ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` FIC WONKYU ¦ - Red Door ' ประตูแดง ' {yaoi}

    ลำดับตอนที่ #2 : ` ( reddoor ) ____chapter one .

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.พ. 55




     







     

    CHAPTER ONE

     










     

    บานประตูสีแดงถูกผลักเข้าไปจนสุด ชนกับโต๊ะตัวเตี้ยเล็กๆส่งเสียงดังตึง จนเจ้าของบ้านมือใหม่ต้องชะโงกหน้าเข้าไปผลักออกทั้งๆสัมภาระที่ยังพะรุงพะรังจนชวนให้รู้สึกทุลักทุเล




    โจวคยูฮยอนวางกระเป๋าเสื้อผ้าและข้าวของในมือลงหน้าบ้านประตู ก่อนจะถอยออกมาเกือบสิบเก้า เพียงเพื่อแหงนหน้ามองบ้านหลังเล็กลายอิฐกึ่งปูนตรงหน้า ฉีกยิ้มกว้างจนเห็นไรฟันขาว เหลียวมองไปทางด้านหลังคือซอยเล็กๆที่ทอดเชื่อมสู่ถนนเลียบริมทะเล




    ครั้งแรกที่เห็นบ้านหลังนี้ชายหนุ่มรู้สึกถูกใจเสียยิ่งกว่าอะไรดี ถึงมันจะดูเก่าๆซอมซ่อ ทว่าหลังจากจ้างคนมาดูแลและได้แวะเวียนมาตกแต่งบ้านไว้ก่อนหน้า กลับยิ่งรู้สึกว่ามันสวย... สวยยิ่งกว่าบ้านริมทะเลหลังไหนๆในความรู้สึกเขา บวกทั้งบรรยากาศเงียบสงบ เพราะตั้งอยู่ในซอยเล็กๆถัดออกมาหาใช่บ้านชายหาดดังเช่นหลังอื่นๆ คิดได้ล่วงหน้าเลยว่ามันคงทำให้เขารู้สึกมีความสุขไม่น้อยกับการได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่




    รีบจัดการขนสัมภาระท้ายรถย้ายเข้าไปในตัวบ้านก่อนที่ฟ้าจะมืด ไฟโทนสีส้มถูกเปิดเป็นจุดๆจนทั้งบ้านสว่างนวลแลดูน่าอยู่ กลิ่นไม้หอมอ่อนๆโชยผ่านจนอาจไม่ต้องพึ่งน้ำมันหอมอย่างที่เขาชอบ ไม่ต้องเปิดแอร์ยิ่งรู้สึกเย็น เพียงแต่ถ้าไม่มีสัตว์แมลงบินเข้ามาในบ้านในยามวิกาลล่ะก็




    ยังมีเวลาอีกหนึ่งวันที่จะจัดบ้านให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เขาคงต้องขับรถเข้าเมืองไปเพื่อซื้อของที่ขาดเหลือ แต่คิดดูแล้วมันคงเป็นวันเตรียมตัววันสุดท้าย ก่อนจะต้องเจอกับสิ่งมีชีวิตที่หน้าบึ้งตึงและนิสัยไม่ดีเท่าไรนักอย่างเจ้าของชื่อชเวซีวอนคนนั้น











     

    

     










    ตาเรียวรีเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของแก้วกาแฟหอมกรุ่น นี่เป็นคำทักทายในการเข้างานวันแรกของเพื่อนร่วมแผนกอย่างนั้นหรือ ยิ้มตอบกลับไปเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะปล่อยให้คนหวังดีเป็นฝ่ายเปิดบทพูดขึ้นก่อนตามหลักมารยาท




    “มอคค่าร้อน จำได้ว่านายชอบ”




    ชิมชางมินมักจะมีบางสิ่งที่ชวนให้คยูฮยอนรู้สึกแปลกใจอยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน มอคค่าหอมกรุ่นสูตรพิเศษแบบที่คยูฮยอนชอบ บีบซอสช็อกโกแลตลงไปเยอะๆ จนแทบไม่ได้รสชาติฝาดลิ้นของกาแฟ “ขอบคุณ ไม่คิดว่านายจะจำมันได้”




