ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    "จิ๊กโก๋โช กับ ไฮโซทศ"

    ลำดับตอนที่ #2 : แผนที่หนึ่ง... เหมือนจะ(ไม่)เวิร์ค

    • อัปเดตล่าสุด 17 ส.ค. 55




    “ถามตัวเองดีกว่าว่าหน้าอย่างมึง  เค้าจะอยากได้ทำผัวมั้ย”

     

                    ป๋าย้อนนิ่งๆ  ทำเอาผมสะอึกไปเบาเบา

     

                    ฉึ้ก... กก...ก!

     

                    แต่ระดับนี้แล้ว... ไม่มีคำว่าป๊อดว่ะครับ  น้องนางฟ้าทำพี่โชไว้แสบมากกก  แปลว่าถ้าไม่ได้ตัวคืนมาขัดดอก  เอ๊ย! คืนทุนทั้งต้นทั้งดอก  จิ๊กโก๋โชคนนี้จะเอาหน้าหล่อๆ ไปซุกไว้ที่ไหนล่ะคราวนี้

     

                    ผมส่องกระจก  เซ็ตผมลวกๆ ด้วยความเคยชิน แล้วคว้าโทรศัพท์มากดหาเบอร์ลูกน้องคนสนิท

     

                    “เฮ้ยไอ้ต๋อง  ตอนนี้ว่างมั้ย  ไม่ว่างเหรอ... อ้าว  ทำอะไรอยู่”

     

                    ผมกุมขมับ  ไอ้ลูกน้องที่รักของผมกำลังกิ๊บกิ้วกับแฟน  คิดแล้วของขึ้น... ขนาดไอ้ต๋องมอเตอร์ไซค์วินปากซอยยังมีแฟน  แล้วหนังหน้าระดับน้องๆ ณเดชน์อย่างกูล่ะ!

     

                    คิดแล้วก็รีบกรอกเสียงเครียดลงไปทันที

     

                    “ไม่  มึงไม่ต้องมาโอดครวญอะไรทั้งนั้น  กูมีภารกิจฟิชโช่ชิ้นใหญ่ให้มึงทำ”

     

                    ผมยิ้มมุมปาก  ในใจคิดล่วงหน้าไปถึงวันที่นางฟ้าน้อยๆ โดนเด็ดปีกสิ้นฤทธิ์อยู่ในอ้อมกอด  นั่งป้อนขนมกันอยู่บนมอไซค์วิน.....

     

                    “ตกลง  พรุ่งนี้ห้าโมง  ที่เดิม”

     

                    .

                    .

                    .

     

                    “มีอะไรเหรอน้องซิน  เอะอะโวยวายกันถึงหน้าร้านเลย”

     

                    เสียงผู้หญิงออกสำเนียงจีนนิดๆ ถามดังอยู่หน้าห้อง   เราถอนหายใจ  วางสมุดโน้ตเล่มหนาลงบนเตียงตามเดิมแล้วเดินไปเปิดประตูพร้อมกับยิ้มนิดๆ

     

                    “ไม่มีอะไรครับคุณป้า  พอดีซินไปเจอคนทำคุณบูชาโทษมานิดหน่อย  เลยไล่เขากลับไปแล้วครับ”

     

                    “ลื้อแน่ใจนา...”  สีหน้าคนถามยังดูวิตกกังวล  เราเหลือบมองโรลม้วนผมสารพัดสีบนหัวคุณป้าอย่างเกรงใจ ...ไอ้หัวโตโรคจิตนั่นก่อเรื่องจนได้

     

                    “ครับ  คุณป้ากลับไปนอนเถอะครับ  ค่ำแล้ว”

     

                    “อ้ะ  โอเคๆ  ลื้อว่าไม่มีอะไรอั๊วะก็สบายใจ...”

     

                    คุณป้าทิพย์ หรืออีกชื่อที่เราพอจะได้ยินลูกค้าแถวนี้เรียกกันว่า ‘เจ๊กวง’ ส่ายหน้าช้าๆ แล้วเดินสะลึมสะลือกลับไปยังห้องนอน   ปากก็บ่นลุงเฮง สามีตัวเองไปด้วย  ทำนองว่า “เห็นไหมล่ะว่าไม่มีอะไร”

     

                    เรารอจนทันเห็นแผ่นหลังในชุดนอนแพรลายดอกเหมยใหญ่ๆ ลับหลังไปแล้วค่อยปิดประตูช้าๆ  ถึงตอนนี้  การถอนหายใจอีกเฮือกคงจะไม่เป็นอะไรหรอกนะ...

     

                    .

                    .

                    .

     

                    “เอาล่ะ  จุดหมายใหญ่ที่กูเรียกพวกมึงมาวันนี้  ก็เพราะมีภารกิจหลัก...”

