ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    NIRVANA

    ลำดับตอนที่ #2 : NIRVANA Episode 001 - เด็กหนุ่มผู้หลงทาง

    • อัปเดตล่าสุด 20 มิ.ย. 55


               ท่ามกลางซากศพมากมาย ความมืดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณก็ยังไม่สามารถบดบังความน่ากลัวของสถานที่นี้เอาไว้ได้ และ ณ ที่นี้เอง ใจกลางซากศพและอาวุธที่สูญเสียเจ้าของไป มีอีกร่างหนึ่งที่เป็นผู้พรากชีวิตของเจ้าของอาวุธพวกนี้ไปนั่งอยู่เพียงลำพัง

                ดวงตาไร้แววของร่างที่นั่งอยู่บนก้อนหินทอดสายไปที่เส้นขอบฟ้า การต่อสู้ ความตาย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำ ทุกวัน ทุกเวลา หน้าที่ของชายหนุ่มผู้นี้คือสังหารทุกชีวิตที่เข้ามาในระยะสายตาและห้ามปล่อยให้หลุดออกไปด้านหลังเป็นอันขาด

                ไม่รู้ว่าเวลาผ่านมานานเท่าไร ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้มอบหน้าที่นี้ให้ และไม่รู้ว่าจะต้องทำไปอีกนานเท่าไร

                เหตุผลทุกอย่างนั้นถูกเวลาชะล้างไปหมดแล้ว

                ในดินแดนที่ไร้แสงอาทิตย์นี้ มีเพียงสิ่งเดียวที่ดำรงอยู่ได้ นั่นก็คือพลัง

                และผู้ที่มีพลังมากที่สุดใน นรก แห่งนี้ก็มีเพียงเขาเท่านั้น

                และก่อนที่ดวงตาอันไร้อารมณ์จะถูกปิดลง ก็ได้มีแขกผู้มาเยือนก้าวเข้ามาในดินแดนแห่งนี้อีกครั้ง

                "อ๊ะ เจอแล้วๆ" เสียงอันร่าเริงที่ไม่เข้ากับสถานที่เอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้แขนอันเรียวยาวมาทางเขา

                กลุ่มของผู้มาเยือนในครั้งนี้นั้นเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างแปลกไปกว่ากลุ่มปกติที่เขาพบเจอมาก่อน ไม่ใช่ปิศาจที่ดุร้าย ไม่ใช่มนุษย์ที่ถืออาวุธน่ากลัว และไม่มีดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความโหดร้าย

                "โอ้โห ไม่อยากจะคิดเลยว่าหมอนี่เฝ้าที่นี่คนเดียวมาหลายพันปี" ชายหนุ่มผู้เป็นหนึ่งในกลุ่มมองไปรอบๆบริเวณพลางทำสีหน้าหวาดๆ

                "ก็ใครจะไปคิดได้ล่ะ ว่าอวตารของหมอนั่นจะหลุดเข้ามาสุดขอบนรกแบบนี้ได้"

                "เอาน่าๆ เอาเป็นว่าเรามาพาหมอนี่ออกไปกันก่อนเถอะ"

                หนึ่งในห้าของผู้มาเยือนเดินเข้ามาหาพร้อมกับรอยยิ้มที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก แต่ถึงจะสงสัยอย่างไรหน้าที่ของเขาก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

                นั่นคือ สังหารทุกชีวิตที่เข้ามาในสายตา

                ดาบเล่มใหญ่ที่ปักอยู่ข้างลำตัวถูกเรียกเข้ามาในฝ่ามือพร้อมกับตวัดไปทางผู้บุกรุก

                เคร้ง!!

                เสียงของโลหะปะทะกับโลหะเรียกเอาสติของผู้บุกรุกทั้งหมดขึ้นมาในทันที

                "เฮ้ย อย่าบอกนะว่าหมอนี่ลืมไปแล้วน่ะ!"

                "ถ้าถูกทิ้งไว้ที่นี่เป็นเวลาพันกว่าปี การจะลืมตัวตนของตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกนะคะ"

                "ถึงจะบอกอย่างนั้นก็เถอะแล้วเราจะเอาอะไรไปชนะหมอนี่ได้ล่ะ"

                ก่อนที่จะพูดอะไรได้มากกว่านั้นร่างอันคุ้นเคยก็กระเด็นเลงมากลางวง เรียกเอาสติของทุกคนหันกลับไปมองต้นตอในทันที

                "บ้าน่า คุณเรลิคน่ะเลเวล 400 เชียวนะ นี่ยังไม่ถึงนาทีโดนซะเละขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย"

                "ระวัง" หญิงสาวในกลุ่มคนหนี่งเรียกไม้เท้าสีขาวบริสุทธิ์ออกมาวาดขึ้นตรงหน้า เรียกตราสัญลักษณ์ออกมาเพื่อป้องกันการโจมตีของสิ่งที่ทรงพลังที่สุดในนรกแห่งนี้