    “ใครจะไปลืมโจวคยูฮยอนลงกัน” ถึงตรงนี้ชางมินหัวเราะร่าเสมือนไม่มีอะไรติดค้างภายในใจแล้ว แต่สำหรับคยูฮยอนแล้วไม่ใช่ รู้แก่ใจดีว่าให้ผ่านไปนานเป็นสิบหรือยี่สิบปี แต่เรื่องของครั้งแรกน่ะเป็นใครก็ลืมไม่ได้ง่ายๆอย่างคำพูดหรอก




    “ทำไมถึงมาทำงานอยู่ที่ปูซานนี่ได้ล่ะ หัวกะทิอย่างนาย ฉันคิดว่าคงถูกแย่งกันจองตัวตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ” พูดชื่นชมจากใจจริง ชายหนุ่มจำได้ดีว่าตอนสมัยมัธยมนั้นชิงชางมินคือเด็กหนุ่มที่ใส่แว่นหนาเตอะและจริงจังกับการเรียนจนขึ้นชื่อ ใครๆต่างเรียกเขาว่าหัวกะทิ แต่ถึงอย่างนั้นพอได้รู้จักพูดคุยเข้าจริงๆ กลับรู้สึกชอบนิสัยอบอุ่นนั้นเข้าอย่างปฏิเสธไม่ได้




    “ก็คงเป็นเหตุผลเดียวกับที่นายเลือกจะย้ายมาทำงานที่นี่”




    เพียงแค่นั้นคยูฮยอนก็พอเดาแกวในคำพูดนั้นได้ไม่ยาก หากจะพูดในแง่การงานทั้งสองคนก็คงเป็นคู่แข่ง แต่เรื่องงานก็คือเรื่องงาน ในเมื่อทั้งคู่ไม่ใช่คนที่ชอบชิงดีชิงเด่นกับใครมากนัก สู้ให้เรื่องฝีมือเป็นตัวตัดสินก็คงไม่เลว




    “ประชุมบ่ายนี้ได้ยินมาว่านายจะเข้าร่วมด้วย?” ชางมินว่าต่อเมื่อเห็นพนักงานบริษัทเริ่มทยอยกันเข้ามา รวมถึงคังโฮดงรุ่นพี่ตัวท้วม พอหันกลับมายังเห็นคยูฮยอนทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่นิดหนึ่ง แล้วจึงตอบรับด้วยน้ำเสียงสบายๆ




    “ก็คงจะอย่างนั้น ฉันได้รายละเอียดงานนี้มาตั้งแต่ยังอยู่ที่โซล”




    งานที่ว่าคืองานออกแบบและควบคุมการก่อสร้างโรงแรมหรูซึ่งวางแผนจะก่อสร้างอยู่บริเวณถนนเลียบริมหาด แน่นอนว่าบริษัทใหญ่อย่างที่ๆเขาทำงานอยู่ย่อมต้องเป็นบริษัทรกที่สามารถเห็นผลงานได้ชัดเจนกอปรกับความเป็นมืออาชีพ เรื่องที่จะรักษามาตรฐาน ประสิทธิภาพ และเลือกตัวบุคลากรเข้ารับผิดชอบงานย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดซึ่งจะมีผลในระยะยาว โจวคยูฮยอนได้รับรายละเอียดงานนี้จากรุ่นพี่ในบริษัทที่โซล ประจวบเหมาะที่ได้ย้ายมาทำงานตรงกับวันประชุมวันแรก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าบรรดารุ่นพี่ทั้งหลายย่อมต้องการจับตามองคนจากบริษัทใหญ่เป็นพิเศษ




    ไม่ทันได้พูดคุยแสดงความสนิทสนมกันมากไปกว่านั้น ร่างโปร่งสูงของของคนที่พนักงานในแผนกต่างเรียกว่าบอสก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งเครียดไร้รอยยิ้มดังเคย ชางมินจึงเป็นฝ่ายแยกตัวออกไปเมื่อถึงเวลาทำงาน ประชุมใหญ่ในวันนี้ ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากพลาดงานซึ่งจะส่งผลถึงเงินว่าจ้างและโบนัสก้อนโตปลายปี











     

    

     











