ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ผมชื่อ ไอดิน
“ลูกดินจ๋า....ตื่นได้แล้วจ๊ะ” เสียงหวานแหววจากใครบางคนดังออกมา
“......”อื้ม...ผมว่าเสียงนี้มันคุ้นๆนะ
“ลูกดิน ตื่นได้แล้ว” เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่น้ำเสียงเริ่มเข้มขึ้นกว่าปกติ
มันคุ้นจริงๆแฮะ แต่นึกไม่ออกสักที แต่รู้สึกหนาวๆร้อนๆยังไงไม่รู้
“ไอ้ดิน ตื่นได้แล้ว” คราวนี้เสียงนั้นดังก้องไปใน 2 รูหูผมเลย ก็คนที่พูดเล่นตะโกนข้างหูผมเลยนี่
“คร้าบๆ ตื่นแล้ว เรียกกันดีๆก็ได้นี่” ผมแอบบ่นในขณะที่สะลึมสะลือลุกขึ้นมาเก็บผ้าห่มให้เข้าที่
“ก็เรียกดีๆละยอมตื่นซะที่ไหน” แต่ยังไงก็ไม่อาจรอดพ้นโสตประสาทที่เหนือธรรมดาของแม่ผมไปได้
ใช่แล้ว ผู้หญิงคนที่มาปลุก และตะโกนข้างหู คือแม่ผมเองนั่นแหละ
ตอนเช้าหลังจากแม่อาบน้ำเสร็จ ก็ต้องขึ้นมาปลุกผมอย่างอารมณ์ดีทุกเช้า แต่ก็ต้องหัวเสียทุกครั้งเช่นกัน
เพราะ ผมไม่เคยตื่นในครั้งแรกที่แม่มาเรียกสักที ต้องให้ทำเสียงโหดๆหรือตะโกนข้างหูนั่นแหละ
ถึงจะดึงให้ร่างกายของผมหลุดพ้นจากผ้าห่มที่แสนอบอุ่นนั้นได้
“เอ้อ ไอดิน แม่ลืมบอกแกไปอย่างหนึ่ง” พูดเสร็จแม่ก็ยิ้มเล็กน้อย แต่ก็เป็นยิ้มที่ทำให้ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“นี่มันตี 5 นะ แม่ไปนอนต่อละ อิอิ” พูดจบแม่ก็เผ่นแนบเข้าห้องไปเลย แถมล๊อคประตูกันผมอีกต่างหาก
“โถ่ แม่ คิดจะแกล้งผมหรอ ไม่มีวันซะหรอก นอนต่อดีกว่า” ในขณะที่ผมกำลังจะล้มตัวลงนอนนั้น
เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ถ้าแกไม่ตื่นแล้วลงไปอาบน้ำ งดค่าขนมทั้งอาทิตย์นะจ๊ะลูกรัก”
“โถ่ ไม่เอานะ แม่ๆๆๆๆๆ” แต่ดูเหมือนเรียกร้องไปก็เท่านั้น แม่ผมปิดประตูเงียบ และ สักพักก็เริ่มเสียงกรนอย่างสม่ำเสมอดังออกมา โห แม่นะแม่ ทำกับเราได้ลงคอ เฮ้อออ ผมก็ได้แต่บ่นต่อในใจ แต่ก็ยอมลงไปอาบน้ำแต๋โดยดี
ไม่งั้นมีหวังได้อดข้าวทั้งอาทิตย์แน่นอน
จากเหตุการณ์เมื่อเช้า แม้จะผ่านไปได้ด้วยดี ผมยังคงได้ค่าขนมเหมือนทุกวัน แต่ที่มันแตกต่างไปก็คือ วันนี้ผมมาเรียนเช้าเอามากๆ ตอนนี้พึ่งจะ 6.30 ผมก็ถึงที่เรียนแล้ว เวลาเริ่มเรียน คือ 7.30 แต่ผมมาเกือบ 8.00 ทุกวัน อ้อใช่ผมลืมบอกไป วันนี้วันที่ 4 ตุลาคม นะ คงไม่มีโรงเรียนที่ไหนเปิดวันนี้หรอก....ใช่แล้ววันนี้ผมมาเรียนพิเศษยังไงละ วันนี้เป็นวันที่ 4 ของการเรียนแล้ว และเป็นครั้งที่ 4 ด้วยที่ผมมาเรียนพิเศษ ตอนนี้ผมอยู่ ม.6 และพึ่งจะมาเห็นความสำคัญของการเรียนพิเศษก็ตอนที่มันแทบจะสายไปซะแล้ว เพราะตลอด ม.