ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Oberon : Nightmare syndrome

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 ความทุกข์ของคนเป็นพ่อ

    • อัปเดตล่าสุด 1 ธ.ค. 54


                 “ปิ๊บ! ปิ๊บ! ปิ๊บ! ปิ๊บ! ” เสียงสัญญาณถี่รัวดังขึ้นก่อนเจ้าหน้าที่ในห้องรักษาจะวิ่งวุ่น ผู้สังเกตการณ์หลายคนที่กำลังมองดูเหตุการณ์ภายในผ่านกระจกใสก็เริ่มกระวนกระวาย 

    ผ่านไปสิบนาทีแล้ว แต่สถานการณ์ภายในห้องกระจกก็ยังไม่เป็นปกติ แคบซูลแก้วสี่ใบที่มีคนสี่คนนอนอยู่ภายในและวางเรียงรายกันอยู่ในห้อง ถูกห้อมล้อมไปด้วยเจ้าหน้าที่ผู้ดูแล

    ชายวัยกลางคนร่างสูงหนา ผมสีน้ำตาลหยักศกที่จัดทรงไว้จนเรียบร้อยเข้ารูป ซึ่งอยู่ในชุดสูทสากลสีเทาดูภูมิฐานสมวัยยืนอยู่ในกลุ่มผู้สังเกตการณ์ ใบหน้าเคร่งขรึมซึ่งมีเค้าหล่อเหลาเมื่อยังเยาว์วัยนั้นเครียดเคร่งจนริมฝีปากเม้มแน่นแทบเป็นเส้นตรง เขายกมือขึ้นมากอดประสานกันที่หน้าอก แล้วบีบกระชับมือทั้งสองข้างเข้ากับต้นแขนจนแน่นเพื่อข่มใจ

                เกือบครึ่งชั่วโมงกว่าเหตุการณ์จะเริ่มสงบ ใครบางคนในชุดกาวน์สีขาวจึงเดินออกมาจากห้องกระจก ตรงมาหาชายชุดสูทสีเทาเพื่อรายงานสถานการณ์

                “เกิดความผิดพลาดครับท่าน ทีมบีทไม่สามารถปลุกลูกชายท่านตามขั้นตอนได้ มีซีเอลได้รับบาดเจ็บหนึ่งคน ส่วนรีลีสและแบรงโก้อีกสองคน คาดว่าจะเป็นไนท์แมร์ครับท่าน” คำรายงานกระชับสั้น แต่ความหนักหนาของถ้อยคำกลับกดหัวใจของคนเป็นพ่อให้ดำดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความทุกข์ ทุกข์หนักหนาสาหัสกระทั่งผู้รายงานสถานการณ์ยังสัมผัสได้ จนต้องเอ่ยปลอบใจออกไปแม้ว่าจะเกรงในตำแหน่งทางสังคมของอีกฝ่่ายอยู่มากก็ตาม

                “ยังมีโอกาสที่คุณโจเอลจะหาย ทางเราจะพยายามอย่างดีที่สุดครับ” คำปลอบใจของทีมรักษาเรียกสติของชายผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในเอิร์ธให้กลับคืนมา

                “ขอบคุณมาก ผมฝากลูกชายด้วย”

    “ครับท่าน”

    ชายหนุ่มหน้าใส รูปร่างผอมบางในชุดสูทสีดำ สูงประมาณร้อยเจ็ดสิบกว่าๆ หวีผมเรียบแปล้ และใส่แว่นสายตากรอบทองที่ใครๆ ก็รู้จักกันในชื่อ เลขามาแชล เดินเข้ามาในกลุ่มผู้สังเกตการณ์ หลังจากเข้าไปสอบถามรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับการรักษาที่เกิดปัญหาแทนเจ้านายเรียบร้อยแล้ว

    มาแชลเดินเข้าไปหยุดอยู่เบื้องหลังเจ้านาย แล้วพูดเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคนว่า “เชิญท่านที่ห้องรับรองก่อนครับ ผมมีเรื่องจากทางโรงพยาบาลมารายงาน”  

