คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter -1
20/04/12
“ลู่หานเตรียมตัวนะ ถึงคิวนายขึ้นเวทีล่ะละ” เสียงเมเนเจอร์ที่มีสายอะไรต่อมิอะไรพะรุงพะรังเต็มตัวเอ่ยขึ้น ชายหนุ่มยกยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะโค้งเพื่อเป็นการให้เกียรติ เขาก้าวขายาวขึ้นเวทีอย่างว่องไว สาตาที่เป็นประกายทอดยาวไปยังสื่อมวลชน แสงแฟลชวิบวับ และคนนับพันที่มาร่วมในงานแถลงข่าวในงานชิ้นสำคัญที่เขาได้ร่วมทำการแสดงภาพยนต์เรื่องแรก
เด็กหนุ่มที่มีลุคซุกซน จนถึงวันนี้เขาได้กลายเป็นชายหนุ่มอย่างเต็มตัว
เขากำลังแปรเปลี่ยนจากเด็กชายผู้น่ารักเป็นหนุ่มน้อยที่ใครๆก็หลงใหล
เสียงกรี้ดหนาหูขึ้นทันทีที่เขาเริ่มแนะนำตัวสั้นๆก่อนที่จะร้องเพลงประกอบที่กำลังเป็นที่คุ้นหู ริมฝีปากบางที่ดูมีเสน่ห์กำลังขยับขึ้นลงราวกับร่ายมนต์สะกดให้สาวๆในงานเริ่มคล้อยตาม ป้ายไฟที่มือชื่อของเจ้ากวางหนุ่มโบกไปมาอย่างอัติโนมัติ
ดวงตาที่สุกใสอย่างที่ใครๆพูดกำลังทำหน้าที่สอดส่องเพื่อโปรยเสน่ห์
บทเพลงไม่ยาวนัก และจบลงอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะมีเสียงเซ็งแซ่ขอร้องให้เขาได้ร้องเพลงอื่นซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับภาพยนตร์ แต่เป็นบทเพลงของเขาในอัลบั้มก่อนๆให้นำเอาออกมาร้องต่อเพิ่มเติมอีกก็ตามที
ชายหนุ่มโค้งอย่างสุภาพ
เสียงกรี้ดเริ่มดังขึ้นอีกครั้ง...
....
...
“ขอโทษจริงนะครับ ^-^ ผมรู้ทุกคนยังคงสนับสนุนผลงานเพลงของผมอยู่ แต่วันนี้ผมมีความยินดีมากครับที่จะแสดงศักยภาพด้านการแสดงให้ทุกคนได้เห็นรวมถึงเพลงประกอบด้วย อีกอย่างหนังเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องแรกที่ทางเกาหลีได้ร่วมมือกับประเทศบ้านเกิดของผม ก็คือที่จีนแผ่นดินใหญ่ ผมหวังว่าแฟนคลับทุกคน ทั้งที่นี่แล้วก็ที่จีนแผ่นดินใหญ่จะได้สนุกกันอย่างเต็มที่นะครับ”
“แม่ปิดทีวีสักทีได้มั้ย ฉันไม่อยากฟังเสียงเจ้าบ้านี่!!!!!!!!!!!”