                ดาบสีดำเล่มใหญ่ส่งเสียงกรีดร้องถี่รัวยามเมื่อกระทบกับม่านพลังสีฟ้าที่ถูกเรียกขึ้นมาป้องกัน

                "ซิลเวีย" ผู้คนในทีมถึงกับตะลึงเมื่อหญิงสาวที่รับการโจมตีเมื่อครู่ถึงมีเลือดซึมออกมาจากริมฝีปาก

    "บ้าไปแล้ว โจมตีทะลุม่านป้องกันของคทาระดับ 9 ได้ด้วยเหรอเนี่ย"

                เปรี้ยง

                เมื่อแรงปะทะถึงจุดสูงสุดที่ดาบสีดำจะรับได้ มันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆคามือของผู้ที่ฟาดฟันมันลงมา อีกสามคนที่เหลือรีบตั้งสติพร้อมกับดิ่งเข้ามาเพื่อจู่โจมร่างที่ไร้อาวธตรงหน้า แต่ถึงจะสูญเสียอาวุธไปร่างนั้นก็ไม่ได้มีความกริ่งเกรงเลยแม้แต่น้อย อาวุธชิ้นใหม่ถูกเรียกขึ้นมาในมือแทนที่ดาบเล่มยักษ์อย่างรวดเร็ว

                ฟุ่บ

                เคียวเล่มยักษ์ตวัดเข้าใส่สามร่างที่พุ่งเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง เรียกเอาเลือดจำนวนมากจากผู้ที่เข้ามาจู่โจมทั้งสาม หนึ่งในนั้นลงไปนอนหมดสภาพในทันที ส่วนอีกสองถึงแม้จะมีแผลยาวที่แขนแต่ก็สามารถป้องกันการจู่โจมเมื่อครู่ได้ทัน

                "ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว อย่างน้อยก็ต้องลดพลังของหมอนี้ให้ได้มากที่สุดแล้วค่อยให้ซิลเวียปิดท้ายลากมันกลับไปให้ได้" หนึ่งในสองคนที่ยังพอจะสู้ได้ในเวลานี้สะบัดมือเรียกดาบคู่ใจของตนขึ้นมาและพุ่งเข้าใส่ร่างสีดำที่สวนกลับเข้ามาเช่นเดียวกัน

                อินฟินิท เฟลมซอร์ด!!

              เปรี้ยง

                เสียงปะทะรุนแรงของการจู่โจมอันทรงพลังทำเอาบุคคลที่เหลือกระเด็นออกไปคนละทาง

              โฮลี่ โมนูเมนต์!!

                ซิลเวียที่พอจะฟื้นพลังของตนได้เล็กน้อยรีบรีบสร้างอาณาเขตของตนเองขึ้นมาทันที สัญลักษณ์สีฟ้าที่มีจุดกึ่งกลางจากหญิงสาวนามว่าซิลเวีย แผ่ออกขึ้นปกคลุมสมาชิกในทีมอีกสามคนก่อนที่จะปลิวออกไปจากสถานที่ต่อสู้ได้ทันท่วงที

                "รีบฟื้นพลังเร็วเข้า!! โอโรจิ น่าจะต้านได้อีกไม่นาน" ซิลเวียตะโกนขึ้นพลางควงคทาของตนกระแทกลงบนพื้นอีกครั้ง

                เบลส ออฟ ก็อด!!

                สิ้นเสียงของหญิงสาวบาดแผลทั้งหมดของพรรคพวกก็ค่อยๆฟื้นฟูขึ้นมาจนหายไปไม่เหลือแม้แต่ริ้วรอยใดๆทั้งสิ้น

                "ตื่นขึ้นมาได้แล้ว ไอ้คนขี้เซาเอ้ย" โอโรจิวาดดาบคู่ในมือเข้าปะทะกับเคียวสีดำที่โค้งงอน่ากลัวอย่างไม่กริ่งเกรง "ถ้าแกยังไม่ตื่นอีกล่ะก็ได้ซ้ำชั้นแน่นะเว้ย"

                ลาส ดรอบ ออฟ ฟินิกซ์!!

                พริบตาที่คำสั่งท่าไม้ตายถูกเรียกออกมาร่างของโอโรจิก็ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงร้อนแรงจนสามารถบิดเบือดบรรยากาศรอบข้าง ดาบทั้งสองหลอมรวมกับมือจนแขนของโอโรจิมีรูปร่างคล้ายกับหอกเล่มเรียว

                ร่างสีดำรีบถอยห่างออกจากเปลวเพลิงในทันที เมื่อสัญชาติญาณของตนบอกว่าสิ่งที่ศัตรูกำลังจะทำนั้น เป็นการจู่โจมที่อันตรายต่อตนเองมากแค่ไหน

                โอโรจิยกศอกขึ้นมาจ่อปลายหอกเข้าหากัน เมื่อโลหะสีแดงเข้มทั้งสองกระทบกันเปลวเพลิงก็ลุกโชนขึ้นมาจนเปลี่ยนรูปร่างของหอกคล้ายปีกของวิหคเพลิง

                "รู้ไหมว่าทุกคนเหนื่อยแค่ไหนกว่าจะมาถึงจุดนี้" โอโรจิลอยตัวขึ้นด้วยพลังที่ปะทุออกมาจากร่างกายสายตายังคงจับจ้องไปยังร่างเบื้องหน้าโดยไม่กระพริบ "ตื่นซะทีเซ่ ไอ้เพื่อนเฮงซวย!"