    คำพูดของมาแชลทำให้ประธานาธิบดีแอชตัน อีรีบัส ยอมละสายตาจากภาพของลูกชายที่กำลังหลับใหลซึ่งผอมลงกว่าเดิมมาก ทั้งยังดูขาวกว่าปกติจากที่เคยขาวอยู่แล้ว จนแทบจะกลายเป็นซีดเซียวไร้สีเลือด ซึ่งกำลังถูกทีมรักษายกออกมาจากแคปซูลแก้วก่อนจะวางลงบนเตียง เพื่อเข็นไปส่งยังห้องพักฟื้นในลำดับต่อไป

    ประธานาธิบดีแอชตันหันไปพยักหน้าเป็นสัญญาณให้มาแชลออกเดินนำ ก่อนจะเดินตามออกไปจากพื้นที่สังเกตการณ์พิเศษ ที่หากไม่ใช่คนระดับผู้นำประชาคมโลกย่อมไม่มีทางเข้าไปเยี่ยมชมได้

    แอชตันอยากจะหัวเราะที่อำนาจของเขาสามารถทำได้เพียงแค่ไปยืนดูความล้มเหลวของการรักษาลูกชายตัวเองเท่านั้น

    “ทางโรงพยาบาลไนตินทำเรื่องขอความร่วมมือไปยังโอบีรอนเป็นกรณีพิเศษเรียบร้อยแล้วครับท่าน คาดว่าพรุ่งนี้จะได้คำตอบรับครับ” เลขาคนเก่งรายงานทันทีที่เสิร์ฟชาร้อนๆ และแซนวิชทูน่าชิ้นพอดีคำให้เจ้านาย หลังจากอีกฝ่ายนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่มแล้ว

    “ถ้าฉันส่งตัวโจเอลไปที่โอบีรอนตั้งแต่แรกก็คงจะดี อย่างน้อยเจ้าหน้าที่สามคนนั้นอาจจะไม่ต้องเจ็บตัว”

    “ผมถามประเด็นนี้ให้ท่านแล้วครับ” มาแชลยกนิ้วโป้งซ้ายขึ้นมาปัดปลายจมูกหนึ่งทียามรู้สึกไม่มั่นใจตามความเคยชิน เพราะคำถามนี้มาแชลทำเกินหน้าที่เลขา แม้ว่าเขาจะสนิทกับเจ้านายพอสมควร แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเจ้านายจะคิดว่าเขาก้าวก่ายหรือไม่

    มาแชลรับใช้แอชตันมานานเกือบเท่าอายุของเขา ก่อนที่คนเป็นนายจะได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีเสียอีก เพราะมาแชลเป็นลูกชายของหัวหน้าแม่บ้าน ซึ่งเป็นญาติห่างๆ ในตระกูลอีรีบัส ตัวเจ้านายเองก็ให้ความสนิทสนมเป็นกันเองแก่มาแชลเป็นอย่างดี จนเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวอีรีบัสที่เหลือกันอยู่เพียงสองคนพ่อลูกนี้ ไม่นับที่เด็กหนุ่มผู้กำลังหลับใหลเพราะไนท์แมร์พูดอยู่เสมอว่า มาแชลคือพี่ชายคนโตของเขา มาแชลจึงเป็นห่วงลูกชายของเจ้านายซึ่งเขาเห็นมาตั้งแต่ยังเล็กและเอ็นดูเหมือนน้องชายแท้ๆ คนนั้นมากไม่ต่างไปจากเจ้านายผู้เป็นพ่อ จนเผลอหลุดปากโวยวายออกไปกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล และได้คำตอบที่เจ้านายข้องใจมาเรียบร้อยแล้ว

    “ทางโรงพยาบาลบอกว่า เคสของคุณโจเอลเป็นกรณีพิเศษที่พบได้น้อยมากจนเกือบไม่มีเลยครับ แม้ว่าจะส่งไปที่โอบีรอนก่อน ก็อาจจะให้ผลอย่างเดียวกัน และในการรักษาครั้งนี้ โรงพยาบาลไนตินก็ดึงตัวซีเอลจากโอบีรอนมาช่วยอยู่แล้วด้วย ทีมแพทย์ผู้รักษาเลยประเมินกันในเบื้องต้นว่า ความล้มเหลวครั้งนี้เป็นเหตุสุดวิสัยที่หาสาเหตุไม่ได้ครับท่าน”