ปลายที่ผ่านมา ผมไม่เคยเรียนพิเศษเลยสักครั้ง ผมมักจะมองว่ามันเปลืองเงิน และเสียเวลา แต่สุดท้ายเมื่อผลการเรียนขัดตาคุณแม่ของผม ก็โดนบังคับเรียนจนได้ ผมเดินคิดอะไรไปเรื่อย จนมาหยุดอยู่หน้าห้องที่ผมจะต้องเข้าไปเรียน เห้อ 5 ชั่วโมงต่อจากนี้เราต้องอยู่แต่ในห้องนี้หรอเนี่ย น่าเบื่อชะมัด ผมไม่ยอมทิ้งโอกาสสุดท้ายในการบ่น เพราะ หลังจากเข้าห้องนี้ไปคงได้แต่ตั้งใจเรียน ไม่มีเวลามาบ่นอุบอิบ กับเรื่องพวกนี้แล้ว ผมถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนเปิดประตูเข้าห้องไป เนื่องจากว่าเรียนกันมา 4 ครั้งแล้ว ทุกคนต่างมีที่ประจำของตัวเองกันหมด ผมก็เช่นกัน แต่ภาพแรกที่ผมเห็นหลังจากเปิดประตูเข้ามาคือ มีผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังทำอะไรสักอย่างบนโต๊ะที่ผมนั่งประจำ
เมื่อผมเห็นเธอใจผมก็เต้นรัวๆ จนผมกลัวว่ามันเด้งจะหลุดออกมาซะก่อน เหงื่อเริ่มออกผุดผาดตามร่างกาย สมองเริ่มสั่งการร่างกายไม่ได้ ก็ผู้หญิงคนนี้หน่ะสิ เป็นคนที่ผมแอบชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเห็นแล้ว ดวงตากลมโต สุกใสประหนึ่งดาวบนทองฟ้า วงหน้ารูปไข่ จมูกโด่ง รับกับปากที่อิ่มอวบสีชมพูระเรื่อๆของเธอ ผิวขาวปานหิมะ ร่างกายอ้อนแอ้นเพียงหยิบมือเดียว หน้าตาระดับนี้ ไปเป็นดาราได้สบายเลยจริงๆ แต่ที่ผมชอบมากที่สุดกลับเป็นความสูงของเธอ ก็เธอตัวเตี้ยกว่าผมหน่ะสิ ผมมันก็ไม่ใช่คนสูงอะไรมากมายอยู่แล้ว แล้วปกติคนสวยๆก็มักจะขายาว สูงกว่าผมกันทั้งนั้นมีแต่คนนี้แหละที่น่ารัก sizeมินิ
เมื่อเธอเห็นผมก็ออกอาการตกใจเล็กน้อยเช่นกัน ก่อนจะเก็บอะไรบางอย่างใส่กระเป๋ากางเกงของเธอไป แต่นั่นไม่อาจรอดพ้นจากสายตาของผมได้ มันเป็นกระดาษที่เขียนอะไรสักอย่างไว้ในนั้น แต่สายตาผมก็ไม่ดีพอจะเห็นข้อความนั้น เช้าขนาดนี้ ในห้องมีแค่ผมกับเธอในห้องเท่านั้น ผมเดินไปที่โต๊ะของผมก่อนตะกุกทักเธอไปว่า
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” เธอตะกุกตะกักตอบผมกลับมาเช่นกัน
ผมดูออกนะว่าท่าทางของเธอมีพิรุธ แต่ถ้าเธอไม่บอก ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ผมยิ้มให้เธอเล็กน้อยก่อนนั่งลงที่โต๊ะของผม
เธอก็เดินกลับที่นั่งของเธอไป ซึ่งมันก็อยู่แค่ข้างหน้าของผมเองนี่แหละ