     

                    ผมนอนเอกเขนกบนเบาะมอเตอร์ไซค์วินของไอ้ต๋อง  มีลูกน้องยืนกุมของสงวนตีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมรอรับคำสั่งอยู่รายรอบ  ผมดีดนิ้ว  เริ่มเปิดประชุมด้วยการรินแม่โขงใส่แก้วก๊งเวียนให้จิบกันคนละกรึ๊บไปรอบๆ วง  ส่วนตัวเองกระดกจากปากขวดกลมที่ไปหยิบมาจากบ้านคนอื่นขึ้นดื่มเรื่อยๆ  พยายามเก๊กแววตาให้ดูเจ้าเล่ห์เหมือนในหนังที่ไอ้ต๋องมันเชียร์ให้ลองทำเวลาสำรวจมุมหล่อของตัวเอง

     

                    เมื่อเวียนกันกรึ๊บจนครบวงแล้ว  ผมก็เข้าวาระแห่งชาติทันที

     

                    “... ไอ้ต๋อง  ไหนรายงานสถานการณ์ทีซิ”

     

                    มือที่คีบบุหรี่ไว้เฉยๆ ไม่ได้จุดชี้ไปทางลูกน้องผอมกะหร่องที่กำลังเขย่าแก้วใบเล็กอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อเค้นน้ำสีอำพันหยดสุดท้ายให้ไหลลงมาสู่ลิ้น   คนถูกเรียกทำท่าสะดุ้ง  คิดอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะพูดออกมาตามสคริปต์ได้

     

                    “เอ้อ... อ้า... คือว่า  ตอนนี้หลานเจ๊กวงเจ้าของตลาดบางนกเอี้ยง- -“

     

                    “เดี๋ยวๆ”  ผมขัด  “...เอคโค่ด้วย  กูชอบฟังเอคโค่  มันดูยิ่งใหญ่  พูดใหม่... ทำเสียงคล้ายๆ งานบุญบั้งไฟประจำปี  โอเค้?”

     

                    “ครับเฮียๆ”  สาบานได้ว่าผมเห็นไอ้ลูกกระจ๊อกกลอกตาใส่  “คือว่าตอนนี้หลานเจ๊กวง... กวง... กวง... เค้าเพิ่งจะกลับมาจากเมืองนอก... นอก... นอก...”

     

                    ลูกน้องทุกคนที่เหลือเงียบกริบ  ท่าทางตั้งใจฟัง 

     

                    อา... ประทับใจจัง  บารมีหัวหน้ากูมันแผ่ไปได้สวยเหมือนกันนะเนี่ย  หึ...หึ

     

                    “แล้ว... แล้ว.. แล้ว... ลูกพี่โชต้องการ...การ...การ”

     

                    ถึงตอนนี้ไอ้ต๋องไอแค่กๆ  สงสัยการเอคโค่ติดๆ กันจะทำให้คอแห้ง  ผมส่งแม่โขงแก้วน้อยๆ ให้มันกลั้วคอ  แล้วตัดสินใจว่า... กูพูดเอาเองง่ายกว่า (ว่ะ)

     

                    “เอาล่ะ  พวกแกก็เห็นแล้วใช่มั้ยว่าน้องซินหลานคนสวยของเจ๊กวงเป็นนางฟ้าที่เหมาะจะมาประดับบารมีกูแค่ไหน...”

     

                    แสรด  ใครทำเสียงสำลักวะ!  ได้ยินนะเว้ย

     

                    “เออ  น้องซินไม่คู่ควรกับบารมีกูก็ได้  ...เพราะยังไงๆ กูก็หล่อเกินกว่าจะมีใครหน้าไหนๆ มาเทียบเคียงข้างกันง่ายๆ อยู่แล้ว”  ผมยักไหล่สไตล์ผู้ชายหล่อลากกระชากตับทั่วไปที่เห็นการมีแฟนสักคนเป็นเรื่องชิลล์ชิลล์  ลูกน้องส่วนใหญ่เบือนหน้าหนีรัศมีการมองของผมไปชั่วครู่  กลับมาอีกทีทุกคนกัดปากแน่น  ก้มหน้าต่ำไม่ยอมสบตา

     

                    อะไรวะ  กูพูดอะไรผิด? 