                กรัมมาติกา อินเฟอโน!!

                เปรี้ยง!!!

              ร่างของโอโรจิกลายเป็นเส้นสีแดงพุ่งผ่านศัตรูเบื้องหน้าในพริบตาก่อนจะลงมายืนบนด้านหลังอย่างแผ่วเบา

                เปลวเพลิงที่ล้อมรอบค่อยๆสลายไปทีล่ะน้อยดาบคู่ในมือเองก็เริ่มแตกร้าวทีละนิด "ที่เหลือฝากด้วยนะ"

                โอโรจิใช้แรงเฮือกสุดท้ายชูนิ้วโป้งไปยังพรรคพวกที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะเบือนสายตาไปยังร่างสีดำที่ยังคงนิ่งค้างอยู่กับที่

                "...ตื่นขึ้นมาให้ได้นะเฟ้ย..."

                โอโรจิที่สิ้นเรี่ยวแรงทั้งหมดค่อยๆล้มลงพร้อมกับเสียงของอะไรบางอย่างปริแตกออกมา             ณ จุดที่ร่างสีดำยืนอยู่พลันปรากฏเป็นเสาเพลิงร้อนแรงที่ม้วนเข้ามาสู่จุดศุนย์กลางก่อนที่จะบีบอัดสิ่งที่อยู่ข้างในและระเบิดออกมา

                ตูม!!!!

              ร่างสีดำทีถูกโจมตีเป็นครั้งแรกลอยเคว้งอย่างควบคุมไม่ได้ จากแรงระเบิดของการโจมตีที่แลกด้วยชีวิตของโอโรจิ หมวกเกราะสีนิลพลันปรากฏรอยร้าวจากกลางหน้าผากลงมาที่ระหว่างคิ้ว

              ..."โอ้ย ออมมือบ้างไม่เป็นรึไงฟะ" ความทรงจำที่อยู่ลึกลงไป ความทรงจำที่ปิดผนึกเอาไว้เพื่อไม่ให้ลืมเลือนสิ่งสำคัญ ตอนนี้มันผุดขึ้นมอย่างควบคุมไม่ได้

              "ราชสีห์น่ะ ถึงแม้จะล่ากระต่ายก็จะทุ่มสุดแรงเสมอ"

              "จะบอกว่าแกเก่งเหมือนสิงโตว่างั้นเหอะ"

              "เปล่า จะบอกว่าโอโรจิกระจอกเหมือนกระต่ายต่างหาก"

              "ตายซะเถอะแก" หลังจากฟังคำตอบเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มผมแดงก็กระโจนเข้าใส่เพื่อนซี้เพื่อหาทางชนะนอกเกม

              เสียงหัวเราะของตัวเขา และเพื่อนรอบข้างดังก้องขึ้นมาอย่างร่าเริง

                ก่อนที่จะถูกย้อมด้วยความมืดและเลือด

                "อ๊าก!!!" ร่างสีดำพลิกตัวกลางอากาศลงมายืนกับพื้นและพุ่งเข้าใส่อีกสี่คนที่เหลือเคียวในมือแหลกสลายไปด้วยการโจมตีของโอโรจิเมื่อครู่ถูกโยนทิ้งไปและแทนที่ด้วยหอกยาวแบบอัศวินยุโรปโบราณ

                "ต่อไปฉันเอง" น้ำเสียงที่ร่าเริงไม่เข้ากับบรรยากาศเอ่ยขึ้นพร้อมกับกระชับสนับมือ "ดูเหมือนว่าอีตาบ้านั่นจะกรุยทางไปได้เยอะแล้ว ถ้าอย่างนั้นมันต้องกระทุ้งด้วยของคุ้นเคย"

                ว่าจบร่างเล็กก็ทะยานเข้าใส่ศัตรูที่พุ่งเข้ามา เพียงแต่ความแตกต่างระหว่างทั้งสองคือ หนึ่งใช้พื้นเป็นฐานส่งแรง ส่วนอีกหนึ่งใช้อากาศเป็นฐานส่งตัว

                สำหรับศัตรูที่มีความว่องไวสูงการจู่โจมเป็นจุดก็ไร้ประโยชน์ ร่างสีดำเหยียดขาออกเบรคกับพื้นพร้อมกับเหวี่ยงหอกในมือจนกลายเป็นคลื่นพลังแผ่ออกเป็นจันทร์เสี้ยว

                ถึงแม้การโจมตีนี้จะกินวงกว้างเพียงใด ก็ไม่สามารถทำอะไรร่างเล็กที่มีความคล่องตัวถึงขีดสุดนี่ได้เลย หญิงสาวพลิกตัวในท่าที่เกินขีดจำกัดของมนุษย์ทั่วไป ราวกับว่าร่างเล็กๆนั่นไร้แกนของร่างกายที่เรียกว่ากระดูกก็ว่าได้

                "โหลด ไลท์ แคทริดส์"

    เลเซอร์ แคนนอน!!

    ลำแสงสีขาวขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่ร่างสีดำที่ชะงักหลังจากการจู่โจมเมื่อครู่ แต่ถึงแม้การสวนกลับนั้นจะรวดเร็วเพียงใดร่างสีดำก็สามารถที่จะแหวกลำแสงนั้นด้วยหอกในมือได้อย่างง่ายดาย

    ถ้าหากว่าลำแสงนั้นไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่ง

    ทุกครั้งที่หญิงสาวสะบัดหมัดออกมาลำแสงก็จะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมๆกัน และความเร็วของหมัดที่ว่านั้นเร็วเกินกว่าที่จะนับได้ ลำแสงหลายพันเส้นสาดเข้าใส่ร่างสีดำอย่างไม่ยั้งมือ

    แต่ถึงแม้จะโดนกระหน่ำจู่โจมเข้าใส่แบบไม่ยั้ง แต่ดูเหมือนว่าพลังทำลายของหญิงสาวจะไม่สามารถทะลุเกราะป้องกันของศัตรูได้เลย

    "ของจริงน่ะมันหลังจากนี้ต่างหากเล่า" โดยที่ไม่มีใครรู้ตัวหญิงสาวได้มาอยู่ด้านหลังของศัตรูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และก่อนที่ร่างสีดำจะหันกลับไป อะไรบางอย่างก็พุ่งเข้ามาใส่ที่ใบหน้าในพริบตาต่อมา

    เรพิด แรบบิท พั้นซ์!!

    แม้ว่าชื่อท่าไม้ตายของหญิงสาวจะดูหน่อมแหน้ม พลังทำลายก็ไม่ได้มากมาย แต่จุดเด่นของของมันอยู่ที่จำนวนหมัดที่ถูกปล่อยออกมาภายในเสี้ยววินาทีต่างหาก

    ร่างสีดำลอยขึ้นด้วยแรงกระแทกที่มองไม่เห็น เมื่อคิดจะจู่โจมสวนกลับหญิงสาวผู้จู่โจมก็จะระดมหมัดเข้าใส่แขน ข้อมือ ศอก เพื่อหยุดยั้งการโจมตีนั้น และเมื่อร่างกายของเธอถึงขีดสุด หมัดส่งท้ายก็ซัดเข้าที่หน้าเต็มเปาจนร่างสีดำหมุนตีลังกากลางอากาศคล้ายกังหันลมมนุษย์ก็ไม่ปาน

    "โหลด นาปาล์ม แคทริดส์"

    สกรู ออฟ ดูม!!

    ตูม!!!

    เมื่อหมัดที่เคลือบเอาไว้ดัวยรัศมีสีแดงกระทบถูกใบหน้าของร่างสีดำก็ส่งให้ผู้ถูกโจมตีลอยละลิ่วขึ้นฟ้าก่อนจะระเบิดแผ่ออกมาเป็นวงกว้างราวกับการจู่โจมด้วยมิสไซล์

    หากดูจากภายนอกคงจะคิดได้เพียงว่าหญิงสาวเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน คงมีเพียงแต่ผู้โจมตีและผู้ถูกโจมตีเท่านั้นที่รู้ว่าความจริงนั้นเป็นอย่างไร

    หญิงสาวที่ระดมจู่โจมไปเมื่อครู่นี้เป็นฝ่ายอัดอยู่ข้างเดียวก็จริง แต่ทุกครั้งที่โจมตีหญิงสาวเองก็ได้รับผลกระทบนั้นไปด้วย และผลจากการระดมจู่โจมนั่นก็ทำให้แขนทั้งสองของหญิงสาวใช้การไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

    ร่างสีดำที่ถูกส่งลอยขึ้นไปกำลังร่วงลงมาใส่หญิงสาวที่หมดสิ้นเรี่ยวแรงพร้อมกับดาบยาวที่ถูกเรียกขึ้นมาโดยที่ไม่มีใครทราบ

    "ลูซี่" ซิลเวียตะโกนเรียกหญิงสาวที่กำลังรอรับความตายที่กำลังจะมาถึง

    ทางผู้ถูกเรียกนั้นไม่ได้พยายามจะดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดแม้แต่นิดเดียว เพราะเธอได้ทุ่มพลังทั้งหมดกับการจู่โจมเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้นแล้ว

