ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (SF) The Breakfast Couple : Chanyeol x Baekhyun

    ลำดับตอนที่ #2 : Silent & Still

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 55


    CRY .q






     






    ความเงียบในรถตู้กำลังขับกล่อมผม

    ตารางงานอันแน่นขนัดทำให้พวกเราผล็อยหลับไปตามๆกัน รวมไปถึง...คนที่นั่งอยู่ข้างๆผมด้วย

    “......”

    ผมมองเขา... เขาหลับไปทั้งๆที่ยังมีหูฟังเสียบคาหูอยู่ เสียงกรนแผ่วเล็ดรอดจากริมฝีปากเล็ก บางครั้งเขาก็ครางหงุงหงิงเป็นลูกหมา เขานอนคอพับคออ่อน พอรถเลี้ยวที หน้าผากเขาก็กระแทกกระจกรถดัง ปึง... แล้วแบคฮยอนก็จะงัวเงียตื่นขึ้นมา ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความรำคาญ แต่เพียงไม่กี่วินาทีต่อจากนั้น เขาก็ปิดเปลือกตาลง แล้วหลับต่อ

     

    รถตู้ขับมาถึงหอพักของพวกเรา ทุกคนสลึมสลือตื่น และคลานลงจากรถอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง ผมเองก็เหนื่อยไม่แพ้คนอื่นๆ

    ผมผลักประตูห้องนอนเข้าไป เอื้อมมือเปิดสวิตช์ไฟบนผนังห้อง แสงสว่างสาดอาบเครื่องเรือนในห้อง ตั้งแต่ตู้เสื้อผ้า โต๊ะกระจก ไปจนถึงเตียงนอนที่วางขนานกัน

    แบคฮยอนเดินตามผมเข้ามาพลางหาววอดๆ เขาตรงดิ่งไปที่เตียง ผมได้ยินเสียงฟูกที่นอนดัง ปุ... ตอนแบคฮยอนล้มตัวลงนอน

    “แบคฮยอน” ผมเรียกเขา เรียกทั้งๆที่รู้ว่าเขาคงไม่ตอบผม เขานอนคว่ำ เอาซีกหน้าแนบกับหมอนนุ่ม สองมือสอดเข้าใต้หมอน เขานอนทั้งที่ยังสวมกางเกงยีนส์รัดรูป เข็มขัดหนัง เสื้อยืดสีดำ และถุงเท้า

    ผมสาวเท้าเข้าไปใกล้เตียงแบคฮยอน “นี่... ลุกไปอาบน้ำก่อน...” ผมสะกิดหลังเขาเบาๆ เมื่อสะกิดเบาๆแล้วไม่ยอมลุก ผมก็เลยต้องสะกิดแรงขึ้น เมื่อสะกิดแรงๆแล้วไม่ยอมลุกอีก ผมจึงตัดสินใจพลิกร่างรูมเมทของผมให้นอนหงาย “ไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมานอน”

    คนตัวเล็กครางอู้อี้เป็นลูกหมา เขายกมือขึ้นขยี้ตา แต่ก็ยังไม่ยอมลุกจากเตียง “ไม่ลุกแล้ว เวียนหัว”

    “ถ้าเวียนหัวก็รีบไปอาบน้ำสิ จะได้กินยา...” ผมพูดพลางฉุดแขนแบคฮยอนให้ลุกขึ้นนั่ง

    เขาทำหน้ามุ่ย และมองค้อนผม ผมนั่งกอดอก

    ในที่สุดแบคฮยอนก็ยอมลุกจากเตียง เขาแวะหยิบผ้าเช็ดตัวที่พับอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะกระจก และเดินออกจากห้องเพื่อไปอาบน้ำ

     

    แบคฮยอนเดินกลับเข้ามาในห้องนอนเมื่ออาบน้ำเสร็จ เขาแวะไปตากผ้าเช็ดตัว จากนั้นก็เดินโงนเงนมาที่เตียง และล้มตัวลงนอน

    เขาบอกว่าเขาเวียนหัว ผมไม่รู้ว่านั่นเป็นแค่ข้ออ้างเวลาง่วง หรือเขาเวียนหัวจริงๆ ผมอยากเดินเข้าไปสะกิดเขา และถามว่าเขากินยาหรือยัง แต่พอเห็นเปลือกตาคู่นั้นปิดสนิท ผมก็ไม่อยากปลุกเขาอีก

    แบคฮยอนง่วงเสียจนลืมกิจวัตรไปอย่างหนึ่ง... นั่นคือ การปรับอุณหภูมิฮีตเตอร์ให้สูงลิ่ว เขาเคยบอกผมว่ามันอุ่นดี แต่สำหรับผม บางครั้งมันก็ร้อนจนแทบจะกลายเป็นห้องซาวน่า... บยอน แบคฮยอนไม่ชอบนอนในห้องอุณหภูมิต่ำ เขาถนอมเสียงของเขามาก

    เห็นเขาเป็นคนโปกฮาแบบนั้น เอาจริงๆแล้วแบคฮยอนเป็นคนจริงจังมาก เขามีความทะเยอทะยานในการเป็นนักร้องมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทุกครั้งที่เสียงหายบนเวที แบคฮยอนจะกลับมานั่งเครียดทุกครั้ง เขาไม่โวยวาย ไม่บ่นให้ใครฟัง และไม่ได้ทำหน้าเหวี่ยงใส่ใคร แบคฮยอนยังยิ้ม ยังหัวเราะ ยังปล่อยมุขเกรียนๆเหมือนเดิม แต่ทุกครั้งที่เขาอยู่คนเดียว เขาจะนั่งจมอยู่กับความคิดตัวเอง และผมก็มักจะเป็นคนที่เห็นเขาในสภาพนั้น

    เพราะแบคฮยอนจะนั่งเงียบเฉพาะเวลาอยู่ในห้องนอนเท่านั้น

    ผมเดินไปปรับอุณหภูมิฮีตเตอร์ขึ้นมาเล็กน้อย อาจจะไม่สูงเท่าอุณหภูมิที่รูมเมทของผมเคยปรับ แต่ก็คงจะทำให้เขาอุ่นขึ้นบ้าง ผมเดินกลับไปที่เตียง จัดท่านอนให้คนตัวเล็กนอนดีๆ และห่มผ้าให้เขา

    “ฝันดีนะ” ผมพูด พลางลูบหัวเขาเบาๆ ...รู้ดีว่าเขาคงไม่ได้ยิน

     

     

    หลังจากที่ชานยอลเดินออกจากห้องเพื่อไปอาบน้ำ ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ

    ผมลืมตาขึ้น...

    เขาห่มผ้าให้ผม ชายผ้าห่มขึ้นมาปิดถึงปลายคาง ผมเบนสายตาไปยังฮีตเตอร์ เขาปรับอุณหภูมิขึ้นให้ผมด้วย อาจจะไม่อุ่นเหมือนเวลาผมปรับ แต่มันก็ทำให้ผมหลับสบาย

    ผมลอบยิ้มอยู่คนเดียวในความมืด ผมเดาว่าชานยอลคงจะอาบน้ำเป็นคนสุดท้าย เพราะผมไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆอีกนอกจากเสียงน้ำฝักบัว

    ผมพลิกตัวนอนตะแคง มองเตียงฝั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่า หลายเดือนแล้วที่ผมนอนตรงนี้ นอนตะแคงแบบนี้ และเฝ้ามองชานยอลจากตำแหน่งนี้ ซึ่งผมก็ไม่เคยเบื่อ และคงจะไม่มีวันเบื่อ

    ผมเงี่ยหูฟังเสียงน้ำ กอดตัวเองอยู่ใต้ผ้าห่ม นอนลืมตามองเตียงอันว่างเปล่าของชานยอล ผมจะหลับตาลงก็ต่อเมื่อเขาอาบน้ำเสร็จ และกลับเข้ามาในห้องของเราสองคน

    ความอ่อนเพลียเมื่อยล้ากัดกินไปทั่วทั้งกาย แต่ผมกลับหลับไม่ลง ผมนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งได้ยินเสียงลูกบิดประตู

    เขากลับเข้ามาแล้ว...

