ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 เงาจันทรา
บทที่ 2 เงาจันทรา
ดวงจันทร์สีเหลืองนวลลอยเด่นอยู่เหนือฟากฟ้าสีรัตติกาล
บางครั้งวิเวียนก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองนั้น ช่างคล้ายกับดวงจันทร์เหลือเกิน
เหงาหงอย . โดดเดี่ยว . มีเพียงดวงดาวที่คล้ายกับคนแปลกหน้ารายล้อมมากมาย และดวงดาวเหล่านั้นกำลังดูดกลืนแสงสว่างในตัวเธอ
เมื่อยังมีแสงสว่าง . เธอก็ย่อมมีค่า .
แต่ถ้าเกิดแสงสว่างเหล่านั้นหายไปละ .
เธอจะยังมีค่าพอที่จะให้ใครนึกถึงอีกมั้ย ?
โดยเฉพาะเค้าคนนั้น . เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินอันแสนอ่อนโยน
ไม่มีทาง วิเวียนส่ายหัว ยิ้มให้กับความน่าสมเพชของตัวเอง บางสิ่งบางอย่างไม่สามารถครอบครองได้ ข้อนี้ตัวเธอรู้ดีที่สุด บางครั้งยิ่งฝืนยิ่งทำให้เจ็บ
สายลมอ่อนๆ พัดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้หญิงสาวต้องสยิวกายกับความหนาวเย็นที่แทรกเข้าไปคล้ายมีดกรีดแทงขั้วหัวใจ
ราตรีอันแสนยาวนาน
“จะไปไหนของเธอ”
เสียงของคาโลเรียกให้เฟรินหยุดค้างกึกตรงลูกบิดประตู อดด่าตัวเองไม่ได้ที่ไม่ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน
นึกว่าหลับกันหมดแล้ว
จอมกระล่อนหันมายิ้มแหยๆ ผิวปากเป็นทำนองเพลงมาร์ช
“คือ พระจันทร์สวยดีน่ะ ฉันเลยอยากไปเดินเล่นชมจันทร์ซะหน่อยง่ะ”
เจ้าชายเลิกคิ้ว
ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นมันสนใจ อยู่ๆก็ลุกขึ้นมาเดินชมจันทร์ พิลึกชะมัด
เมื่ออีกฝ่ายยังไม่ว่าอะไร อดีตหัวขโมยก็เลยได้โอกาสแว้บไปทันที
เสร็จตู เฟรินนึกอย่างยิ้มย่ามใจ แต่ประโยคต่อมาก็ทำให้ลมหายใจหยุดกึก
“เดี๋ยว ฉันจะไปด้วย”
ร่างชายหนุ่มผมดำกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ตรงหน้าต่างทรงสูงของปราสาท นัยน์ตาสีม่วงเหม่อลอยไปไกล ในห้วงคำนึงคิด
คิลรู้สึกประหลาดใจ และรำคาญใจเป็นที่สุด ว่าทำไมเค้าถึงหาคำตอบเมื่อตอนกลางวันไม่ได้
เรนอนน่ารัก ใช่ น่ารักมากๆ
เค้าเริ่มคบกับหล่อนเมื่อปลายปีที่แล้ว และพบว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุด
แต่ มันคือรักหรือเปล่า
หล่อนอาจจะอ่อนหวาน นุ่มนวล ทำอาหารเก่ง ช่างเอาใจ มันเลยยิ่งน่าแปลกใจเข้าไปอีกว่าทั้งที่หล่อนสมบรูณ์พร้อมขนาดนี้แล้ว ทำไมเค้าถึงไม่รักหล่อน
ทำไม ?