     

                     “แต่รายนี้กูชอบ... และน้องซินก็ได้ทำกูไว้แสบมาก  และตามคติพจน์ของกู  ไอ้โชฆ่าได้  หยามได้  แต่อกหักไม่ได้  เพราะกูหล่อ  ดังนั้นพวกมึงต้องมาช่วยกันคิดแผนการว่าจะทำยังไงดี  ลูกพี่สุดหล่อของมึงถึงจะได้น้องซินคนสวยมาควง”

     

                    บังเกิดความเงียบขึ้นอีกครู่ใหญ่  ผมจ้องไปรอบๆ เพื่อกดดันเอาคำตอบ  ในที่สุดไอ้เดฟ  หรือเด๊บบอร่า  กึ่งชายกึ่งหญิงคนเดียวประจำก๊วนเสื้อวินก็เสนอโพล่งขึ้นมาว่า

     

                    “เฮียก๊อฉุดซะเลยสิฮ้า  มัวมาประชุมอะไรเสียเวลา  อย่างเด๊บบอร่าว่า... ตบจูบ  ตบจูบ  เร้าใจดีเด๊บชอบบบ”

     

                    ผมต้องเหนี่ยวแฮนด์มอเตอร์ไซค์เอาไว้แน่นไม่ให้ตัวเองหงายเงิบตกลงมา  เมื่อคืนแค่ทักผิดจากน้องซินครับเป็นคนสวยจ๊ะก็โดนตบซะครบทั้งซ้ายขวา  นี่ถ้าดักฉุด... กูมิเหลือแต่โครงกระดูกเหลือวะ

     

                    “นั่นเป็นแผนสุดท้าย”  ผมเก๊กหน้าขรึม  พยายามก้มหน้าไม่ให้นังเด๊บมันสังเกตรอยแดงๆ รูปฝ่ามือ  “ใครมีอะไรจะเสนออีกไหม”

     

                    “เฮีย...”  ไอ้ม่อนยกมือ  “... เขาว่ากันว่า  สาวจะประทับใจมากถ้าหากเราทำตัวเป็นวีรบุรุษไปช่วย  เฮียก็ลองไปด้อมๆ มองๆ แถวบ้านเค้าแล้วรอให้เค้าขอความช่วยเหลือซิ”

     

                    ผมเงยหน้าขวับ

     

                    เป็นฮีโร่ในสายตาน้องซินคนสวยงั้นเหรอ...

                    .

                    .

                    .

     

                    เราเหลือบมองนาฬิกา... บ่ายสามโมงแล้ว  ปกติควรจะเป็นเวลาที่คนนอนดึกอย่างเราจะได้เวลางีบอีกสักหน่อย  แล้วค่อยตื่นขึ้นมาทำงานอีกทีตอนกลางคืน  หลังจากที่เมื่อคืนไม่ได้ทำทั้งงานแล้วก็ไม่ได้นอนด้วย  เพราะต้องตื่นขึ้นมาสู้รบกับไอ้หัวโตนั่นคนเดียว

     

                    เรียกอะไรไม่เรียก  มาเรียกว่า ‘น้องสาวคนสวย’

     

     

                    เฮอะ! เสียดายเมื่อคืนมันรีบเผ่นไปหน่อย  ไม่งั้นจะอัญเชิญมันไปดูตู้เก็บถ้วยรางวัลยิงปืน!

     

                    เราโยนหมอนสองสามไปลงไปสุมๆ กับกองผ้าห่มบนโซฟาริมหน้าต่าง  บรรยากาศชนบทนิดๆ รื่นรมย์น่านอนไม่แพ้ที่อังกฤฤษเลย 

     

                    เสียงดนตรีคลาสสิกคลอมาเบาๆ จากเครื่องเล่นบนโต๊ะใกล้ๆ  เราซุกตัวเองเข้าไปในกองผ้าห่มเรียบร้อยแล้ว  แต่มันยังคาใจตงิดๆ  จำได้ว่ามีกระจกส่องหน้าบานเล็กๆ ที่วางลืมทิ้งไว้บนโต๊ะตั้งแต่เมื่อคืน...

     

                    “อ๊ะ... เจอแล้ว”

     

                    เราอดไม่ได้ที่จะหยิบทิชชูมาเช็ดบานกระจกให้ใสปิ๊ง

     

                     มันติดนิสัยน่ะ...

     

                    สะอาดเอี่ยมใสปิ๊งแล้วก็ยกขึ้นมาพิจารณาโครงหน้าของตัวเองทีละส่วนๆ  พลางไล่นิ้วตามไปด้วยเพื่อจะได้แน่ใจว่ากวาดตาดูจนทั่วทุกอวัยวะ  ปลายนิ้วแตะเบาๆ ไปตั้งแต่หัวคิ้วจนปลายคางกลมมน

     

                    เราสวยตรงไหน... ไอ้บ้านั่นหัวโตซะเปล่า  ซีรีบรัม  ซีรีเบลลัม  ไฮโปทาลามัสอะไรคงกลวงโบ๋เบ๋

     

                    ก็แค่ตาเราโต  ขนตายาวเป็นแพ  จมูกโด่งหน้าใสกิ๊ก

     

                    ไหนลองยิ้มดูซิ... ปากบางๆ แดงนิดๆ  ก็ธรรมดาตามแบบลูกคนรวยสุขภาพดี  ไม่ได้เอาอะไรมาทาสักหน่อย

     

                    จะสวยได้ยังไง  โธ่เอ๊ย  ไอ้... ไอ้...

