ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ★rhyme lies ทำนองที่ไม่ได้ยิน★

    ลำดับตอนที่ #2 : chapter I

    • อัปเดตล่าสุด 5 เม.ย. 61



     

    -1-
     

     

    แปะๆ  ๆๆ ๆ

    จู่ๆฝนก็เทห่าลงมาฉับพลันราวกับมีผู้ใดมาปรบมือกราว ผู้คนต่างรีบวิ่งกันหาที่หลบฝนกันจ้าละหวั่น มีเพียงเด็กสาวใส่แว่นหนาเตอะ ผมเผ้ารุงรังคนเดียวที่ก้าวเท้าฉับๆ แต่มีจังหวะที่สม่ำเสมอ เดินเอื่อยๆแบบไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเม็ดฝนที่มาชะโลมร่างจนเปียกปอน กลับรู้สึกสดชื่นและสบายใจในความชุ่มชื่นของสายฝน ราวกับได้เป็นหนึ่งเดียวกับมัน หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกับเสียงของหยดฝนที่กระทบกับพื้นคอนกรีตในเมืองหลวง เป็นเมโลดี้ที่งดงามราวกับมีใครมาบรรเลงมัน


    เมื่อเดินเข้าไปหลบฝนในบริเวณใต้สะพานลอยที่มีเป็นเพิงเล็กๆ พอจะแทรกตัวเข้าไปได้ ก็กุลีกุจอล้วงหาโทรศัพท์ที่สั่นมาตั้งนานแล้ว ขึ้นเบอร์โชว์ของคนคุ้นเคยที่มักจะโทรมาในเวลาใกล้ค่ำเป็นประจำ


    "ค่ะ คุณแม่ .."

    (ลูกอยู่ที่ไหนแล้วคะ)

    "ตอนนี้หนูกำลังจะกลับค่ะ รอรถอยู่ค่ะ"

    (ลูกมีเพื่อนกลับมาด้วยใช่ไหมคะ)

    "อ่อ ..ค่ะ" กี่ครั้งนับไม่ถ้วนที่จำต้องโกหกแม่ เพื่อให้ท่านได้สบายใจ ไร้ความเป็นห่วงกังวลจนต้องถลามาถึงที่นี่ แต่ตัวเองกลับใจคอไม่ดีเลยที่ต้องทำแบบนี้

    (พอลูกใกล้ๆถึงแล้ว โทรมาหาแม่ใหม่นะคะ เดี๋ยวแม่ออกไปรับหน้าปากซอย)

    "ค่ะๆ ..เดี๋ยวอีกสักพักจะโทรกลับไปอีกทีค่ะ"  เธอรีบวางสายทิ้งทันที แล้วตรวจเช็คอีกทีให้แน่ใจว่าไม่มีสายค้างคาอยู่ เผื่อทำเสียงเล็ดลอดออกไปจะดูไม่เนียน เธอเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าอย่างช้าๆ พลางชะเง้อมองหาสายรถเมล์ที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาเลย จนสายตาได้หยุดไปอยู่ที่ตีนสะพายลอย หวนคิดไปถึงวันเวลาที่เธอได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ และความทรงจำนั้นได้ไปหยุดที่ "เขา" อีกครั้ง


    "รัสตี้ .." แพตตี้พึมพำชื่อเขาเพียงเบาๆ ไม่หวังที่จะส่งเสียงเล็ดลอดออกมา ความรู้สึกในใจเอ่อล้นเกินบรรยาย หวนกลับไปคิดถึงเขาอีกแล้ว ภาพวันนั้นต่างจากวันนี้แค่เพียงฝนไม่ตก และเธอก็ไม่ได้อยู่คนเดียวในสภาพบรรยากาศเหงาๆแบบนี้

    ... ต่อให้อยากจะลืมนายไปยังไง นายก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีที่ยากจะลืมลง ฉันคิดถึงนายจริงๆ รัสตี้ ...




    เสียงหยดฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสายทำให้แพตตี้ไม่ทันได้สังเกตถึงความมีตัวตนของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา สายตาที่มองมายังร่างแบบบางที่บ่งบอกถึงความรู้สึกไม่ถูก เขาไม่แน่ใจว่าควรจะเดินเข้าไปหาเธอดีไหมก่อนที่จะไม่มีวันนี้อีก เขาพยักหน้าให้กับตัวเองแล้วเอื้อมมือเข้าไปจะจับที่บ่าข้างหลังเด็กสาวในชุดนักเรียนที่เปียกปอนเพียงเบาๆ 


    ทว่า....สายรถที่แพตตี้รอก็ได้มาถึง เด็กหนุ่มได้พลั้งมือเมื่อเด็กสาวที่วิ่งเบียดเสียดกับคนอีกหลายคนที่แย่งกันขึ้นรถท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำโชกโชน กว่าจะได้ขึ้นไปบนตัวรถก็เปียกชุ่มไปทั้งตัวและหัวใจ พอแพตตี้ได้ขึ้นรถเรียบร้อยแล้วก็เผลอมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เส้นผมหยักศกที่เปียกชุ่ม กับผิวแทนสีน้ำผึ้ง จมูกโด่งเป็นสันภายใต้ดวงตาที่มองมาแน่นิ่ง ให้ความรู้สึกน่าหวาดหวั่น แต่ลึกๆแล้วดูอบอุ่นและเป็นมิตร ไม่น่าแปลกใจเลย ที่หลายคนจะชื่นชอบในตัวเขา แพตตี้เองก็หลงใหลความดีในตัวเขามากกว่ารูปร่างหน้าตาเสียอีก ....


    "รัสตี้ .." แพตตี้เผลอยิ้มครั้นพอสบตากับเด็กหนุ่มคนนั้น และเขาก็ยิ้มจางๆมาให้เธอเช่นกัน รอยยิ้มนี่แหละที่ทำให้มิตรภาพที่ดีก่อตัวได้เสมอ รถที่ค่อยๆเคลื่อนตัวไป เด็กสาวโบกมืออำลาเพื่อนคนสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต กับการที่ได้แอบชอบใครสักคน


    ... ถึงฉันจะทำตัวแย่ต่อเธออย่างไร เธอก็ยังคงทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีแสนดี ไม่ได้เก็บการกระทำนั้นๆมาใส่ใจ ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกดีๆกับเธอมากขึ้นทุกที ฉันคงชอบเธอจริงๆสิน่ะ รัสตี้ ...

     

    ********************


    ตึก ตึก   

    บนถนนวิภาวดีรังสิต ห่างไม่ไกลจากที่ที่แพตตี้ได้ขึ้นรถ ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวขึ้นทางสะพานไป เธอเอามือกุมที่หัวใจโดยอัตโนมัติราวกับมีอะไรมาดลใจ เป็นเหมือนความรู้สึกที่ถูกบีบแน่นจนชวนให้หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม เหงื่อเม็ดโป้งไหลออกมาตามซอกนิ้วที่กำแน่น ในไม่ช้ารถก็เกิดเบรกแตกกะทันหัน พุ่งเข้าชนแนวขอบกั้น ส่งเสียงเบรกไปหลายร้อยไมล์กว่าจะหยุดได้



    เอี๊ยด ดด  ด ...



    โครม !



    วี๊ ว๊อ วี๊ ว๊อ

    เสียงไซเรนรถพยาบาลเหมือนกับเสียงเตือนจากยมทูตที่แอบมองอยู่ที่ไหนสักแห่งไม่ไกลไม่ใกล้จากอุบัติเหตุครั้งนี้ ยมทูตที่จะมาเปลี่ยนแปลงชะตากรรมไปตลอดกาล

     


    "แพตตี้!" เด็กหนุ่มผิวสีแทนอมน้ำผึ้ง วิ่งกระหืดกระหอบเข้าหาที่เกิดเหตุอย่างไม่คิดชีวิต ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ กอปรกับความสับสนอลหม่านความวุ่นวายที่เร่งพาคนเจ็บขึ้นรถพยาบาล ทำให้เขาไม่สามารถปรี่ตัวเข้าหาฝูงชนที่มารุมมาตุ้มได้



    "ช่วยหลีกทางให้เจ้าหน้าที่ด้วยครับ" พวกเขาค่อยๆทยอยลำเลียงคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาลใกล้ๆ เสียงไซเรนรถพยาบาล ผสานกับเสียงไซเรนของรถตำรวจมาเคลียร์พื้นที่ โดยมีเสียงผู้คนจอแจเป็นเสียงประกอบ 