นี่อาจเป็นปัญหาที่เค้าขบคิดไปจนวันตายก็ไม่มีทางเข้าใจ
“นายจะตามมาทำไม”
เฟรินถามเสียงสูง หลังจากพยายามสลัดไอ้เจ้าชายน้ำแข็งเฮงซวยมาแล้วหลายรอบ
“เปล่า ฉันแค่เดินตามทางของฉัน” คำตอบของอีกฝ่ายเรียกอารมณ์โมโหของหัวขโมยให้ครุกกรุ่น
“ถึงแกจะเป็นแฟนฉัน ก็ไม่มีสิทธิ์มาสะกดรอยตามฉันนะ” เจ้าตัวจอมโวยเริ่มออกนิสัย ทำให้เจ้าชายแห่งคาโนวาลถอนหายใจเฮือก
บางทีเขาอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อดัดนิสัยเฟรินก็ได้
ร่างสูงสง่าของเจ้าชายหยุดกึก เหมือนพึ่งนึกอะไรออก เอ่ยถามตรงไปตรงมา
“เธอจะไปหาวิเวียนหรือเปล่า”
เฟรินยักคิ้วแผล็บเป็นคำตอบ สะบัดมือไล่คนตรงหน้า
“รู้แล้ว ก็ไปซะทีดิ ผู้หญิงเค้าจะได้คุยกันตามประสาผู้หญิง”
แต่เจ้าชายมาดน้ำแข็งกลับพูดขึ้นดื้อๆ
“ฉันจะไปด้วย” คำประกาศจากเจ้าชายคาโลที่ทำให้เฟรินไม่กล้าขัด เพราะนัยน์ตามันเป็นประกายวาววับชอบกล
เสียงอ้อมแอ้มขออนุญาตดังขึ้นกลางดึก กลัวว่าจะเป็นการรบกวนหากแต่บุคคลภายในห้องกลับเอ่ยอนุญาตด้วยเสียงราบเรียบไม่เหมือนกับคนที่ถูกรบกวนกลางดึกเลย
ประตูแง้มออกเบาๆ แล้วร่างของหญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อนก็ก้าวผ่านองครักษ์เข้ามาภายในห้อง ตามด้วยเจ้าชายผมเงินที่ยืนยันว่าจะมาด้วยให้ได้
ดูเหมือนวิเวียนจะแปลกใจเล็กน้อยที่มีเจ้าแห่งคาโนวาลมาด้วย
“ท่านพี่หญิง เจ้าชายคาโล ” ดวงหน้างามมีแววฉงนเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มสง่างาม .
เปลี่ยนไปเยอะจริงๆ เฟรินหมายเหตุไว้ในใจ แต่ดวงหน้ากลับฉีกยิ้มกว้างเป็นการตอบรับ ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาทรงเกือกม้าสีดำสนิท
คาโลไม่นั่ง กลับยืนมององค์จักพรรดินีตรงหน้าด้วยนัยน์ตาคมปลาบ
ปกติผิวของวิเวียนก็ขาวอยู่แล้ว และยิ่งขาวจัดเมื่ออยู่ในห้องที่มีไฟสลัวๆ แสงจันทร์สาดส่องเข้ามากระทบ ขับความงดงาม ยิ่งทำให้หญิงสาวแทบจะเปล่าประกายสีทองนวลได้
สมกับเป็นจักพรรดินีแล้วสินะ คาโลคิด ก่อนจะเบียนสายตามาที่เจ้าหญิงอีกองค์ภายในห้อง คนนี้สิ ฝึกเท่าไรก็ไม่เป็นสักที
