คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : File 00 [The World is Round I] – ใครว่าโลกแบน I
File 00 [The World is Round I] – ใครว่าโลกแบน I
ณ เหมืองแร่ที่ภายในมีทางเดินสลับซับซ้อนชวนหลงทางราวกับเขาวงกต
แซ่กๆ ซู่ๆ
มีเงาดำสองร่างเคลื่อนไหวอยู่ภายในอุโมงค์อันคับแคบ
แซ่กๆ ซู่ๆ
เงาร่างเล็กแลดูบอบบางกำลังพยายามวิ่งหนีสิ่งที่ตามมาข้างหลังอย่างสุดชีวิต
แซ่กๆซู่ๆ
สิ่งมีชีวิตปริศนาเคลื่อนไหวไล่หลังมาอย่างรวดเร็วและว่องไว
แซ่กๆซู่ๆ
ระยะห่างระหว่างเด็กสาวกับสิ่งมีชีวิตปริศนาเริ่มสั้นลงเรื่อยๆ
แซ่กๆซู่ๆ
ในที่สุดข้างหน้าก็ปรากฏทางแยกแก่สายตา เด็กสาวตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปโดยไม่ต้องคิด ทว่า...
“ว๊าย! ตายแล้วทางตัน” เด็กสาวกรีดร้องด้วยความตกใจ หล่อนไร้ทางหนีเสียแล้ว
เมื่อหล่อนหมุนตัวกลับหวังจะหนีออกจากทางตัน เจ้าสิ่งมีชีวิตปริศนาก็แสยะเขี้ยวยืนจังก้ารออยู่แล้วที่ทางแยก มันจับจ้องหล่อนด้วยดวงตาแดงก่ำอันดุร้าย บีบให้หล่อนต้องถอยร่นไปจนชิดติดกำแพง
“โอเค! ใจเย็นๆนะ ค่อยๆตั้งสติ หายใจเข้าลึกๆ แล้วก็หายใจออกยาวๆ”
หล่อนกล่าวด้วยเสียงสั่นเทิ้ม ไหล่ทั้งสองข้างเกร็งเขม็ง ใบหน้ามีเหงื่อพร่างพราว ส่วนดวงตาเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก ดูเหมือนว่าหล่อนกำลังจะสติแตก
เพี้ยะ!!
หล่อนตบหน้าตัวเองเข้าไปฉาดใหญ่ สงสัยว่าวิธีตั้งสติของหล่อนจะใช้ไม่ได้ผลกับสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้
“ไม่ไหวแล้ว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องบ้าๆแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรกของฉันด้วย”
หล่อนพูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ในขณะที่เจ้าสัตว์ร้ายตั้งท่าเตรียมพร้อมจะเข้าขย้ำหล่อนได้ทุกเมื่อ มันกางกรงเล็บออกมาโชว์หรา ราวกับจะบอกให้หล่อนรีบๆตกใจตายไปซะ มันจะได้ไม่ต้องเปลืองแรง
เด็กสาวหลับตาปี๋พร้อมทั้งพยายามขดตัวให้กลายเป็นก้อนกลม หล่อนรู้สึกกลัวมากจนแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ตายๆไปซะ แต่ว่าสิ่งที่หล่อนกลัวยิ่งกว่าคือความเจ็บปวด ดังนั้นต่อให้หล่อนปรารถนาจะตายมากสักเพียงใด หล่อนก็ไม่กล้าทำร้ายตัวเองอยู่ดี
ซู่ม!
ดูท่าว่าเจ้าสัตว์ร้ายจะหมดอารมณ์เล่นด้วยเสียแล้ว มันพุ่งกระโจนเข้าใส่หมายจะฉีกกระชากเด็กสาวให้กลายเป็นชิ้นๆ เด็กสาวผู้น่าสงสารทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากเฝ้ารอความตายที่กำลังจะเข้ามาถึงตัว หล่อนกรีดร้องภายในใจ
กลัว
กลัว
กลัวเหลือเกิน...