    “ลูกค้าต้องการภาพลักษณ์ที่ใหญ่โต หรูหรา และเป็นเชิงสัญลักษณ์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในปูซาน สระว่ายน้ำ สวนหย่อม น้ำพุ รวมถึงโครงสร้างที่แข็งแรงและได้มาตรฐาน ผมคิดว่าระยะเวลาหนึ่งเดือนนับตั้งแต่ที่พวกคุณได้รายละเอียดงานนี้มา คงจะมีอะไรอยู่ในหัวมากพอพร้อมที่จะนำเสนอในที่ประชุมวันนี้เพื่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุด”




    สองแขนท้าวคร่อมลงยังหัวโต๊ะประชุมทรงวงรียาว นัยน์ตาคมเบนมองใบหน้าของพนักงานใต้อาณัติทีละคน ไม่ได้หยุดอยู่ที่ใครเป็นพิเศษ ผู้ชายผิวขาวท่าทางกระฉับกระเฉงในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าเป็นคนแรกที่ยกมือขึ้นและเริ่มร่ายยาวแนะนำแนวคิดตัวเอง ฟังดูเข้าท่า คยูฮยอนมารู้ทีหลังเมื่อคังโฮดงกระซิบบอกว่าเขาชื่ออีมินโฮ เป็นแนวหน้ากล้าตายของแผนกเลยก็ว่าได้ (ข่มความกลัวที่มีต่อชเวซีวอนได้แนบเนียนที่สุด)




    “บอสดุมากเลยเหรอครับ? ผมเห็นทุกคนกลัวกันน่าดู” กระซิบกระซาบอยู่กับโฮดงตลอดการประชุม ชางมินเป็นหน่วยกล้าตายคนที่สามซึ่งลุกขึ้นร่ายยาวถึงงานของตนเอง เป็นอีกแนวคิดซึ่งคนจากบริษัทใหญ่เช่นคยูฮยอนคิดว่ามันเข้าท่าไม่น้อยหน้าไปกว่าอีมินโฮเลย




    “ดุมากเชียวล่ะ บอสเป็นคนจริงจังกับงาน นิดหน่อยหน้าตาก็ไปหมดแล้ว” โฮดงกระซิบตอบ ไม่วายจะเหล่มองไปทางหัวโต๊ะประชุมเป็นพักๆจนคนถูกนินทาสังเกตได้




    “คุณโฮดง”




    เสียงประกาศิตเอ่ยขึ้นหลังจากชิมชางมินนั่งลงเมื่อจบสิ้นการอภิปรายของตัวเอง ทว่าสายตาตอนพูดนั้นกลับไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ร่างท้วมเจ้าของชื่อ เป็นคนข้างๆซึ่งทำตัวราวกับจะมีปัญหาตั้งแต่วันแรกของการเข้าทำงาน




    “ดูเหมือนว่าคนจากบริษัทใหญ่จะมีเรื่องที่อยากพูดนะครับ”




    เสียงที่พูดช่างราบเรียบเสียจนคนใต้อาณัติทั้งห้องอาจจะขนลุกกรู โจวคยูฮยอนเพียงสบตอบสายตานั้นนิ่ง ไม่ได้โต้เถียงอะไร แต่ชเวซีวอนกลับยิ่งรู้สึกเหมือนโดนยียวนก็ไม่ปาน ยิ่งถูกมองเขม็งแบบนั้น คยูฮยอนจึงตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการลุกขึ้นยืนยิ้มกว้าง หยิบแผนงานในกระเป๋าซึ่งใช้เวลาร่างอยู่ค่อนเดือน




    แบบตึกทรงโค้งเฉียงซึ่งถือว่าแปลกตาสำหรับวงการสถาปัตย์และวิศวกรรมโยธา ทว่าทฤษฎีที่ถูกรองรับกลับฟังดูน่าเชื่อถืออย่างไม่น่าเชื่อ งบประมาณวัตถุดิบ ทรัพยากร นั้นเป็นมูลค่าสูงลิ่วเสียจนคนตรงหัวโต๊ะประชุมต้องเงยหน้าขึ้นมอง ทว่าผลตอบแทนที่ได้ซึ่งคยูฮยอนกล่าวมานั้นมันช่างคุ้มค่า เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ ความแปลกใหม่ โครงสร้าง ความแข็งแรง ซึ่งจะตอบทุกโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างไร้ที่ติ