    กลิ่นหอมเท่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของเขาลอยคลุ้งเข้ามาในห้อง ผมหลับตาลง เงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าของเขา

    ชานยอลปิดประตูอย่างเงียบเชียบ ผมได้ยินเพียงเสียง กริ๊ก เบาๆเท่านั้น เขาสะบัดผ้าเช็ดตัวดัง พรึ่บ และคงจะแขวนมันไว้บนราวหน้าตู้ ผมหรี่ตามองเขา เขาเดินมาที่โต๊ะกระจก หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา และกดปิดเครื่อง จากนั้นเขาก็วางมันลงที่เดิม

    พอเขาหันหลังกลับมา ผมก็รีบปิดตา เสียงฝีเท้าของชานยอลกำลังขยับเข้ามาใกล้เตียง ผมได้ยินเสียงฟูกที่นอนขยับยวบยาบ เขาคงนั่งลงบนขอบเตียง

    เสียงที่ผม สมควร จะได้ยินต่อไปคือเสียงเขาคลี่ผ้าห่ม และเสียงเขาล้มตัวลงนอนบนฟูก

    แต่เปล่าเลย... ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย...

    ผมอยากจะลืมตาขึ้น อยากรู้ว่าเขากำลังนั่งนิ่งทำอะไร ทำไมถึงไม่ล้มตัวลงนอน แต่ผมก็ไม่กล้าลืมตา เพราะกลัวว่าเขาจะจับได้ว่าผมยังไม่หลับ

    หลังจากห้องนอนเงียบกริบอยู่นาน ผมก็ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจเบาๆ จากนั้นระลอกความเงียบก็มาเยือนอีกรอบ และชานยอลก็ถอนหายใจเป็นรอบที่สอง

    เสียงทอดถอนใจของเขาทำให้ผมอยากลืมตาขึ้นใจจะขาด และถามเขาให้รู้แล้วรู้รอดว่าเป็นอะไร ทำไมถึงยังไม่นอน แต่ความคิดของผมก็หยุดชะงักเมื่อจู่ๆ...ชานยอลก็ลุกจากเตียง

    เสียงฝีเท้าของเขา กำลังก้าวเดินมาทางเตียงของผม เพียงชั่วอึดใจเดียว น้ำหนักของเขาก็กดลงบนขอบเตียง ผมเผลอกลั้นหายใจไม่รู้ตัว ชานยอลเดินมานั่งตรงนี้ทำไม ที่เขายังไม่ยอมนอนมันเป็นเพราะผมหรือเปล่า

    ในขณะที่หลายคำถามว่ายเวียนอยู่ในหัว ชานยอลก็ทำบางสิ่งให้ชีพจรผมแทบจะหยุดเต้นเสียเดี๋ยวนั้น

    อุ้งมืออุ่นๆของเขา...ทาบลงบนหน้าผากผม

    “......”

    ไออุ่นจากมือหนาของเขาไหลซ่านไปทั่วกาย ผมพยายามรักษาสีหน้าให้เป็นปกติ ผมต้องแกล้งทำเป็นหลับ ผมจะให้เขารู้ไม่ได้ว่าจริงๆแล้วผมตื่นอยู่ ผมมีสติรู้ตัวทุกวินาที

    ชานยอลผละอุ้งมือออก... “เห็นบอกว่าเวียนหัว ว่าจะให้กินยาซะหน่อย... หลับไปซะแล้ว...” เสียงทุ้มต่ำของเขาเบาหวิว เขากำลังพูดกับตัวเอง โดยไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าผมได้ยินทุกคำทุกพยางค์ชัดเจน

    ฟูกที่นอนของผมขยับยวบเมื่อชานยอลลุกไปจากเตียง ตอนนี้เขาคงล้มตัวลงนอนบนเตียงตัวเองแล้ว เพราะผมได้ยินเสียงผ้าห่มเสียดสีกัน หลังจากนั้น ทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบงัน

    หลังจากมั่นใจว่าชานยอลคงจะหลับไปแล้ว ผมก็ลืมตาขึ้น...

    เขาหลับไปแล้วจริงๆ เขานอนหงาย ทำให้ผมมองเห็นแค่เพียงซีกหน้าของเขา

    “......”

    ผมยกมือขึ้นทาบหน้าผากตัวเอง ไออุ่นจากอุ้งมือของชานยอลยังคงผนึกแน่นอยู่บนหน้าผาก ไอ้เรื่องที่ผมบอกว่าเวียนหัว ผมไม่ได้โกหก เมื่อตะกี๊ผมเวียนหัวจริงๆ แต่พอได้อาบน้ำจนสบายตัว ได้เจอเตียงนุ่มๆ ผมก็รู้สึกดีขึ้นมาก

    และที่สำคัญ... แค่เขาถามไถ่ผมด้วยความเป็นห่วง แค่เขาทาบมือลงบนหน้าผากผมเพื่อเช็คว่าผมยังสบายดี ผมก็หายเหนื่อยแล้ว

     

    ขอบคุณนะ

     

    ผมกล่าวขอบคุณเขาในใจ ก่อนจะถลำสู่ห้วงนิทราพร้อมรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนริมฝีปาก

     

     

    “แบคฮยอน” ผมเรียกเขา หลังจากพวกเราทั้งหกคนเดินกลับเข้ามาในห้องแต่งตัว

    คนตัวเล็กตวัดตามองผม... อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ ตวัด ขนาดนั้น มันเป็นเพราะอายไลน์เนอร์เส้นคมบนเปลือกตาของเขามากกว่า ที่ทำให้เขาดูเหมือนตวัดหางตามองผม

    “ไม่เป็นไรใช่ไหม” ผมถาม... ถามโดยไม่มีการเกริ่นนำใดๆทั้งสิ้น

    แบคฮยอนเลิกคิ้ว “ไม่เป็นไร? ใครไม่เป็นไร? ฉันเหรอ...” เขาชี้หน้าตัวเอง

    “อือ นายนั่นแหล่ะ ไม่เป็นไรใช่ไหม เมื่อตะกี๊เห็นเซๆตอนเต้น”

    “อ๋อ...” เขายิ้มแหยๆ “ไม่เป็นไรหรอก มันก็ต้องมีเซกันบ้าง”

    มันก็ต้องมีเซกันบ้าง...? แต่ที่ผ่านมาแบคฮยอนไม่เคยเซแบบนั้น ผมเต้นอยู่ด้านหลังสุดตลอด ผมเห็นทุกการเคลื่อนไหว

    เราไม่ได้คุยอะไรกันต่อ แต่ละคนต่างแยกย้ายกันไปเปลี่ยนชุด เมื่อจัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าขึ้นรถตู้

    ผมกับแบคฮยอนยังนั่งข้างๆกันเหมือนเดิม เขาหยิบหูฟังออกมา และเปิดเพลงฟังทันทีที่ประตูรถตู้ปิดลง สมัยก่อน แบคฮยอนจะต้องชวนคนอื่นคุยเมื่อขึ้นรถ อะไรก็ตามที่ออกจากปากเขามักทำให้พวกเราหัวเราะเสมอ แต่พักหลัง เนื่องจากพวกเราเหนื่อยกันมาก ทันทีที่ขึ้นรถ เบาะนุ่มๆกับจังหวะล้อรถที่แล่นเอื่อยไปตามถนนก็ทำให้หลายๆคนผล็อยหลับทันที

    ตัวแบคฮยอนเองก็ไม่เว้น...