ทันใดนั้นเอง ก่อนที่กรงเล็บอันคมกริบจะตะปบลงบนร่างของหล่อน เสียงหนึ่งก็เอ่ยขึ้น…
“งี่เง่าเป็นบ้า…”
……….
ฉันมีชื่อเล่นที่พ่อแม่ตั้งให้ว่า “บูรพา”
แต่คนส่วนใหญ่เรียกฉันว่า “พา”
ครอบครัวที่แสนอบอุ่นของฉันประกอบไปด้วย
พี่สาวตัวดีที่อายุมากกว่าฉันเกือบ 3 ปี
พ่อซึ่งเป็นทหาร แม่ซึ่งเป็นอดีตครูสอนวิชาสุขศึกษา สังคม เอ... หรือภาษาไทยกันนะ
เอาเป็นว่าสักวิชานี่แหละ มันนานแล้วก็ต้องมีลืมกันมั่ง ใช่ไหมละ ใช่แล้วนั่นละ
และสุดท้ายสุนัขตัวโปรดที่ฉันตั้งชื่อมันว่า “สุกี้” ที่ฉลาดสุดๆ แต่บังเอิญดันชอบขย้ำแมวทุกตัวที่หลงเข้ามาในรั้วบ้าน
...
ฉันเกิดและเติบโตมาท่ามกลางบรรยากาศเมืองกรุงของประเทศไทยที่อึกทึกครึกโครม ชีวิตของฉันแสนจะเรียบง่ายสุขสบายและออกจะติดสุขอยู่มาก มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ก็เพราะ หนึ่งฉันไม่ได้จน สองฉันไม่ได้จน แล้วก็สามฉันไม่ได้จน เห็นไหมเล่าว่ามันช่วยไม่ได้จริงๆ
ครอบครัวของฉันอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ พร้อมทั้งทรัพย์สินเครื่องเรือนจำนวนหนึ่งที่ฉันไม่สามารถจะประเมินราคาได้ พวกเรามีความสุขดี แม้ว่าบางทีฉันจะอารมณ์เสียเพราะต้องเถียงหน้าดำคร่ำเครียดกับแม่และพี่สาวจอมเอาแต่ใจ หรือต้องมาฟังคุณพ่อบ่นเรื่อง “การออมเงิน” ในทุกๆครั้งที่ฉันวิ่งโร่เข้าไปขอเงินเพื่อไปซื้ออะไรบางอย่างที่มันไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และดูไร้สาระในทัศคติของท่าน จนบ่อยครั้งที่ฉันมักจะเถียงในใจว่า “แต่มันจำเป็นต่อชีวิตของหนูนะ! ” ให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย ทว่าฉันก็ไม่เคยพูดออกไปสักที
เอาละ ต่อจากนี้คือเรื่องที่ฉันอยากจะเล่าให้ฟัง
เรื่องเริ่มตั้งแต่คุณปู่ของฉันซึ่งเป็นทหารชั้นผู้ใหญ่ ได้ส่งเสริมสนับสนุนและผลักดันด้วยเงินจำนวนหนึ่ง จนสามารถบรรจุฉันให้เข้าไปเป็นนักเรียนในโรงเรียนหรูหราแห่งหนึ่งได้...
