร็จ




    มีคนแปลกหน้าย้ายเข้ามาอยู่ห้องข้างๆ...แต่จำไม่ได้ว่าเคยคุยกันไหม




    --




    พวกเขาเจอกันครั้งแรกเป็น “ครั้งสุดท้าย” ในวันหนึ่งที่คยองซูเปิดประตูห้องและพบเจอกับดวงตาคมของคนที่คยองซูไม่คุ้นหน้า




    “สวัสดี” เจ้าของสายตาคมเอ่ยขึ้นทั้งๆที่ยังคาบบุหรี่อยู่ในปาก




    “...”




    “ฉันชื่อจงอิน เป็นนักเขียน...เพิ่งย้ายเข้ามาห้องข้างๆเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เราเคยคุยกันสองครั้ง




    “อ่า...ขอโทษที พอดีผมความจำเสื่อมระยะสั้น เพราะฉะนั้น“ คยองซูเอ่ยขัดขึ้น




    “นายจำฉันไม่ได้ ฉันเข้าใจ...นายจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้หลังจากหมดวัน เพราะอย่างนั้น...พรุ่งนี้นายคงจำฉันไม่ได้” จงอินหยิบไฟแช็คขึ้นมาจุดบุหรี่ก่อนจะสูดสารก่อมะเร็งเข้าไปเต็มปอด




    “...”




    “เอาล่ะ ฟังนะ...ฉันจะต้องส่งต้นฉบับให้บรรณาธิการจอมโหดที่ชื่อว่าโอเซฮุน เรื่องของเรื่องคือฉันต้องมีอะไรไปนำเสนอเขาภายในหนึ่งเดือน แต่ฉันกลับไม่มีไอเดียเลยจนฉันนึกถึง...”




    “นึกถึง?...” คยองซูถามก่อนจะไอเบาๆอันเนื่องมาจากควันบุหรี่ที่ลอยเข้าหน้า




    “นาย” จงอินตอบก่อนจะยิ้ม




    รอยยิ้มที่เป็นเพียงการยกมุมปากทั้งสองข้างขึ้น...รอยยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงดวงตา คยองซูมองเห็นความเจ็บปวดในดวงตาคู่นั้น คยองซูรู้สึกได้ถึงหัวใจที่ปิดตายของอีกฝ่าย

     




    คืนนั้นคยองซูแปะรูปโพราลอยด์ของจงอินลงในสมุดบันทึกโดยเขียนคำอธิบายใต้ภาพว่า




    จงอินเพื่อนบ้านคนใหม่, นักเขียนที่มีรอยยิ้มที่เศร้าที่สุดในโลก (17/7/12)
    เขาจะสัมภาษณ์ฉันเพราะเขาอยากเขียนหนังสือเกี่ยวกับฉัน



     




    “นายทำงานอะไร?” จงอินถามขึ้นในขณะที่คยองซูกำลังกินข้าวในค่ำของคืนวันพุธหนึ่ง




    คยองซูตอบออกไปว่าเขาทำงานที่โรงงานของเล่นแห่งหนึ่ง วันๆหนึ่งต้อองนั่งเย็บตาให้ตุ๊กตาเป็นพันๆตัว แต่ยังไงเขาก็ไม่รู้จักเบื่อหรอก เพราะเมื่อตื่นเช้าขึ้นมาเขาก็จำอะไรไม่ได้อีกแล้ว




    หลังจากทำงานที่โรงงานจนถึงห้าโมงเย็น คยองซูก็จะตรงไปที่บาร์ซึ่งเขาทำงานพิเศษโดยการร้องเพลงอยู่ที่นั่น สำหรับเขามันไม่ใช่งาน...มันเหมือนเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ผ่านเสียงดนตรีมากกว่า




    “มันอาจจะฟังดูน่าเบื่อแต่..ฉันจำไม่ได้นี่นา” คยองซูเสริมก่อนจะยักไหล่




    “ไม่รู้สึกว่างเปล่าเหมือนอะไรขาดหายไปบ้างเหรอ?”




    “ก็นิดหน่อยล่ะมั้ง...”




    มินซอก เพื่อนวัยเด็กและเพื่อนร่วมงานของคยองซูชอบล้อเสมอว่าเวลาของเขาหยุดลงเมื่อสี่ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาก็ยังคงอายุยี่สิบเท่ากับว่าเขาจะอายุยี่สิบไปตลอดกาล ฟังแรกๆมันก็ตลกดีหรอกนะ...แต่ตอนนี้มันกลับขำไม่ออกซะแล้ว




    “ฉันว่ามันตลกดี” จงอินออกความเห็นก่อนจะดับบุหรี่และยกเบียร์ขึ้นจิบ




    คยองซูยื่นหน้าไปมองสมุดที่อยู่ในมือของจงอิน ลายมือหยักๆเขียนด้วยหมึกสีดำกระจายอยู่เต็มหน้ากระดาษ จงอินบอกว่ามันมีไว้สำหรับหนังสือเล่มใหม่ที่เขากำลังเขียนอยู่ เป็นนิยายรักเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งที่พยายามจะลบความทรงจำของตัวเองหลังจากหนึ่งวันหมดไป คยองซูว่ามันไม่เห็นจะโรแมนติกตรงไหนแต่จงอินกลับตอบว่า...