“ยินดีที่ได้พบอีกครั้งค่ะ ต้องรบกวนพี่หญิงมายามวิกาลเพราะตอนเช้าเราไม่สู้จะมีเวลานัก” บทสนทนาแรกจากวิเวียน น้ำเสียงทั้งนุ่มนวลอ่อนหวาน
ชักเข้าใจแล้วว่าทำไมคิงริชาร์ดถึงหลงนักหลงหนา ผู้ชายที่ไหนจะอดใจไหว ดีที่เธอเป็นผู้หญิงมาหลายปีแล้ว ไม่งั้นอาจจะต้องตกบ่วงมนตร์สเน่ห์ของเจ้าหล่อนไปโดยปริยาย
คิดแล้วก็เหลือบตาไปข้างๆอย่างไม่สบาย ไม่แน่ใจว่าไอ้คุณเจ้าชายจากคาโนวาลมันจะหลงสเน่ห์หรือเปล่า หากดวงหน้าหล่อหลาปานรูปสลักยังคงเฉยชาเป็นเนื่องนิจ
“กลางคืนยังอีกยาวนาน” เฟรินเปรยขึ้น “เจ้าหญิงมีเวลาคุยกับผมอีกเพียบ”
ศอกของเจ้าชายน้ำแข็งกระทุ้งหลังเข้า
“หมายถึง ฉัน นะ”
ศอกของคาโลกระทุ้งอีก คราวนี้หมายถึง อีกคำหนึ่ง
“คือ องค์จักพรรดินี ค่ะ” พูดเสร็จก็หันไปถลึงตาค้อนคนตัวสูงกว่าด้วยสายตาที่แปลความหมายได้ว่า พอใจหรือยัง
หากเสียงสรวลเบาๆ ขององค์จักพรรดินีวัยเยาว์ ทำให้เฟรินระบายรอยยิ้มที่มุมปาก เอนหลังพิงเก้าอี้อย่างสบายใจ
เอาน่ะ ยกโทษให้คาโลมันสักวันแล้วกัน
“อยู่กับผม เจ้าหญิงพูดตามสบายก็ได้ ไม่ต้องใช้พวกศัพท์ยากๆ หรอก”
ศอกของคาโลกระทุ้งเข้าเต็มอัก เล่นเอาคนถูกศอกหน้าเบ้เพราะความจุก
ก็ดันไปแย่งบทพูดของวิเวียนเอาซะดื้อๆ กรรมการคุมระเบียบก็เลยถองเข้าให้ดังปึ้ก
คราวนี้วิเวียนหัวเราะออกมาตรงๆ ดวงหน้างดงามประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างเปิดเผย
จริงใจ และสวยงาม
อาจเพราะเสียงหัวเราะกับรอยยิ้มของวิเวียนทำให้เฟรินไม่ติดใจเอาโทษกับกรรมการคุมระเบียบ
ซึ่งก็เป็นโชคดีของเขา
“จริงเหรอคะ” เสียงหวานทวน คิ้วเรียวยาวเลิกขึ้นสูงจนแทบหายไปในเรือนผมสีทองสลวย
“จริงสิ” เฟรินยิ้มร่า เมื่อเห็นท่าทางของน้องหญิง(ที่น่าจะสูงเท่าเธอแล้ว)มองด้วยสายตาอันตื่นเต้นกับเรื่องจริงปนโม้ที่เธอเก็บเอามาเล่าเมื่อตอนอยู่ปีห้า .ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโม้เสียมากกว่า