    เขาจะใส่หูฟังแบบนี้ทุกวัน แต่สุดท้ายก็หลับคาหูฟังทุกวันเช่นกัน

    เขามักจะนอนคอพับคออ่อน หัวของเขาโคลงเคลงไปตามจังหวะรถ และหน้าผากของเขาก็มักจะกระแทกกระจกดัง ปึง เวลาคนขับรถหักพวงมาลัยเลี้ยวแรงๆ แรงกระแทกเบาๆทำให้แบคฮยอนตื่นเสมอ เขาจะกระพริบตาสองสามที จากนั้นก็ปิดเปลือกตาเพื่อหลับต่อ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    วันนี้...ผมรู้สึกว่าเขาดูเหนื่อยผิดปกติ ถ้าผมตาไม่ฝาด ผมว่าผมเห็นเขาเดินเซหลายรอบ ไม่ใช่แค่บนเวทีอย่างเดียว แต่ผมเห็นเขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว

    เมื่อเช้า ผมเป็นคนปลุกเขา เขาหย่อนเท้าทั้งสองลงบนพื้น และยันกายลุกขึ้นยืน เขาเดินห่างจากเตียงไปได้สามก้าว เขาก็เริ่มเซเหมือนจะล้ม ผมรีบถลาเข้าไปประคองเขา ผมไม่รู้ว่าอาการโซซัดโซเซของเขา มันเป็นเพราะเขายังตื่นไม่เต็มตา หรือเป็นเพราะเขาไม่สบายจริงๆ

    เราไปออกรายการวิทยุกันช่วงบ่าย ตอนเดินลงจากรถตู้ แบคฮยอนก็เซเป็นรอบที่สองของวัน พวกเราลงจากรถตู้ทีละคน แบคฮยอนกับผมคือสองคนสุดท้าย เขาหย่อนเท้าลงบนพื้นซีเมนต์ แต่เดินไปได้แค่ก้าวเดียวเขาก็หยุดเดิน และเซเล็กน้อยเหมือนคนหน้ามืด ผมรีบปราดเข้าไปคว้าตัวเขาไว้เหมือนเดิม เขารีบหันมาบอกผมว่าเขาไม่เป็นไร

    แบคฮยอนทำให้ผมเป็นห่วงครั้งที่สาม ตอนเรากำลังกล่าวลาสต๊าฟของรายการวิทยุ พวกเราลุกจากเก้าอี้ และเดินออกจากห้องออกอากาศทีละคน ทันทีที่แบคฮยอนลุกขึ้น เขาก็รีบจับขอบโต๊ะเอาไว้ เขาก้มหน้านิ่งๆสักพัก ส่ายหัวเบาๆ จากนั้นก็เดินตามคนอื่นๆออกมา

    ครั้งที่สี่คือตอนเราแสดงบนเวที เขาเหมือนจะเสียหลักไปชั่ววูบหนึ่ง ผมนึกว่าเราจะต้องหยุดแสดงกลางคันเสียแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น การแสดงผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทันทีที่พวกเราทั้งหกวิ่งเข้าหลังเวที ผมก็รีบถลาเข้าไปหาเขา ผมคว้าไหล่เขาไว้ ทำเหมือนกับว่าผมแค่เดินเกาะหลังเขา แต่ความจริง ผมเกาะหลังเขาไว้เพราะกลัวว่าเขาจะวูบระหว่างทาง

    แต่สุดท้ายแบคฮยอนก็เดินไปถึงห้องแต่งตัว ไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น

     

    รถตู้จอดหน้าหอพัก พวกเราลงจากรถ ผมกับแบคฮยอนนั่งหลังสุด เราจึงได้ลงทีหลัง

    คนตัวเล็กหย่อนเท้าลงบนพื้นซีเมนต์ ผมลุ้นตัวโก่งว่าเขาจะเป็นอะไรอีกหรือเปล่า

    “......”

    ผมกลั้นหายใจ... แบคฮยอนวางเท้าทั้งสองทีละข้าง และเขาก็เดินตามเซฮุนไป ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก

     

    ผมกับแบคฮยอนเดินเข้ามาในห้องนอน ผมนึกว่าเขาจะตรงดิ่งไปที่เตียงแบบเมื่อวาน แต่วันนี้เขาแค่เดินไปวางกระเป๋า จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้อง และปิดประตูทิ้งท้าย

    ผมมองประตูห้อง สงสัยว่าเขาเดินออกไปทำไม ใจหนึ่งผมอยากจะเดินตามออกไป แต่ผมจำเป็นต้องรู้เรื่องแบคฮยอนทุกเรื่องเลยหรือ เราเป็นรูมเมทกันก็จริง แต่ผมก็ไม่ใช่เจ้าชีวิตเขา ที่ต้องรู้ว่าเขาจะไปไหน ทำอะไร

    ผมเดินไปใกล้ประตูห้อง อยากจะแอบฟังซักหน่อยว่าจู่ๆแบคฮยอนก็ออกไปทำอะไร แต่พอลองเอาหูแนบประตู ผมก็ได้ยินเพียงเสียงมักเน่ผิวเผือกบนว่าหิว และกำลังอ้อนให้คยองซูทำสปาเก็ตตี้กิมจิให้กิน จงอินเข้ามาผสมโรง บอกว่าหิวเหมือนกัน

    ผมถอยออกมาจากประตู แบคฮยอนคงออกไปทำอะไรซักอย่าง ผมไม่จำเป็นต้องรู้ชีวิตเขาทุกย่างก้าวหรอก

     

    ตกดึก หลังจากแบคฮยอนเข้านอนแล้ว ผมก็เดินออกมาจากห้องนอน เพราะเสียงทีวีจากห้องโถงกลางมันรบกวนการนอนของผมเหลือเกิน

    ผมเห็นคยองซูกับจงอินนั่งดูหนังด้วยกัน “ไม่ง่วงกันหรือไง...” ผมทัก

    ทั้งสองคนหันมามองผม “ฮยอง มานั่งดูด้วยกันสิ”

    “ไม่อ่ะ เหนื่อยแล้ว หรี่เสียงหน่อยได้ไหม เสียงมันดังเข้าไปในห้อง” ผมอธิบายพลางชี้นิ้วไปทางประตูห้องนอนของผม คยองซูรีบหยิบรีโมทขึ้นมาและหรี่เสียง

    “ขอโทษครับ”

    ผมกำลังจะกลับหลังหัน แต่คยองซูก็เรียกผมไว้ซะก่อน “เอ้อ ฮยอง!

    ผมชะงักฝีเท้า

    “คือ...แบคฮยอนฮยองเป็นอะไรรึเปล่า”

    คำถามของคยองซูทำให้ผมขมวดคิ้ว “เป็นอะไร?”

    “ก็เมื่อตะกี๊...เขาออกมาขอยา”

    คราวนี้ ผมยกมือขึ้นท้าวเอว และเดินเข้ามาใกล้คยองซู “ยา? ยาอะไร...”

    “ผมก็ไม่รู้ ผมเห็นเขาเข้าไปคุยกับจุนมยอนฮยองน่ะ ได้ยินเหมือนยาแก้ปวด แต่ผมไม่แน่ใจนะ”

    “ยาแก้ปวด?”

    “ผมไม่แน่ใจว่าฟังผิดรึเปล่า” คยองซูรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

    ผมขอบคุณเขา และเตือนทั้งสองคนทิ้งท้ายว่าอย่านอนดึกนัก พรุ่งนี้มีงานคอยพวกเราอยู่ แล้วผมก็สาวเท้ากลับเข้าห้องตัวเอง

     

    ห้องนอนของผมมืดสนิท และอุ่นกว่าข้างนอกมาก เพราะแบคฮยอนปรับอุณหภูมิฮีทเตอร์ไว้ก่อนนอน

    เพื่อนตัวเล็กนอนเป็นก้อนกลมอยู่ใต้กองผ้าห่ม คำพูดของคยองซูทิ้งปริศนาไว้ให้ผม เกิดอะไรขึ้นกับรูมเมทของผม ทำไมเขาต้องออกไปขอยากับจุนมยอนฮยองด้วยล่ะ และถ้ามันเป็นยาแก้ปวดจริง จะเป็นไปได้ไหมว่าเขาปวดหัว เพราะเมื่อวานแบคฮยอนก็บ่นขึ้นมาลอยๆว่าเวียนหัว

    ผมตัดสินใจล้มตัวลงนอน ผมนอนตะแคงมองหน้าเขา พรุ่งนี้ผมคงต้องถามเขาให้รู้เรื่อง ว่าเขาไม่สบายหรือเปล่า

     

     

    “เมื่อวานนี้...ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม” จู่ๆเขาก็ถามผม ผมหันขวับไปหาคนถาม

    ตากลมโตของชานยอลกำลังจ้องผม ผมพอจะรู้ว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร แต่ผมเลือกที่จะปั้นรอยยิ้ม และแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร “ใคร? ฉันน่ะเหรอ... ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่...”