    "ฉันออกไปรอข้างนอกก่อนนะ" ลูซี่หันมายิ้มเหมือนอย่างทุกครั้งให้กับพรรคพวกก่อนที่ร่างของเธอจะถูกแทงทะลุด้วยดาบเล่มยาว

    หญิงสาวกระอักเลือดออกมาครั้งหนึ่ง มือเรียวที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงถูกฝืนยกขึ้นมาจับใบหน้าของผู้ที่ปลิดชีวิตเธอในการจู่โจมครั้งเดียว

    "ตาบ้าเอ้ย ยังเก่งจนน่าโมโหเหมือนเดิมเลยนะ" ลูซี่แค่นยิ้มออกมาอย่างยากลำบากก่อนที่จะใช้แรงที่เหลืออยู่โขกเข้าใส่ศรีษะของฝ่ายตรงข้ามเป็นการจู่โจมครั้งสุดท้าย

    ถึงการโจมตีครั้งสุดท้ายของเธอจะเบาบางเสียจนแทบจะไม่รู้สึก แต่มันก็ทำเอาเศษหมวกเกราะถูกกระเทาะออกมาส่วนหนึ่งเผยให้เห็นผิวสีขาวกับดวงตาสีแดงที่ไร้แวว

    ..."ฮึ่ย น่าโมโห เป็นบ้าเลย"

    "เธอซัดฉันไปขนาดนั้นแล้วยังจะโมโหอะไรอีกเนี่ย"

    "ถ้าจะไม่ให้โมโหก็ช่วยแสดงท่าทางว่าเจ็บสักนิดจะได้ไหมเพคะ" หญิงสาวแขวะใส่เจ้าคนที่ชอบออมมือให้เธอเวลาซ้อม ถึงแม้เธอจะจู่โจมเขาไปเท่าไหร่แต่ก็ดูเหมือนว่าไอ้ผู้ชายคนนี้มันจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลย

    "อ๊ะ ลืมไปเลยแฮะ" จะเป็นการเสแสร้งหรือความเป๋อของเจ้าตัวที่หลุดปากออกมาก็ตาม แต่มันก็ทำเอาลูซี่ปรี๊ดแตกไล่กระโดดเตะเจ้าคนพูดเป็นการใหญ่

    ถึงจะทำท่าเหมือนโกรธแต่รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวก็บอกให้เขารู้ว่าเธอไม่ได้ใส่ใจกับความโกรธนั้นของเธอเลย...

    ความทรงจำที่ผุดขึ้นมาอีกครั้งทำเอาร่างสีดำต้องส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด

    ไม่ใช่ที่ร่างกาย..แต่เป็นที่จิตใจ

    "ขอโทษที่ให้รอนานนะ" ชายหนุ่มที่อยู่ในบาเรียของซิลเวียเดินออกมาอย่างแช่มช้าพร้อมกับกางนิ้วมือทั้งสิบออกมาเป็นก่อเป็นรูปอสูรขนาดยักษ์และหมาป่าสีเงิน "ไซคลอป เฟนริล ไปขย้ำไอ้บ้านั่นได้เลย"

    เมื่อสัมผัสได้ถึงการจู่โจม ร่างสีดำก็จับอาวุธในมือชี้ไปทางเป้าหมาย แต่การตั้งท่าเตรียมรับมือนั้นไม่ได้มั่นคงอย่างเดิมอีกต่อไปแล้ว มือขวาข้างที่กำดาบเอาไว้แสดงอาการสั่นอย่างที่เจ้าตัวไม่สามารถควบคุมได้ มือซ้ายยกขึ้นมากุมขมับเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวที่พุ่งขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

    เฟนริล หมาป่าสีเงินที่ว่องไวกว่าเป็นฝ่ายพุ่งเข้ามาจู่โจมก่อน เขี้ยวสีขาวแวววับขย้ำเข้าใส่ข้อมือของร่างสีดำและส่งคลื่นไฟฟ้าเข้าจู่โจม โดยที่ไม่เว้นช่องว่างให้หายใจไซคลอปก้าวเข้ามาถึงก็ซัดกำปั้นขนาดยักษ์เข้าใส่อย่างไม่ยั้งทำเอาพื้นดินรอบข้างยุบลงเป็นหลุมขนาดใหญ่

    "อั๊ก" แต่ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บกลับเป็นชายหนุ่มที่อัญเชิญสัตว์อสูรทั้งสองออกมา ถึงแม้เจ้าตัวจะพยายามกลืนเลือดกลับลงไป แต่แรงกระแทกที่ได้รับจากการเชื่อมต่อกับสัตว์อสูรเอาไว้ไม่ใช่การจู่โจมธรรมดาที่จะใช้พลังใจต้านเอาไว้ได้