ตึก ตึก ตอนนี้หัวใจผมมันเต้นแรงมาก หน้าผมเริ่มร้อนขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ ผมกลัวเธอจะได้ยินเสียงหัวใจผมเต้น เพราะ ห้องตอนนี้มันเงียบเอามากๆ จึงหยิบหูฟังมาต่อเข้ากับโทรศัพท์ แล้วเปิดเพลงฟังทันที เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศและ เพื่อหัวใจผมเองด้วย มันจะได้ไม่ต้องทำงานหนักไปมากกว่านี้
“เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้ก่อน” เสียงจากครูในวีดีโอดังออกมา บ่งบอกว่าตอนนี้ถึงเวลาที่นักเรียนจะได้พักแล้ว หลังจากเรียนต่อเนื่องมากว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง ขณะที่ผมกำลังเก็บของเพื่อเตรียมตัวออกไปพักนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหน้าผม
“เฮ้ย ว่าไงไอ้ดิน”
“อ้าวว่าไง ไอข่าย” เพื่อนผมเองแหละ จริงๆมันชื่อ เน็ต แต่ผมเห็นว่ามันเชย เลยจัดการเปลี่ยนชื่อใหม่ซะ แล้วก็เรียกมันมาเรื่อยๆจนตอนนี้ใครก็เรียกมันเป็น ตาข่าย หรือ ไอข่ายหมดแล้ว ตอนแรกๆมันก็โกรธผมอยู่นะ ที่อยู่ดีๆไปเปลี่ยนชื่อมัน ผมใช่เวลาง้อมันอยู่พักนึงมันก็หาย แต่ก็มาพร้อมกับสัญญา 1 ข้อ ที่ผมต้องช่วยมันเป็นการขอโทษ
“มึงต้องหาแฟนให้กู!”
ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องยาก แต่ก็ต้องยอมไม่งั้นจะไม่ยอมหายโกรธผม เอาจริงๆไอ้นี่ มันก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนักหรอก ตัวสูง ผิวสีแทน ตาโต ใส่แว่น มีความรู้พอตัว แต่ที่สำคัญคือ มันนิสัยดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น ทำให้ผมคบมันเป็นเพื่อนสนิท และยอมที่จะช่วยหาใครสักคนมาเป็นแฟนให้มัน ทั้งที่ตัวผมเองก็ยังหาใครไม่ได้เลย ก็ผมไม่ได้ดูดีไปกว่ามันเลย อ้อ...นี่ผมลืมแนะนำตัวเองไปซะสนิทเลยนี่นา ผม ไอดิน หรือเรียกสั้นๆว่า ดิน ก็ได้ หนุ่มน้อยหน้าตาธรรมดาๆคนหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเหนือใคร ตัวเตี้ย ชอบแอบ(เค้าเรียกว่าเผลอต่างหาก)หลับในห้องเวลาเรียน เป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น แต่เป็นคนขี้อาย เนื่องจากตลอดชีวิต เรียนแต่โรงเรียนชายล้วนมาตลอด เคยแอบมองสาวอยู่บ่อยครั้ง แต่ด้วยความที่อายเกินกว่าจะเข้าไปทักทายทำความรู้จัก จึงทำให้ผมไม่เคยสมหวังเรื่องความรักสักที ไม่สิต้องบอกว่า ความรักของผมมันยังไม่เคยเริ่มขึ้นเลยต่างหากล่ะ แต่เมื่อไม่นานมานี้ผมก็พึ่งฝ่าด่านความกล้าในตัวเองไปได้ และผลมันก็ปรากฏว่า............