ฉันแผดเสียงดังลั่น
บ่ายในวันที่อากาศเริ่มหนาวเย็นอีกครั้ง
ร้านรามยอนของฉันก็เริ่มเป็นที่ขายดีอีกครั้งเมื่อฤดูหนาวไกล้เข้ามาถึง เป็นใครก็อยากกินซุปสาหร่ายร้อนๆในเวลาแบบนี้จริงมั้ยล่ะ
แต่มันจะดีถ้ารายการข่าวในทีวีนั่นรีบๆจบลงไปเสียที
หนึ่งในลิสสิ่งที่ไม่ต้องการ ถึงแม้การนวดแป้ง การเคี่ยวน้ำซุปหน้าเตาร้อนๆจะนับว่าเป็นกิจกรรมที่ฉันไม่ชอบที่สุดในการดำรงชีวิตตั้งแต่เกิดมาก็เถอะนะ
แต่การที่ต้องมานั่งฟัง นั่งทนได้ยินเสียง ทนเห็นผู้ชายคนนั้นเคลื่อนไหว ยิ้ม หัวเราะ อะไรก็ตามทั้งหลายทั้งแหล่นั่นฉันเกลียดมากกว่า10เท่า100เท่า
เพราะอะไรน่ะหรอ
พวกคุณเป็นแฟนคลับของเขากันรึปล่าวละ
ถ้าใช่ ก็อย่าได้สนใจฉันเลย อ่านข้ามมันไปเถอะ! : (
“นี่เจ้าลูกคนนี้มันจะมากไปแล้วนะ”
แม่ที่กำลังง่วนกับการเตรียมของในครัว ตอบกลับฉันด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ มันมักจะเป็นแบบนี้เสมอ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นความสามารถพิเศษอย่างนึงของแม่ไปแล้วก็ได้
“แกขอเงินฉันไปเรียนแต่งหน้าที่เมืองนอกตั้งปีสองปี ดูสิได้อะไรกลับมา ไหนละใบประกาศ ฉันยังไม่เห็นของแกสักใบน่ะ!! ส่งให้เรียนจบก็แล้ว จะไปเรียนเพิ่มก็แล้ว งานก็ยังไม่มี ยังมีหน้ามานั่งง่อยแล้วสั่งฉันอีก!!”
แม่เขวี้ยงตะแกรงลวกบะหมี่ลอยละลิ่วพุ่งเข้าหน้าของฉันอย่างรวดเร็ว โชคเข้าข้างที่ฉันหลบมันทันท่วงที เสียงโครมครามเกิดขึ้นต่อจากนั้นไม่นาน เพราะมันไปกระแทกโดนข้าวของอย่างอื่นด้านหลังแทน-*- ความตกใจและการเคลื่อนไหวอย่างงุ่นง่านเมื่อครู่ทำให้แป้งที่ฉันกำลังนวดเพื่อเตรียมพักไว้ทำเส้นบะหมี่ค่อยๆไหลจากแผ่นกระดาษที่ถูกนำมารองได้ดิ่งลงสู่พื้นอย่างช่วยไม่ได้
ทันทีที่สิ้นเสียง ตุ่บ’ แม่เริ่มหันมาจ้องมองก้อนแป้งสมบัติล้ำค่าชิ้นนั้นด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อฉันอีกครั้ง
ฉันกัดปากไม่ให้ตัวเองพูดออกมา มันต้องรู้สึกเจ็บ แต่อย่างว่านั้นละ จิตใจฉันไม่ได้อยู่ตรงจุดนั้นความรู้สึกเลยตายด้านขึ้นมาชั่วขณะ
ขาที่เหมือนจะมีเรี่ยวแรงขึ้นมาซะดื้อๆทำให้ฉันโกยอ้าวเอาร่างโทรมๆของตัวเองออกมาจากร้านในที่สุด มือที่พลักสิ่งของที่กีดขวางให้พ้นออกไปพร้อมกับเอ่ยคำขอโทษให้กับลูกค้าหลายๆคนที่คาดว่าคงจะตกใจยัยเพิ้งอย่างฉันที่วิ่งแทรกตัวเหมือนคนเสียสติไม่น้อย
ฉันก็ทำแบบนี้เสมอเมื่อทะเลาะกัน ฉันรู้ดีว่าแม่จะไม่ออกมาตามเพราะลูกค้าที่แน่นร้าน พี่มันจองลูกจ้างที่แม่จ้างมาให้ช่วยดูแลร้านกวักมือตะเพิดให้ฉันวิ่งให้ไกลออกไปอีกเพราะแม่เริ่มส่งเสียงด่าทอดังออกมาเรื่อยๆ
แม่ไม่อายลูกค้ารึไงกัน L
ฉันอายแทบแย่
..
ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาถนนหน้าบ้านได้ในที่สุด บรรยากาศมันเริ่มเงียบลงอีกครั้ง มีเพียงเสียงฝีเท้าคนในละแวกนั้นและเสียงกริ่งจักรยานที่ปั่นสวนกันไปมาไกล้กับฟุตบาทคนสมัยนี้เป็นแบบนี้เสมอนั่นล่ะ ไม่มีแม้แต่เพียงรอยยิ้มให้กัน หรือพูดคุยทักทาย
ขาที่ย่างก้าวเริ่มเชื่องช้าลง
มือที่ซุกอยู่ภายใต้กระเป๋าเสื้อของชุดวอร์มวางนิ่งอยู่เหนือท้องน้อยที่พองขึ้น พองลงเพราะแรงหายใจเมื่อครู่
ราวกับว่าความเจ็บปวดเมื่อหลายปีที่แล้วยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่ไปไหน
ตา ดัด ดา ปา ตาดัด ดา~
...
เสียงมือถือเรียกสติของฉันกลับมา ภายในระยะเวลาสั้นๆ มันเริ่มดังผ่านความเงียบขึ้นมาเรื่อยๆ
-จางอี้ชิง-
ชื่อของผู้ชายคนนั้นปรากฏบนหน้าจอมือถือค้างไว้อยู่แบบนั้น หัวใจของฉันเริ่มเต้นแรงอีกครั้ง มันยังคงเป็นแบบนั้นอยู่ตลอดเวลาถึงแม้ว่าจะผ่านมีกี่ปีกันแล้วนะ
ปลายนิ้วที่เย็นเฉียบสัมผัสกับหน้าจอช้าๆ
ยังไม่ทันที่ฉันจะได้เอ่ยอะไร เสียงทุ้มนั่นก็พ่นออกมาไม่ยอมหยุด
(ฮัลโหล!?
ฮานึลอยู่ไหน ??พี่สาวฉันจะกลับแล้วนะ เธอไม่อยากเจอเขารึไง)
“.........”
(ฉันรอที่สวนสาธาณะนานแล้ว อย่าบอกนะว่าเธอลืมวันเกิดของชินน่ะ)
...
..
...
..
1
2
3
ดื่มมม
“สุขสันต์วันเกิดนะฟานลู่หาน ฮ่าๆ วันนี้งานเราประสบความสำเร็จเป็นบ้าเลย เอ้าดื่มกันหน่อย เชียร์~!!”
ผมยกแก้วที่มีน้ำแอลกอฮล์สีใสขึ้นเหนือหัวก่อนที่จะชนเข้ากับพี่อิมคยุนและทีมงานอีกร่วมสิบคนที่พยายามยื่นมือเข้ามาเพื่อมีส่วนร่วม เรากำลังเลี้ยงฉลองเล็กๆในร้านเนื้อที่ไม่แพงนักแถวอินซาดงแทนการมีปาร์ตี้สุดหรู เพราะเหล่าแฟนคลับต่างคิดว่าการเลี้ยงฉลองจะต้องเกิดที่ร้านอาหารชื่อดังย่านกังนัมที่ประจำ มันเป็นเป็นทฤษฎีการปล่อยข่าวผิดๆที่สามารถหลอกล่อเพื่ออย่างน้อยก็สร้างความงบในช่วงเวลาสั้นๆให้กับพวกเราที่ทำงานเหนื่อยมาแล้วทั้งวัน
ความจริงผมไม่ได้อยากมาที่นี่สักเท่าไหร่ เพราะคิมจงอิน โอเซฮุน แล้วก็อู๋ฟานเจ้าเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียน จะมาเจอผมเพื่อฉลองวันเกิดด้วยกัน พวกเราตกลงนัดกันที่บาร์ที่จงอินเองเป็นเจ้าของ แถวอิแทวอนโน่น
เห้อ..=3=
กลับต้องมาติดแหง่กอยู่แบบนี้ น่าเบื่อชะมัดเลย
เจ้าพวกนั้นคงคิดถึงผมจะแย่แล้วล่ะ ผมนั่งกดเปิดปิดหน้าจอมือถือเหมือนพวกคนสมาธิสั้นอยู่พักนึงก่อนจะตัดสินใจ