    “จะบอกว่าพวกเขาพยายามรักษาอย่างดีที่สุดแล้วสินะ”

    “ครับ แต่...” คำว่า แต่ของเลขาคนสนิท ทำให้ประธานาธิบดีแอชตันต้องวางแก้วชาที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะ ก่อนหันไปจ้องตามาแชลเพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายคายสิ่งที่รู้ออกมาให้หมด

    “แต่...ผมทราบมาว่า คนสำคัญที่จะทำให้การรักษาประสบความสำเร็จหรือไม่คือรีลีส ไม่ใช่ซีเอล หรือแบรงโก้ และที่โอบีรอนก็มีรีลีสฝีมือดีที่สุดในเอิร์ธครับ แล้ว...“ มาแชลหยุดพูดไปอีกครั้ง ก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าหนึ่งที เพื่อเรียกความกล้าหาญแล้วโพล่งออกไปว่า “ผมว่ามันถึงเวลาที่ท่านควรใช้อำนาจนอกเหนือจากหน้าที่แล้วครับผม!

    “อาห์!..” ประธานาธิบดีอุทาน “ฉันเข้าใจแล้ว.. “ รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นมาจากริมฝีปากซึ่งไม่เคยได้ยิ้มจากใจอีกเลยนับตั้งแต่ลูกชายคนเดียวกลายเป็นผู้ป่วยไนท์แมร์

    “ได้เวลาไปเยี่ยมเพื่อนเก่าแล้วสินะ!

     

    ศาสตราจารย์เอมเบอร์ หัวหน้าทีมโอบีวันแห่งสถาบันวิจัยโอบีรอนถึงกับเอามือกุมขมับ และอยากเอามือทึ้งผมที่ยังเหลืออยู่ไม่มากของตัวเองขึ้นมาทันควัน ถ้าไม่กลัวว่าผมของเขาจะบางยิ่งกว่าเดิม หลังเห็นคำสั่งจากผู้อำนวยการสถาบันวิจัยโอบีรอนที่ส่งมาให้ทางเปเปอร์

    “อนุมัติให้ทีมโอบีวันทำการรักษาโจเอล อีรีบัส” เสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่มที่สาวๆ ทั้งสถาบันวิจัยโอบีรอนต่างอิจฉาเพราะใบหน้าอ่อนกว่าวัยจนเดาอายุไม่ถูกดังขึ้น หลังจากแอบชะโงกหน้าเข้าไปอ่านข้อความบนหน้าจอเปเปอร์ที่อยู่ในรูปคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเครื่องบางบนโต๊ะของหัวหน้าทีมอย่างถือสนิท เพราะสงสัยท่าทางซังกะตายหน้าจอเปเปอร์เแบบแปลกๆ นั้น ก่อนจะเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน  เอนตัวพิงพนักอย่างสบาย แล้วส่งยิ้มหวานให้เป็นทัพหน้า

    “เรียกผมมาเพราะเรื่องนี้หรือเปล่าครับ”

    “ใช่” เอมเบอร์ตอบด้วยเสียงแหบแห้ง และยังไม่ลดมือสองข้างที่กุมขมับลง จนแบรนดอนแปลกใจ เพราะไม่ค่อยเห็นท่าทางกลุ้มใจของหัวหน้าจอมอารมณ์ดีคนนี้นัก

    “ศาสตราจารย์กลุ้มเรื่องอะไรครับ ก็แค่เคสใหม่เคสหนึ่งเท่านั้นเอง”

    “ที่นายอุตส่าห์เสียมารยาทแอบอ่านข้อความฉันไปนั่น มันไม่ช่วยให้เข้าใจอะไรขึ้นมาเลยเรอะ! ” เอมเบอร์ถามเสียงประชด ขณะที่แบรนดอนยิ้มกว้างและไม่ยอมตอบคำถาม แต่เลือกที่จะหลับตาลงแล้วคิดช้าๆ แทน

    โจเอล อีรีบบัส อีรีบัส... ใช่! อีรีบัส!