โรงเรียนดังกล่าวนี้อันที่จริงจะพิจารณารับนักเรียน รวมทั้งจำนวนเงินที่ต้องชำระเป็นค่าเทอม จากคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของเด็กเป็นหลัก และจากการที่ตระกูลของเด็กคนนั้นๆได้ทำคุณประโยชน์ให้กับแผ่นดินเป็นรอง หากว่าเด็กมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ครบทุกข้อก็จะได้สิทธิพิเศษเรียนฟรีตราบเท่าที่ยังมีคุณสมบัติครบถ้วนอยู่ รองลงมาถ้าเด็กมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไม่ครบทุกข้อ แต่จำเป็นจะต้องมีไม่ต่ำกว่า 8 ข้อ ก็จะได้รับการผ่อนผันลดค่าเทอมลงไปตามอัตราส่วนที่ทางโรงเรียนเห็นว่าสมควร ส่วนเด็กคนไหนที่ถูกบรรจุด้วยยุทธวิธีเส้นก๋วยจั๊บ ทางครอบครัวก็จำต้องจ่ายค่าเทอมที่แสนแพงอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
เชื่อฉันเถอะ ตระกูลที่ร่ำรวยทั้งหลายย่อมตกลงปลงใจที่จะจ่ายเงินสดจำนวนมาก เพื่อแลกกับการส่งบุตรหลานอันเป็นที่รักของพวกเขา เข้าไปเรียนในโรงเรียนชั้นนำของประเทศในหลายๆเรื่อง ด้วยวิธีแสนสะดวกสบาย มากกว่าจะยอมส่งไปให้เหล่าขณะกรรมการดูแลความประพฤติแสนเฮี้ยบของโรงเรียนเชือด
ฉันซึ่งเป็นหนึ่งในเด็กที่ใช้เส้นก๋วยจั๊บเข้าโรงเรียนย่อมรู้ดีว่า ฉันสามารถจะทำอะไรตามอำเภอใจแต่ก็ไม่เกินเลย ได้ตราบเท่าที่คุณปู่ยังมีปัญญาจะประเคนเงินให้กับโรงเรียน ฉันนึกเช่นนี้แล้วก็อดจะหัวเราะคิกคักไม่ได้ ก็แหม ถ้าต้องให้ฉันแต่งตัวหรือทำตามกฎระเบียบของโรงเรียนอย่างเคร่งครัดละก็ ฉันคงต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
ปัญหาอย่างแรกที่ฉันไม่ชอบ ไม่สิ ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง โรงเรียนของฉันนั้นก่อตั้งมาเป็นเวลา “255 ปี” แล้ว แต่ทว่าชุดยูนิฟอร์มของนักเรียนกลับไม่เคยคิดจะเปลี่ยนให้ทันยุคทันสมัยกับใครเขามั่ง โดยชุดของนักเรียนหญิงถูกตรากฎไว้ว่า ให้สวมชุดเครื่องแบบที่ผู้ก่อตั้งโรงเรียนเป็นคนออกแบบ แถมกระโปรงก็ห้ามสูงกว่าเข่าเกิน 2 เซนติเมตร
“ห๊ะ! ตั้ง 255 ปี แล้วเนี่ยนะ”
ฉันร้องอย่างตกใจทันทีที่สายตาไปหยุดอยู่ที่กฎข้อดังกล่าว ซึ่งมันถูกเขียนระบุไว้อย่างชัดเจนในหนังสืออิเล็กทรอนิคส์เรื่อง “ระเบียบปฏิบัติสำหรับนักเรียน”
ถึงแม้ว่าฉันจะเข้ามาเรียนที่นี่ตั้งแต่อนุบาล 1 จนตอนนี้ฉันอยู่มัธยมต้น ปีที่ 2 แต่ในทุกๆปีที่มีการจัดงานเทศกาลวันเกิดโรงเรียน แล้วมีการแจกหนังสือคู่มืออิเล็กทรอนิคส์ซึ่งเป็นฉบับย่อสรุป ให้กับทั้งนักเรียนและคนนอกซึ่งเป็นแขกเหรื่อที่เข้ามาร่วมงาน ฉันก็มักจะอดตะลึงกับจำนวนปีที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งความหน้าด้านคงทนไม่เสื่อมคลายของระเบียบปฏิบัติไม่ได้เสียที
“ฉันละอยากให้พวกผู้ใหญ่หัวโบราณทั้งหลายรู้สึกตัวเร็วๆจัง”
ฉันพูดขึ้นมาในที่สุด โดยที่สายตายังไม่ได้ละไปจากกฎข้อที่ว่า
“อือ งั้นเหรอ...”