    "ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ แล้วทางนี้จะติดต่อไปเอง ช่วยไปลงชื่อที่สามารถติดต่อกลับได้ด้วยนะครับ ขอให้ช่วยโปรดหลีกทางให้เจ้าหน้าที่ปฎิภารกิจได้สะดวกและรวดเร็วที่สุดครับ" 



    ความรู้สึกที่พร่ามัว สุรเสียงที่คุ้นหู ก่อนที่สติสัมปะชัญญะของเด็กสาวที่นอนจมกองเลือดจะไม่รับรู้อะไรอีกเลย 


     ********************


    ซา ซา ตึก ตึก



    หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกับเสียงของหยดฝนที่กระทบกับพื้นคอนกรีตในเมืองหลวง เสียงเปียโนคัพเวอร์ เป็นท่วงทำนองที่งดงามราวกับมีใครมาบรรเลงมัน เด็กสาวที่นอนหายใจรวยรินบนพื้นคอนกรีตถ่ายทอดท่วงทำนองออกเป็นตัวอักษรได้อย่างง่ายดาย  


    Falling slowly, sing your melody...


    I'll sing along...


    It's still raining and I still miss you.

     

    ... อะฮึก ฟินกับความรู้สึกนี้ จากที่ไม่เคยมีใครเข้าใจอะไรเราเลย และสื่อสารกับใครก็ไม่ได้ แต่เสียงๆนี้กลับทำให้โลกอันแสนโหดร้ายนี้ เข้าใจอะไรได้ง่ายๆ ....



    ที่เขาว่าภาษาดนตรีเป็นภาษาที่แปลยาก เพราะเราไม่รู้ว่าทำนองหนึ่งๆนั้น จะสื่อสารออกมาเป็นตัวอักษรอย่างไร นอกจากเราจะซึมซับความรู้สึก เข้าถึงตัวเพลงเอง คนแต่งเพลงนี่ก็เก่งเนอะ ทำให้ทำนองมันมีชีวิตได้ เสียงเพลงยังคงดังกึกก้องตลอดทางที่เธอเดินไปตามระเบียงทางเดินเชื่อมตึกที่ถูกปูด้วยกระเบื้องสีแดงเพลิง สองข้างทางเป็นแมกไม้สีเขียวขจี ลมโชยมาคลับคลอกับเสียงนกร้อง เข้ากันได้ดีกับบทเพลงนี้



    "ที่นี่ที่ไหนกันนะ .." เกิดคำถามขึ้นมาในใจ แต่ไม่ได้เอะใจอะไร ยังคงเดินไปตามทางเดินเชื่อมเข้าไปในตัวตึกสีขาวที่อยู่สุดปลายทางเดิน เลี้ยวไปตามทางบังคับ มีสวนพักผ่อนแบบญี่ปุ่นตรงข้ามกับที่จังหวะการก้าวได้ชะงักลง เมื่อรู้สึกว่าได้เข้าใกล้เสียงเพลงนั้นไปทุกที



    เบื้องหน้าเป็นชายหนุ่มในชุดสีขาวกำลังพรมปลายนิ้วพริ้วไหวประหนึ่งสายฝนที่โปรยปราย เกิดเป็นทำนองเพลงหนึ่งที่โลดแล่นราวกับเป็นคำพูดที่พรั่งพรูออกมาไม่หยุด ฉับพลันเธอเอามือกุมหัวใจตัวเองเพราะรู้สึกเจ็บปวดแปลบที่ขั้วหัวใจ จนถึงกับต้องทรุดตัวลงไปกองกับพื้นไม้ปาเก้ขัดเงา ภาพเบื้องหน้าเลือนลาง จนทุกสิ้งทุกอย่างกลายเป็นสีดำ
     

     

    *******************
     

    ตุ้บ !


    เสียงเพลงได้หยุดลงกลางคัน ในเวลาเดียวกันที่ชายหนุ่มในชุดสีขาวได้หันหลังกลับมามองที่หน้าประตูตรงที่เด็กสาวแปลกหน้าล้มลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นแล้ว แสงจากดวงอาทิตย์ฉายเข้ามาในเวลาพอดีกับที่เธอเงยหน้าขึ้นมามอง เสียงฝีเท้าจังหวะที่มั่นคงได้เดินเข้ามาใกล้จุดที่ล้มลง ทว่า....แสงแยงตาเลยไม่อาจเห็นหน้าค่าตาเขาได้อย่างชัดเจน ภาพนั้นได้พร่าเลือนกลายมาเป็นห้องสีขาว มีกลิ่นอายคล้ายๆอยู่ในโรงพยาบาลที่ส่วนใหญ่แล้วจะมีเอกลักษณ์เฉพาะ 