    “ฉันเป็นนักเขียนนะ...ไม่ว่าจะอะไร ฉันก็ทำให้มันออกมาโรแมนติกได้ทั้งนั้นล่ะ”




    ความจริงแล้วพวกเขาเพิ่งเจอกัน “ครั้งที่สอง” เมื่อยี่สิบนาทีที่แล้ว...จงอินเดินมาเคาะประตูเสียงดัง มือหนึ่งถือเบียร์หนึ่งลัง ส่วนในปากก็ยังคาบบุหรี่ไว้อีกเช่นเคย




    “สวัสดี ฉันชื่อคิมจงอินเป็นเพื่อนบ้านคนใหม่ของนาย เราเคยเจอกัน“ ในขณะที่จงอินพูด คยองซูก็หยิบสมุดบันทึกขึ้นมาพลิกอย่างรวดเร็ว




    “ฉันอยู่หน้าสุดท้ายน่ะ คนที่ใส่สูท” จงอินเอ่ย




    คยองซูจ้องรูปอยู่นานก่อนจะเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูและก้มลงไปมองรูปอีกครั้ง




    ยี่สิบนาทีให้หลัง...พวกเขาทั้งสองคนก็มานั่งคุยกันตรงบันไดหนีไฟซะแล้ว หัวไหล่ของทั้งสองที่สัมผัสกันทำให้คยองซูรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย แต่จงอินกลับทำท่าทีเหมือนไม่ได้แคร์อะไร ใช่แล้ว...จงอินน่ะดูเหมือนคนที่ไม่เคยแคร์สิ่งรอบข้างสักเท่าไหร่




    “นายหมายความว่าไง? ชีวิตฉันมันตลกมากเหรอ?” คยองซูถาม




    “มันรู้สึกยังไง? เหมือนเราอายุยี่สิบทั้งๆที่ผ่านมาตั้งนานแล้ว”




    “ก็ดีมั้ง..”




    “มันแย่นะ...เหมือนเวลาของนายหยุดลงในขณะที่เวลาของคนอื่นยังคงดำเนินต่อไป จำหน้าของคนที่เข้ามาในชีวิตนายก็ไม่ได้ เหมือนกับว่าโลกยังคงหมุนไปเรื่อยๆในขณะที่นายติดอยู่ตรงกลาง เพื่อนเก่าๆก็ล้มหายตายจากแต่นายกลับหาเพื่อนใหม่ไม่ได้เพราะความจำของนาย จะรักใครก็ไม่ได้ จะเกลียดใครก็ไม่ได้..”




    “แล้วทำไมนายถึงบอกว่ามันตลกล่ะ?” คยองซูถามอย่างไม่เข้าใจ




    “ตลกร้ายเลยล่ะ...มันเศร้าเสียจนกลายเป็นเรื่องตลก” จงอินตอบก่อนจะยักไหล่




    คยองซูเงียบ มือเล็กนั่งแกะสนิมตรงราวบันไดก่อนจะกรอกตาไปมาเหมือนมีอะไรจะพูด




    “นายฟังดูเศร้าจังเลยนะ”...และสุดท้ายคยองซูก็ตัดสินใจพูดมันออกมา




    “นักเขียนทุกคนก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ”




    “มันเป็นสาเหตุที่ทำให้นายสูบบุหรี่จัดขนาดนี้เหรอ?”




    จงอินไม่ตอบแต่เขียนลงในสมุดบันทึกว่า ตัวละครเป็นคนจุ้นจ้าน ถามมาก




    เมื่อเห็นดังนั้น...คยองซูก็มองอีกคนด้วยสายตาแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย เด็กอมมือยังรู้เลยว่าคิมจงอินหมายถึงเขาชัดๆ




    “นายไม่จำเป็นต้องรู้หรอก...เรามาคุยกันเรื่องของนายต่อดีกว่า”




    “ไม่...จนกว่านายจะตอบคำถามของฉัน” คยองซูเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง




    “ฟังนะ...หนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับนายไม่ได้เกี่ยวกับฉัน”




    “แต่บนสนทนานี้เกี่ยวกับ...เรา




    จงอินหันหน้าหนีไปสบถกับตัวเองเบาๆก่อนจะหันกลับมามองหน้าคยองซูและแค่นยิ้ม




    “โอเค...เกี่ยวกับเรา...”