“แล้วพี่หญิงหนีออกมาได้ยังไงคะ” ถามเร็วบรื๋อ ทำให้คนเล่าต้องโบกมือจุ๊ๆ หัวเราะหึๆ อย่างเป็นต่อ
ให้ตายสิ ไปเล่าให้เจ้าครี้ดฟังมันยังไม่เชื่อเลย แต่องค์จักพรรดินีแห่งเวนอลดันเชื่อซะได้
ความคิดที่ต้องเก็บไว้ขำคนเดียวเพราะนัยน์ตาสีเขียวมรกตนิ่งเพื่อรอคำตอบอยู่
“ผม..” เสียงสะดุด ตามจังหวะของศอกที่กระทบ เลยจำใจต้องใช้สรรพนามใหม่
“พี่ก็เลยเรียกคทามาไว้ในมือ” ไม่ว่าเปล่าทำท่าทางให้ดูเสียด้วย “แล้วร่ายเวทย์ย้อนเวลาใส่มันซะเลย”
องค์จักพรรดินียังปรบมือให้กับเรื่องเล่า(ปนโม้)ของมัน
แต่เจ้าชายกลับสอดเสียงเย็น
“ประสาท เวลาแค่นั้นจะพอร่ายเวทย์ย้อนเวลาได้ยังไง”
วิเวียนหัวเราะอีก
คนเล่าชักมีอารมณ์ นี่มันจะขัดขากันไปทุกเรื่องหรือไง
เห็นทีหลังจากคุยกับวิเวียนเสร็จ ต้องอบรมกันด้วยแข้งหน่อยแล้ว
วิเวียนยิ้ม และหัวเราะ
หลายปีแล้วที่เธอไม่ได้ยิ้มหรือหัวเราะอย่างจริงใจและสนุกสนานเท่านี้มาก่อน
มันช่วยทำให้เธอลืมความกลัวเรื่องการแต่งงานไปได้บ้าง
อย่างน้อยก็ยังสบายใจกว่าทุกคืน
“แล้วคู่หมั้นของวิเวียนคือใครกัน” เฟรินถามขึ้นลอยๆ ตามนิสัย พร้อมกับศอกที่จิ้มเข้ามาทันที แต่เจ้าตัวดีขยับตัวหลบทัน
มาแล้ว วิเวียนคิด เธอรู้ว่ายังไงพี่หญิงก็ต้องถามเรื่องสวามีของเธอ แต่เธอไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วเพียงนี้ เธอยัง
ทำใจไม่ได้เลย
สายตาคาดคั้นของอีกฝ่ายทำให้วิเวียนรู้สึกอึดอัด แล้วอากาศรอบตัวก็พลันร้อนอบอ้าวขึ้นมาเฉยๆ
เหมือนเวลาจะหยุดลง เมื่อเจ้าหญิงผู้ขึ้นเป็นจักพรรดินีเอ่ยชื่ออันแสนคุ้นเคยออกมา
“เจ้าชายแห่งคาโนวาล”
ดวงจันทร์สีเหลืองนวลลอยเด่นอยู่เหนือฟากฟ้าสีรัตติกาล
บางครั้งวิเวียนก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองนั้น ช่างคล้ายกับดวงจันทร์เหลือเกิน
เหงาหงอย . โดดเดี่ยว . มีเพียงดวงดาวที่คล้ายกับคนแปลกหน้ารายล้อมมากมาย และดวงดาวเหล่านั้นกำลังดูดกลืนแสงสว่างในตัวเธอ
เมื่อยังมีแสงสว่าง . เธอก็ย่อมมีค่า .
แต่ถ้าเกิดแสงสว่างเหล่านั้นหายไปละ .
เธอจะยังมีค่าพอที่จะให้ใครนึกถึงอีกมั้ย ?