     

                    “ไอ้หัวโต... ไอ้ถั่วงอก... ไอ้ซีรีบรัมกลวง......”

     

                    ได้ด่ามันสักนิดค่อยยังชั่วหน่อย  รู้สึกหนังตาเริ่มปรือๆ  เราไสกระจกวางบนโต๊ะให้เข้าที่  หยิบผ้าห่มมาคลุมๆ แล้วตะแคงตัวงีบ...

     

                    ... ยังไม่ทันจะได้หลับตาก็ต้องสะดุ้งตื่นดังเฮือก

     

                    “เฮ้ย  มึงจะทำอะไรวะ!”

     

     

                    เสียงดังแปดหลอดคุ้นๆ  ดังมาจากข้างล่าง  ...เราแทบคราง  สองมือกุมขมับ เอาหมอนปิดหูแล้วนอนต่อ

     

                   “คิดจะทำอะไรวะ  ออกมานะเว้ย!”

     

     

                    กูจะนอน... เราคิดอย่างเศร้าใจ ...อะไรกันนักหนาเนี่ย

     

     

                    เสียงนั้นยังดังโหวกเหวกต่อไปไม่หยุด  คุ้นจัง... แต่จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินที่ไหน 

     

                    เราตัดใจลุกจากกองหมอน  สะบัดหัวไล่อาการมึนจากการก้มๆ เงยๆ  ลงไปดูที่ริมหน้าต่าง

     

                    ได้ยินเสียงต่อสู้กันดังอึ้กอั้ก  เห็นแค่ชุดดำกางเกงดำไวๆ  ไม่รู้ว่าเป็นใคร  กับผู้ชายใส่เสื้อลายดอกสีสดแปร๋น  ประมาณว่าเดินกลางทุ่งตอนแดดร้อนไม่ได้เพราะกลัวควายไล่กระทืบ  วิ่งตามกันเข้าไปข้างในสวน

     

                    โอ๊ยตาย... ถ้าคิดจะพลอดรักกันกลางบ้านคนอื่นกลางวันแสกๆ ยังงี้...

     

                    “มึงอย่าหนีนะเว้ย  ขโมยอะไรไป  เอาคืนมาให้หมด”

     
     

     

                    ขโมย?  ไล่จับขโมยกันงั้นหรือ

     

     

                    “ให้อยู่รอเข้าคุกหรือไง  แน่จริงตามมาจับเองซีวะ  ทั้งสร้อยทั้งเพชร... จะรวยก็คราวนี้แหละ”

     

     

                    ตายแล้ว...

     

                    เราหน้าซีด  เพิ่งเคยโดนขโมยขึ้นบ้านกลางวันแสกๆ  แถมตอนนี้คุณลุงคุณป้าไม่รู้หายไปไหน  เห็นบอกว่าจะเข้าไปในเมือง  ไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อไหร่

     

                    เรากลั้นใจย่องข้ามห้องไปช้าๆ  เปิดประตูตู้เซฟ  หยิบของบางอย่างออกมากำไว้อย่างพยายามอย่างมากไม่ให้มือสั่น  แล้วลงบันไดเงียบกริบ  ใจเต้นระทึก...

     

                    .

                    .

                    .

     

                    “มึงคิดว่าจะได้ผลเหรอวะไอ้ม่อน...” 

     

                    ผมกระซิบถามอยู่ในพุ่มดอกหนวดแมวสีสวย  แต่ขอโทษ... กลิ่นสะพรึงสะใจ!  เผลอฟัดกับไอ้ม่อน “โจร” ตามบทบาทแล้วไปโดนไอ้ดอกๆ พวกนี้ช้ำขึ้นมานิดนึงล่ะกลิ่นกระจาย  ไอ้โชก็ไอ้โชเถอะ... เห็นหน้าเลวๆ  หุ่นล่ำๆ อย่างนี้  กูแพ้เกสรดอกไม้นะเว้ยครับ  คิกขุป๊ะล่าาาา

     

                    ไอ้ม่อน  หรือตอนนี้คือโจรในชุดดำ  ที่ตาคาดหน้ากากแม่มดน้อยโดเรมีเอาไว้ ‘พรางใบหน้า’  ในมือมีถุงเครื่องเพชร (เส้นละสิบบาท  วางขายเรี่ยราดตามหน้าโรงเรียนประถม  จิ๊กน้องมาเป็นอุปกรณ์ประกอบ) พยักหน้าตอบ