    คราวนี้ชานยอลขมวดคิ้ว “แน่ใจ?”

    “อื้อ” ผมพยักหน้ารัว “ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ทำไม...คิดว่าฉันเป็นอะไรเหรอ”

    ชานยอลนิ่งไปสักพัก “ก็... เห็นเมื่อวานนายเดินเซหลายรอบ”

    “เดินเซ?” ผมตวัดหางเสียงขึ้นสูง แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไป ทั้งๆที่ความจริงผมรู้ตัวดี สองสามวันที่ผ่านมา ร่างกายผมมีอะไรแปลกๆ ผมเวียนหัว เวลาลุกเร็วเกินไปก็หน้ามืด ซึ่งมันไม่ใช่แค่อาการหน้ามืดธรรมดา แต่พอผมหน้ามืดแล้วมันก็ มืด จริงๆ ทุกอย่างรอบกายผมหมุนเคว้ง และกลายเป็นสีดำ ผมจึงต้องยืนนิ่งๆ หลับตา และหาที่ยึดเหนี่ยวที่ใกล้มือที่สุด

    “ใช่ นายเดินเซตั้งสี่รอบ แล้วคยองซูก็มาบอกฉันด้วยว่า...เมื่อคืนนายออกไปขอยากับจุนมยอนฮยอง”

    “......”

    “ไม่สบายเหรอ ถ้าไม่สบายก็อย่าฝืนนะแบค---”

    “ฉันก็สบายดีนี่” ผมรีบตัดบทชานยอล “ส่วนยาที่ไปขอจุนมยอนฮยองอ่ะนะ ไม่ใช่ยาอะไรหรอก ฉันไปขอวิตามินต่างหาก” ผมแต่งเรื่องขึ้นเองใหม่หมด วิตามงวิตามินอะไรนั่นไม่มีหรอก

    “วิตามินอะไร” แต่ชานยอลยังไม่ยอมแพ้ หัวคิ้วของเขายังผูกเป็นโบว์

    “ก็พวกวิตามินรวมน่ะ ไอ้ที่มันแพงๆน่ะ”

    “......” ชานยอลเงียบไป

    “ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันไม่เป็นไรหรอก” ผมยื่นมือไปตบบ่าชานยอลเบาๆ ก่อนจะผละจากเขา และไปนั่งคุยกับเซฮุนแทน ถ้าอยู่กับชานยอลนานกว่านี้ เขาต้องยิงคำถามใส่ผมอีกเป็นสิบแน่นอน

    ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าชานยอลเป็นห่วง แต่ผมแค่ไม่อยากให้เขากังวล แค่เรื่องงานในแต่ละวันก็มีให้กังวลมากพอแล้ว ผมไม่อยากเป็นภาระให้ใคร ผมขอรักษาตัวเองเงียบๆ ถ้าจะต้องมีใครซักคนรู้ว่าผมเป็นอะไร ผมอยากให้คนๆนั้นเป็นจุนมยอนฮยอง เพราะผมให้เกียรติเขาในฐานะหัวหน้าวงเสมอ

     

     

    คำตอบที่ผมได้รับจากแบคฮยอนไม่ค่อยกระจ่างเท่าไหร่ ผมรู้ว่าเขาปิดบังอะไรบางอย่างจากผม

    แต่หากจะให้เค้นเอาคำตอบจากแบคฮยอนอีกรอบ มันก็ไม่ใช่เรื่อง เค้นให้ตายยังไงแบคฮยอนก็คงไม่บอกผม ผมรู้ว่าเขาไม่สบายแน่ๆ แต่ท่าทางเขาจะไม่อยากให้ผมรู้ว่าเขาไม่สบาย

    คนเดียวที่รู้เรื่องทั้งหมด... จุนมยอนฮยอง

    หลังลงจากเวทีและเข้าไปในห้องพักศิลปิน ผมก็เดินไปหาลีดเดอร์ของวง “ฮยอง...” ผมเรียกเขา กวาดตามองรอบกายว่าแบคฮยอนไม่ได้อยู่แถวนี้ “เมื่อวานนี้ แบคฮยอนไปขอยาอะไรจากฮยองเหรอ...”

    พี่ชายคนโตหันมามองผม “เมื่อวาน... หมายถึงเมื่อวานตอนไหน เช้าหรือกลางคืน?”

    คำตอบจากลีดเดอร์ของวงทำให้ผมยิ่งสับสน หมายความว่ายังไง เช้าหรือกลางคืน? “ผมไม่เข้าใจ...”

    “อ้าว ก็นายถามพี่ว่า แบคฮยอนมาขอยาอะไรจากพี่... พี่ก็เลยถามกลับนี่ไงว่าหมายถึงตอนไหน เช้าหรือกลางคืน”

    “เช้าหรือกลางคืน? หมายความว่าเขา...มาขอยาจากพี่สองรอบ?” ผมชูสองนิ้ว และทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถาม

    เขาพยักหน้า

    “เขามาขอยาจากพี่สองรอบเลยเหรอ” ผมพยายามรักษาน้ำเสียงตัวเองไม่ให้ดังไปกว่านี้

    เขาพยักหน้าเป็นครั้งที่สอง “อ้าว พี่นึกว่านายรู้แล้วซะอีก” คราวนี้ เป็นเขาบ้างที่ยืนเลิกคิ้วมองผม “พี่นึกว่าแบคฮยอนบอกนายแล้ว”

    ผมรีบส่ายหน้า “เขาไม่บอกอะไรผมเลย... ฮยอง เขาเป็นอะไรเหรอ”

    “เขามาขอยาแก้ปวด ทั้งสองรอบเลย แต่เขาไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่บ่นว่าปวดหัว เวียนหัวน่ะ”

    “ทำไมเขาไม่บอกผมล่ะ” ผมรู้ว่าน้ำเสียงผมมันฟ้องทุกอย่าง ผมปล่อยให้ความน้อยใจแทรกซึมผ่านน้ำเสียงออกมา “พวกยาแก้ปวด ยาลดไข้อะไรนั่นผมก็มี”

    “พี่ก็ไม่รู้ เขาคงไม่อยากให้นายกังวลน่ะ อย่าไปโกรธเขาเลย” เขาพูดกับผมเพียงเท่านั้น แล้วเขาก็เดินไปสมทบกับคนอื่นๆ

     

    ผมยอมรับว่าผมน้อยใจ เมื่อรู้ว่าแบคฮยอนไม่ได้ไว้ใจผมเหมือนที่ผมไว้ใจเขา

    ตอนนั่งรถตู้กลับหอ เราไม่คุยกันเลย ผมหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบหู จากนั้นก็ปล่อยตัวเองให้จมดิ่งลงในโลกแห่งเสียงเพลง ไม่สนใจแบคฮยอนที่เหลือบตามองผมเป็นระยะๆ

    เขาคงรู้แล้วว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น

     

     

    ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชานยอล เขาถึงได้หน้าตึงใส่ผมขนาดนี้

    ผมพยายามเหลือบหางตามองเขา แต่เขาก็ยังไม่หันมามองผม ...ช่างมันเถอะ ผมบอกตัวเอง บางทีอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ ชานยอลอาจจะแค่เหนื่อย ก็เลยขี้เกียจเสวนากับใคร

    แต่มันก็ผิดวิสัยคนอย่างชานยอลไปหน่อย ต่อให้เหนื่อยยังไง ชานยอลก็ไม่เคยทำหน้าเหวี่ยงใส่ใคร อย่างมากเขาก็แค่หลับ หรือไม่ก็นั่งฟังเพลงเงียบๆคนเดียว ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะหน้านิ่งบอกบุญไม่รับแบบนี้

    ปฏิกิริยาของเขาทำให้ผมต้องหันกลับมาถามตัวเอง วันนี้ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ชานยอลถึงได้เป็นแบบนี้ จะใช่เรื่องที่ผมไม่สบายแล้วไม่ยอมบอกเขาหรือเปล่า... แต่... เขาจะรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นอะไร ผมยังไม่ได้คุยกับเขาเรื่องนี้เลย คนที่รู้ว่าผมไม่ค่อยสบาย ก็มีแค่จุนมยอนฮยองเพียงคนเดียวเท่านั้น

    เมื่อวันก่อน ผมก็บอกเขาไปแค่หนเดียวเท่านั้นว่าผมเวียนหัว ซึ่งผมพูดตอนผมขี้เกียจลุกไปอาบน้ำ เขาอาจจะตีความว่านั่นเป็นแค่ข้ออ้างของผมก็ได้

    ส่วนเมื่อวาน ผมก็แค่เซนิดๆหน่อยๆ ไม่ได้เซจนหงายหลังตึงเสียหน่อย

    หรือว่าชานยอลจะไปคุยกับจุนมยอนฮยอง...