    “ยังไงพรุ่งนี้ฉันก็จำไม่ได้อยู่แล้ว...” คยองซูพูดขึ้น




    จงอินสูดสารก่อมะเร็งเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ดวงตาคมไร้ความรู้สึกแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวอย่างรวดเร็ว




    “อยากรู้มากใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงเศร้า?” ดวงตาคมทอดมองออกไปไกลก่อนที่กำแพงที่คิมจงอินสร้างไว้อย่างแน่นหนาจะพังครืนลงมาในพริบตา




    “ฉันเป็นโรคปอดอักเสบเรื้อรัง มันหมายความว่าปอดของฉันจะหยุดทำงานอย่างช้าๆ...ฉันกำลังจะตาย เหตุผลนี้เพียงพอที่จะทำให้ฉันเศร้าไหม?” จงอินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขมขื่น




    บรรยากาศรอบๆตัวดูเงียบลงไปถนัด คยองซูก้มหน้าจนคางชิดอก...มือเล็กกำเข้าหากันแน่น ความรู้สึกผิดมันล้นปรี่...




    “ฉันขอโทษ..ฉ..ฉันไม่รู้ว่า...”




    “เหมือนพระเจ้ากำลังทรมานฉันอย่างช้าๆ...ภายในสามปีหัวใจของฉันจะหยุดทำงานเพราะออกซิเจนไม่เพียงพอ หลังจากนั้นอวัยวะทุกส่วนในร่างกายก็จะหยุดทำงาน เมื่อถึงเวลานั้นฉันคงกินอะไรไม่ได้อีกแล้ว หึ..จะกินได้ยังไงถ้ามีเครื่องช่วยหายใจครอบอยู่แบบนั้น จริงไหม? แล้วนายถามฉันว่าทำไมฉันถึงสูบบุหรี่...นั่นสิ...ทำไมกันนะ...”




    คยองซูกำมือแน่นจนมันปวดไปหมด...เขาส่ายหัวแรงๆก่อนจะยกมือขึ้นปิดหู เขาไม่อยากรู้แล้ว เขาไม่ได้ตั้งใจ เขาอยากให้จงอินหยุดพูดเสียที




    “ฉันสูบบุหรี่เพราะฉันอยากตายเร็วขึ้น อยากจะตายๆไปจากโลกนี้ซะ...” จงอินเอ่ย น้ำเสียงไร้ความรู้สึก




    “...”




    “เศร้าเนอะ...เศร้าซะจนมันกลายเป็นเรื่องตลก ฮ่าๆ...” จงอินหัวเราะ เสียงหัวเราะที่เศร้าที่สุดที่คยองซูเคยได้ยิน




    “ยังไงพรุ่งนี้ฉันก็จำไม่ได้อยู่แล้วล่ะ...” คยองซูพูดขึ้นเบาๆ




    ทั้งสองนั่งคุยจนเวลาล่วงเลยมาถึงหนึ่งทุ่ม คยองซูปลีกตัวออกมาเพื่อไปทำงานที่บาร์เหมือนทุกๆวัน แต่วันนี้สิ่งที่ต่างไปคือความรู้สึกปั่นป่วนของคยองซู ทุกเสียงร้องทุกตัวโน้ตที่เอื้อนเอ่ยออกมาในวันนี้เจือไปด้วยความเจ็บปวด ราวกับว่าคยองซูนั้นได้แบ่งเอาความเจ็บปวดของคิมจงอินมาไว้ที่ตัวเองครึ่งหนึ่ง




    คยองซูกลับมาถึงห้องพักตอนประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ...แม้จะเหนื่อยแต่เขาก็ไม่ลืมที่จะเขียนบางอย่างลงในโพสอิทก่อนจะหลับไป




    อย่าลืมเอาตุ๊กตาไปวางไว้หน้าห้องข้างๆ (19/7/2012)




    --




    สองวันถัดมาคยองซูพบตุ๊กตาตัวหนึ่งวางอยู่หน้าห้องของเขา เขาจำได้ทันทีว่ามันเป็นตุ๊กตาที่เขาต้องเย็บทุกวันที่โรงงาน ข้างๆตุ๊กตามีการ์ดขอบคุณที่ถูกเขียนด้วยหมึกสีดำ ลายมือหวัดจนแทบอ่านไม่ออก




    ฉันไม่ต้องการความสงสารจากใคร โดยเฉพาะคนที่จำอะไรไม่ได้แบบนาย




    คยองซูไม่รู้หรอกว่าใครส่งมา...ที่สำคัญ เขาจำไม่ได้ว่าเขาทำอะไรลงไป แต่แค่เพียงประโยคสั้นๆในการ์ดใบหนึ่งกลับทำให้เขารู้สึกผิด รู้สึกเจ็บปวดจนอยากจะร้องไห้ออกมา...