โดยเฉพาะเค้าคนนั้น . เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินอันแสนอ่อนโยน
ไม่มีทาง วิเวียนส่ายหัว ยิ้มให้กับความน่าสมเพชของตัวเอง บางสิ่งบางอย่างไม่สามารถครอบครองได้ ข้อนี้ตัวเธอรู้ดีที่สุด บางครั้งยิ่งฝืนยิ่งทำให้เจ็บ
สายลมอ่อนๆ พัดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้หญิงสาวต้องสยิวกายกับความหนาวเย็นที่แทรกเข้าไปคล้ายมีดกรีดแทงขั้วหัวใจ
ราตรีอันแสนยาวนาน
“จะไปไหนของเธอ”
เสียงของคาโลเรียกให้เฟรินหยุดค้างกึกตรงลูกบิดประตู อดด่าตัวเองไม่ได้ที่ไม่ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน
นึกว่าหลับกันหมดแล้ว
จอมกระล่อนหันมายิ้มแหยๆ ผิวปากเป็นทำนองเพลงมาร์ช
“คือ พระจันทร์สวยดีน่ะ ฉันเลยอยากไปเดินเล่นชมจันทร์ซะหน่อยง่ะ”
เจ้าชายเลิกคิ้ว
ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นมันสนใจ อยู่ๆก็ลุกขึ้นมาเดินชมจันทร์ พิลึกชะมัด
เมื่ออีกฝ่ายยังไม่ว่าอะไร อดีตหัวขโมยก็เลยได้โอกาสแว้บไปทันที
เสร็จตู เฟรินนึกอย่างยิ้มย่ามใจ แต่ประโยคต่อมาก็ทำให้ลมหายใจหยุดกึก
“เดี๋ยว ฉันจะไปด้วย”
ร่างชายหนุ่มผมดำกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ตรงหน้าต่างทรงสูงของปราสาท นัยน์ตาสีม่วงเหม่อลอยไปไกล ในห้วงคำนึงคิด
คิลรู้สึกประหลาดใจ และรำคาญใจเป็นที่สุด ว่าทำไมเค้าถึงหาคำตอบเมื่อตอนกลางวันไม่ได้
เรนอนน่ารัก ใช่ น่ารักมากๆ
เค้าเริ่มคบกับหล่อนเมื่อปลายปีที่แล้ว และพบว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุด
แต่ มันคือรักหรือเปล่า
หล่อนอาจจะอ่อนหวาน นุ่มนวล ทำอาหารเก่ง ช่างเอาใจ มันเลยยิ่งน่าแปลกใจเข้าไปอีกว่าทั้งที่หล่อนสมบรูณ์พร้อมขนาดนี้แล้ว ทำไมเค้าถึงไม่รักหล่อน
ทำไม ?
นี่อาจเป็นปัญหาที่เค้าขบคิดไปจนวันตายก็ไม่มีทางเข้าใจ
“นายจะตามมาทำไม”
เฟรินถามเสียงสูง หลังจากพยายามสลัดไอ้เจ้าชายน้ำแข็งเฮงซวยมาแล้วหลายรอบ
“เปล่า ฉันแค่เดินตามทางของฉัน” คำตอบของอีกฝ่ายเรียกอารมณ์โมโหของหัวขโมยให้ครุกกรุ่น
“ถึงแกจะเป็นแฟนฉัน ก็ไม่มีสิทธิ์มาสะกดรอยตามฉันนะ” เจ้าตัวจอมโวยเริ่มออกนิสัย ทำให้เจ้าชายแห่งคาโนวาลถอนหายใจเฮือก
บางทีเขาอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อดัดนิสัยเฟรินก็ได้
ร่างสูงสง่าของเจ้าชายหยุดกึก เหมือนพึ่งนึกอะไรออก เอ่ยถามตรงไปตรงมา
“เธอจะไปหาวิเวียนหรือเปล่า”
เฟรินยักคิ้วแผล็บเป็นคำตอบ สะบัดมือไล่คนตรงหน้า
“รู้แล้ว ก็ไปซะทีดิ ผู้หญิงเค้าจะได้คุยกันตามประสาผู้หญิง”
แต่เจ้าชายมาดน้ำแข็งกลับพูดขึ้นดื้อๆ
“ฉันจะไปด้วย” คำประกาศจากเจ้าชายคาโลที่ทำให้เฟรินไม่กล้าขัด เพราะนัยน์ตามันเป็นประกายวาววับชอบกล
เสียงอ้อมแอ้มขออนุญาตดังขึ้นกลางดึก กลัวว่าจะเป็นการรบกวนหากแต่บุคคลภายในห้องกลับเอ่ยอนุญาตด้วยเสียงราบเรียบไม่เหมือนกับคนที่ถูกรบกวนกลางดึกเลย
ประตูแง้มออกเบาๆ แล้วร่างของหญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อนก็ก้าวผ่านองครักษ์เข้ามาภายในห้อง ตามด้วยเจ้าชายผมเงินที่ยืนยันว่าจะมาด้วยให้ได้
ดูเหมือนวิเวียนจะแปลกใจเล็กน้อยที่มีเจ้าแห่งคาโนวาลมาด้วย
“ท่านพี่หญิง เจ้าชายคาโล ” ดวงหน้างามมีแววฉงนเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มสง่างาม .