     

                    “เออน่ะเฮีย  เมื่อกี้ไม่เห็นน้องคนสวยของเฮียเขาชะโชกหน้าลงมาเหรอ  แสดงว่าเขาสนใจ  แล้วก็คงจะตกใจด้วย  เอางี้เฮีย... ขั้นต่อไป  ถ้าเราได้ยินเสียงน้องคนสวยร้องหรือตะโกนให้ช่วยเมื่อไหร่  เฮียล็อคคอผมไปเสนอหน้าเอาผลงานได้เลย  แต่อย่าให้หน้ากากหลุดนะ  จะซวยกันหมดก๊ก"

     

                    “เออน่ะ”                        

     

                    “...ชู่ว์  ได้ยินเสียงคนเดินลงมาแล้วเฮีย”

     

                    ผมชะงัก  มองหน้าไอ้ม่อนเป็นเชิงตกลงสัญญาณ

     

                   ว่าแล้วเราก็ตุ้บตั้บกันต่อไปตามแผน 

               

                    “นั่นใครน่ะ  ออกมานะ”  

               

                     เอาเลยน้องคนสวย... ขอความช่วยเหลือให้พี่โชคนดีช่วยหน่อยเร็ว!

     

                   .

                   .

                   .

     

                    “นั่นใครน่ะ  ออกมานะ”

     

                   เรากลั้นใจถาม  ได้ยินเสียงทะเลาะกันดังมาจากทางพุ่มหนวดแมวริมรั้ว ... เอาล่ะ......

     

                   ... มีโอกาสครั้งนี้แค่ครั้งเดียว

     

                   เราหยิบถังน้ำที่เหลือจากการซักผ้าเมื่อสองวันก่อน  สาดเข้าไปในพุ่มนั้นเต็มแรง  อีกมือจับข้างกระบอกโลหะรมควันข้างเอวในท่าเตรียมพร้อม  ได้ยินเสียงคนร้องอย่างตกใจ  พรวดพราดขึ้นมาเผชิญหน้าตาตาเป๋อเหลอ

     

                   “อย่าขยับ  ไม่งั้นกูยิง!”

                   .

                   .

                   .

     

                   “อย่าขยับ  ไม่งั้นกูยิง!”

     

                   ฝ่าเท้าเปล่าๆ ย่ำผ่านสนามหญ้าเข้ามาทางนี้ช้าๆ  ดูระมัดระวังแต่แน่วแน่  ผมกลั้นใจมองลอดพุ่มใบหนวดแมว

     

                   อื้อหืม... หลังเท้าเนียนขาวปั๊วะ

     

                   ไอ้ม่อนลุกพรวดตั้งแต่ตอนโดนสาด  แล้วก็ชะงักค้างอยู่อย่างนั้น  ไม่ว่าผมจะสะกิดขาหา ‘แผนสอง’ จากมันอย่างไร  ร่างในชุดดำหน้ากากโดเรมีก็ไม่ได้ตอบกลับมา...

     

                   “ขโมยอะไรไป  จะเอาคืนมาดีๆ หรือจะให้แจ้งความ!”

     

                   น้องคนสวยสับนกขึ้นไกดังกริ๊ก... บาดรวดร้าวไปถึงหัวใจ

     

                   ชะรอยครั้งนี้  กรุงศรีแตกแน่แล้วไอ้โช...

     

                   มือขาวๆ กระชับอาวุธในมือแล้วส่ายกราด  ทำเอากูใจหายแว้บ...

     

                   ไอ้ม่อนกระมิดกระเมี้ยนลุกขึ้น  แต่มือกอด ‘ถุง’ ของกลางไว้แน่นไม่ยอมส่งให้คนพูด  ก็จะไปส่งให้ได้ยังไง  ในเมื่อไอ้ของในถุงน่ะ  เอามาจากบ้านโจร  ... ความคิดไอ้โชติวุฒิเอง  เอามาประกอบฉากให้ดูมีพร็อบ  สมจริง 

    ใครจะไปคิดวะว่ามันจะกลายเป็น “พร็อบเบลม” 

     

                   “เอาของคืนมา!”

     

                   น้องคนสวยยืนเท้าเอว  ทั้งที่มือข้างหนึ่งถือปืนไว้ในท่าเตรียมลั่นไก  ผมเห็นไอ้ม่อนกึ่งลุกกึ่งหมอบ  เหงื่อซึมปนกับน้ำผงซักฟอกโชกถึงแผ่นหลัง  ผมเองก็ไม่ต่างกัน  เอ่อ.. เป็นเพราะในพุ่มไม้มันร้อนกว่าข้างนอกต่างหากเล่า!