    --




    แม้คยองซูจะจำไม่ได้ว่าเคยเจอนักเขียนคนนี้แต่เขาทั้งสองก็กลับมาพบกันอีกครั้ง ณ ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง...คยองซูจำได้เพียงแค่ว่าเขาอาจจะต้องมาเจอคนๆนี้บ่อยๆเพราะคนๆนี้อยากเขียนหนังสือเกี่ยวกับเขา




    วันนี้เป็นวันที่ 21 มิถุนายน 2012 และคยองซูกำลังนั่งจ้องใครคนนึงดูดบุหรี่มวนแล้วมวนเล่าอย่างไม่รู้จักหยุด คยองซูตั้งคำถามกับตัวเองเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ เขาอยากรู้ว่านักเขียนทุกคนจะหน้าตาท่าทางแบบนี้รึเปล่า? ใต้ตาม่วงช้ำเหมือนคนอดนอน  ผิวที่แม้จะไม่ได้ขาวแต่กลับบางจนเห็นเส้นเลือด ไหนจะคิ้วที่ขมวดมุ่นตลอดเวลานั่นอีก แต่ยังไม่ทันได้คิดนาน...คนที่ถูกมองก็เหมือนจะรู้ตัวซะก่อน สายตาคมตวัดมองมาที่เขาเป็นเชิงถาม




    “มีอะไรรึเปล่า?” จงอินดับบุหรี่ในมือก่อนจะเอ่ยถาม




    “เปล่า...”คยองซูส่ายหน้าน้อยๆ




    “เล่าเรื่องอุบัติเหตุสี่ปีที่แล้วให้ฟังหน่อย...ไม่ใช่สิ สำหรับนายมันคือเมื่อวานสินะ” จงอินเอ่ย




    คยองซูเงียบไปสักพัก สายตาจับจ้องไปที่มือเรียวของอีกคนซึ่งถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลสีขาว ความสงสัยก่อตัวขึ้นเล็กน้อย




    “มันก็แค่อุบัติเหตุธรรมดา” คยองซูเริ่ม...พยายามจะนึกถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับตน




    “ฉันกำลังเดินกลับบ้านหลังจากการทำงานที่โรงงาน รู้ตัวอีกทีก็ถูกชนอย่างแรงด้วยรถบรรทุกแอปเปิ้ลคันหนึ่ง...แอปเปิ้ลสีแดง”




    “นายทำงานที่โรงงานจากตอนนั้นจนถึงตอนนี้?”




    “ตั้งแต่อายุสิบแปด...ทันทีที่ฉันเรียนจบฉันก็ทำงานทันที แม่ฉันเสียใจขณะที่พ่อของฉันป่วย ฉันเลยต้องหาเงินเพื่อปะ




    “พอแล้ว ฉันเข้าใจแล้ว..” จงอินขัดขึ้น คยองซูอยากจะตะโกนใส่หน้าจงอินและบอกให้จงอินฟังให้จบแต่ก็ไม่ได้ทำ




    “งั้นถ้าอุบัติเหตุไม่เกิดขึ้น...ความฝันของนายคือการเป็นนักร้อง?” จงอินเลิกคิ้วถาม




    “อื้อ คงงั้นมั้ง”




    “แต่ก็โดนรถบรรทุกชนซะก่อน...ดวงประเสริฐเป็นบ้า” จงอินพูดในขณะที่มือก็จดอะไรบางอย่างลงสมุดอย่างดุเดือด




    คยองซูกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างประหม่า... “นายกำลังโมโหใครอยู่หรือเปล่า?”




    “เปล่า” จงอินกระแทกเสียงทั้งๆที่ยังคงเพ่งจุดสนใจไปที่สมุดในมือ




    “...”




    “นายใช้ชีวิตยังไงหลังจากอุบัติเหตุ? ขอละเอียดๆ..” จงอินเงยหน้าขึ้นมาถามเมื่อจดจนพอใจ




    “ก็...ฉันมักจะถ่ายรูปคนใหม่ๆที่ฉันพบเจอและรู้จัก ฉันแปะรูปเหล่านี้ลงไปในสมุดบันทึกเล่มหนึ่งพร้อมเขียนคำอธิบายใต้ภาพเกี่ยวกับคนเหล่านี้ ทุกๆวันแนจะนั่งอ่านทบทวนมันและบางวันฉันก็อาจจะเขียนอะไรเพิ่มเติมลงไป ถ้าเป็นอะไรที่ไม่สำคัญ...ฉันก็จะเขียนใส่โพสอิทและแปะมันไว้รอบๆห้อง” คยองซูเล่าก่อนจะได้ยินเพียงเสียงปากกาจรดลงบนหน้ากระดาษเป็นคำตอบเท่านั้น




    “แล้วแบบนี้ถ้าสมมตินายเดินมาที่คาเฟ่กับฉันวันนี้...พรุ่งนี้นายจะจำทางเดินมาคาเฟ่ได้ไหม?”