    "อ๊ะ ..ลูกลืมตาแล้ว" เสียงคนคุ้นเคยทำเอาค่อยๆเลิกเปลือกตาที่หนักอึ้งอย่างยากลำบาก เพื่อมองดูบุคคลที่มารายล้อมอยู่รอบๆเตียงที่นอนอยู่



    "ที่นี่ที่ไหนค่ะ" แพตตี้พยายามเปล่งเสียงอันแหบแห้งที่เหมือนไม่ได้พูดมาหลายวัน คุณแม่ก็เลยไปหยิบน้ำเปล่ามาให้จิบแก้วหนึ่ง เธอรับมาดื่มโดยไม่ได้พูดอะไร เหลือบตาไปมองรอบๆ



    "ลูกหลับไปสามวันเต็มๆเลยนะ รู้ไหมจ๊ะ" แพตตี้รับน้ำมาดื่มอึกๆ ก่อนที่แทบจะสำลักออกมาเมื่อได้ยินเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ 



    "สามวันเลยเหรอค่ะ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นค่ะ" เธอรู้สึกเหมือนกับว่ามันได้ผ่านไปแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง ตอนที่ได้พบกับผู้ชายที่เล่นเปียโนหลังสวนสวยนั้น



    "ลูกประสบอุบัติเหตุ รถเมล์พุ่งเข้าชนกับที่กั้นนะจ๊ะ ดีน่ะที่หมอบอกว่า แค่สลบไป"



    "สุดยอดปาฎิหาริย์เลยครับพี่ มีคนเสียชีวิตทั้งคันแน่ะ แต่มีพี่รอดคนเดียว ...โอ๊ย เจ็บน่ะแม่" น้องชายวัย 10 ขวบตะโกนร้องด้วยความตื่นเต้นจนเผลอพูดออกมา แม่เลยตีน้องเข้าให้ แล้วทำท่าไม่ให้พูดเรื่องนี้ออกมาอีก ราวกับกลัวจะเสียบุตรสาวอันเป็นที่รักไปเหมือนคนอื่นๆตามหัวข้อข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์



    ตายยกคันเลยเหรอ ...



    "โชคดีแค่ไหนแล้วที่พี่สาวเรารอดมาได้นะ ยังจะพูดไม่เป็นมงคลอีก" แม่เอ็ดน้องอีกยกใหญ่ ทำเอาน้องหน้าซีดไปเลย จากที่ห้องนี้เต็มไปด้วยความเงียบจนน่าอึดอัด ตอนนี้มีเสียงครึกครื้นจนเธอเผลอยิ้มออกมา น้ำตาระรื้นด้วยความปลื้มปีติ ที่อย่างน้อยก็มีครอบครัวที่รักฉัน เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข



    สักพักก็มีเสียงประตูถูกเปิดออกพรวดพราด ส่งผลให้ทุกคนในห้องหันไปมองที่มาของเสียง ในแวบแรกที่เห็น ปันหยีมีสีหน้าตื่นตระหนกราวกับพบเรื่องที่น่าตกใจอะไรมา รีบร้อนวิ่งมาจนเหงื่อท่วมตัว เธอยืนนิ่งหอบแฮ่กๆทันทีที่เห็นเพื่อนรักก็ค่อยๆสงบสติลง  แล้วเดินปรี่ตรงเข้ามาหาที่เตียง


    "แก .." ปันหยีที่เบาใจลงแล้ว แต่ก็ยังพูดไม่ออก เธอจับมือไว้แน่นแทนคำพูดทั้งมวล แพตตี้จึงได้แต่ส่งยิ้มให้กับเพื่อนแทนคำตอบที่ว่า 

    ...อืม ไม่เป็นไรแล้ว... 