    “คุณคิดว่าแปลนงานที่คุณนำเสนอ จะอยู่ได้สักกี่ปีในความเป็นจริง”




    ซีวอนลุกขึ้นยืนเท้าแขนดังเช่นท่าทางในทีแรกของการประชุม มองตรงไปยังคนที่เพิ่งจบการนำเสนอ สายตาของคนถูกมองหลบซ่อนความไม่สบอารมณ์ โต้ตอบด้วยความยียวนที่เด่นชัดยิ่งกว่าความเข้าใจครั้งก่อน “ทุกอย่างที่ถูกออกแบบตรงตามหลักทฤษฎีโครงสร้าง ผมมั่นใจว่ามันคงอายุยืนกว่าบอสแน่ๆครับ”




    โจวคยูฮยอนเกลียดการถูกสบประมาท ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาไม่รู้สึกดีเท่าไรนักในเมื่อคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหัวหน้าจงใจจะหักหน้าเขาตั้งแต่ในการประชุมครั้งแรก “ในการสร้างตึก คุณคิดว่าควรใช้ทฤษฎีที่คุณเรียนมา หรือโครงสร้างที่สามารถเป็นไปได้จริง?”




    เสียงนั้นราบเรียบ... เรียบเสียจนคยูฮยอนคิดว่ามันไม่น่าฟังเอาเสียเลย สายตานั้นยังคงมองเขาเป็นเชิงปราม ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ห้ามเด็กเล่นโคลน หรืออะไรที่มันดูแย่กว่านั้น “ความเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับอะไรเหรอครับ?”




    พอได้ยินคำถาม ชเวซีวอนหยัดตัวขึ้นตรง ยกมือขึ้นกอดอก ทอดสายตามองผ่านๆไปรอบห้องโดยไม่จับจ้องอยู่แค่เขาเหมือนคำก่อน “งานวิศวกรรมโครงสร้าง ผลลัพธ์ที่ได้จะมีอยู่สองอย่าง... คือตึกนั้นสมบูรณ์แข็งแรง หรือจะกลายเป็นตึกถล่ม นี่ไม่ใช่มหาวิทยาลัย... ไม่มีเกรดซี ดี หรือเอฟให้คุณแก้ตัว ทุกอย่างคือความเสียหายซึ่งอาจมีโอกาสเกิดขึ้นหนึ่งถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซนต์....”




    “.............”




    “ผมขอย้ำอีกครั้ง... งานของเราคือวิศวกร... ไม่ใช่สถาปนิก”




    ท้ายแล้วความรู้สึกที่ได้คือการถูกหักหน้าไม่มีชิ้นดี  ทุกคนทยอยออกจากห้องหลังจบการประชุม งานที่นำเสนอในวันนี้จะถูกคัดเลือกและส่งต่อขึ้นยื่นเสนอระดับสูงอีกทีหนึ่ง คยูฮยอนได้รับเพียงการตบบ่าปลอบใจจากรุ่นพี่คังโฮดงเพื่อให้ใจเย็นลงและไม่เผลอไปหาเรื่องเข้ากับชเวซีวอนก็เท่านั้น เพียงแต่ไม่ทันขาดคำ ร่างสูงโปร่งของโจทก์คนสำคัญกลับปรากฏขึ้นเยื้องไปตรงหน้า โฮดงเห็นคยูฮยอนกำลังสูดลมหายใจลึกอย่างชัดเจน




    “อายุแค่นี้ แถมเพิ่งเข้ามาทำงาน... อย่าอวดเก่งให้มากจะดีกว่า ผมอยากให้คุณรู้จักฟังคนอื่นให้มาก มันน่าจะดีกับตัวคุณเองมากกว่าความคิดที่ว่าตัวเองถูกที่สุด”




    ร่างโปร่งสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง รอบนี้เขาผินเบนใบหน้าไปทางอื่น ระงับสติอารมณ์อีกนิดหน่อย ครั้นซีวอนตั้งท่าจะเดินจากไป เสียงนั้นจึงดังไล่หลังจนคนอื่นๆซึ่งเดินนำหน้าไปไม่ไกลจำต้องหยุดหันมามอง “เด็กแล้วไง... เด็กแล้วคิดไม่เป็น? ทำงานไม่ได้? ความแก่มันทำให้ได้ดั่งใจคุณทุกอย่างหรือไงครับ”