    “......” ผมหันไปมองซีกหน้าของเขา เขาเอาแต่ก้มหน้ามองหน้าจอมือถือ แสงจ้าสาดอาบริมฝีปาก ปลายจมูก และดวงตากลมโตของเขา ชานยอลไม่รู้จริงๆหรือว่าผมจ้องเขาอยู่

    ชานยอล... ผมอยากจะเรียกชื่อเขา แต่จู่ๆก็รู้สึกเหมือนริมฝีปากหนักอึ้ง ผมเรียกชื่อเขาไม่ออก กลัวว่าถ้าเรียกไป เขาจะหันมามองผมพร้อมแววตาขุ่นมัว สุดท้ายผมก็ปิดปาก นั่งเงียบ ไม่พูดไม่จากับใคร ปล่อยให้กระแสการจราจรเอื่อยเฉื่อยกล่อมผมสู่ห้วงนิทรา

     

    รถตู้จอดหน้าหอพักของเรา ผมเดินตามหลังจงอินลงจากรถ ชานยอลออกมาเป็นคนสุดท้าย ผมหันไปมองเขา แต่เขากลับเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น เขาไม่มองตอบผมเหมือนทุกๆวันที่ผ่านมา

    ภาพที่เห็น ทำให้ผมรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมานิดหน่อย

    แต่ผมไม่ยอมแพ้ ผมยังคงตรึงสายตาไว้ที่เขา ผมรู้ว่าชานยอลรู้...ว่าผมมองเขาอยู่ แต่เขาเลือกที่จะไม่เงยหน้าขึ้นมา ผมพยายามจะยื่นมือเข้าไปคว้าแขนเขา แต่เขากับเดินเลี่ยงผม เขาไม่ได้สะบัดแขนหนี เขาก็แค่ขยับเท้าออกห่างจากผม และเดินไปคุยกับคยองซูแทน

    สิ่งที่เขาทำ...ทำให้ฝีเท้าผมชะงัก

    ผมขมวดคิ้วมุ่น ผมชักจะไม่พอใจท่าทีของเขาเสียแล้ว ไม่พอใจอะไรผมก็บอกสิ ทำไมถึงไม่พูด ถ้าไม่พูดแล้วผมจะรู้ไหมว่าผมทำอะไรผิด ผมไม่ชอบให้ชานยอลเป็นแบบนี้ มันดูไร้เหตุผลเกินไป ง้องแง้งไร้สาระเกินไป

    “ฮยอง มีอะไรรึเปล่า” เสียงของจงอินปลุกผมออกจากภวังค์ เขาเห็นผมยืนนิ่ง ไม่ยอมเดินตามคนอื่น เขาก็เลยเดินกลับมาหาผม และดึงข้อมือผมให้เดินตามคนอื่นเข้าไปในหอพัก

     

    ชานยอลเปิดประตูห้องนอน ผมเดินตามเขาเข้าไป เขาเอาแต่ก้มหน้านิ่ง

    ผมเดินไปนั่งบนขอบเตียงตัวเอง สายตาจับจ้องรูมเมทที่เอาแต่เดินไปเดินมา ชานยอลวางกระเป๋าตัวเองลงข้างๆตู้เสื้อผ้า แล้วเขาก็เดินมาที่โต๊ะกระจก จากนั้นก็เดินกลับไปที่ตู้เสื้อผ้าใหม่ และเดินกลับมาที่โต๊ะกระจกอีกครั้ง เขาเอาแต่เดินไปเดินมา ผมไม่รู้ว่าเขาแค่แกล้งทำเป็นยุ่งหรือเปล่า... เขาอาจจะพยายามทำตัวให้ดูวุ่นๆเข้าไว้ เพื่อจะได้ไม่ต้องหันมาคุยกับผม

    ผมทนกระแสความเงียบไม่ไหว ผมตัดสินใจเรียกเขา “ชานยอล...”

    คนถูกเรียกชะงักฝีเท้า ในที่สุดเขาก็หันมามองผม สีหน้าของเขาเรียบนิ่ง ไม่มีร่องรอยความโกรธกริ้ว แต่ก็ไม่มีรอยยิ้มเช่นกัน

    “ไม่พอใจอะไรฉันรึเปล่า...” ผมตัดสินใจถามตรงประเด็น อ้อมค้อมไปก็เสียเวลาเปล่า

    ชานยอลเงียบไป เขาเดินกลับไปหาตู้เสื้อผ้า พร้อมตอบโดยไม่มองหน้าผม “นิดหน่อย” เสียงทุ้มต่ำของเขาดังแทรกเสียงขลุกๆขลักๆของข้าวของในตู้เสื้อผ้า ผมไม่เข้าใจว่าเขาจะมาจัดระเบียบตู้เสื้อผ้าทำไมตอนนี้

    “นี่...หันมาคุยกันดีๆก่อนได้ไหม” เพราะผมไม่ชอบเวลาคู่สนทนาไม่สนใจผม

    คำพูดของผมทำให้ชานยอลชะงักมือ เขาค่อยๆวางทุกอย่างกลับเข้าไปในตู้เสื้อผ้า จากนั้นก็ถอยหลังออกมา ปิดประตูตู้ และเดินมาหาผม

    “ไม่พอใจเรื่องอะไร” ผมถามต่อ ใช้น้ำเสียงโทนปกติ

    เพื่อนตัวสูงยกมือขึ้นท้าวเอว “ฉันต่างหากที่ต้องถามนาย...ว่านายปิดบังฉันเรื่องอะไรอยู่”

    เขาไม่ตอบคำถามของผม แต่กลับย้อนถามกลับมา ซึ่งผมก็ไม่โง่ ผมรู้ทันทีว่าชานยอลหมายถึงเรื่องอะไร แต่ผมยังไม่อยากเฉลยออกไปตรงๆ เพราะผมไม่ชอบให้เขาตอบคำถามของผมด้วยการย้อนถามแบบนี้ “นายตอบไม่ตรงคำถาม”

    “งั้นก็อย่าเพิ่งคุยกันตอนนี้เลย...” พอพูดจบ เขาก็หันหลังกลับไปหาตู้เสื้อผ้าอีกรอบ ผมไม่ชอบภาพนี้เลย ไม่ชอบเวลาชานยอลหันหลังให้ผมแบบนี้ เขาจะทำแบบนี้เฉพาะเวลาเขาอารมณ์เสียจริงๆเท่านั้น ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจ...ว่าสิ่งที่ผมทำ มันทำให้เขาอารมณ์เสียขนาดนี้เลยหรือ

    แล้วตอนนี้ผมควรทำยังไงดี ผมทำได้แค่นั่งเฉยๆอยู่บนเตียงใช่ไหม มองเขาเดินไปเดินมา จัดข้าวจัดของ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นต้องจัด เพราะทุกอย่างมันก็เรียบร้อยดีอยู่แล้ว

    หรือผมควรจะเดินออกไปจากห้องนี้ หลีกหนีบรรยากาศน่าอึดอัดนี่เสีย... อยู่ไปก็ทำอะไรไม่ได้

    แต่ผมยังไม่อยากหนีปัญหา ถ้าผมทะเลาะกับคนอื่นๆในวง ผมอาจจะรอให้ถึงพรุ่งนี้ก่อน แล้วเราค่อยมาเคลียร์กัน แต่กับชานยอลมันไม่ใช่ เขาเป็นรูมเมทของผม เป็นคนที่อยู่กับผมมานาน และจะต้องอยู่กับผมไปอีกนาน เขาเป็นคนที่ต้องอยู่กับผมตลอดเวลา เรานอนห้องเดียวกัน ใช้ตู้เสื้อผ้าตู้เดียวกัน ใช้โต๊ะกระจกร่วมกัน และต้องอาศัยไออุ่นจากฮีทเตอร์ตัวเดียวกัน

    ผมลุกจากเตียง ค่อยๆสาวเท้าเข้าไปใกล้ชานยอล เขายังคงหันหลังให้ผม ผมเว้นระยะห่างจากเขาประมาณหนึ่งเมตร “ชานยอล...” ผมเรียกชื่อเขา

    มือเขาชะงัก และหันมามองผม

    “บอกมาเถอะ ฉันทำอะไรผิด ฉันจะได้ไม่ทำอีก...”

