คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ชายาลวง 70%
ปาฎลียังดื้อรั้นไม่ยอมฟังคำเตือนของอดีตชีค อามีนขี้คร้านจะต่อปากต่อคำกับหล่อนจึงไล่ไห้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ไม่เอา! มันมืดนะ พาไปหน่อย” คนเรื่องมากวอนขอหน้างอง้ำด้วยกลัวว่าเขาจะปฏิเสธ
“ถ้าเมื่อคืนเจ้าไม่ใช่คนที่ครวญครางใต้ร่างเรา เราคงคิดว่าเจ้าเกิดมาพร้อมๆ กับฮันส์”
“อามีน! ฉันไม่ใช่เด็กนะ!” ว่าเขาแต่จับแขนแกร่งเมื่อยามที่สามีหนุ่มพาเดินกลับไปทางเก่า อามีนยืนรอจนปาฏลีเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ หล่อนเดินออกมาในชุดเสื้อผ้าชุดเดิมก่อนจะออกนอกวัง
“เจ้าเอาเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นติดตัวไปทุกที่ ตลอดเวลาเลยหรือ?”
“เปล่า! ฉันเพิ่งใส่มันในกระเป๋าก่อนจะขอคุณไปนอกวังเมื่อเช้าต่างหาก คิกๆ”
“แสดงว่า...เจ้าเล่ห์นัก นี่วางแผนไว้ล่ะสิ”
“อาฮะ ฉันมันนางฟ้าย่อมฉลาดกว่ามนุษย์” ปาฎลีเย้ยอยู่ในที
อามีนเดินเข้ามาใกล้ร่างที่กรุ่นกลิ่นกายสาว กลิ่นกอมของเนื้อนวลลอยอ้อยอิ่งในอากาศ มันแทบผสมกลมกลืนเป็นกลิ่นเดียวกับทะเลทรายแห่งนี้
“เจ้ากำลังว่ามนุษย์เช่นเราโง่เช่นนั้นรึ?”
ปาฏลียิ้มกว้างก่อนจะตอบว่า
“โอ...ไม่นะ อย่างน้อยตอนนี้ ฉันว่าคุณก็เริ่มฉลาดขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ”
อามีนจดจ้องวงหน้าเนียนกริบ เขาอยากต่อว่าหล่อนให้สมกับวาจาคมๆ ที่หล่อนเอื้อนเอ่ย แต่ริมฝีปากที่คลี่ยิ้มสวยนั้นทำให้เขาต้องกลืนคำต่อว่า ต่อขาน แล้วเปลี่ยนเป็นบังคับใบหน้าแม่นางฟ้าคนงามให้รอรับรสจูบ
“อือ...พะ...พอแล้ว...อามีน...” ปาฏลีร้องครางเสียงกระเส่า หล่อนเกาะร่างเขาแน่นเมื่อความวาบหวามซาบซ่านแล่นจากร่างหนาสู่เรือนกาย
“เราจะจูบเจ้าเย้ยจันทร์” เขาว่า
“แต่นี่มันกลางทะเลทรายนะ แถมพระจันทร์ก็ถูกเมฆบังไปแล้วด้วย ถ้าไม่รีบเดินทาง เดี๋ยวได้ถูกโจรปล้นพอดี ใช่! โจรป่า!”
ปาฏลีโมเมเฉไฉไปเรื่อย หล่อนคิดแต่ว่าจะทำให้สามีเลิกเอาเปรียบเสียที
“เฮ้อ! เจ้านี่นะปาฏลี ที่นี่มันกลางทะเลทราย มันไม่มีหรอกโจรป่า สงสัยเจ้าคงเล่นละครมากไปกระมัง”
อามีนถอนหายใจ ภรรยาที่เขาหิ้วมาจากประเทศไทยหล่อนทำเอาสูญสิ้นอารมณ์ใคร่ลงได้อีกครั้ง ช่างสามารถจริงๆ
ชายหนุ่มรุนหลังหญิงสาวให้เดินฝ่าความมืดออกไป ปาฏลีแลเห็นร่างอาชาสีเดียวกับราตรีกาลยืนเด่นเป็นเงาทะมึนอยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้างของทะเลทรายอันเหน็บหนาว เจ้าม้าหนุ่ม (หรือสาวก็ไม่แน่ใจ) ส่งเสียงหายใจฟืดฟาด ราวกับมันรู้ว่าเจ้าของของมันกำลังมุ่งตรงไปหา
เธอได้ยินเสียงอามีนร้องเรียกมันและเจ้าม้าตัวนั้นก็ย่างเหยาะตรงมาเช่นกัน
เขาพยักหน้าให้หญิงสาวปีนขึ้นไปนั่งบนหลังม้า แต่หล่อนส่ายหน้า
“ฉันกลัวสัตว์สี่เท้าทุกชนิดที่มีลมหายใจ คุณแน่ใจหรือเปล่าว่าไว้ใจมันได้ ถ้าจะให้ดี ฉันว่าโทรเรียกคนในวังให้เอารถมารับดีกว่า” ภรรยาสาวแสดงความเห็น
อามีนตวัดร่างขึ้นคร่อมอาชาคู่ใจ ก่อนจะโน้มกายลงมารวบร่างบางขึ้นไปนั่งเคียงบนหลังม้า ท่ามกลางเสียงกรีดร้องเล็กๆ ด้วยความตกใจของสาวเจ้า
“ว้าย! อามีน! ตาชีคบ้าฉันกลัวนะยะ!”