     

                   หลังจากที่ตอนแรกคิดไว้ว่าจะปรากฏกายออกมาในฐานะฮีโร่  ช่วยปกป้องน้องผมยาวคนสวยจากโจรอุกอาจ  ปล้นบ้านกลางวันแสกๆ 

     

                   กลายเป็นว่า  น้องคนสวยดันมีปืน  แถมดูท่าทางยิงแม่นไม่ใช่เล่นๆ เลย  สภาพเสื้อเปียกโชกตอนนี้นับได้ว่าจิ๊บจ๊อยมาก  เมื่อเทียบกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นมนอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า  หากว่าสถานการณ์ที่พลิกกลับนี้จะทำให้น้องผมยาวจับได้ว่า “เตี๊ยมกันมา”
     

     

                   โอ้... ฮาเลลูยา..  อาเมน...  อะมิตตาพุทธ...
     

     

                   ผมได้แต่สวดมนต์เอาใจช่วยไอ้ลูกกระจ๊อกให้รอดจากดินปืน  พลางไขว้นิ้วภาวนาไม่ให้น้องซินจ๋าคิดได้ว่า  ยังเหลือกูอีกคน...

     

                    “เดี๋ยวนะ... เมื่อกี้ได้ยินเสียงสองคน   อีกคนสมรู้ร่วมคิดหรือพลเมืองดี”

     

                    อุ๊ย  ชิบห่ะ!

     

                    ไอ้ม่อนอึกอัก  จนกระทั่งปากกระบอกโละหะเย็นเฉียบเลื่อนมาจนอยู่ห่างจากอกไปไม่กี่นิ้ว

     

                    “จะบอก  หรือจะไปโรงพยาบาลก่อนแล้วถึงจะเข้าคุก!”

     

                     ตะคอกทำไมกั๊นนน...  คุยกันดีๆ ก็ด๊าย T^T

     

                    ไอ้ม่อนยังคงไม่ตอบ  แม้ว่าปากคอจะสั่นอย่างเห็นได้ชัด

     

                   ระหว่างที่กำลังเครียด  ตาก็เหลือบไปเห็นรอยแตกของรั้วระแนงเข้าโดยบังเอิญ  รอยนั้นกว้างพอจะแอบมุดออกไปได้  แถมยังอยู่ห่างจากตัวไปไม่ถึงวา  ผมอึ้ง  ในใจกำลังชั่งน้ำหนักระหว่าง ตัวเองรอด  กับ ตายหมู่

     

                    ...เอาวะ...                               

                   
                   .

                   .

                   .

     

                   พุ่มหนวดแมวริมรั้วส่งเสียงสวบสาบ  เราสะดุ้ง  มือกำด้ามปืนแน่นขึ้นไม่รู้ตัว  เล็บแทบจิกเข้าไปในเนื้อ  เหงื่อบางส่วนเปียกซึมไรผม... นี่มีโจรกระจอกคนเดียวยังพอขู่ไหว  แต่ถ้ามากันเป็นแก๊งค์ล่ะก็... เสร็จแน่ 

     

                   ร่างสูงๆ ในชุดสีบาดตาอย่างที่เห็นตอนแรกลุกขึ้นยืนไม่เต็มความสูงนัก  มันหันหลัง  ชำเลืองหน้ามานิดเดียวเท่านั้นทำให้เราสังเกตหน้าไม่ค่อยถนัด  แต่สองมือชูขึ้นข้างหัว  บอกให้รู้ว่าไม่มีอาวุธใดๆ อยู่ในมือ

     

                   “จ... ใจเย็น  เอ่อ... นะจ๊ะ  น้อง  พี่เป็น... เอ่อ... คือว่าพี่อธิบายได้  พี่เป็น –“

     

                   มันหันหน้ามาช้าๆ  ทำเอาความหวังริบหรี่ที่คิดว่า ‘มัน’  อาจจะเป็น ‘เขา’ พลเมืองดีที่มาช่วยจับโจรเมื่อกี้จุดประกายขึ้นมาใหม่  เพราะว่าเสียงนี้คือเสียงเดียวกับที่ช่วยกันโวยวายให้เจ้าของบ้านรู้ตัวเมื่อครู่

     

                   แต่พอหันหน้ามา  เรากลับชะงักยิ่งกว่าโดนค้อนปอนด์ทุบหัวจังๆ ดังเปรี้ยง....

     

                   “อ... อ... ไอ้ถั่วงอกหัวโต!”

     

                   .

                   .

                   .