เพื่อนสาวที่เดินอยู่ข้างๆฉัน เป็นทั้งเพื่อนร่วมชั้น และเพื่อนร่วมห้อง แต่อ่อนเดือนกว่าฉันเล็กน้อย เธอกล่าวด้วยท่าทางเลื่อนลอย
“เป็นไรไปเหรอ”
ด้วยความเป็นห่วง ฉันจึงละสายตาจากกฎระเบียบเจ้าปัญหา แล้วหันไปมองเธอแทน
“เปล๊า! เค้าสบายดี ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น”
เพื่อนสาวของฉันสะดุ้งทันที แล้วอาการตอบรับของเธอก็ทำให้ฉันต้องรี่ตามอง
“ฉันว่ามันแปลกๆตั้งแต่ตะกี้แล้วนะ”
ฉันจับไหล่บังคับให้เธอจ้องตาฉัน แต่เธอกลับก้มหน้างุด
“ก็บอกแล้วไง ว่าไม่เป็นไรหรอก อย่าห่วงเลยน่า”
เธอพูดโดยที่ไม่ยอมสบตากับฉันเลย
“เฮ้อ! ~~”
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วอ้าปากเตรียมจะพูดซักไซ้ต่อ
ตรู้ด!ๆๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น ฉันรู้สึกขัดใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมปลดมือจากไหล่เธอแต่โดยดี เธอรีบคว้าโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากระโปรงขึ้นมากดรับสายทันควัน
ปิ๊บ!
“ฮาโหล... ตอนนี้อยู่ที่... ไปหาแล้วแต่ไม่เจอ ถามคนแถวนั้นแล้วด้วย... ไปแล้วไม่เจอจริงๆ”
ฉันจ้องเธอตาเขม็ง
“เออๆช่วยไม่ได้นี่ งั้นแค่นี้ก่อนนะ... เออๆ แค่นี้นะๆ”
ดูเหมือนว่าเธอจะรู้งาน
ปิ๊บ!
เมื่อจบการสนทนาอันแสนสั้นผ่านทางโทรศัพท์ของเธอ เธอก็หันมายิ้มให้ฉัน
“ไปกันต่อเถอะ”
เธอกล่าวอย่างร่าเริงผิดกับอาการเลื่อนลอยเมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิง
“เฮ้อ! ~~”
ฉันจำต้องถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง เพราะฉันรู้ดีถึงสาเหตุที่ทำให้อยู่ๆเธอก็อารมณ์ดีขึ้นมากะทันหัน ถึงมันจะทำให้เธอหายจากอาการเลื่อนลอย แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแทน
“อ๊ะ!”
ฉันอุทานขึ้นมา เพราะอยู่ๆความคิดของฉันก็โดนขัดจังหวะ
“เป็นอะไรไปน่ะ ไปกันเถอะ”
เธอพูดพร้อมกับกระตุกแขนเสื้อของฉันเบาๆ
เธอถามคำถามคล้ายกับที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าฉันกลับเป็นฝ่ายรู้สึกแย่แทน มันเหมือนเป็นตลกร้ายสำหรับฉันเหลือเกิน ฉันได้แต่ส่ายหน้าแทนการพูดตอบ แล้วเธอก็ลากฉันเดินฝ่าคลื่นฝูงชนจำนวนมากเพื่อไปยังที่ที่อยากจะไป โดยที่ฉันหวังจากก้นบึ้งของหัวใจ ว่าเธอจะไม่ทันได้เห็นเจ้าของร่างสูงโย่งที่วิ่งตามพวกเรามา...