    "เร็น" เป็นซิลเวียอีกครั้งที่ต้องเห็นเพื่อนของตนถูกจู่โจมครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เธอก็ไม่สามารถหยุดมือจากการเตรียมตัวของเธอได้ จึงทำได้เพียงเฝ้ามองและอธิษฐานให้คนที่พวกเธอเฝ้ารอได้สติกลับคืนมา

    ส่วนสาเหตุที่เร็นนั้นเกิดการบาดเจ็บก็คือการจู่โจมจากร่างสีดำนั่นเอง

    พริบตาที่ไซคลอปจู่โจมเข้ามา มือซ้ายของผู้ที่ถูกจู่โจมก็แทงทะลุคอของเฟนริลและกระชากกรามของมันออกมาจนสิ้นชีพ พร้อมกับใช้มือขวาที่เป็นอิสระจู่โจมสวนกลับไปยังไซคลอป

    ทั้งสองฝ่ายได้รับความเสียหายเหมือนๆกัน เพียงแต่พลังชีวิตนั้นร่างสีดำนั้นมีสูงเกินกว่าที่จะคาดเดาได้

    แซคริไฟส์ ออฟ มอทัล!!

    เมื่อท่าไม้ตายถูกสั่งการออกไปซากศพของของเฟนริลและร่างกายของไซคลอปก็เรืองสีสีขาวออกมาและหดลงจนกลายเป็นจุดเล็กๆก่อนที่จะระเบิดออกมาเป็นวงกลมสีดำโดยมีอักขระเวทมนตร์ล้อมรอบเอาไว้

    ความเสียหายจากการบูชายัญสัตว์อสูรหายากทั้งสองทำเอาอาวุธในมือและชุดเกราะของร่างสีดำเกิดรอยปริร้าวมากมาย โดยเฉพาะหมวกเกราะที่ตอนนี้เริ่มจะเห็นใบหน้าของร่างสีดำขึ้นมาแล้ว

    "โอย ถึกควายทุยเรียกพี่ไม่มีเปลี่ยนเลยให้ตายสิ" เร็นที่หมดสิ้นเรี่ยวแรงคุกเข่าลงกับพื้น สิ่งที่เขาทำได้ก็ทำไปหมดแล้วการบูชายัญสัตว์อสูรเมื่อครู่นั้นปกติจะต้องทำหลังจากตัดการเชื่อมต่อกับสัตว์อสูร ไม่อย่างนั้นความเสียหายที่เกิดจะย้อนมายังผู้ใช้ด้วย แต่ถ้าทำอย่างนั้นพลังโจมตีจะลดลงมากกว่าครึ่ง เร็นจึงจำเป็นต้องแลกด้วยชีวิตเพื่อเรียกสติของอีกฝั่งกลับคืนมา

    ..."นี่ ถามหน่อยเถอะ จะวิ่งไปโรงเรียนจริงๆเหรอ" เร็นที่หยุดรถมอเตอร์ไซของตนเองแล้วเปิดหมวกกันน็อคขึ้นมาถามอีกฝั่งที่อยู่ในชุดวอร์ม

    "ใกล้ๆแค่นี้เองนี่นา นายนั่นแหละหัดออกกำลังซะบ้างแล้วไอ้รถแบบนั้นน่ะมันผิดกฏหมายไม่ใช่รึไง"

    "จะให้ฉันใช้พวกของลอยฟ้าทันสมัยพรรณนั้นน่ะเหรอ มันไม่ใช่สไตล์เฟ้ย" ว่าจบเจ้าตัวก็ยิ้มร่าผายมือไปยังเพื่อนสนิทก่อนจะออกรถล่วงหน้าไป

    "วันอาทิตย์นี้ฉันจะไปเล่นกับโมกุที่บ้านนายนะ!"

    คนถูกเรียกไม่ได้หันไปตอบกลับ เพียงแต่ปล่อยมือข้างหนึ่งจากแฮนด์มอเตอร์ไซและโบกขึ้นเป็นการตอบรับ...

    "คุณหนูเหลือแค่พวกเราแล้วนะ" เรลิคที่ฟื้นพลังขึ้นมาได้ลุกขึ้นมายืนเบื้องหน้าของซิลเวียพร้อมกับตั้งโล่ขึ้นมารอรับการจู่โจม "พอจะไหวไหม"

    ผู้ที่อยู่ด้านหลังกระแทกไม้เท้าของตนเพื่อเก็บเวทมนตร์ทั้งหมดเข้ามาในคทาแล้วจึงพยักหน้าทีหนึ่ง

    "เรียบร้อยแล้วค่ะ"

    "ถ้าอย่างนั้นก็ลุยกันเถอะ" เรลิคว่าจบก็กระแทกเท้าข้างหนึ่งลงบนพื้นเพื่อตั้งหลัก

    ไอร่อน เคอแทน!!