    ปันหยีเข้ามาประคองกอดด้วยมิตรภาพที่มั่นใจได้ว่าแน่นแฟ้น เกินกว่าใครจะมาทำลายลงได้ เมื่อก่อนเธอไม่เคยจะเชื่อว่าจะมีใครรักเธอได้ด้วยหัวใจที่แท้จริง น้ำตาเอ่อล้นปริ่มเบ้าตา ที่ตื้นตันใจที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ เสียงประตูดังเอี๊ยดอ๊าด ค่อยๆแง้มออกมาอีกครั้ง เด็กสาวบนเตียงผู้ป่วยนั่งตัวแข็งทื่อ ชะงักอ้อมกอดของเพื่อน เมื่อปรากฎร่างผู้ชายผิวสีน้ำผึ้งคนหนึ่งในกระจกหน้าต่างที่สะท้อนออกมาตรงประตูพอดี ตามมาด้วยเสียงเรียกของเพื่อนร่วมชั้นที่ค่อยๆทะยอยกันเข้ามา จนห้องแน่นขนัด


    "อ้าว ..มากันแล้วเหรอ" ปันหยีส่งเสียงเรียกเพื่อนๆให้เข้ามา ก่อนที่จะปาดน้ำตาทิ้ง  แล้วกระซิบเบาๆที่ข้างหูเพื่อน


    "ทีนี้ก็ไม่ต้องคิดมากแล้วนะ รู้เปล่า แกไม่ได้อยู่คนเดียวสักหน่อย ยังมีเพื่อนๆมากมายคอยเธออยู่นะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสตี้กังวลมาก พอรู้ว่าแกประสบอุบัติเหตุน่ะ" สิ่งที่แพตตี้ได้ยิน แทบไม่อยากจะเชื่อกับหูตัวเองเลย จะดีใจดีไหม แต่ทว่ากลับท่าทางรู้สึกอึดอัดใจมากกว่า รัสตี้เป็นเพื่อนที่ดีมากก็จริง แต่ทำไมที่ผ่านมาถึงทำเป็นไม่สนใจล่ะ รัสตี้เป็นเพื่อนชายเพียงคนเดียวในกลุ่ม จึงค่อนข้างให้เกียรติเพื่อนผู้หญิงแต่ทำไมถึงมีแค่แพตตี้ที่เขาไม่ใส่ใจ ไม่ไว้ใจไว้หน้ากันเลย แพตตี้ส่ายหน้า ครุ่นคิดถึงความเป็นไปไม่ได้      


    "แพตตี้ ไม่เป็นไรแล้วนะ ค่อยยังชั่วหน่อยเนอะ รัสตี้" เสียงหนึ่งในกลุ่มเพื่อนเอ่ยขึ้นขัดความคิดนี้ขึ้นมา ก่อนหันไปหารัสตี้ที่มองมาที่เตียงนิ่ง สายตาที่ทอดมองมาเหมือนกับตอนที่พบกันครั้งสุดท้ายบนรถเมล์คันนั้น



     "อืม .." รัสตี้ยิ้มให้กับเพื่อนคนนั้น แล้วหันกลับมาที่เธอ ค่อยๆเดินมาที่เตียงช้าๆ


    "รัสตี้กลับกันเถอะ ตอนนี้ดึกมากแล้วอ่ะ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ดีกว่าให้แพตตี้ได้พักผ่อนก่อนนะ เพิ่งฟื้นเองนี่"  เพื่อนอีกคนเอ่ยขัดมา ทำเอารัสตี้หยุดชะงัก หันไปมองที่หน้าต่าง ก็เลยไม่ได้ขัดเพื่อน พยักหน้าเห็นด้วย 


    ...เพราะอย่างนี้ไงล่ะ นายเชื่อเพื่อนคนอื่น แต่กลับไม่เคยเชื่อฉันเลยสักครั้ง แล้วจะให้ฉันเชื่อใจนายงั้นเหรอ... 



    "งั้น แพตตี้เรากลับกันก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้จะมาใหม่จ๊ะ"  เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น ก่อนจะพากันเดินออกไป เพียงแค่นี้แล้วทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพเดิม เพื่อที่จะไม่ให้เป็นแบบนั้นอีก เธอจะต้องลืมพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะลืมเธอ เป็นความจริงที่ไม่อยากรับรู้เลย 


    ...ใช่แล้ว สิ่งที่ฉันต้องการ ก็คือความจริงใจของพวกเขา ....