     

                   ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง  พวกเราทั้งหมด  อันประกอบไปด้วยน้องซินจ๋า  ไอ้ม่อน  และผม ก็เดินทางมาถึงโรงพัก  ด้วยสภาพเหนื่อยหอบเล็กน้อยเพราะรถติด  เห็นตัวเล็กๆ หน้าหวานๆ อย่างนั้นก็เถอะ... จับผมกับไอ้ม่อนมัดแขน  ปิดตา โยนรวมกันอยู่ในกระบะหลัง  แล้วตัวเองขึ้นไปนั่งรับแอร์ในห้องโดยสารบนรถอยู่คนเดียว  ลองนึกสภาพแดดร้อนเปรี้ยงกับรถติดในใจกลางกรุงเทพอีกยี่สิบนาทีดูเองแล้วกัน  ว่าจะร้อนละลายโลกขนาดไหน

     

                   ทันทีที่เท้าแตะสน.  ยังไม่ทันจะได้พักหอบ  มือเล็กๆ ขาวๆ ก็กระชากคอเสื้อชุ่มเหงื่อปนกับน้ำซักผ้าของผมขึ้นไปประกาศความดีความชอบ  แฉวีรเวรทั้งหมดของผมกับผู้หมวดคนหนึ่งโดยทันที

     

                   “ขอโทษนะครับ... จะมาแจ้งความ”

     

                   น้องคนสวยยิ้ม  ทำเสียงหวานกับผู้หมวดที่ก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรสักอย่างอยู่บนโต๊ะ

     

                   อ้าว... ไม่ใช่นี่หว่า  หมวดแอบอ่านการ์ตูน

     

                   “ยินดีรับใช้  กระผมผู้หมวดสแตมป์  ไม่ทราบว่าข้อหาอะไรครับ”

     

                   ไอ้ตำรวจคนนั้นเงยหน้ามาตอบด้วยน้ำเสียงและแววตาหวานไม่แพ้กัน  ผมชักของขึ้น  เพราะไม่ชอบไอ้หมวดนี่อยู่แล้วเป็นทุนเดิมด้วยเพราะมันมักจะเป็นแนวหน้าในการทลายวงไพ่ของกลุ่มชาวบ้าน  ซึ่งก็หมายรวมถึง “กิจการของคุณนายนุช” มารดาบังเกิดเหล้าของไอ้โชจะต้องเสียค่าปรับ  ค่าประกันตัวต่างๆ นานากว่าจะหลุดออกมาจั่วไพ่ต่อได้

     

                   แต่ตอนนี้ น้องซินนางฟ้ากำลังโปรยยิ้มให้มันพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้  และไม่ลืมที่จะกระชากหัวผมให้ลงมานั่งข้างๆ กัน  ส่วนไอ้ม่อนนั้นยืนสงบเสงี่ยมไม่กล้าหนีตั้งแต่เห็นจุดสามห้ามม. แล้ว

     

                   “บุกรุก  ลักทรัพย์  ก่อความวุ่นวาย”  น้องคนสวยสะบัดปลายผมดำยาว  หันกลับมาจิกตาใส่ผมขวับๆ  “... ขังลืมเลยยิ่งดี  คุณหมวดพอจะยัดข้อหาอะไรนอกจากนี้ได้มั้ยครับ”

     

                   คุณหมวด... เฮอะ!

     

                   ไอ้หมวดสแตมป์ยิ้มแป้นเป็นแป๊ะยิ้มตรุษจีน  ผมเลยยิ้มให้มันบ้าง กะเอาว่ากว้างแบบเห็นฟันครบสามสิบสองซี่แถมลิ้นไก่  แล้วกระทืบเข้าไปเต็มเท้าผู้หมวด

     

                   ไอ้แป๊ะยิ้มสะดุ้งเฮือก  แต่ในเมื่อมีแต่คนยิ้มหวานราวกับประกวดชายงามรอบสุดท้าย  เลยไม่มีผู้ต้องหาในคดีกระทืบเท้าผู้หมวด

     

                   “จะไม่ยอมความกันเลยหรือไงคร้าบบบ  ก็บอกแล้วว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจ... นะจ๊ะ... นะจ๊ะ”

     

                   ผมโอดครวญ  พยายามตีสีหน้าให้น่าสงสาร

     

                   แต่ดูเหมือนว่าทั้งไอ้หมวดแป๊ะยิ้ม  และน้องซินจ๋าดูจะพร้อมใจกันไม่ได้ยิน

     

                   “ยอมความเห๊อะ! นะหมวดนะๆๆ”

     

                   ผมตื้อ  จนกระทั่งหมวดแป๊ะยิ้มดูจะเห็นใจ  เขาพยักหน้านิ่งๆ ไปทางน้องซิน

     

                   “จะยอมความไหมครับ”

     

                   ผมชักมีความหวัง  กะพริบตาปิ๊งๆ ให้นางฟ้าตัวเล็ก  ผมยาวแทนคำวิงวอน

     

                   น้องซินยิ้ม... แปลว่า  รอดแล้วกู

     

                   “ตกลงครับ...”