    ผมคิดว่าวิธีนี้คงจะดีที่สุด การเค้นเอาคำตอบจากชานยอลมีแต่จะคว้าน้ำเหลว สู้เอาน้ำเย็นเข้าลูบแบบนี้ คุยกันด้วยเหตุผลแบบนี้ดีกว่า... และผมก็หมายความตามที่ตัวเองพูดจริงๆ ถ้าสิ่งที่ผมทำเป็นความผิด เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ ผมก็จะพยายามไม่ทำอีก

    ชานยอลถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความแข็งกระด้างในตาเขาอ่อนลง เขามองผม “สำหรับคนอื่น มันอาจจะไม่ได้ผิดอะไร”

    “......”

    “แต่สำหรับฉัน มันผิด...”

    “......”

    “นายป่วยแล้วก็ไม่ยอมบอกฉันซักคำเนี่ยนะ?”

    “......” ผมว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นเรื่องนี้

    “ถ้าวันนั้นเป็นลมไปกลางเวทีจะว่าไง” เขายืนกอดอก ไม่ผละสายตาออกไปจากหน้าผมเลย

    “ฉันก็ไม่ได้ป่วยขนาดนั้น...” กลายเป็นผม ที่ต้องก้มหน้าหลบสายตาของเขา

    “เหอะ... ไม่ได้ป่วยขนาดนั้น? พูดออกมาได้ยังไงว่าไม่ได้ป่วยขนาดนั้น? รู้ไหมว่าวันนั้นนายเดินเซกี่หน...”

    “......”

    “สี่หน... แบคฮยอน...”

    “......” ผมเงยหน้าขึ้นมองชานยอลวูบหนึ่ง แต่แล้วก็เบนสายตาหนีไปทางอื่น สายตาของเขากำลังตัดพ้อ ต่อว่าผม

    “ครั้งที่หนึ่งคือตอนตื่นนอน ฉันปลุกนาย นายลุกจากเตียง แต่นายเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ฉันก็ต้องเข้าไปประคองนาย ครั้งที่สองคือตอนลงจากรถตู้ ครั้งที่สามคือตอนอัดรายการวิทยุเสร็จ นายอาจจะคิดว่าไม่มีใครเห็น แต่ตอนนายลุกขึ้น นายเกือบเสียหลัก ฉันเห็นนายเกาะโต๊ะเอาไว้ไม่ให้ล้มไปซะก่อน... และครั้งสุดท้าย ก็คือตอนอยู่บนเวที”

    “......” หลังจากฟังชานยอลพูดมาทั้งหมด ผมไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไง ผมเสียใจ ที่ผมเป็นภาระให้เขาต้องคอยพะวงขนาดนี้... แต่เสี้ยวหนึ่งของใจ...

     

    ผมกำลังดีใจ

    ดีใจ ที่รู้ว่าเขาใส่ใจผมมากขนาดนี้

     

    ผมยิ้มให้เขาอย่างรู้สึกผิด “ฉันขอโทษ...”

    ชานยอลนิ่งไปพักหนึ่งเมื่อได้ยินคำขอโทษจากปากผม ผมรู้ว่าเขาแพ้คำขอโทษ

    “ฉันรู้เรื่องทั้งหมดเพราะฉันไปคุยกับจุนมยอนฮยอง เขาก็แปลกใจว่าทำไมนายไม่บอกฉัน...”

    “ที่ฉันไม่ได้บอกชานยอล มันเป็นเพราะ---”

    “ไม่อยากทำให้ฉันกังวล” ชานยอลแย่งตอบ ทั้งๆที่ผมยังพูดไม่จบประโยค แต่สิ่งที่เขาพูดก็คือสิ่งที่ผมคิด... ใช่... ผมไม่อยากให้เขากังวล ไม่อยากเป็นภาระของเขา ผมก็เลยตัดสินใจไม่บอกเขา เพราะผมรู้ดีว่าชานยอลจะถามผมไม่หยุด ทันทีที่เขารู้ว่าผมไม่สบาย

    แน่นอนว่าผมรู้สึกดีที่เขาเป็นห่วงแบบนี้... แต่ผมก็ไม่อยากให้เขามาวุ่นวายกับเรื่องของผม จนไม่ได้คิดเรื่องอื่น เหมือนที่เขากำลังเป็นอยู่ตอนนี้

    “ขอโทษนะ...” ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากพูดคำว่า ขอโทษ

    ชานยอลถอนหายใจ เขาหันหลัง หยิบชุดนอนออกมาจากตู้เสื้อผ้า และหันกลับมาหาผมอีกรอบ เขาจ้องหน้าผมเหมือนอยากจะพูดอะไรซักอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่มีคำพูดใดเล็ดรอดออกมา

    “ไปอาบน้ำเถอะ แล้วรีบนอนซะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า” ผมบอกเขา รู้สึกแปลกที่ต้องมายืนพูดกับเพื่อนสนิทแบบนี้

    ชานยอลไม่พูดอะไร เขาเดินออกจากห้องเพื่อไปอาบน้ำ

     

     

    แบคฮยอนขอโทษผม และผมก็บอกเขาว่าสิ่งที่เขาทำมันผิด... ทั้งๆที่ความจริง ผมยังไม่มั่นใจเลยด้วยซ้ำ ว่าการที่แบคฮยอนพยายามปกปิดเรื่องนั้นจากผม มันเป็นความผิดที่ร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือ มากจนผมต้องปั้นหน้าตึงใส่เขาแบบนั้นหรือ

    ผมยืนคิดอยู่ใต้ฝักบัว การได้ขังตัวเองอยู่ในม่านน้ำอุ่น ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดภัย และได้ทบทวนในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป

    จริงๆแล้ว สิ่งที่แบคฮยอนทำไม่ใช่ความผิดอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็พูดไปแล้ว พูดว่าเขาผิด และผมก็ถอนคำพูดตัวเองคืนมาไม่ได้ ผมรู้ว่าแบคฮยอนทำไปทั้งหมดก็เพราะเขาไม่อยากให้ผมกังวล เขาอยากให้ผมมีสมาธิกับเรื่องงาน เขาหวังดี แต่ผม...กลับไม่มองว่านั่นคือความหวังดี

    ผมมองว่ามันคือความ ไม่เชื่อใจ...

    ใช่... ผมเข้าใจสาเหตุที่ตัวเองหงุดหงิดแล้ว... ผมน้อยใจที่แบคฮยอนบอกทุกอย่างกับจุนมยอนฮยอง แต่เขากลับไม่ยอมให้ผมรับรู้ ทั้งๆที่ผมกับเขาก็เป็นเพื่อนกันมานาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน เป็นรูมเมทกัน ผมมีอะไรผมจะคุยกับเขาทุกเรื่อง

    เรื่องมันวุ่นวายได้ขนาดนั้นก็เพราะผมน้อยใจ

     

    หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็ไดร์ผมให้แห้ง สวมชุดนอน และเดินกลับเข้าห้องนอนของผมกับแบคฮยอน

    ตอนผมเปิดประตูเข้าไป ผมเห็นเพื่อนตัวเล็กนอนขดตัวอยู่บนเตียง ท่าทางว่าวันนี้แบคฮยอนจะได้อาบน้ำเป็นคนสุดท้าย เพราะข้างนอกนั่น ห้องน้ำโดนจับจองไปหมดแล้ว