“อย่าดิ้น! ม้าเรามันดุนัก ถ้าเจ้าดิ้นมากๆ ถูกมันสลัดจนตกลงไปข้างล่างแข้งขาหัก เราไม่รู้ด้วยนะ”
ปาฏลีขนลุกขนพองสยองเกล้า เธอไม่ชอบสัตว์สี่เท้าสักเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตจริงๆ เธอไม่สามารถรู้ได้ว่าพวกมันอยู่ในอารมณ์ใด ร่าเริงพอที่เล่นด้วยได้ หรือว่าโมโหโกรธาจนไม่สมควรเข้าใกล้ สุดท้ายเธอจึงเดินทางสายข้าง (คล้ายๆ กับทางสายกลางของพระพุทธเจ้า) นั่นคือเลือกที่จะเข้าข้างตัวเอง ด้วยการเลิกให้ความชื่นชมพวกสิงสาราสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ถ้าไม่ต้องเข้าฉากกับพวกมันยามถ่ายละครได้จะดีที่สุด
อามีนยิ้มกริ่มในความมืดสลัว เขาชินเสียแล้วกับการเดินทางในทะเลทรายอันเวิ้งว้างยามค่ำคืนเช่นนี้ แต่ปาฏลีคงไม่เคย ที่สำคัญเขาเพิ่งรู้ว่าปาฏลีไม่ชอบขี่ม้า หล่อนคงกลัวถึงได้เกาะเสื้อคลุมสีเลือดนกของเขาแน่นหนึบ
“ปาฏลีเจ้ากลัวรึ? ” เขากระซิบชิดริมหู ทำเอาคนถูกถามขนลุกซู่
“เปล่า! ใคร!? ฉันล้อเล่น! ฉันไม่กลัวหรอกแค่เกรงใจมันเท่านั้นเอง” หล่อนแก้ตัวไปเรื่อย
อดีตชีคจึงฟาดฝ่ามือลงบั้นท้ายม้าหนุ่มอย่างแรง ยังผลให้เจ้า เครางาม ร้องลั่น ยกขาคู่หน้าขึ้นฟ้าก่อนจะวิ่งเต็มแรงม้าด้วยความรวดเร็ว
“อามีน! หยุด! ฉันกลัวแล้ว!” ปาฏลีตัวสั่น หล่อนหันใบหน้าพิงซบเรือนอกแกร่ง
อามีนยิ้มที่มุมปาก เขาตวัดเสื้อคลุมคลุมร่างหล่อนเอาไว้ เหลือเพียงศีรษะโผล่ออกมาเพื่อรับเอาอากาศหายใจ
“คลุมหน้าอีกชั้น ลมแรงขนาดนี้เดี๋ยวทรายเข้าปากพอดี เจ้ายิ่งชอบทำหน้า เอ้อเรอ อยู่ด้วย”
ปาฏลีหัวเราะคิดคัก อามีนเพิ่มศัพท์ใหม่ให้พจนานุกรมไทยอีกแล้ว
“อะไรของเจ้าฮะ หัวเราะเราเรื่องใด”
“ก็เรื่อง เอ้อเรอ อะไรของคุณนั่นไง คุณต้องพูดว่า เอ๋อเหรอ ต่างหากย่ะ”
“อ้าว! ขอโทษที เจ้านั่นล่ะ พักนี้ไม่ยอมสอนภาษาไทยให้เรา เราเลยจำผิดๆ ถูกๆ” เขาโบ้ยความผิดหนนี้ให้ภรรยาสาว
ปาฏลีทำแก้มป่องอย่างน่ารัก มันเรื่องอะไรที่มันจะกลายเป็นความผิดของเธอกันเล่า
“ช่วยไม่ได้ ก็ชั้นเรียนมันเปลี่ยนที่มาอยู่บนเตียงนี่นา ถึงฉันสอนอะไรไป คุณก็มัวแต่ทำอย่างอื่นอยู่ดี”
หล่อนประชดแล้วก้มหน้างุด อดีตชีคผู้ปรารถนาเรียนภาษาไทยจึงให้รางวัลครูสาวขี้อายด้วยการเปลื้องผ้าคลุมหน้าหล่อนออกแล้วประทับริมฝีปากของเขาลงไปบนริมฝีปาดอวบอิ่มของหล่อน