     

                   “เอาเป็นว่าผมจะไม่ลงบันทึกประจำวัน  แต่ตกลงกันได้ระหว่างเจ้าทุกข์กับผู้ต้องหา คุยให้เสร็จตรงนี้เลยนะครับ”

     

                   “ครับ...” น้องคนสวยเอามือเท้าคาง  “...ผมไม่เอาผิด ‘น้องคนนั้น’”

     

                   มือขาวๆ สวมแหวนวงใหญ่ชี้ไปทางไอ้ม่อน  ไอ้ลูกกระจ๊อกของผมมีสีหน้าระริกขึ้นทันตา

     

                   “แต่คุณแจ้งว่ามีผู้ต้องหาสองคน  แล้ว...”

     

                   หมวดสแตมป์พยักเพยิดมาทางผม  ซึ่งเสียวสันหลังวาบๆ รออยู่ก่อนแล้ว...

     

                   ดูเหมือนว่าทุกสายตาจะจ้องมาทางนี้  รวมทั้งตำรวจเวรคนอื่นๆ ในโรงพักด้วย  พวกนี้ผมคุ้นเคยกันดี  เพราะรู้จักกันตั้งแต่ตอนประกันตัวคุณนายนุชครั้งแรก

     

                   “ไม่ยอมครับ”

     

     

                   “เฮ้ย!”

     

                   “เอาอย่างนี้แล้วกัน  ผมจะขังเขาไว้ก่อน  ถ้ายังไม่มีเงินมาประกันตัว  ก็ต้องขังเขาเอาไว้อย่างนี้”

     

                   "เฮ้ย  อะไรวะ!”

     

                   ผมแทบกรี๊ด  เมื่อหมวดสแตมป์กวักมือเรียกนายตำรวจอีกคนมาเปิดประตูห้องขัง

     

                   “งั้นผมกลับนะครับ  ขอบคุณคุณหมวดมากเลย”

     

                   “เฮ้ยยยย  ไม่ให้กลับเว้ย!  มาประกันตัวกูก๊อนนน  กูไม่ได้ท้ามมม!”

     

                   น้องซินสวยชะงักเท้า  หันกลับไปมองผมที่ลอดมือไขว่คว้าแสงสุดท้ายนอกมุ้งสายบัว

     

                   มือเล็กๆ ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง  หยิบกระเป๋าตังค์หนังสีน้ำตาลเข้มมันระยับออกมา   คลี่ๆ ธนบัตรมูลค่าหนึ่งร้อยปนหนึ่งพันบาทหลายใบออกมานับ  แบงค์หลากสีหลากมูลค่าสะบัดน้อยๆ

     

                   ... ผมมองตามอย่างมีความหวัง

     

                   สุดท้าย  ปลายนิ้วเรียวเล็กก็เกี่ยวเอาแบงค์แดงออกมาได้ใบหนึ่ง  สมองไอ้โชรีบประมวลผลอย่างรวดเร็ว  เจ้าของเรือนผมดำยาวและริมฝีปากสีลิ้นจี่หยักน้อยๆ เดินถือธนบัตรใบแดงแรงฤทธิ์ออกมาส่งให้ผู้หมวด

     

                   อะฮ้า... ให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน  คราวนี้รอดจริงๆ แล้วเว้ยเฮ้ย 

     

                   น้องนางฟ้ายิ้มหวานเชื่อม  คว้ามือไอ้ผู้หมวดนั่นมาหมับ  แล้วบรรจงสอดเงินเข้าไปในฝ่ามือของไอ้หมวดแป๊ะยิ้ม

     

                   ยุบหนอ... พองหนอ... อดทนหนอ....

     

     

                   รอกูออกไปได้ก่อนเถอะมึง!  ไอ้แป๊ะยิ้มสีกากี  โถ่ว...

     

     

                   “ขอโทษนะครับ  รบกวนเอาเงินไปแล้วช่วยซื้อข้าวผัดกับโอเลี้ยงให้คุณพี่เขาแกล้มๆ ปากพอไม่ให้พูดมากด้วยนะครับ  ขอโทษจริงๆ ที่พามาฝากขังแล้วทำให้วุ่นวาย  กลับก่อนนะครับ...”

     

                   “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด!!!  น้องคนจ๋วย... ไอ้ม่อนไปไหนวะ... กลับมาหากูก๊อนนน!!!”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×