“เฮ้ย เป็นอะไรของมึงวะ นั่งเหม่ออยูได้ เก็บของเสร็จก็ไปหากินกันดิ กูหิวละนะ” เสียงจากไอข่ายดังขึ้นมาขัดความคิดผม
“เออๆ โทษทีวะ คิดไรเพลินๆ” ผมพูดพลางลุกขึ้น แล้วเดินออกไปพร้อมกับไอข่าย
“มึงคิดเรื่องคนนั้นอยู่หรอวะ”
“หืม...คนนั้น? คนไหนวะ” ผมที่พึ่งฟื้นจากห้วงความคิดได้ไม่นาน ก็นึกไม่ออกว่าคนไหน
“ก็.................” มันยังไม่พูดไม่ทันจบก็มีเสียงเอ่ะอ่ะ โวยวายดังขึ้น พวกผมจึงเดินไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ภาพที่ผมเห็นคือ ผู้ชาย 2 คนกำลังจะง้างหมัดใส่กัน โดยมี ผู้หญิงคนหนึ่งคอยห้ามทั้ง 2 คนไว้ อยู่ตรงกลาง
ผู้หญิงคนนั้นคือ “นางฟ้า”ที่ผมเจอเมื่อเช้านั่นเอง
“เฮ้อ เอาอีกแล้วหรอ ต่อยกันได้ทุกวี่ทุกวัน ไม่รู้หรือไง ผู้หญิงเขาไม่ชอบคนใช้กำลัง “
ผมอดที่จะบ่นไม่ได้ ก็ตั้งแต่ผมมาเรียนที่นี่ 4 วัน ก็มีเรื่องจะชกกันได้ทุกวัน แถมไม่ซ้ำคู่ด้วย เพียงเพราะ ต้องการเอาใจ นางฟ้าคนนั้นนั่นแหละ
“หึงหรอวะ ฮ่าๆ” ไอข่ายอดแซวผมไม่ได้
“เฮ้ย พูดไรวะ พูดงี้คิดถึง เท้ากูมากใช่ป่ะ? ไม่โดนมานานแล้วนี่ เดี๋ยวจัดให้สักคำเอาไหม”
“เฮ้ยๆ ไม่เอาๆ กูล้อเล่น แหม ทำเป็นจุดเดือดต่ำนะ ที่แซว หญิงคนอื่นไม่เห็นจะเดือดง่ายขนาดนี้เลย”
“เชอะ! เรื่องของกู” ผมรีบตัดบทไปก่อน ก่อนที่มันจะรุกผมจนเข้าตาจน ประกอบกับเวลานั้นสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ชาย 2 คนนั้นแยกออกจากกัน เพราะ นางฟ้าคนนั้นเดินหนีออกมา เพราะ ทนกับพฤติกรรมของผู้ชาย 2 คนนั้นไม่ได้
นางฟ้าคนนั้น เดินผ่านมาทางด้านที่พวกผมยืนอยู่ เมื่อเห็นพวกผมมองอยู่ ก็ยิ้มให้เล็กน้อย แล้วเดินต่อไป แต่ยิ้มนั้นก็ทำให้ผม 2 คนแทบละลาย และทำให้หลายตา หลายคู่ มองพวกผมด้วยความอิจฉา โดยเฉพาะ ผู้ชาย 2 คนนั้น ออกอาอาการไม่พอใจอย่างมาก ผมเห็นว่าบรรยากาศเริ่มจะไม่ค่อยดีเสียแล้ว จึงชวนไอข่าย ออกไปซื้อของข้างนอกกัน
ไอข่ายก็รู้สถานการณ์ดี จึงเดินนำผมออกไปก่อน
เมื่อเดินออกมาถึงข้างนอก ผมก็ถอนหายใจออกมาอย่าโล่งอก คิดว่าต้องมีเรื่องซะแล้วสิ