    จากโล่เพียงหนึ่งพลันแตกกระจายออกเป็นกำแพงล้อมรอบพวกเขาเอาไว้จนหมดทุกทิศทาง เมื่อการเตรียมการพร้อมสรรพ ซิลเวียก็เริ่มร่ายเวทย์ที่เป็นความหวังสุดท้ายขึ้น

    ร่างสีดำที่ได้รับความเสียหายไปมากมายจนยืนโงนเงน พลันสะบัดหัวกลับมายังอีกสองที่เหลืออย่างน่ากลัวเมื่อสามารถจับคลื่นพลังที่กำลังก่อตัวขึ้นจากหญิงสาวได้ และเพียงพริบตาเท่านั้นที่ร่างสีดำได้หายไปแล้วมาปรากฏตัวขึ้นหน้าเรลิคพร้อมกับดาบคาตานะโค้งยาว

    เปรี้ยง!!

    "อั้ก" ผู้ที่ตั้งรับเองก็คาดไม่ถึงว่าการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามจะรุนแรงขึ้นกว่าเดิมมากถึงขนาดนี้ "สัตว์ป่าที่บาดเจ็บจะยิ่งดุร้ายสินะ"

    อีจิส ชิลด์!!

    เรลิคตะโกนชื่อท่าไม้ตายขึ้นมาอีกครั้ง ตัวเขานั้นแทบจะไม่มีความสามารถในการจู่โจมเลย แต่ในทางกลับกันความสามารถในการป้องกันนั้นกลับสูงล้ำอย่างไม่น่าเชื่อ

    แต่นั่นก็สำหรับคู่มือที่เป็นสัตว์อสูรหรือผู้เล่นธรรมดาเท่านั้น ไม่ใช่สำหรับนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในนรกแห่งนี้

    ร่างสีดำดีดตัวออกจากเรลิคทันทีเมื่อรู้ว่าการโจมตีธรรมดาไม่สามารถฝ่าพลังป้องกันของฝ่ายตรงข้ามไปได้ ดาบคาตานะในมือจึงถูกชูสูงขึ้นและวาดเป็นครึ่งวงกลม

    ฟุ่บ

    เสียงกรีดอากาศดังขึ้นวูบหนึ่งก่อนที่ร่างของเรลิคจะล้มลง เผยให้เห็นสตรีคนหนึ่งที่ไร้ทางป้องกันใดๆทั้งสิ้น

    หลังจากสังหารผู้ที่คุ้มครองเธอไปได้แล้วดาบต่อไปจึงเล็งมาที่เธออย่างรวดเร็ว

    เสี้ยววินาทีนั้นเอง พริบตาก่อนที่ดาบคาตานะสีดำขลับจะแทงเข้าใส่หน้าอกของหญิงสาว ริมฝีปากเรียวงามของเธอก็เอ่ยเสียงขึ้นมาก่อน

    รีเบิร์ท!!

    แสงสีขาวจ้าพุ่งขึ้นจากพื้นจรดไปยังท้องฟ้าที่มืดดำและแผ่ขยายออกมากินบริเวณกว้าง ชำระล้างทุกสิ่งที่อยู่ในบริเวณไม้เว้นแม้แต่ร่างในชุดเกราะสีดำที่พยายามกดดาบเข้ามาหาตัวเธอ

    ดาบเล่มคมค่อยๆเลื่อนเข้ามาหาเธออย่างช้าๆ ของเหลวสีแดงเริ่มไหลออกมาจากบาดแผลที่ลึกขึ้นเรื่อยๆแต่ถึงอย่างนั้นซิลเวียก็รู้ดีว่าร่างตรงหน้าพยายามฝืนตนเองมากแค่ไหน

    "ซิล...เวีย" เสียงของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเรียกเอาน้ำตาของหญิงสาวที่กำลังร่ายเวทย์ทะลักออกมาอย่างหยุดไม่ได้ เพราะเสียงที่อ่อนโยนนั่น คือเสียงที่เธอเฝ้าคิดถึงมาตลอด

    ..."นี่ ไม่คิดจะยิ้มสักนิดเหรอครับ" น้ำเสียงของผู้ที่มักจะยียวนเธออยู่เสมอเรียกขึ้นจากด้านหลัง

    ในสายตาของเธอผู้ชายคนนี้เป็นคนที่แทบจะเรียกได้ว่าไร้แก่นสารอย่างที่สุด ทั้งๆที่ได้คะแนนอบเข้าชนะเธอแท้ๆ แต่พอถึงเวลาเรียนจริงๆกลับเอาแต่เฮฮาไปวันๆและยังไม่มีทีท่าว่าจะตั้งใจเรียนเลยแท้ๆ แต่พอเวลาสอบกลับคะแนนได้ดีกว่าเธอที่พยายามแทบเป็นแทบตาย

    ทั้งๆที่เธอเกลียดเขาเสียขนาดนั้นแต่สวรรค์ก็ยังจะเป็นใจเลือกตานี่มาเป็นประธานชั้นปีของฝั่งชาย โดยที่มีเธอเป็นประธานชั้นปีของฝ่ายหญิง