    สำเร็จที่ร่างสูงหยุดฟัง คนมีตำแหน่งใหญ่กว่าเหลียวกลับมาอีกครั้ง




    “ตอนผมอายุเท่าคุณ... ผมมีความคิดที่จะฟังแล้วเก็บไปคิด มากกว่าจะสร้างทิฐิโดยที่ไม่ยอมฟังอะไรเลย”




    ในตอนนั้น ลึกๆแล้วคยูฮยอนรู้สึกว่าคำของชเวซีวอนเป็นสิ่งถูกต้อง ทว่ามันกลับไม่น่าฟังเอาเสียเลยหากเทียบกับความรู้สึกที่โดนหักหน้ายับเยินกลางห้องประชุมดังที่เพิ่งเกิดขึ้น

    และถ้ามีโอกาสจะเหยียบคืน เขาย่อมทำแน่นอน!









     

    

     











    สามวันที่โจวคยูฮยอนต้องทนอยู่กับความคับอกคับใจของตนเอง เขาไม่ใช่คนคิดมากหรือจริงจังกับสิ่งรอบตัวมาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่ตอนนี้มันคืออะไร ไม่ว่าจะตอนอาบน้ำ หลับตานอน หรือแม้แต่ตื่นมาในตอนเช้ากลับครุ่นคิดถึงเพียงคำพูดที่ชวนให้รู้สึกเหมือนถูกสบประมาทนั่น ทำสีหน้าบึ้งตึงอย่างที่ไม่เคยเป็นจนแม้แต่รุ่นพี่โฮดงยังเกรงอกเกรงใจ ถึงจะเรียนจบมาแล้วปีกว่า แต่ความรู้สึกที่เรียกว่าความกระตือรือร้น ร้อนวิชา มั่นใจในตนเองยังคงเด่นชัดเช่นเดียวกับบัณฑิตคนอื่นๆ เขาได้คุยกับชางมินมากขึ้น และดูอีกฝ่ายจะเข้าใจความรู้สึกเขาได้เป็นอย่างดี ซึ่งนี่ก็เป็นทางหนึ่งที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้นเป็นกอง




    ขับรถมาทำงานในตอนเช้าเช่นเดียวกับทุกวัน วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ ถนนเลียบชายทะเลจึงเริ่มคาคั่งด้วยนักท่องเที่ยวซึ่งเริ่มทยอยมาพักผ่อนในวันหยุด คยูฮยอนใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกึ่งทางการ โดยไม่ได้ผูกเนคไทเต็มยศเช่นวันทำงานวันแรก เขาเริ่มเป็นตัวของตัวเอง พูดคุยกับเพื่อนและรุ่นพี่ร่วมแผนกแม้จะยังอารมณ์ไม่ดีนัก




    เมื่อคืนตอนโทรศัพท์คุยกับอีฮยอกแจรุ่นพี่คนสนิท เลยได้รู้ว่าเด็กน้อยคนหนึ่งซึ่งเขาเคยเจอเมื่อตอนแรกเกิดนั้นโตขึ้นมากแล้ว ตอนนี้คงอายุได้สักเกือบๆสองปี ฮยอกแจบอกว่ากำลังหัดเดิน ทำเอาชายหนุ่มนึกอยากจะเคลียร์วันหยุดสักอาทิตย์แอบบึ่งรถกลับโซลสักวันสองวัน




    คิดอะไรเพลินๆก็ขับรถมาถึงบริษัทได้โดยสวัสดิภาพ เมื่อสองวันก่อนชางมินโทรมาหาเขาตอนเช้าเวลาแบบนี้ เพราะกลัวจะระงับอารมณ์ฉุนเฉียวไม่อยู่จนขับไปเสยรถสิบล้อเล่นแก้โมโห (ซึ่งคยูฮยอนตอบกลับไปด้วยว่า เป็นไปได้สูงเชียวล่ะ)