    “อืม...ได้นะ ฉันจะจำได้ว่าคาเฟ่อยู่ที่ไหน แต่ฉันจะจำไม่ได้ว่ามายังไงและเคยมากับใคร...” คยองซูเอ่ยอย่างครุ่นคิด




    “เออ...สะดวกดีนะ” จงอินเอ่ยกึ่งประชด




    “นายไม่พอใจอะไรรึเปล่า?”




    “เปล่า”




    “แน่ใจเหรอ?”




    “ฟังนะคยองซู...เรากำลังเขียนเกี่ยวกับนาย เลิกพูดเรื่องฉันสักที” จงอินเอ่ยอย่างหัวเสีย




    “ทำไมนายต้องไม่พอใจด้วย?” คยองซูยังคงถามต่อ




    จงอินทิ้งสมุดบันทึกลงบนโต๊ะก่อนจะลูบหน้าตัวเองด้วยความเหนื่อยล้า เมื่อดวงตาคมสบเข้ากับดวงตาไร้เดียงสาของคยองซูถึงกับต้องถอนหายใจเบาๆ




    “มีปัญหาชีวิตนิดหน่อย...ปัญหาที่คนมีความทรงจำส่วนใหญ่เขามีกัน โอเค้?” คำพูดโหดร้ายถูกเอ่ยออกมาอย่างตั้งใจ




    “ถ้านายต้องการใครสักคนไว้เพื่อระบาย ฉัน




    “นายจะเป็นคนคอยรับฟังฉันงั้นเหรอ? นายไม่มีอะไรจะต้องคิดมากอยู่แล้วนี่ เพราะยังไงนายก็ไม่มีวันจำได้” คยองซูรู้สึกคุ้นเหมือนว่าเหตุการณ์นี้อาจเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง การที่เขาต้องมานั่งมองจงอินเผชิญปัญหาแต่เขากลับช่วยอะไรไม่ได้เลย




    “ขอโทษนะ” คยองซูตัดสินใจเอ่ยขึ้น




    “...”




    “นายพูดถูก...ฉันขอโทษ เหมือนว่าฉันจะเคยถามคำถามนี้กับนายมาหลายรอบแล้ว ฉันจำไม่ได้ ขอโท




    “เจ็บ” อยู่ดีๆจงอินก็เอ่ยขึ้นเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน




    “...”




    “ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นกำลังกำรอบคอของฉันแน่นเสียจนหายใจไม่ออก เหมือนโดนฉีกออกเป็นชิ้นเล็กๆเสียจนประกอบกลับเข้าใหม่ไม่ได้” มือของจงอินสั่นน้อยๆขณะพูด




    “ฉันไม่เข้าใจ...”




    “ฉันจะตายภายในสามปีหรืออาจจะน้อยกว่านั้น...แต่ที่น่าเศร้าคืออะไรรู้ไหม? พอฉันตายไป...งานศพของฉันอาจจะใหญ่โต หลายคนอาจจะเสียดายความสามารถในการเขียนของฉัน แต่เพียงไม่นานฉันก็จะถูกลืม คิมจงอินจะเป็นเพียงชื่อที่ไม่มีใครจำได้” ตาของจงอินแดงขึ้น ริมฝีปากซีดขาว และความเงียบก่อตัวขึ้น...




    “นายรู้อะไรไหมจงอิน?...ฉันว่านายกำลังรู้สึกกลัวอะไรบางอย่าง...” คยองซูพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน




    จงอินไม่ตอบ ใบหน้าคมก้มลงมองสมุดบันทึกโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองคยองซูเลยแม้แต่น้อย




    “ถ้าสมมตินายรักคนๆหนึ่ง พรุ่งนี้ถึงแม้นายจะจำเขาไม่ได้ นายจะยังรักเขาอยู่ไหม?” แม้คำถามจะตรงมาที่คยองซูแต่ใบหน้าของอีกคนก็ไม่ยอมเงยขึ้นมา




    “ไม่รู้สิ” คยองซูขบริมฝีปากล่างเบาๆ




    “...”




    “แต่ถ้าฉันจำความทรงจำที่มีร่วมกันไม่ได้...ฉันจะรักได้ยังไงล่ะ? ความรักมันอยู่ที่ความทรงจำและการกระทำไม่ใช่เหรอ?”