    แบรนดอนลืมตาโพลง ก่อนจะเด้งตัวเปลี่ยนท่าจากการนั่งเอนตัวแสนสบายเป็นนั่งหลังตรง “เคสลูกชายประธานาธิบดี?

    “ค่อยฉลาดสมกับเป็นแบรงโก้หน่อย” เอมเบอร์ชมด้วยคำพูดจิกกัดเบาๆ ก่อนจะลดมือที่กุมขมับอยู่ลง แล้วจ้องหน้าคนที่เพิ่งจะตื่นเต้นอย่างเอือมระอา

    “แต่ไนเจลเพิ่งจะถูกดึงตัวไปรักษาเคสนี้ไม่ใช่เหรอครับ”

    “ใช่ และนายคงยังไม่รู้ว่าไนเจลได้รับบาดเจ็บเมื่อวานเพราะรักษาเคสนี้ ตอนนี้ยังสลบไม่ฟื้นเลย “ ข่าวการบาดเจ็บของเพื่อนร่วมทีมตำแหน่งซีเอล ซึ่งถูกโรงพยาบาลไนตินขอดึงตัวไปช่วยงานทำให้แบรนดอนเริ่มเครียด เพราะพวกเขาทำงานด้วยกันมาตลอด ทำให้แบรนดอนรู้ดีกว่าใครว่าไนเจลฝีมือดีและเก่งขนาดไหน

    ซีเอลร่างใหญ่ แต่สามารถต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว รุนแรง และว่องไวคนนั้น แทบจะไม่มีคำว่า “บาดเจ็บจากการทำงาน” อยู่ในพจนานุกรมด้วยซ้ำไป

    “ทำไมถึงบาดเจ็บได้ครับ”

    “เหตุสุดวิสัยไม่ทราบสาเหตุ ทางไนตินบอกมาว่าอย่างนั้น “ ศาสตราจารย์เอมเบอร์ถอนหายใจ แล้วพูดต่อว่า “ตอนแรกฉันตอบปฏิเสธไปแล้ว เพราะทีมเราคนไม่ครบ แต่ ผ.อ.บอกว่า รีลีสคือกุญแจสำคัญในการรักษาไม่ใช่ซีเอล ทางนั้นเลยจะส่งซีเอลคนใหม่มาให้แทน”

    “หัวหน้ากลุ้มเรื่องซีเอลคนใหม่?

    “เปล่า...” เอมเบอร์เอาสองมือปิดหน้าจนมิด

    “กลัวประธานาธิบดีสั่งย้ายที่ทำอะไรชักช้า เพราะต้องฝึกซีเอล?

     “ไม่ใช่...” เอมเบอร์ก้มหน้าที่ยังมีมือปิดจนมิดฟุบลงกับโต๊ะ

    “กลัวว่าจะรักษาลูกชายประธานาธิบดีไม่ได้?

    “ผิด...” เอมเบอร์เลื่อนมือขึ้นมากุมขมับทั้งสองข้างแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทำท่าเหมือนอยากจะเอาหัวโขกโต๊ะเต็มประดา

     “แล้วหัวหน้ากลุ้มเรื่องอะไรครับ?”

    ท่าทางประหลาดๆ ของศาสตราจารย์เอมเบอร์ผู้ได้ชื่อว่าจอมอารมณ์ดี ไม่มีเรื่องกลุ้ม ทำให้แบรนดอนเริ่มงงจริงๆ แล้ว เพราะถ้าถามเขา เขาคงจะเครียดเรื่องไนเจลบาดเจ็บ กับเรื่องซีเอลคนใหม่ที่อาจจะไม่เข้าขากัน ทำให้ต้องฝึกซ้อมทีมใหม่หมด เพื่อป้องกันความผิดพลาดจากการทำงานไม่ให้ซ้ำรอยกับทางโรงพยาบาลไนติน การฝึกซ้อมกับซีเอลคนใหม่คงกินเวลานานพอสมควรกว่าจะได้ทำการรักษาลูกชายประธานาธิบดีจริงๆ ซึ่งอาจจะทำให้ประธานาธิบดีไม่พอใจในความล่าช้าของการเตรียมการ หรือร้ายกว่านั้น คือพวกเขารักษาลูกชายประธานาธิบดีไม่ได้ ซึ่งคงมีปัญหาตามมามากมายแน่ๆ และหัวหน้าของเขาก็อาจจะต้องเป็นคนรับผิดชอบปัญหาและความผิดพลาดทั้งหมดนี้ ซึ่งนอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว แบรนดอนก็ยังมองไม่เห็นว่าหัวหน้าควรกลุ้มเรื่องอะไรได้อีก