…
เธอชื่อ “ขวัญ”
เป็นคนที่ผมเรียกว่า “เพื่อนสนิท”
แต่ในตอนนี้มันก็อาจจะกลายเป็นอดีตไปแล้ว
เอาล่ะ ขอแนะนำตัวสักหน่อย
ผมมีชื่อเล่นว่า “พล” ส่วนชื่อรองหรือก็คือชื่อเล่นชื่อล้อที่เพื่อนๆตั้งให้คือ “ก้าง” เพราะว่าผมผอมสูง ดังนั้นเวลาเขาเรียกกันก็จะเรียก “ไอ้ก้างๆ”
แต่เดิมผมไม่ได้พอใจกับชื่อนี้นักหรอก เวลาโดนเรียกก็มักจะพาลโกรธใส่ แล้วก็มีเรื่องอื่นๆอีกเยอะแยะ เลยกลายเป็นว่าชีวิตที่มีปัญหาเรื้อรังเรื่องเพื่อนที่โรงเรียนอยู่แล้ว ก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปเป็นเท่าตัว
ทว่าอย่างไรก็ตาม ตัวตนในอดีตเพราะเป็นเช่นนั้น จึงได้กลายเป็นผมในตอนนี้ เพราะโดนแกล้งล้อจนชิน ทำให้ผมกลายเป็นคนง่ายๆสบายๆ โกรธยากหายง่ายไป แต่ขอให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าใครทำให้ผมโกรธจัดจน “ฮีทเตอร์” ภายในตัวทำงาน และตัวผมมันร้อนจนลุกเป็นไฟ ผมก็อาจจะไม่สามารถระงับความโกรธให้มอดดับลงไปได้ง่ายๆ แต่อย่างไรก็ดี ผมก็ยังไม่เคยโกรธใครอย่างจริงๆจังๆมาก่อน ดังนั้นอารมณ์ของผมในขณะนี้ก็เปรียบดั่งภูเขาไฟที่ภายนอกดูสงบเยือกเย็น เป็นเหมือนบรรยากาศที่เหมาะแก่การเดินทางมาท่องเที่ยว หรือถ่ายรูปชมวิวเล่น แต่ลาวาก็พร้อมจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อเช่นกัน
อย่าเข้าใจผมผิดซะละ ถึงเรื่องมันจะชวนเศร้าเคล้าน้ำตา จนคล้ายว่าผมจะเป็นคนดีถูกรุมรังแก แต่ผมคิดว่าตัวเองก็ติดเลวใช้ได้เลยทีเดียว
เอาเป็นว่าไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น แค่ฟังเรื่องที่ผมจะเล่าก็พอ...
...
ย้อนกลับไปประมาณ 3 อาทิตย์ที่แล้ว
ในช่วงวันที่ 11-12 มกราคม
โรงเรียนของผมได้จัดงานเทศกาลเฉลิมฉลองเนื่องในวันก่อตั้งโรงเรียนครบรอบ 255 ปี
“ห๊า!? ฉันอยู่ตรงนี้ตลอดนะ บอกว่าหาไม่เจอได้ไง” ผมตะคอกเสียงใส่โทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
“เฮ้ย! เดี๋ยวๆ อย่าพึ่ง” ผมพยายามรั้งคู่สนทนาเอาไว้
“เออๆ แค่นี้ก็แค่นี้” ผมรั้ง ‘เธอ’ ไว้ไม่สำเร็จ
ปิ๊บ!
“เฮ้อ!”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ที่พึ่งโดนคู่สัญญาณตัดสายทิ้งไปกลางคัน
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจได้ภายในเสี่ยววินาที ผมจะมามัวนั่งเหม่อลอยให้เสียเวลาไปเปล่าๆปลี้ๆแบบนี้ไม่ได้ จากตรงนี้ไม่ได้ห่างกับตรงนั้นสักเท่าไหร่ ถ้ารีบวิ่งไปต้องทันอย่างแน่นอน คิดเช่นนั้นเสร็จผมก็ลุกขึ้นแล้วออกวิ่ง วิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อไปยังที่ที่ ‘เธอ’ อยู่ในตอนนี้
...