    "พวกเธอเป็นใครกันนะ" เพื่อนๆที่หันหลังกลับไปแล้ว หันกลับมามองที่คนพูดอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ทุกคนต่างนิ่งเงียบไม่อาจหาเรื่องอะไรมาพูดได้



    "พะ แพตตี้ แกไม่ได้แกล้งล้อกันเล่นเหรอ ฮ่ะๆ ก็เพื่อนร่วมห้องไง" ปันหยีพูดตะกุกตะกัก แสร้งหัวเราะแห้งๆทั้งที่ใจคอกลับรู้สึกไม่ดี ราวกับมีลางสังหรณ์ไม่ชอบมาพากล 


    "..." แพตตี้แสร้งมองหน้าพวกเขาอย่างลอยๆเหมือนกับคนที่ไม่เคยรู้จักกัน  


    "เป็นไปไม่ได้น่า .."


    "ฉันไม่รู้ว่าพวกเธอพูดถึงเรื่องอะไรกัน" เพื่อนๆทุกคนต่างตกใจในสิ่งที่แพตตี้พูดออกไป แม่เห็นดังนั้น ใจคอเริ่มไม่สู้ดี จึงไปตามหมอมาดูอาการลูกสาว


    ...ขอโทษค่ะ แม่ หนูไม่ใช่ว่าอยากลืมไปทุกอย่างหรอกนะคะ แค่ไม่อยากรู้จักตัวเองในสภาพแบบนี้เลย ...

    แพตตี้มองตามหลังแม่ที่รีบร้อนไปเรียกหมอ เธอไม่รู้ว่าจะโกหกไปได้อีกนานแค่ไหน
      แต่ยังไงก็จำเป็นต้องทำแบบนี้ 


    "โธ๋...แพตตี้ ฉันเองปันหยี เป็นเพื่อนของเธอไง จำไม่ได้เหรอ" ปันหยีทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แพตตี้อดไม่ได้ที่จะสงสารเธออยู่เหมือนกัน แต่ก็ช่วยไม่ได้นะ อยากจะลืมเลือนความจริงอันโหดร้ายที่ต้องเจอ มันก็เหมือนกับการหลอกตัวเองนั่นแหละ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ไม่ใช่เหรอที่ต้องทำแบบนี้ 


     

    "..เพื่อนเหรอ???" จริงๆแล้วฉันเคยมีเพื่อนด้วยเหรอ 


    "อื้อ..." 

    "..." รัสตี้ที่นิ่งมานานเอ่ยขึ้นบ้าง "แพตตี้ ..." เธอหันไปมองที่มาของเสียงที่ไม่ได้ยินมานาน ดวงหน้าที่ฉายแววของความไม่เข้าใจลอยมากระทบประสาทสัมผัส ความรู้สึกต่างๆได้หวนกลับคืนมาอีกครั้ง เธอรีบสะบัดความคิดออกไป ใช่ ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น 


    "..." แพตตี้เหม่อลอยไปที่หน้าต่างโดยไม่ได้พูดอะไร ก่อนตัดพ้ออย่างเลือดเย็นเป็นเชิงขับไล่พวกนกกาที่มาเกาะเกี่ยวเด็กหนุ่ม "พวกเธอเรียกฉันว่าแพตตี้กันเหรอ แต่ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ชื่อแพตตี้หรอก พวกเธอคงจำฉันผิดแล้วล่ะ ออกไปกันเถอะ!" 



    "แล้วจะให้ฉันเรียกเธอว่าอะไรล่ะ" รัสตี้ยังคงวางสีหน้าได้เรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พูดจาเชิงหยอกเย้าเหมือนเคย 

    "จะไปรู้เหรอ ฉันเป็นใครยังไม่รู้เลย แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ไงก็ไม่รู้ โอ๊ยยยย ปวดหัว กลับไปกันสักทีได้ไหม" แพตตี้คิดที่จะแสร้งทำเป็นปวดหัวเพื่อที่จะไม่ได้มีใครมายุ่งกับเธออีก ยิ่งถามเดี๋ยวจะยิ่งความแตก


    ฉับพลันเธอกลับรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าโดยไม่มีสาเหตุขึ้นมาจริงๆ ตาพร่ามัวจนมองเห็นหน้ารัสตี้เลือนราง คล้ายจะเป็นลมหน้ามืดอย่างไรอย่างนั้น เธอจึงต้องล้มลงไปนอนขดตัวอยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวด ก่อนสติจะพลันดับลง ทำนองเพลงนั้นก็ดังแว่วเข้ามา ทำให้เด็กสาวได้เคลิ้มหลับไปในอ้อมกอดของเด็กหนุ่มคนที่ยืนอยู่ใกล้เธอที่สุด ..


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×