    เรื่องอะไรที่มีพลังความยุ่งยากมากพอจนทำให้หัวหน้าทุกข์หนักอย่างในตอนนี้

    เอมเบอร์ไม่ตอบคำถามของแบรนดอน แต่เลือกที่จะสละมือข้างหนึ่งจากหน้าที่กุมขมับไปหมุนเปเปอร์ให้หันไปทางชายหนุ่ม แล้วชี้ให้ดูข้อความทั้งหมดแทน

    แบรนดอนยักไหล่ให้ท่าทางเหมือนคนประสาทเสียของหัวหน้า ก่อนจะหันมาตั้งใจอ่านข้อความในจอไล่ลงไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติ

    มันก็แค่คำสั่งทั่วไป เขาคิด

    ข้อความคร่าวๆ ทั้งหมดก็คือ อนุมัติให้ทีมโอบีวันรักษาโจเอล อีรีบัส และมีคำสั่งแต่งตั้งซีเอลคนใหม่ที่จะถูกส่งมาฝึกร่วมในอีกสองวันข้างหน้า เพื่อร่วมทีมเฉพาะกิจนี้

    แบรนดอนอ่านไปจนกระทั่งบรรทัดสุดท้าย ก่อนที่ข้อความตัวหนังสือสีน้ำเงิน ซึ่งเจ้าของคำสั่งคงเขียนหวัดๆ ทับซ้อนลงมาในหน้ากระดาษคำสั่งอนุมัติอีกที ใจความว่า ป.ล. ประธานาธิบดีขอพบรีลีสของโอบีวันเป็นการส่วนตัว...  จะโดดเด้งใส่ตาเขาอย่างจัง!

    “ขอ..พบ รีลีส เป็นการ...ส่วนตัว” แบรนดอนรู้สึกน้ำลายหนืดคอขึ้นมาทันควัน "เรื่องจริงหรือครับหัวหน้า" เสียงสั่นกว่าปกติของตัวเองที่ดังออกมาไม่ทำให้ชายหนุ่มตกใจ และเริ่มเข้าใจในท่าทีซังกะตายของหัวหน้า ทั้งยังคงหันไปจ้องคนที่ฟุบอยู่เพื่อขอคำยืนยัน 

    เอมเบอร์ดันตัวจากท่าฟุบกุมขมับขึ้นมานั่งตัวตรง จ้องเข้าไปในสายตาตื่นตระหนกของแบรนดอน แล้วพยักหน้าให้ลูกน้องหนึ่งที พลางทำสีหน้าปลงอนิจจัง ก่อนจะเอามือขึ้นมากุมขมับอีกครั้งอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้
                แล้วแบรนดอนก็เข้าใจในวินาทีนั้น ว่าหัวหน้าของเขากำลังกังวลเรื่องอะไร
    !

    ทันทีที่แบรนดอนรู้ถึงสาเหตุความทุกข์ใหญ่หลวงของหัวหน้า ชายหนุ่มก็จัดการเอามือขวาแตะที่หน้าผาก ก่อนจะย้ายลงมาแตะที่หน้าอก แล้วเปลี่ยนไปแตะบ่าซ้าย และย้ายมาแตะที่บ่าขวา ปิดท้ายด้วยการพนมมือพึมพำสวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าในทันที!

    ลูกขอวิงวอนให้ประธานาธิบดีพอใจรีลีสของทีมโอบีวันด้วยเถิด อาเมน...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×