    พอออกจากลิฟท์ตรงเข้าสู่แผนก ชายหนุ่มกลับรู้สึกตัวว่าตนเองได้ตกเป็นเป้าสายตาอย่างแปลกประหลาด บ้างชื่นชม บ้างซุบซิบนินทา รุ่นพี่โฮดงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จะเดินมาหา ทว่าสัมผัสเบาๆซึ่งแตะลงบนไหล่กลับเรียกให้เขาหันไปให้ความสนใจกับชิมชางมินเสียก่อน




    “ยินดีด้วยนะ งานของนายได้รับเลือกให้ยื่นเสนอลูกค้าในวันจันทร์”




    คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ หรือเรียกว่ากำลังงุนงงคงจะถูกต้องกว่า คยูฮยอนยังคิดไม่ออกว่างานที่ชางมินว่าหมายถึงอะไร จนคนตัวสูงกว่าต้องพยักเพยิดไปทางบอร์ดซึ่งตั้งอยู่หน้าห้องหัวหน้าฝ่าย คนได้รับการยินดีจึงคุ้นๆว่าคลับคล้ายคลับคลากับผลงานตัวเอง




    ไม่รอช้าคยูฮยอนเร่งฝีเท้าตรงไปดูโดยมีชางมินตามมาติดๆ เป็นงานของเขาจริงๆ แม้จะต่างจากเดิมนิดหน่อยแต่ก็มั่นใจว่าเป็นลายเส้นเขาไม่ผิดแน่ เผลออมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ถ้าผลการตัดสินมาจากระดับสูงจริงอย่างที่ใครๆพูดกัน หมายความว่าการที่เขาถูกชเวซีวอนหักหน้าในวันนั้นก็ไม่มีผลอะไรเลย




    คิดไม่ทันจบดีร่างสูงโปร่งของคนในความคิดกลับเดินตรงเข้ามาในแผนกตรงจังหวะเวลาอีกครั้ง ทุกคนกล่าวทักทายดังเช่นปกติ ยกเว้นเสียแต่คยูฮยอน และแววตานิ่งสงบนั้นก็ไม่ได้ปรายมองเขาแม้เพียงหางตา




    คยูฮยอนรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ เขารู้สึกถึงชัยชนะ ความรู้สึกที่โดนดูถูกหายไปเป็นปลิดทิ้ง ตามนิสัยช่างเอาเรื่องแล้วชายหนุ่มห้ามตัวเองไม่ได้สักไหร่ จึงออกปากเรียกไล่หลังก่อนที่ประตูห้องหัวหน้าฝ่ายจะปิดลง




    “บอสครับ”




    ชเวซีวอนหันมองเหมือนทุกครั้ง ทำตัวเหมือนคนมีหน้าเดียวก็ไม่ปาน




    “ขอบคุณนะครับ สำหรับคำแนะนำ” คนชนะแสร้งโค้งขอบคุณเสียทีหนึ่ง แน่นอนว่าซีวอนพยักหน้ารับเป็นมารยาทแล้วจึงเข้าห้องไปโดยไม่ตอบอะไรอีก คยูฮยอนคิดว่าปิดห้องไปซีวอนคงจะอยากกรีดร้องหรืออะไรก็ตามแต่ แต่เขาชนะแล้ว โดยที่ได้ยินเสียงรุ่นพี่โฮดงตบหน้าผากดังฉาดมาแต่ไกล




    สุดสัปดาห์นี้โจวคยูฮยอนอารมณ์ดี และยิ่งถ้าวันจันทร์นี้แผนงานเป็นที่พอใจของลูกค้า ทั้งแผนกคุยกันว่าคงจะต้องนัดเลี้ยงใหญ่ในเย็นวันนั้นเลย!











     

    

     











    คนทั้งแผนได้เสียเงินดังที่คาดการณ์ไว้ เมื่องานออกแบบโครงสร้างซึ่งเป็นตัวแทนของแผนกเป็นที่ถูกอกถูกใจลูกค้าจนนัดวันเซ็นสัญญากันเรียบร้อยในสัปดาห์หน้า ทุกคนยิ้มย่องเมื่อนึกถึงโบนัสตอนปลายปี หรือดีไม่ดีอาจจะมีโบนัสพิเศษในสิ้นเดือนนี้เลยก็ได้! เพราะอย่างนั้นจะเสียเงินคนละนิดละหน่อยเพื่อเปิดห้องคาราโอเกะขนาดใหญ่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สักสิบขวดก็ไม่ได้ถึงกับระคายกระเป๋าเงินนัก