“พี่ ผมออกไปโทรศัพท์แปปนึงนะ” ผมบอกพี่อิมคยุนเล็กน้อยก่อนที่จะโบกมือถือชูขึ้นเป็นเชิงขอ พลางลุกออกจากห้องกินเนื้อย่างที่เราเปิดพิเศษเอาไว้
อ๋า~ =_=
ผมจะบอกเจ้าพวกนั้นว่ายังไงดีนะ ติดงานอีกแล้วนะหรอ มีหวังเจ้าบ้าพวกนั้นต้องตัดผมออกจากลิสต์รายชื่อเพื่อนแล้วแน่ๆ ผมอ้างแบบนี้มาล้านครั้งเห็นจะได้
-ฉันไปแน่ๆ...-
ไม่สิ ดูร้อนตัวไป เอาใหม่ๆ-*-
ผมสัมผัสปลายกล่องข้อความบนหน้าจอมือถือเพื่อดีลีททิ้งข้อความงี่เง่าอันแรกทิ้ง
-ฉันไปเลทนิดหน่อย แต่ไปแน่ๆ ดึกเจอกัน- อันนี้ละโอเคกว่า~
ผมกดส่งข้อความเป็นภาษาจีนกลางให้เจ้าอู๋ฟานไป หมอนี่ใจเย็นสุด พวกเขาคงบอกกันต่อเองหลังจากนั้น ถ้าผมต้องมาฟังเจ้าเซฮุนนั่นบ่นเป็นคนแก่กับจงอินที่ติดนิสัยจิกกัดผมไม่เลิกอีกละก็ ผมยอมโดนพี่อิมคยุนกักบริเวณสักสามเดือนยังจะดีกว่า
มันน่ารำคาญจริงๆนะ…
ความหงุดหงิดทำให้ผมอยากจะสูบบุหรี่ขึ้นมาเสียดื้อๆ
แน่นอนผมโดนสั่งห้ามเอาไว้เพื่อป้องกันภาพลักษณ์ของตัวเอง แต่ตอนนี้ ในห้องน้ำนี่น่าจะไม่มีปัญหา
ถึงมันจะมีป้ายห้ามสูบบุหรี่ก็เถอะ แต่ตามร้านเนื้อย่างเกรดล่างๆแบบนี้ การติดป้ายno smoke ก็เหมือนกลับกลายเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นsmoking areasอย่างช่วยไม่ได้
นี่ อย่ามองผมแบบนั้นซี่..-3-
ผมกำลังคิดว่าถ้าผมแต่งงานเมื่อไหร่ผมก็คงจะเลิกมันเองได้เองล่ะ แต่ตอนนี้ นอกจากผู้หญิงทั่วๆไปที่เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยที่ผมไม่ได้ใสใจอะไรเท่าไหร่แล้ว มันก็ไม่มีใครที่ผมคิดว่าจะร่วมชีวิตไปด้วยสักคน เพราะฉะนั้น เรื่องนั้น เอาไว้คิดที่หลังดีกว่า
หรือเป็นเพราะลุคสดใสที่ผมโดนยัดเยียดให้ได้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรนะ...
..
โชคดีที่มีเพียงชายคนสองคนที่เพิ่งเสร็จธุระแล้วเดินออกไป ตอนนี้ห้องน้ำจึงเงียบสงบใช้ได้เลย
ผมเลือกมุมในสุด ก่อนที่จะหยิบมวนบุหรี่ยี้ห้อแพงที่แอบซื้อจากฮ่องกงเมื่อสามสี่วันก่อนหลังจากบินไปเปิดตัวหนังเรื่องปัจจุบันที่ผมได้รับเล่นออกจากเสื้อ
ไฟแชคที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงถูกเปิดฝาพร้อมกับไฟสีเหลืองที่พวยพุ่งโดนปลายบุหรี่ที่คาบเอาไว้
ควันสีขาวคลุ้งพวยพุ่งผ่านจมูกและปากของผมช้าๆ มันน่าแปลกที่ผมมักจะคิดว่ากลิ่นเหม็นที่ใครๆก็ตามที่ไม่เคยสัมผัสมันและเอ่ยถึงมันว่าน่าขยะแขยงเพียงไร แต่เวลานี้มันกลับทำให้ผมรู้สึกตัวเบาและผ่อนคลายจนแทบบ้า
แค่ก แค่ก
-_-
เสียงไอจากที่ไหนสักแห่งซึ่งผมไม่ได้สนใจนักดังขึ้น