“เราชักอยากเปลี่ยนอานม้า เป็นประโปรงหน้ารถเสียแล้วสิ” เขาบ่นงึมงำแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างระงับอารมณ์
ชายหนุ่มตัดใจจากวงหน้างามแล้วจัดการคลุมผ้าคลุมหน้าให้ภรรยาสาวอีกครั้งซึ่งครานี้เพิ่มเป็นสองผืน เขาปล่อยเชือกที่บังคับม้า ให้เจ้าเครางามได้ย่างเหยาะไปตามเส้นทางที่มันคุ้นชิน
“เราจะไปไหนกันคะ” เธอถามด้วยความอยากรู้ เพราะค่อนข้างแน่ใจว่าเขาไม่ได้พาเธอกลับวัง ไม่เช่นนั้นเขาคงนั่งรถมาที่โอเอซิส มิใช้ขี่ม้ามาเช่นนี้
“ไปเยี่ยมพวกชนพื้นเมืองของเอเมญ่า ยังมีหลงเหลืออยู่หลายเผ่า มีทั้งที่ตั้งกระโจมอยู่ใกล้ๆโอเอซิสอย่างถาวร มีทั้งพวกที่เร่ร่อนและค้าขายไปตามเมืองต่างๆ คล้ายๆ พวกยิปซี”
อามีนเห็นหล่อนพยักหน้าช้าๆ ก่อนที่ดวงตากลมที่แลเห็นเพียงลูกตาวิบวับล้อแสงจันทร์อยู่ไกลๆ เงยขึ้นมามองเขาราวกับเพิ่งฉุกคิดบางอย่างได้
“แสดงว่าเราจะไปผจญภัยกันรึ?”
“อือ...เจ้ากลัวหรือไม่ปาฏลี”
เขาถามอย่างกังวล นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาใช้วัดใจหญิงสาวชาวไทยผู้นี้
“ไม่! ฉันชอบ! น่าสนุก”เธอยิ้มภายใต้ผ้าคลุมหน้า บางคราเธอต้องหลับตาคุยกับเขาเพราะสายลมบางเบาแต่หอบเอาทรายอุ่นเม็ดละเอียดมาเข้าตา
“เจ้านี่นะ เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องสนุกไปได้ ถ้าตอนนี้เราเกิดโชคร้ายโดนปล้นขึ้นมาเจ้าจะทำอย่างไร”
“ไม่! ฉันจะไม่ทำอะไรเลย เพราะมันจะไม่เกิดขึ้น ที่สำคัญก็คือ คุณพูดเองว่า หากวันใดที่ยัยเอ็มเสียน้ำตา ฉันก็ต้องเสียน้ำตาเช่นกัน ในทางกลับกันนั้น ฉันจะถือว่ามันครอบคลุมในทางตรงข้ามด้วย”
“เราไม่เข้าใจ?” เขาถามทันควัน
“ก็...ถ้าเพื่อนฉันยังอยู่ดีมีสุขกับพี่ชายฉันที่เมืองไทย คุณก็ห้ามทำให้ฉันต้องทุกข์กายและทุกข์ใจอยู่ที่เอเมญ่าเช่นกัน โอเค!?”
“หืม...ฉลาด ข้อแรกเจ้าผ่านฉลุย เลยเมียข้า”
อามีนก้มลงหอมแก้มนวลที่มีกลิ่นทรายเจือจางฟอดใหญ่ๆ
“ฉวยโอกาสอีกละตาชีคหื่น! แล้วผ่านฉลุยเรื่องอะไรยะ?”
ชายหนุ่มยืดออกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงดังฟังชัดว่า
“ก็เรื่องความสามารถในฐานะภรรยาของอดีตชีคผู้หล่อเหลาคนนี้ นี่ไง”
ปาฏลีเบะปากกับแผ่นอกสามี ผู้ชายอะไรหลงตัวเองที่สุด
“เลิกเรียกเราว่าชีคได้เรา ตอนนี้เราเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ...ที่”
ความคิดเห็น