เปลี่ยนไปเยอะจริงๆ เฟรินหมายเหตุไว้ในใจ แต่ดวงหน้ากลับฉีกยิ้มกว้างเป็นการตอบรับ ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาทรงเกือกม้าสีดำสนิท
คาโลไม่นั่ง กลับยืนมององค์จักพรรดินีตรงหน้าด้วยนัยน์ตาคมปลาบ
ปกติผิวของวิเวียนก็ขาวอยู่แล้ว และยิ่งขาวจัดเมื่ออยู่ในห้องที่มีไฟสลัวๆ แสงจันทร์สาดส่องเข้ามากระทบ ขับความงดงาม ยิ่งทำให้หญิงสาวแทบจะเปล่าประกายสีทองนวลได้
สมกับเป็นจักพรรดินีแล้วสินะ คาโลคิด ก่อนจะเบียนสายตามาที่เจ้าหญิงอีกองค์ภายในห้อง คนนี้สิ ฝึกเท่าไรก็ไม่เป็นสักที
“ยินดีที่ได้พบอีกครั้งค่ะ ต้องรบกวนพี่หญิงมายามวิกาลเพราะตอนเช้าเราไม่สู้จะมีเวลานัก” บทสนทนาแรกจากวิเวียน น้ำเสียงทั้งนุ่มนวลอ่อนหวาน
ชักเข้าใจแล้วว่าทำไมคิงริชาร์ดถึงหลงนักหลงหนา ผู้ชายที่ไหนจะอดใจไหว ดีที่เธอเป็นผู้หญิงมาหลายปีแล้ว ไม่งั้นอาจจะต้องตกบ่วงมนตร์สเน่ห์ของเจ้าหล่อนไปโดยปริยาย
คิดแล้วก็เหลือบตาไปข้างๆอย่างไม่สบาย ไม่แน่ใจว่าไอ้คุณเจ้าชายจากคาโนวาลมันจะหลงสเน่ห์หรือเปล่า หากดวงหน้าหล่อหลาปานรูปสลักยังคงเฉยชาเป็นเนื่องนิจ
“กลางคืนยังอีกยาวนาน” เฟรินเปรยขึ้น “เจ้าหญิงมีเวลาคุยกับผมอีกเพียบ”
ศอกของเจ้าชายน้ำแข็งกระทุ้งหลังเข้า
“หมายถึง ฉัน นะ”
ศอกของคาโลกระทุ้งอีก คราวนี้หมายถึง อีกคำหนึ่ง
“คือ องค์จักพรรดินี ค่ะ” พูดเสร็จก็หันไปถลึงตาค้อนคนตัวสูงกว่าด้วยสายตาที่แปลความหมายได้ว่า พอใจหรือยัง
หากเสียงสรวลเบาๆ ขององค์จักพรรดินีวัยเยาว์ ทำให้เฟรินระบายรอยยิ้มที่มุมปาก เอนหลังพิงเก้าอี้อย่างสบายใจ
เอาน่ะ ยกโทษให้คาโลมันสักวันแล้วกัน
“อยู่กับผม เจ้าหญิงพูดตามสบายก็ได้ ไม่ต้องใช้พวกศัพท์ยากๆ หรอก”
ศอกของคาโลกระทุ้งเข้าเต็มอัก เล่นเอาคนถูกศอกหน้าเบ้เพราะความจุก
ก็ดันไปแย่งบทพูดของวิเวียนเอาซะดื้อๆ กรรมการคุมระเบียบก็เลยถองเข้าให้ดังปึ้ก
คราวนี้วิเวียนหัวเราะออกมาตรงๆ ดวงหน้างดงามประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างเปิดเผย
จริงใจ และสวยงาม
อาจเพราะเสียงหัวเราะกับรอยยิ้มของวิเวียนทำให้เฟรินไม่ติดใจเอาโทษกับกรรมการคุมระเบียบ