    “งั้นเหรอ?” จงอินคิดตาม ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ




    “นายยังไม่พอใจอยู่ใช่ไหม?” คยองซูถาม




    “เปล่า”




    “นาย...ฉัน...อาจไม่ใช่เพื่อนของนายหรืออาจไม่ใช่ที่ปรึกษาของนาย ฉ..ฉันอาจจะไม่ได้มีความหมายอะไรกับนายเลยด้วยซ้ำแต่จงอิน...นายคุยกับฉันได้นะ ฉันอาจจะไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของนายได้ทั้งหมด แต่นายอาจจะรู้สึกดีขึ้น




    “หุบปาก..” จงอินขัดขึ้น  “นายไม่ต้องมาคิดแทนฉัน หุบปาก”




    “ไม่ใช่นะจงอิน ฉันก็แค่..”




    “นายไม่มีสิทธิ์มาคิดแทนฉันเพราะคนอย่างนายไม่เข้าใจความเจ็บปวดด้วยซ้ำ! นายจะคอยรับฟังฉันงั้นเหรอ? หึ...นายเป็นคนพูดเองว่านายรักใครไม่เป็น ถ้านายรักไม่เป็นแล้วนายจะรู้จักความเจ็บปวดได้ยังไง? พอนายตื่นมาพรุ่งนี้...ทุกอย่างก็จะคืนกลับสู่สภาพปดติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นายจะตื่นมาโดยไม่รู้เลยว่านายทำร้ายจิตใจใครไปบ้าง...นายเคยคิดบ้างไหม? เคยคิดบ้างไหมว่าการที่นายเป็นแบบนี้มันทำร้ายคนรอบข้างมากแค่ไหน? นาย...นายไม่เคยเข้าใจอะไรเลยคยองซู นายมันไร้หัวใจ...”




    น้ำใสๆคลอหน่วยอยู่ในดวงตาของโดคยองซูก่อนจะหยดแหมะลงบนโต๊ะ แต่คิมจงอินกลับกระแทกสมุดบันทึกและเดินออกไปก่อนจะได้เห็นมัน




    ใครบอกว่าโดคยองซูไม่รู้จักความเจ็บปวดกันล่ะ?




    --




    “นายดูไม่ค่อยร่าเริงเลยนะ” มินซอกเอ่ยบอกในวันหนึ่งช่วงปลายเดือนมิถุนายน




    ในระหว่างที่พวกเขาเตรียมตัวขึ้นเวทีที่บาร์ มินซอกก็หันมามองหน้าคยองซูด้วยสายตาจริงจัง




    “เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าคยองซู?”




    “เปล่านี่ วันนี้ก็ราบรื่นดีนี่นา ถามทำไมเหรอมินซอก?” คยองซูขมวดคิ้วก่อนจะพยายามนึกย้อนไป




    “ไม่รู้เหมือนกัน วันนี้ดูไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่เลย..”




    มาคิดๆดูแล้ว เหมือนมินซอกจะพูดถูก...คยองซูกำลังรู้สึกหน่วงๆเหมือนอะไรบางอย่างขาดหายไป




    --




    ในขณะนี้เลยเวลาเที่ยงคืนมาสักพัก...แม้ร่างกายของคยองซูจะรู้สึกเหนื่อยล้าแค่ไหนแต่กลับไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ เขาเลยตัดสินใจออกมานั่งอ่านสมุดบันทึกของตัวเองอยู่ที่ระเบียงแทน




    คยองซูนั่งนับรูปทีละใบๆก่อนจะถอนหายใจอย่างผิดหวัง เขาไม่สามารถติดต่อเพื่อนๆสมัยมัธยมของเขาได้อีกแล้ว ดูเหมือนคนที่เขารู้จักจะลดจำนวนลงเรื่อยๆ แม้แต่แบคฮยอนเพื่อนสนิทของเขาก็ยังติดต่อไม่ได้ นี่เขาขาดการติดต่อมานานเท่าไหร่แล้วนะ? เป็นเดือน? เป็นปี?...เขาจำไม่ได้เลย




    “ออกมาทำอะไรดึกๆน่ะ?” เสียงที่ดังมาจากระเบียงข้างๆทำให้คยองซูสะดุ้งจนเกือบร้องออกมา ร่างสูงห้องข้างๆยิ้มให้เขาฝืนๆ แม้จะ
    จำไม่ได้ว่าเคยเจอกันหรือไม่...แต่คยองซูรู้สึกคุ้นเคยกับคนๆนี้เอามากๆ




    “นั่งนับว่าเพื่อนเก่าๆหายออกไปจากชีวิตฉันกี่คนแล้ว..” คยองซูตอบไปตามความจริง




    “แล้วเป็นไง?”




    “ดูเหมือนทุกคนกำลังจะหายไปหมดแล้ว” อยู่ๆคยองซูก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาซะเฉยๆ ใบหน้าเล็กก้มลงมองรูปเก่าๆในสมุดบันทึกก่อนจะปล่อยให้น้ำตาใหลลงมาช้าๆ




    “...”