งี่เง่าเป็นบ้า
ผมกล่าวราวกับจะตัดเพ้อในสิ่งที่เห็น
ผมเห็น ‘เธอ’ แล้ว เธออยู่ห่างจากผมไปไม่มากเท่าไหร่
แต่ทว่านอกจากเธอแล้วกลับยังมีอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ อาจจะเรียกว่าเป็น ‘เพื่อนสนิท’ อีกคนหนึ่งของ ‘เธอ’ ก็เป็นได้ นั่นละคือสิ่งที่ทำให้ผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิด
แม้ว่าเพื่อนคนนั้นจะเป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย แต่ผมไม่ชอบนิสัยของหล่อนสักเท่าไหร่นัก และจากปากคำคนส่วนมากเห็นพ้องต้องกันว่าไม่ควรเข้าใกล้ อีกทั้งโดยส่วนตัวแล้วผมก็เคยโดนหล่อนเรียกว่า ‘อมนุษย์’ มาแล้ว
อาจจะบอกว่าเป็นความแค้นฝังลึกก็ได้ แต่ประเด็นไม่ใช่ตรงนั้น ก่อนหน้านี้เพราะว่า ‘เธอ’ ยอมรับผู้หญิงคนนั้นในฐานะเพื่อน ผมจึงพยายามปรับตัวเข้าหา ทว่าในขณะที่ความสัมพันธ์กำลังพัฒนาไปได้ด้วยดี ‘เธอ’ กลับพูดบางสิ่งที่ทำให้ผมต้องแตกหักกับหล่อน แล้วพยายามทำทุกอย่างเพื่อขับไล่หล่อนออกไป
ผมไม่มีทางลืมสิ่งที่ ‘เธอ’ พูดในตอนนั้นได้ ประโยคที่ทำให้ผมหัวขาวโพลนไปหมด
“อย่าไว้ใจนะ นายอาจโดนหลอกอยู่ก็ได้ เค้าเองก็ไม่ได้เชื่อใจสักเท่าไหร่ แต่คบเป็นเพื่อนมาหลายปี อยู่ๆจะให้พูดตัดเพื่อนมันยากนะ”
แค่นั้นแหละครับ เท่านั้นเองผมก็ตัดสินใจจะทำเพื่อ ‘เธอ’
มันไม่ใช่การตัดสินใจจากการมองเหรียญเพียงด้านเดียว ผมทดสอบผู้หญิงคนนั้นด้วยสารพัดวิธี เป็นเวลาเนิ่นนาน จนในที่สุดผลออกมาคือคบไม่ได้ นั่นล่ะคือสิ่งที่นำพามาซึ่งการแตกหักและการเผชิญหน้า
แต่ในตอนนี้ภาพที่ผมเห็นอยู่ประจำมันคืออะไร?
ทั้งสองคนสนิทกันมาก ตลอดเวลาที่อยู่ที่โรงเรียนแทบไม่ได้อยู่ห่างกันเลย แม้ ‘เธอ’ จะพูดเสมอว่าไม่ได้มีความสุขจริงๆหรอก ทั้งๆที่เป็นเช่นนั้นถึงไม่มีผมอยู่ข้างๆแต่เธอก็ยังยิ้มได้เสมอหากได้อยู่กับคนอื่น
ในที่สุดผมก็เข้าใจ แม้ผมกับเธอจะรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยอนุบาล ทว่าระยะเวลากว่า 5 ปี ที่แยกจากกันกลับทำให้ความเป็นเพื่อนของเราเลือนหายไป และในช่วงระยะเวลาอันยาวนานนั้นเธอก็ได้เพื่อนใหม่มาเติมเต็มในส่วนที่ไม่มีผมไปแล้ว...
...