ซึ่งก็เป็นโชคดีของเขา
“จริงเหรอคะ” เสียงหวานทวน คิ้วเรียวยาวเลิกขึ้นสูงจนแทบหายไปในเรือนผมสีทองสลวย
“จริงสิ” เฟรินยิ้มร่า เมื่อเห็นท่าทางของน้องหญิง(ที่น่าจะสูงเท่าเธอแล้ว)มองด้วยสายตาอันตื่นเต้นกับเรื่องจริงปนโม้ที่เธอเก็บเอามาเล่าเมื่อตอนอยู่ปีห้า .ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโม้เสียมากกว่า
“แล้วพี่หญิงหนีออกมาได้ยังไงคะ” ถามเร็วบรื๋อ ทำให้คนเล่าต้องโบกมือจุ๊ๆ หัวเราะหึๆ อย่างเป็นต่อ
ให้ตายสิ ไปเล่าให้เจ้าครี้ดฟังมันยังไม่เชื่อเลย แต่องค์จักพรรดินีแห่งเวนอลดันเชื่อซะได้
ความคิดที่ต้องเก็บไว้ขำคนเดียวเพราะนัยน์ตาสีเขียวมรกตนิ่งเพื่อรอคำตอบอยู่
“ผม..” เสียงสะดุด ตามจังหวะของศอกที่กระทบ เลยจำใจต้องใช้สรรพนามใหม่
“พี่ก็เลยเรียกคทามาไว้ในมือ” ไม่ว่าเปล่าทำท่าทางให้ดูเสียด้วย “แล้วร่ายเวทย์ย้อนเวลาใส่มันซะเลย”
องค์จักพรรดินียังปรบมือให้กับเรื่องเล่า(ปนโม้)ของมัน
แต่เจ้าชายกลับสอดเสียงเย็น
“ประสาท เวลาแค่นั้นจะพอร่ายเวทย์ย้อนเวลาได้ยังไง”
วิเวียนหัวเราะอีก
คนเล่าชักมีอารมณ์ นี่มันจะขัดขากันไปทุกเรื่องหรือไง
เห็นทีหลังจากคุยกับวิเวียนเสร็จ ต้องอบรมกันด้วยแข้งหน่อยแล้ว
วิเวียนยิ้ม และหัวเราะ
หลายปีแล้วที่เธอไม่ได้ยิ้มหรือหัวเราะอย่างจริงใจและสนุกสนานเท่านี้มาก่อน
มันช่วยทำให้เธอลืมความกลัวเรื่องการแต่งงานไปได้บ้าง
อย่างน้อยก็ยังสบายใจกว่าทุกคืน
“แล้วคู่หมั้นของวิเวียนคือใครกัน” เฟรินถามขึ้นลอยๆ ตามนิสัย พร้อมกับศอกที่จิ้มเข้ามาทันที แต่เจ้าตัวดีขยับตัวหลบทัน
มาแล้ว วิเวียนคิด เธอรู้ว่ายังไงพี่หญิงก็ต้องถามเรื่องสวามีของเธอ แต่เธอไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วเพียงนี้ เธอยัง
ทำใจไม่ได้เลย
สายตาคาดคั้นของอีกฝ่ายทำให้วิเวียนรู้สึกอึดอัด แล้วอากาศรอบตัวก็พลันร้อนอบอ้าวขึ้นมาเฉยๆ
เหมือนเวลาจะหยุดลง เมื่อเจ้าหญิงผู้ขึ้นเป็นจักพรรดินีเอ่ยชื่ออันแสนคุ้นเคยออกมา
“เจ้าชายแห่งคาโนวาล”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น