แค่ก แค่ก แค่ก
มันเริ่มอย่างไม่ยอมหยุด ผมดึงมวนบุหรี่ที่พร่องไปแล้วส่วนนึงจากการสูบให้ละลงจากปากอย่างนึกรำคาญ เวลานี้ไม่มีใครอยู่ในก้องน้ำสักคนนี่นา เสียงสูดน้ำมูกเริ่มแทรกเข้ามา และเสียงไอก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ผมมองหาต้นเสียงจนสุดท้ายก็รู้ว่ามาจากอะไรในที่สุด…
เด็กตัวเล็กคนนึงที่ยืนหันซ้ายหันขวา ส่วนสูงกระจิดริ้ดทำให้ผมไม่ทันสังเกต เขาเอามือเล็กๆนั้นขยี้จมูกตัวเองไปมาจนเริ่มเป็นสีแดง และ.เจ้าตัวเล็กนั้นยังคงไอต่อไปไม่เลิก
“ทำไมต้องมาไออะไรนักหนาข้างฉันด้วย - - โตมาผู้ชายอย่างเราเจ้าสิ่งนี้ นายก็จะคุ้นกับมันเองนั้นละ”
ผมพูดมันออกไปแบบนั้นเอง ทันที่ที่เจ้าเปี้ยกเริ่มสูดน้ำมูกเสียงดังอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยดวงตาที่มีน้ำใสรื้นอยู่เต็มไปหมด
=_=
อะไรกัน
เจ้าหมอนี่กำลังทำให้ผมรู้สึกผิดรึไงเนี่ยะ-*-
“พ่อแม่นายอยู่ไหน จะเข้าห้องน้ำรึไง โน่น ส้วมชักโครกอยู่ตรงโน้น มายืนมองฉันอยู่ได้”
O.O
“.......”
เจ้าเด็กตัวเล็กยังคงยืนสูดน้ำมูกนิ่งๆอยู่แบบนั้น โอเคผมเข้าใจว่าเด็กตัวเท่าหัวเข่าผมในตอนนี้ยังคงยืนถ่ายอะไรทำนองนั้นกับโถของผู้ใหญ่ไม่เป็นแต่อย่างน้อยพ่อแม่เขาก็ต้องสอนไม่ใช่รึไง --
สายตาแบบนั้นมันทำให้ผมต้องเอาปลายบุหรี่จิ้มกับขอบอ่างน้ำจนดับไปในที่สุด
ผมเกลียดสายตาที่ทำให้รู้สึกผิดแบบนี้ชะมัดเลย-*-
“ชิน นายอยู่ไหน ” เสียงเอะอะที่เริ่มไกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้ผมเห็นผู้ชายผิวขาวซีดคนนึงในชุดเสื้อยืดฮู้ดลำลอง วิ่งทะเร่อทะร่าเข้ามา เขาน่าจะอายุราวๆกับผมนี่ล่ะ หมอนั่นเรียกชื่ออะไรสักอย่างที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นชื่อเจ้าตัวเล็กนี่
บางที การมีลูกตอนที่ยังหนุ่มแน่นอาจจะมีผลดีรึปล่าวนะ
“ลูกชายนายอยากจะเข้าห้องน้ำน่ะ” ผมพูดก่อนที่จะเดินผ่านร่างสูงที่อยู่หน้าห้องน้ำออกไป โดยไม่ลืมที่จะเขวี้ยงบุหรี่ที่ดับแล้วลงถังขยะข้างอ่างล้างหน้า
แต่เจ้าตัวขาวกลับพูดบางอย่างแบบที่พวกยายแก่ชอบบ่น
“นายสูบบุหรี่ในห้องน้ำได้ยังไงกัน...”
น้ำเสียงเย็นชาที่ขัดกับหน้าตาที่ดูใจดีนั้นกำลังเอ่ยถามผมรึปล่าวนะ
ผมหันกลับไปช้าๆก่อนที่จะมองหน้าเจ้านั่น
-_-
โอ..เขาคุยกับผมจริงด้วยๆ สายตาของเขาดูไม่เป็นมิตรเลยให้ตายสิ
“เห็นตอนฉันสูบรึไงล่ะ— เรื่องแค่นี้จะซีเรียสอะไรนักหนา”
“ไม่เห็นรึไงว่ามันเป็นร้านอาหาร ....พวกเด็กๆเยอะแยะไปหมด..”