    "ช่วยเลิกยุ่งกับสีหน้าของฉันเถอะค่ะ แล้วก็นะคุณช่วยมีความจริงจังในชีวิตสักนิดบ้างจะได้ไหม" หญิงสาวหันกลับมาสวนอย่างอารมณ์เสีย ทั้งๆที่ปกติแล้วเธอจะควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่านี้แท้ๆ "การทำตัวบ้าบอแบบนี้มันจะส่งผลเสียมาถึงชื่อเสียงของสถาบันเราได้นะ"

    ถึงแม้เธอจะสวนไปแบบนั้นแต่ชายคนนี้ก็ไม่ได้มีท่าทีสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อยแถมยังจะดูดีใจที่เธอโวยใส่เขาอีกด้วย

    "ฮะๆๆ จริงจังมากไปมันก็ไม่ดีนา ชีวิตมัธยมของโลกฝั่งนี้มีแค่สามปีเท่านั้น ถ้าเอาแต่ระบายสีเทาน่าเบื่อๆแบบนั้นลงไปในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างนี้ แก่ตัวไปเดี๋ยวจะไม่มีความทรงจำดีๆให้นึกถึงเอานะ"

    ว่าจบชายคนนี้ก็เดินเข้ามาเอานิ้วจิ้มที่หว่างคิ้วของเธอ "เพราะงั้นต้องยิ้มสะสมความสุขเอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้สิ"

    ...

    ทั้งดาบและชุดเกราะค่อยๆสลายไปอย่างช้าๆจนชายหนุ่มกลับมาอยู่ในชุดที่เธอคุ้นเคย ทั้งแววตา ทั้งใบหน้า ค่อยๆกลับมาเป็นคนที่เธอรู้จักดี

    "ไกอา ...ถ้าเธอ...ไม่อยู่ข้างๆ... แล้ว...ฉันจะ...ยิ้ม...ได้ยังไงล่ะ...คนบ้า" พอพูดคำพูดที่ฝืนเอ่ยออกมาทั้งๆที่พยายามจะกลั้นเสียงสะอื้นจบ ร่างบางก็โผเข้าไปกอดชายตรงหน้าท่ามกลางแสงสว่างที่ยังคงส่องไสวราวกับสวรรค์เบื้องบนกำลังอวยพรพวกเขาอยู่ "กลับมาเถอะนะ"

    ชุดเกราะสีดำค่อยๆถูกชะล้างด้วยลำแสงศักดิ์สิทธิ์ ดวงตาที่ไร้แววค่อยหวนกลับมาเป็นอย่างเดิมอีกครั้ง

    "ซิลเวีย..." ชายหนุ่มในที่ตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายอันยาวนาน เลื่อนสายตาลงมายังร่างอันคุ้นเคยที่กำลังสวมกอดเขาอยู่

    ความอบอุ่นจากร่างกายของเธอ ดึงเขาออกมาจากความมืดมิดที่กัดกินจิตใจมานับพันปี

    "...ขอโทษนะ"

    "ไม่ต้องมาขอโทษเลย" หญิงสาวว่าพร้อมกับทุบอกชายตรงหน้าเบาๆ "คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ อย่าหายไปต่อหน้าฉันอีกนะ"

    แรงที่หญิงสาวทุบลงมานั้นเบาแสนเบา แต่สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดนั้นกลับเป็นน้ำตาของเธอที่ไม่ยอมหยุดไหล

    "ผมขอโทษ" ไกอากระชับร่างเล็กในอ้อมกอดแน่นขึ้น "ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ"

    "ตาบ้า" หญิงสาวได้แต่คำนี้ซ้ำไปซ้ำมา แขนทั้งสองข้างกระชับร่างตรงหน้าแน่นขึ้นเรื่อยๆราวกับไม่อยากให้เขาแยกออกห่างจากเธออีกครั้ง "กลับกันเถอะ"

    "อืม กลับกันเถอะ"

    ดวงตาสองคู่จ้องมองซึ่งกันและกัน จากนั้นฝ่ายหญิงก็พยักหน้ารับก่อนจะเรียกคริสตัลใสที่บรรจุทางออกเอาไว้ออกมาและบีบมันจนแตก

    เศษคริสตัลที่แตกออกค่อยๆลอยขึ้นมาเรียงรายล้อมรอบพวกเขาเอาไว้ ไม่เพียงแต่ไกอากับซิลเวียเท่านั้น เศษคริสตัลยังลอยไปหาร่างของบรรดาพรรคพวกคนอื่นจนครบถ้วน แล้วห่อหุ้มพวกเขาเอาไว้จึงค่อยๆล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน

    สู่โลกแห่งความจริงที่เขาโหยหามานานแสนนาน

     

    -        ID      catastrophe         -

    -        PS     **********         -

    LOG OUT

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×