แล้วผมก็นึกขึ้นขึ้นได้ว่า ไอข่ายพูดเรื่องใครสักคน ค้างเอาไว้
“ไอข่าย ตกลงที่มึงพูดคนนั้นอ่ะ ใครกันแน่วะ?” ผมอดอยากรู้ไม่ได้ ต้องเตือนความจำมันสักหน่อย
“ก็ นางฟ้าคนนั้นไง ที่มาเรียนวันแรก มึงก็ไปสร้างวีรกรรมไว้กับเขาเลยไง”
จริงสิ ผมเกือบไปแล้วนะเนี่ย ว่าวันแรกผมไปสร้างวีรกรรมอะไรไว้ ก็ผมดันไปขอเมล์นางฟ้าคนนั้น ท่ามกลางสายตาผู้คน
จำนวนมาก แล้วผลที่ออกมาก็ตามคาดคือ “เอาไว้วันหลังนะ....”เป็นคำปฏิเสธที่ฝากความหวังไว้ที่ผมอย่างมาก ว่าสักวันหนึ่งเขาจะเอาเมล์มาให้ผม แต่จนวันนี้ วันที่ 4 เข้าไปแล้ว เธอก็ยังไม่ได้แสดงอาการว่าจะเอามาให้ผมแต่อย่างใดเลย
วันนั้นนอกจากผมจะขอไม่ได้แล้ว ยังเกือบจะมีเรื่องขึ้นด้วย เพราะ ผู้ชายหลายคนมองว่าผมไปตัดหน้าพวกมัน ดีที่ได้
ไอข่าย เพื่อนผมช่วยพูดปนขอร้อง เพราะ ไม่อยากให้มีเรื่อง จากวันนั้นมา ผู้ชายในห้องส่วนใหญ่จะเกลียดขี้หน้าผมกันหมดทุกคน ยกเว้นไอข่ายคนเดียว ซึ่งผมก็ไม่ได้แคร์อะไรอยู่แล้ว
“เฮ้ย เป็นอะไรไปอีกละวะ พูดๆอยู่ก็เงียบ ไม่สบายป่ะ” มันพูดพลางเอามือมาแตะหน้าผากผม
“เฮ้ยป่าวๆ ไม่ได้เป็นอะไร” ผมพูดพลางเอามือมันออก
“แค่คิดอะไรนิดหน่อยหน่ะ”
“เรื่อง นางฟ้าคนนั้นอ่ะดิ”
“อื้ม.........” คราวนี้ผมยอมรับเพราะรู้ว่าปิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ยังไงมันก็เดาใจผมถูกอยู่แล้ว
“เฮ้อ กูว่านะ มึงไปฟิตหุ่นให้มากกว่านี้ ตัวสูงกว่านี้อีกหน่อย เข้าฟิตเนต กล้ามขึ้นเป็นมัดๆ ค่อยมาจีบเขาดีกว่าว่ะ”
“แค่ตอนนี้เข้าใกล้ตัวเขายังไม่ได้เลย ผู้ชายล้อมหน้าล้อมหลังซะขนาดนั้น หรืออีกวิธีหนึ่งอ่ะนะ..... “
มันหยุดเดินเพราะ ถึงหน้าร้านขายของแล้ว ผมก็หยุดตาม
“ตัดใจซะเหอะว่ะ อย่าทำตัวเป็นหมามองเครื่องบิน หรือ ดอกฟ้ากับหมาวัดเลย”
“อืม....กูรู้ๆ” แต่กูทำไม่ได้ว่ะ.... แน่นอนว่าประโยคหลังผมไม่ได้พูดออกไป ไม่งั้น ไอข่าย สวดผมยาวแน่นอน
ผมก็รู้นะว่ามันเป็นห่วง แต่บางทีความรู้สึกมันก็เหนือคำว่าเหตุผล โดยเฉพาะความรู้สึกที่เรียกว่า...........รัก
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น