    ชางมินกำลังถูกคะยั้นคะยอให้ร้องเพลงโดยที่คังโฮดงนั่งปรึกษาเรื่องเกมส์พิเรนทร์ๆมาเล่นกันให้สนุกหลังจบเพลงที่รุ่นน้องกำลังร้อง คยูฮยอนกำลังรู้สึกดีต่อเพื่อนร่วมงานในบริษัทใหม่ เว้นเสียก็แต่ชเวซีวอน พอหันมองไปก็เห็นว่ากำลังนั่งดื่มเงียบๆคนเดียว แต่ก็ดื่มตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่งที่คยูฮยอนเห็นว่ารสชาติที่อีกฝ่ายชอบนั้นคงใส่เหล้าไปเข้มพอตัว




    “คยูฮยอน”




    “ครับ รุ่นพี่มินโฮ”




    อีมินโฮนั่นเอง เขาขยับกรอบแว่นเล็กน้อยแล้วจึงนั่งลงข้างๆด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร เป็นคนที่ดูแล้วรู้ทันทีว่าค่อนข้างจริงจังกับงานพอสมควร คยูฮยอนไม่ค่อยกล้าคุยด้วยเท่าไรนัก เพราะในแง่ความรู้สึกแล้วมินโฮคงรู้สึกเสียหน้าไม่น้อยที่งานของเด็กใหม่อย่างเขาถูกคัดเลือกแทนที่จะเป็นงานของตัวเองซึ่งเป็นหน้าเป็นตาของแผนกมาตลอด




    “เรื่องงานของนายที่ได้รับคัดเลือกน่ะ ยินดีด้วยนะ” คำพูดนั้นดูจริงใจเสียจนคยูฮยอนรู้สึกผิดที่เผลอตั้งแง่ไปในทีแรก คนที่นี่ต่างจากคนโซล ที่นั่นการแข่งขันสูงและยากที่จะจริงใจต่อกันในแง่การงาน บางทีเขาอาจจะคิดถูกที่มาที่นี่ ชายหนุ่มตอบ ถ้าไม่เพียงแต่คำบอกเล่าต่อมาของมินโฮซึ่งทำให้ร่างโปร่งต้องหุบยิ้มลงในทันที “มันมีความสด ความแปลกใหม่ แม้แต่ผมเองยังรู้สึกทึ่งตอนที่นายพรีเซนต์มันออกมา บอสคงจะเห็นแววนายน่าดูทีเดียวล่ะถึงได้ยอมอยู่ทำโอทีจนดึกดื่นตั้งสองสามวันเพื่อแก้งานนายให้สมบูรณ์”




    “ครับ?”




    เผลออุทานออกไปอย่างนั้น ชเวซีวอนยังนั่งดื่มเงียบๆคนเดียวที่มุมเดิมไม่ต่างจากทีแรก มีคนแวะเวียนเข้าไปคุยบ้าง แม้จะดูดุและวางท่า แต่พอได้มองอีกทีกลับเห็นว่าทุกคนล้วนแวะเวียนกันเข้าไปพูดคุยด้วยทีท่าสนุกเฮฮาตรงข้ามกับเวลางานโดยสิ้นเชิง




    กระนั้นแล้วคยูฮยอนกลับรู้สึกเหมือนโดนหักหน้าเสียยิ่งกว่าตอนถูกสาดด่าคำสบประมาทใส่ตรงๆ งานที่เขารู้สึกว่าได้รับชัยชนะมาตลอดสามวัน งานที่เขาภูมิใจในคำชื่นชมของทุกคน แท้จริงแล้วเพราะใครมันถึงถูกคัดเลือก... คนที่ดูถูกเขาไว้นั่นเอง ไม่ว่าใครต่างก็คิดว่ามันเป็นเรื่องดี แต่ถ้าองเป็นเขา... เป็นโจวคยูฮยอนในเวลานี้... มันกลับเป็นความรู้สึกซึ่งบอกไม่ถูกว่าก้ำกึ่งระหว่างความโมโหโทโสหรือสิ่งใด




     