“เห่อะ..เจ้าบ้านี่—“ ผมเผลอหัวเราะในลำคอออกมา ผมกำลังแสดงหนังที่ตัวเองกำลังรับบทเป็นวายร้ายอยู่รึปล่าว หมอนี่กำลังเล่นบทพระเอกกู้ชีวิตเหล่าเด็กๆ ให้พ้นจากปีศาจควันไฟอย่างผมงั้นสิเนี่ยะ!? หรือว่าผมคิดไปเองกันนะ
เจ้าซุปเปอร์แมนนั่นอุ้มเด็กเปี้ยกขึ้นไว้กับตัวก่อนที่จะเดินบ่นงึมงำออกไปโดยที่ไม่สนใจผมอีก
เสียงฝีเท้าที่เริ่มเบาลง แสดงให้รู้ว่าพวกเข้าออกไปจนพ้นทางเดินแคบๆที่เชื่อมมายังห้องน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
-*-
บางสิ่งบางอย่างบนพื้นห้องน้ำที่ฝ่าเท้าผมกำลังจะบดขยี้มัน สร้างความสนใจ ทำให้ผมต้องก้มลงไปหยิบมันขึ้นมา
นาฬิกาเรือนเล็กสีสันสดใสตกอยู่กับพื้น บางทีอาจจะเป็นของเจ้าตัวเล็กเมื่อกี้ที่ยืนขยี้หน้าขยี้ตาเป็นลูกหมาติดเชื้อเมื่อครู่นี้ก็ได้
ผมสะบัดน้ำออกจากมันนิดหน่อยก่อนที่คิดว่าน่าจะเดินออกมาตามหาเจ้าของ มันก็คงดีถ้าพวกเขายังจากไปไม่ไกล
ผมไม่ใช่วายร้ายขนาดนั้นหรอกน่า~^^
จากการวิเคราะห์ของฟานลู่หานร้านเนื้อย่างมีชั้นในที่สามารถจองห้องได้ กับชั้นนอกที่นั่งกินรวมกันเป็นโต้ะๆ
ครอบครัวนั้นก็คงจะนั่งรวมๆกับคนอื่นอยู่ด้านนอก ซึ่งผมกำลังยืนในตำแหน่งที่มองเห็นได้รอบๆ
….
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมกำลังจะทำความดี มันมักจะเป็นแบบนี้เสียทุกครั้ง
“ ลู่หาน พวกเราจะกลับแล้ว มัวยืนทำบ้าอะไรยะ ไวไวๆ!”
เขาทำให้ผมตกใจอีกแล้ว
เสียงพี่อิมคยุนทำให้ผมต้องขานกลับอย่างช่วยไม่ได้ เพราะกลุ่มคนและทีมงานที่สร้างเสียงหัวเราะเอะอะ เพราะความเมาส่วนนึงกำลังเคลื่อนตัวมาทางผมแล้ว
พวกเขาคงกินกันเสร็จแล้วสินะ
นาฬิกาเรือนเล็กถูกยัดลงกระเป่ากางเกงรวมกับไฟแชคไปโดยปริยาย ขืนผมยึกยัก ต้องเป็นเป้าสายตาแน่ๆ
“ผมกำลังจะไปแล้วครับพี่”
..
ไว้ถ้าเจอกันอีกครั้ง ฉันจะซื้อเรือนใหม่ให้เลยนะไอ้ตัวเล็ก..
=_=อ่า...
ผมคิดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้วสินะ ฟานลู่หาน'
+++++++++++
จบพาร์ทแรกอย่างอะเลื่อยเฉื่อย เนื่องจากงานเยอะค่ะ ฮี่ๆๆ ต้องรับมาอัพแล้วรีบไป (อีกแล้ว)
ฝากฟิคชานโด้เรื่องเก่า(ที่ก็ยังไม่จบT-T)
กับเรื่องใหม่เรื่องนี้ด้วยนะคะ^^/
ราตรีสวัสดิ์ค่า^^
ความคิดเห็น