    “เมื่อวานฉันยังเป็นเพื่อนกับพวกเขาทั้งหมดเลย ฮึก...แต่วันนี้ทุกคนกลับหายไปหมดแล้ว นี่ฉันเหลือตัวคนเดียวจริงๆน่ะเหรอ?”




    “หึ...พวกเราทุกคนก็ตัวคนเดียวกันทั้งนั้นแหละ” จงอินตอบพร้อมหัวเราะฝืดๆ




    “คยองซูซุกหน้าลงกับแขนของตัวเองก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย เขามั่นใจว่าความเจ็บปวดในวันนี้จะไม่มีทางจางหายไปในวันพรุ่งนี้แน่




    คยองซูมัวแต่ร้องไห้จนไม่ได้สังเกตใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย




    --




    เช้าวันรุ่งขึ้น คยองซูตื่นมาด้วยดวงตาบวมเป่ง มือเต็มไปด้วยแผลกระดาษบาดแต่ก็ยังคงกำสมุดบันทึกไว้แน่น...




    --




    “ฉันไม่เคยเป็นคนดีเลยนายรู้ไหม? ฉันทำร้ายทุกคนที่พยายามเข้าใกล้ฉัน ฉันทำร้ายแม้กระทั่งตัวฉันเอง...นั่นเป็นเพราะฉันขี้ขลาดเกินจะยอมรับความจริง” ชายแปลกหน้าพูดขึ้นทันทีที่คยองซูก้าวเข้ามาในลิฟต์




    ไม่รู้ทำไม...แต่คยองซูกลับไม่แปลกใจที่อยู่ๆมี “ใครก็ไม่รู้” มาพูดกับเขาแบบนี้




    “ไม่เป็นไรนะ” คยองซูพูดเบาๆก่อนจะเอื้อมมือไปแตะแขนของอีกฝ่าย รู้สึกเหมือนกัวใจถูกบีบเค้นเหมือนเห็นว่าอีกฝ่ายดูอิดโรยแค่ไหน ลมหายใจติดขัดเหมือนว่าการหายใจมันเป็นอะไรที่ทำได้ยากเหลือเกิน ใบหน้าซูบผอมดูเหนื่อยอ่อน หลังที่ค่อมลงเหมือนคนไม่มีแรง




    “ฉันชื่อจงอิน”




    “จงอิน...” คยองซูเอ่ยทวนเบาๆ ชื่อที่หลุดออกมาอย่างง่ายดายทำให้คยองซูเด่ได้ว่านี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเอ่ยชื่อนี้ออกมา




    “ฉันเป็นนักเขียน” ทันทีที่จงอินพูดจบ ประตูลิฟต์ก็เปิดออก




    ...แต่กลับไม่มีใครขยับเลยสักนิด




    “ทั้งสองยืนนิ่งจนประตูปิดลงอีกครั้ง...ในตอนนั้นนิทานของคิมจงอินก็เริ่มขึ้น




    นิทานเกี่ยวกับชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งรักการเต้นมากๆ ชายหนุ่มเป็นนักเต้นที่ประสบความสำเร็จจนกระทั่งความกดดันและความคาดหวังของผู้คนรอบข้างกัดกินเขา เขาตัดสินใจที่จะเลิกเต้น เลิกสนใจคนรอบข้าง เลิกรักใครๆ




    “ชายหนุ่มคนนั้นก็เลยกลายมาเป็นนักเขียน เขาเขียนเกี่ยวกับตัวตนของนักเต้นคนนั้นที่เขาสลัดทิ้งไป เขียนเกี่ยวกับชีวิตที่พังครืนลงมาตรงหน้า พอนิยายตีพิมพ์...ทุกคนต่างก็พากันสงสารเขา เขากลายเป็นคนหมองหม่นไม่พูดจากับใครจนสุดท้ายพระเจ้าคงสมเพชเขา จึงมอบโรคร้ายมาให้ เขาจะได้พ้นความทุกข์ไปเสียที...แต่เขายังอยากจะเขียนหนังสือเล่มสุดท้ายก่อนตาย”




    ประตูลิฟต์เปิดขึ้นอีกครั้ง...ครั้งนี้คยองซูตัดสินใจเดินออกมาพร้อมกับดึงแขนอีกคนให้ตามออกมาด้วยกัน




    “นักเขียนคนนั้นได้พบคนๆนึงที่น่าสนใจมากๆ คนๆนี้ดูเศร้าแต่ก็มีความสุขในเวลาเดียวกัน คนๆนี้ทำงานในโรงงานของเล่นและมีความฝันอยากเป็นนักร้องทั้งๆที่ตัวเองจำอะไรไม่ได้ คนๆนี้ถูกโชคชะตากลั่นแกล้งให้ความจำเสื่อม”