    เกมส์พิเรนทร์ๆเริ่มต้นขึ้นเมื่อกองไพ่ถูกแจกส่งต่อให้ทุกคนจนรอบโต๊ะใหญ่ คยูฮยอนเข้าใจว่าเป็นแค่เกมส์ไพ่ธรรมดาในทีแรก ทว่าชายหนุ่มเข้าใจมากกว่านั้น เมื่อชางมินทำหน้าแหยที่จะต้องเอาปากจูบปากกับรุ่นพี่ร่วมแผนกอีกคนหนึ่งแล้วพากันเบนหน้าหนีเหมือนจะอาเจียน ซ้ำยังต้องซัดแก้วเพียวไปอีกคนละยกเพื่อสิ้นสุดบทลงโทษ




    คยูฮยอนยังอารมณ์ขุ่นมัวไม่หายในเรื่องที่เพิ่งรับรู้ และที่ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผู้แพ้ในเกมส์ถัดมาคือเขาและชเวซีวอน สองสายตาหันไปมองกันนิ่งงัน ถึงจะเคยจูบกับผู้ชาย แต่ครั้งนี้โจวคยูฮยอนเกิดอยากจะอ้วกขึ้นมาเสียดื้อๆเมื่อต้องถูกลงโทษร่วมกับผู้ชายที่เขารู้สึกหมั่นหน้านักหนา




    แม้ฤทธิ์เหล้าจะแล่นวาบจนทั้งร่างร้อนรุมๆ แต่ชายหนุ่มคิดว่าตัวเองยังมีสติดีกว่าอีกฝ่ายมาก หน้าของชเวซีวอนแดงแจ๋ เหล้าราคาแพงซึ่งยกขึ้นกระดกเอาเป็นว่าเล่นคงเพิ่งออกฤทธิ์ รสหวานนุ่มคอชวนให้ดื่มต่อ แต่คงเป็นหลังจากการถูกลงโทษด้วยวิธีพิเรนทร์อย่างถึงที่สุดนี่เอง




    สีหน้าชางมินไม่สู้ดีนัก ทว่าทุกคนในแผนกต่างส่งเสียเชียร์เฮละโลไม่ต่างจากมวยคู่เอก ใครๆก็รู้ว่าเขากับซีวอนมีเรื่องผิดใจกันถึงขั้นกล้าเหน็บแนมต่อหน้าคนอื่นมาถึงสองครั้งสองครา หากครั้งนี้มันน่าสนุกยิ่งกว่ามวย ถึงผู้ชายจูบกันจะเป็นเรื่องชวนอ้วกในสายตาคนส่วนมากของสังคม ทว่าที่นี่... ในห้องเล็กๆ... ที่ทุกคนกำลังส่งเสียงเชียร์กันคึกคะนองเพราะฤทธิ์เหล้า ทั้งท้าทาย ดันหลัง สร้างแรงกดดันให้เกมส์เป็นไปตามเกมส์โดยไร้ข้อโต้แย้ง




    มือเรียวของโจวคยูฮยอนวางแก้วแอลกอฮอล์ลงบนโต๊ะก่อนจะหยัดขึ้นขึ้นยืนท่ามกลางเสียงเฮ เขาไม่ชอบยอมแพ้ในสิ่งที่เป็นไปได้ จูบกับผู้ชายคนนี้ ก็คงไม่ต่างที่จูบกับคนอื่น ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากเลย





    ใช้สองแขนท้าวลงกับโต๊ะแล้วก้มลงสัมผัสริมฝีปากคนซึ่งเอี้ยวหน้ามามองเขาอย่างพอดิบพอดี ชเวซีวอนคงไม่คิดว่ามันจะเกิด ไม่คิดว่าเขาจะกล้า ดังเช่นที่เคยต่อปากต่อคำกันยืดยาวในขณะที่คนอื่นตัดสินใจเงียบกริบ




    เพียงแค่ปากแตะปากในช่วงซึ่งสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ไม่ได้ทำให้คยูฮยอนรู้สึกอะไรอย่างที่เคยได้คาดไว้ก่อนหน้า ซีวอนยกเหล้าขึ้นกระดกถึงสองแก้วเพียวๆหลังจากนั้น โดยที่ไม่ปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ










     

    

    TBC

     










    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×