    ผมตากผ้าเช็ดตัวไว้ที่ราว และสาวเท้าเข้าไปใกล้เตียงเขา ผมหย่อนกายลงนั่งบนขอบเตียง

    ตอนนั่งอยู่ในรถตู้ ผมเมินเขา ไม่สนใจเขา ทั้งๆที่รู้ว่าเขากำลังมองผมอยู่ พอมาย้อนคิดตอนนี้ ผมก็รู้สึกผิด ผมไม่น่าทำกับเขาแบบนั้นเลย แบคฮยอนปิดบังเรื่องที่ตัวเองไม่สบายก็เพราะความหวังดี แต่ผมกลับน้อยใจไม่เข้าเรื่อง น้อยใจโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี และไม่ฟังเหตุผลของเขาก่อน

    พักหลังเขาผอมลง ตัวเขาก็เล็กอยู่แล้ว ยิ่งทำงานหนัก ได้พักผ่อนน้อย เขาก็ยิ่งดูบอบบาง น่าปกป้อง

    เปลือกตาของเขาปิดสนิท แบคฮยอนเป็นคนตาเรียวเล็ก เวลากรีดอายไลน์เนอร์ เส้นสีดำของมันดูคมชัดมากบนขอบตาของเขา มันทำให้เขาดูเย้ายวน น่าค้นหา

    แต่หลังจากที่เขาลบอายไลน์เนอร์สีดำออก เขาก็กลับมาเป็นบยอน แบคฮยอนคนเดิม เขาคือแบคฮยอนที่ขุดเอาเรื่องโปกฮาขึ้นมาโม้กลางวงสนทนาเสมอๆ แบคฮยอนที่คอยเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในวง แบคฮยอนที่ชอบเลียนเสียงคนในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน แบคฮยอนก็ไม่เคยหงุดหงิดใส่ใคร เขามองโลกในแง่ดีได้เสมอ เขาใช้เหตุผลเหนืออารมณ์ เขาเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่ใครๆเห็น

    ด้วยความที่เขาเป็นคนแบบนี้ เขาจึงเลือกที่จะปกปิดเรื่องบางเรื่องของตัวเอง... อย่างเช่น เรื่องที่เขาปวดหัวเวียนหัว เป็นต้น

    ผมถอนหายใจ พลางยกมือขึ้นลูบหัวเขาเบาๆ “อย่ามัวแต่คิดถึงความสุขคนอื่น จนลืมเป็นห่วงตัวเองนะ” ผมบอกเขา ไม่สนใจว่าเขาจะได้ยินหรือไม่

    ผมลุกขึ้นยืน และเดินไปนอนบนเตียงตัวเอง

     

     

    “อย่ามัวแต่คิดถึงความสุขคนอื่น จนลืมเป็นห่วงตัวเองนะ”

     

    คำพูดของชานยอลว่ายวนอยู่ในหัวผม ผมยืนยิ้มอยู่ใต้ฝักบัว ผมอาบน้ำมานานกี่นาทีแล้วก็ไม่รู้ เพราะผมมัวแต่ตกอยู่ในภวังค์คำพูดของเขา

    ผมเดินออกจากห้องน้ำ และเปิดประตูกลับเข้าไปในห้องนอน ห้องทั้งห้องมืดสนิท มีเพียงแสงไฟสลัวๆจากโคมไฟข้างเตียงผมเท่านั้น ไฟดวงอื่นปิดหมด

    รูมเมทของผมนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงของเขา ชานยอลตัวสูงมาก สูงจนปลายเท้าโผล่ออกมาจากปลายเตียง ทุกครั้งที่ผมยืนข้างๆเขา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนแคระ ให้ผมยืนข้างเขาอีกกี่ครั้งๆ ผมก็ไม่ชินเสียที ถ้าผมอยากมองหน้าเขา ผมก็ต้องเงยหน้าขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าชานยอลอยากมองหน้าผม เขาก็ต้องก้มหน้าลง

    เมื่อตากผ้าเช็ดตัวเสร็จเรียบร้อย ผมก็นั่งลงบนเตียง การอาบน้ำทำให้ผมตาสว่าง ความง่วงงุนเมื่อตะกี๊หายไปหมด ผมหยิบมือถือขึ้นมานั่งเล่น หยิบหูฟังมาเสียบ และเปิดเพลงฟังไปเรื่อยๆ

    จู่ๆ ชานยอลก็ขยับตัว ผมดึงหูฟังออกข้างหนึ่ง และหันไปมองเขา เขากำลังพลิกกายตะแคงมาทางผม เปลือกตายังคงปิดสนิท ผมนั่งลุ้นว่าเขาจะลืมตาหรือเปล่า

    “......”

    แล้วเขาก็ลืมตาจริงๆ...

    ทันทีที่ชานยอลเห็นว่าผมยังไม่นอน เขาก็ขมวดคิ้ว หรี่ตาเพราะแสงจากโคมไฟของผมมันคงแยงตาเขา “ยังไม่นอนอีกเหรอ” เขาถาม

    “อาบน้ำแล้วหายง่วงน่ะ ก็เลยอยากนั่งเล่นต่ออีกสักหน่อย” ผมตอบ คลี่ยิ้มบางๆส่งให้เขา

    ชานยอลยันกายลุกขึ้นนั่ง เขาหย่อนขาทั้งสองข้างลงบนพื้น “พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวก็เพลียหรอก”

    “รู้แล้วๆ อีกแปบนึงนะ กำลังโหลดเพลงอยู่”

    แล้วชานยอลก็นั่งเงียบ เขานั่งท่าเดิม มองผม ผมนึกว่าเขาจะล้มตัวลงนอนต่อซะอีก

    “ไฟแยงตาเหรอ ขอโทษ... เดี๋ยวจะปิดแล้ว...” ผมนึกขึ้นได้ว่าบางทีเขาอาจจะตื่นเพราะแสงจากโคมไฟ บางทีมันอาจจะแยงตาเขา

    แต่ชานยอลส่ายหน้า “เปล่าหรอก ไม่ได้แยงตา” พอพูดจบ เขาก็ยังไม่ขยับไปไหน

    “เอ่อ มีอะไรรึเปล่า” ผมอดที่จะสงสัยไม่ได้ จู่ๆเขาก็ลุกขึ้นนั่ง แล้วก็เอาแต่นั่งจ้องผมลูกเดียว ผมไม่รู้ว่าเขาอยากจะคุยอะไรกับผมอีกหรือเปล่า

    เพราะความจริง เรื่องที่เราคุยกันก่อนจะไปอาบน้ำ...ก็ยังไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่

    “แบคฮยอน...”

    “หือ?”

    “คราวหลัง ถ้าอยากได้ยา บอกฉันนะ... ฉันมียาแทบทุกอย่างอยู่ในกระเป๋า”

    ผมนึกว่าเขาจะพูดอะไร ที่ไหนได้ก็เรื่องยานี่เอง ผมยิ้มให้เขา “อือ ขอบใจนะ”

    “ไม่ต้องไปขอจุนมยอนฮยองแล้วนะ ขอฉันนี่แหล่ะ ฉันมี”

    “รู้แล้ว... ถ้าป่วยคราวหน้าจะบอกแล้วกัน” ผมตอบ วินาทีนั้นผมโหลดเพลงเสร็จพอดี ผมดึงหูฟังออกจากโทรศัพท์มือถือ ปิดเครื่อง และวางมันไว้บนพื้นข้างเตียง ผมยื่นมือไปปิดโคมไฟ ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความมืด

    ในขณะที่ผมกำลังสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มนั้นเอง “...แบคฮยอน” จู่ๆชานยอลก็เรียกผม

    “อะไร”

    เขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดต่อ “เรื่องในรถน่ะ ขอโทษนะ”

    “......”

    “ขอโทษที่หงุดหงิดใส่..”

    ผมคลี่ยิ้มในความมืด “ข่างมันเถอะ เราก็เข้าใจกันแล้วนี่” ผมนอนตะแคงหันหน้าไปทางเตียงของชานยอล “นอนได้แล้วน่า...”

    “อือ”

    หลังจากนั้น ห้องนอนของเราสองคนก็เงียบกริบ ผมไม่ได้ยินแม้แต่เสียงชานยอลพลิกตัว ตอนนี้ผมหลับตาลงแล้ว ผมไม่รู้ว่าเขาหลับไปหรือยัง ผมอยากจะลืมตาขึ้น แต่ถ้าลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นชานยอลยังลืมตาอยู่ล่ะ?