    “ชายหนุ่มนักเขียนกับคนความจำเสื่อมคนนี้พบกันครั้งแรกในวันหนึ่งของเดือนมิถุนายน มันเป็นวันที่ชายหนุ่มนักเขียนค้นพบว่าตัวเองกำลังจะตาย เขาชวนคนความจำเสื่อมคนนี้ไปที่ห้องของเขาก่อนจะโปรยเงินลงมาจากชั้น 33...เขากำลังโมโหโชคชะตาที่ใจร้ายกับเขาเหลือเกิน”




    “จงอินอยากจะให้โลกรู้ว่าเขารวยขนาดไหน จงอินอยากจะเยาะเย้ยตัวเองว่าถึงแม้มีเงินมากมายแต่เขาก็คงไม่มีโอกาสได้อยู่ใช้มัน...จงอินแสร้งยิ้มในขณะโปรยเงิน เขาอยากให้คนความจำเสื่อมคนนั้นคิดว่าเขากำลังมีความสุข แต่




    “แต่คนความจำเสื่อมคนนั้นกลับมองเขาออก คนที่แม้จะจำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ คนที่ใช้ชีวิตไปวันๆอย่างไร้ความหมาย คนๆนี้ไม่สนใจลาภยศชื่อเสียงเงินทอง ทั้งๆที่จงอินพยายามแทบตายเพื่อให้ได้มันมา” จงอินลูบหน้าตัวเองเบาๆ ไหล่กว้างสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่




    “แต่ฉันก็มารู้สึกตัวแล้วว่านายไม่ได้โง่เลย เป็นฉันที่โง่มาตลอด ฉันพยายามที่จะแสร้งทำเป็นว่าตัวเองมีความสุข ฉันย้ายเข้ามาอยู่อพาร์ทเม้นเดียวกับนายเพราะฉันอยากเห็นนายเจ็บปวดกับการที่นายต้องตื่นมาในทุกๆวันโดยไม่มีความทรงจำอะไรหลงเหลืออยู่เลย บ่อยครั้งที่ฉันไปดูนายร้องเพลงที่บาร์และหวังว่านายจะร้องเพี้ยนบ้างร้องผิดบ้าง ที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะฉัน...ฉันอยากให้ใครสักคนเจ็บปวดเหมือนฉันบ้าง ฉันอยากให้ใครสักคนมาตกต่ำกับฉัน...แต่ฉันทำแบบนั้นกับนายไม่ได้ ฉันเป็นคนโง่งมมาตลอด”




    “นายไม่ได้โง่สักหน่อย” คยองซูขัดขึ้น




    ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังยืนเท้าแขนอยู่ตรงรางระเบียงในห้องของคยองซู...




    “นายแค่กำลังหลงทาง” คยองซูพูดต่อเบาๆ




    จงอินหันมามองหน้าคยองซูตรงๆเป็นครั้งแรก ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง...คยองซูเพิ่งสังเกตว่าจงอินดูดีขนาดนี้ แม้จะดูดีแต่ก็ดูว่างเปล่า อ่อนแอ...




    “ฉันก็คงหลงทางไปเรื่อยๆจนกระทั่ง...พรึ่บ ฉันก็จะหายไป ฉันก็จะกลายเป็นเพียงรูปถ่ายใบหนึ่งในสมุดบันทึกของนาย” จงอินเอ่ยออกมาเป็นเสียงกระซิบ




    “ไม่ ไม่นะ...ห้ามหายไป” คยองซูพูดขึ้นเสียงสั่น มือเล็กกำแน่น




    จงอินหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะมองคยองซูด้วยสายตาประมาณว่า ยังไงนายก็จำไม่ได้อยู่แล้ว...




    สายตาของจงอินทำให้คยองซูอยากจะตะโกนออกไปว่าเขาหมายความอย่างที่พูดจริงๆ เขาจะไม่ยอมให้จงอินหายไปเฉยๆ เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงแคร์จงอินมากขนาดนี้ เขาแทบไม่มีความทรงจำใดๆร่วมกับจงอินเลยแม้แต่น้อย




    “ฉันแค่อยากจะจำนายให้ได้ แม้นาทีเดียวก็ยังดี...” คยองซูพูดขึ้นทั้งๆที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้




    เพราะถ้ามันเป็นไปได้...คยองซูคงไม่รู้สึกเจ็บที่หน้าอกข้างซ้ายขนาดนี้




    ไหล่ของคนทั้งสองสัมผัสกันเล็กน้อย...แต่ครั้งนี้คยองซูไม่รู้สึกอึดอัดอีกต่อไปแล้ว...



    [TBC].

    B B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×