    “แบคฮยอน...”

    นั่นไง คิดยังไม่ทันขาดคำ ผมก็ได้ยินชื่อตัวเองทันที... รูมเมทของผมยังไม่หลับจริงๆด้วย ผมเปิดเปลือกตา ผมเห็นชานยอลยังคงนอนท่าเดิม เขานอนตะแคงหันมาทางเตียงของผม

    “อะไรเหรอ” ผมถามเสียงอู้อี้

    แต่แล้วเจ้าเพื่อนตัวสูงกลับเอาแต่เงียบ

    “ชานยอล---”

     

    “ไปนอนด้วยได้ไหม”

     

    “......” ผมพูดยังไม่ทันจบประโยค เขาก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

    ไปนอนด้วยได้ไหม... เขาถามผม นอนด้วย? นอนกับผม?

    ผมให้เวลาสมองตัวเองประมวลผลคำพูดของชานยอลสักพัก แล้วผมก็เริ่มเข้าใจ เขาคงจะหมายถึง... “จะมานอนเตียงนี้เหรอ” ผมตัดสินใจถามออกไป

    ในความมืด ผมเห็นเขาพยักหน้าเบาๆ

    “......”

    แล้วเราสองคนก็ต่างฝ่ายต่างเงียบ

    “ฉันพูดเล่น ไม่เป็นไรหรอก นายนอนต่อเถอะ” แต่แล้วชานยอลก็เปลี่ยนคำพูดซะงั้น “ขอโทษที่กวน ฝันดีนะ”

    “อยากมานอนรึเปล่าล่ะ” ผมโพล่งออกไป ไม่นึกว่านั่นจะเป็นเสียงของผมเอง “ถ้าอยากมานอน...ก็มาสิ”

    “......”

    แต่พอชานยอลเอาแต่เงียบ กลายเป็นผมบ้างที่ต้องยันตัวลุกขึ้นนั่ง เพื่อชะเง้อดูให้ชัดๆว่าเขาหลับไปหรือยัง “ชานยอล...”

    “ไปนอนด้วยได้จริงๆเหรอ”

    ผมคลี่ยิ้มให้เขา “คิดว่าฉันรังเกียจนายรึไง”

    “เปล่า... ก็...”

    “อยากมานอนด้วยก็รีบลุกมาเถอะน่า” เมื่อชานยอลเอาแต่อิดออด ผมจึงเป็นฝ่ายลุกจากเตียง และสาวเท้าเข้าไปใกล้เขา เพื่อฉุดข้อมือของชานยอลให้เขาลุกขึ้นมา

    ผมพาเขามายังเตียงผม ผมสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่ม และดึงให้ชานยอลล้มตัวลงนอนข้างๆ “นอนได้แล้ว” ผมบอกเขา

    เรานอนตะแคงหันหน้าออกจากกันโดยมิได้นัดหมาย ความจริงผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรเขา ผมเคยนอนกอดชานยอลมาแล้วตั้งหลายครั้ง แต่หนนี้มัน...

    ...ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ

    ความจริงวันนี้ผมก็ใช้พลังงานมาทั้งวัน แต่ผมกลับนอนไม่หลับเสียดื้อๆ ส่วนชานยอล...ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เขาหลับหรือยัง แต่เขาเงียบไปแล้ว แสดงว่าเขาก็น่าจะหลับไปแล้ว

    ผมนอนลืมตา มองเพราะจันทร์เสี้ยวที่ลอยค้างอยู่บนฟ้า นี่มันดึกแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ถ้าผมยังไม่หลับ พรุ่งนี้เช้าผมต้องง่วงเหงาหาวนอนมากแน่ๆ

    ผมได้ยินเสียงชานยอลพลิกตัว เขาพลิกตัวครั้งที่หนึ่ง ผมได้ยินเสียงร่างกายของเขาเสียดสีกับผ้าห่มและผ้าปูที่นอน จากนั้นทุกอย่างก็เงียบ เขาพลิกตัวครั้งที่สอง และห้องทั้งห้องกลับสู่ความเงียบอีกรอบ

    ในขณะที่ผมกำลังคิดจะหันไปมองเขา...

     

    “...!...”

     

    จู่ๆ ท่อนแขนยาวๆก็ตวัดไว้รอบเอวผม แน่นอนว่ามันคือท่อนแขนของชานยอล ผมอยากจะถามเขา นี่เขายังไม่หลับอีกหรือ ผมนึกว่าเขาหลับไปแล้วเสียอีก เพราะผมเห็นเขาเงียบไปนานแล้ว แต่ริมฝีปากผมก็หนักอึ้ง มันหนักเกินกว่าจะขยับปากพูดอะไรได้

    ชานยอลไม่เพียงโอบเอวผมธรรมดาๆ แต่เขากำลังรั้งเอวผมเข้าไปชิดตัวเขา วินาทีนั้นก้อนเนื้อในอกผมรัวถี่แทบไม่เป็นจังหวะ มันเต้นแรงเสียจนผมกลัวว่ามันจะหลุดออกมานอกอก

    ชานยอล... ผมอยากเรียกชื่อเขา แต่ผมก็ฉุกคิดขึ้นได้ บางทีชานยอลอาจจะคิดว่าผมหลับไปแล้ว เขาถึง กล้า กอดผมไว้แบบนี้ สุดท้ายผมก็เลยปล่อยให้ระลอกความเงียบซัดโถมเข้ามา

    และความเงียบก็ทำให้ผมได้ยินอะไรหลายๆอย่าง... อย่างแรก ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง มันกระหน่ำรัวจนผมเสียดไปหมด อย่างที่สอง ผมได้ยินเสียงหัวใจของคนที่นอนซ้อนหลังผมอยู่ ด้วยความที่กายเราแนบกัน แรงสั่นสะเทือนจากอกเขามันจึงถ่ายทอดมาถึงแผ่นหลังของผม

    ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อ...

    ไม่สิ ความจริงผมรู้ว่าผมควรจะนอน แต่ชานยอลก็ทำให้ผมนอนไม่หลับเสียแล้ว

    มารู้ตัวอีกที ผมก็กำลังทาบฝ่ามือลงบนท่อนแขนของเขา วินาทีที่ฝ่ามือผมแตะแขนเขา ชานยอลสะดุ้งเบาๆ เขาคงจะตกใจ และคิดว่าผมน่าจะหลับไปแล้ว

    ผมนอนอมยิ้ม... เราต่างฝ่ายต่างคิดว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว หารู้ไม่ว่าความจริงยังไม่มีใครข่มตาสำเร็จเลยซักคน ผมยังคงนอนมองพระจันทร์ และชานยอลก็กำลังนอนกอดผม ผมสงสัยว่าตอนนี้เขาจะลืมตาอยู่ หรือหลับตาอยู่... ถ้าลืมตา เขากำลังจ้องอะไรอยู่นะ

    รอยยิ้มผมคลี่กว้างขึ้น และชีพจรก็รัวหนักขึ้น... เมื่อจู่ๆชานยอลก็กระชับอ้อมกอด เขากอดผมแน่น และผมก็ปล่อยให้ตัวเองจมลงในไออุ่นของเขา

    ผมนอนนิ่งอยู่สักพัก ก็ตัดสินใจทาบมืออีกข้างลงบนหลังมือของชานยอล คราวนี้ผมไม่ได้แค่ทาบมือลงไปเฉยๆ แต่ผมกำลังไล้ปลายนิ้วโป้งไปตามข้อนิ้วของเขา เพื่อย้ำให้เขารู้ว่าผมยังไม่หลับ ผมมีสติอยู่ครบ... และเพื่อบอกกับเขาว่า...

     

    ขอโทษที่ทำให้กังวล และขอบคุณที่เป็นห่วงกันเสมอ

     
















    ตอนเริ่มเขียน...ตั้งใจว่าอยากเขียนอะไรที่เกี่ยวกับห้องนอนของ 2 คนนี้

    ไปๆมาๆมันก็กลายมาเป็นแบบนี้ค่ะ 5555

     

     

     

    -ปราง-

    25 JUNE 2012

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×