ถ้าหากเธอมาเป็นเพื่อนด้วยเพียงเพราะเธอเหงา ต้องอยู่คนละห้องกับ ‘เพื่อนสนิท’
และในห้องนั้นก็ไม่มี ‘เพื่อน’ อยู่เลยแม้แต่คนเดียว
ถ้าหากผมแค่โดนใช้เป็นตัวแทนของใครบางคน
ถ้าเป็นแบบนั้นผมควรจะทำยังไงดี
“นี่มึงยังไม่เลิกคิดมากอีกเหรอวะ กูว่ามึงไปสงบจิตสงบใจ แล้วก็เลิกยุ่งกับยัยพวกนั้นได้แล้ว”
‘หย่งเจิ้ง’ เป็นชื่อภาษาจีนที่มีความหมายว่า ผู้มีความกล้าหาญถูกต้องเที่ยงธรรม หรือที่เพื่อนเรียกย่อๆว่า ‘ไอ้เจิ้ง’ เพื่อนที่มีอายุเท่ากันแต่แข็งเดือนกว่าผมเล็กน้อยเอ่ยขึ้นในที่สุด
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของงานแล้ว แต่ความคิดมากของผมมันก็ยังไม่หมดไปจากหัว
“ไม่รู้จะเอาไงดีแล้ว เหมือนกูโดนหลอกมาตลอด คิดแล้วหัวมันร้อนจนชักรู้สึกอยากฆ่าคนขึ้นมา”
ผมพูดด้วยความปวดใจ
“ก็ฆ่าซะเลยสิ กูก็ไม่ชอบยัยนั่นอยู่แล้ว” ไอ้เจิ้งตอบกลับด้วยเสียงราบเรียบแต่หนักแน่นด้วยอารมณ์
“กูทำแบบนั้นได้ซะที่ไหนเล่า” ผมโวยกลับ
“เอางี้สิวะ ไปเล่นเกมออนไลน์ให้หัวเย็นลงหน่อยดีมั้ย มึงก็ชอบเล่นอยู่แล้วนี่”
ไอ้เจิ้งเสนอแนวคิดขึ้นมาเพื่อให้ผมได้ดับเพลิงโทสะ
“เอาแบบนั้นก็ได้”
อันที่จริงผมเลิกเล่นไปได้สักพักแล้ว เพราะผมโดนเพื่อนในเกมหลอกเอาของไป ครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะความ ‘เชื่อใจ’ ในตัวเพื่อนเหล่านั้น มันเป็นอะไรที่ผมรู้สึกเซ็งสุดๆ แต่ผมก็ไม่ได้เกลียดการเล่นเกม ออกจะชอบมากๆเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นผมคงต้องยุบนโยบายงดเล่นเกมช่วงเปิดเทอมทิ้งเสียแล้ว
เกมที่จะเล่นคราวนี้ เอาเกมอะไรดีนะ...
...
“นี่มึงยังไม่เลิกคิดมากอีกเหรอวะ กูว่ามึงไปสงบจิตสงบใจ แล้วก็เลิกยุ่งกับยัยพวกนั้นได้แล้ว”
ผมพูดออกไปในที่สุด แม้หน้าจะดูเฉยชา แต่ในใจฉันก็อดเคืองแทนไอ้ก้างไม่ได้
“ไม่รู้จะเอาไงดีแล้ว เหมือนกูโดนหลอกมาตลอด คิดแล้วหัวมันร้อนจนชักรู้สึกอยากฆ่าคนขึ้นมา”
ไอ้ก้างพูดออกมาด้วยเสียงโอดครวญ ฟังดูก็รู้เลยว่ามันกำลังคิดมากจริงๆ
“ก็ฆ่าซะเลยสิ กูก็ไม่ชอบยัยนั่นอยู่แล้ว” ผมพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ซ่อนไว้ซึ่งอารมณ์
“กูทำแบบนั้นได้ซะที่ไหนเล่า” มันโวยกลับ
“เอางี้สิวะ ไปเล่นเกมออนไลน์ให้หัวเย็นลงหน่อยดีมั้ย มึงก็ชอบเล่นอยู่แล้วนี่”
ผมเสนอแนวคิดให้ไป
“เอาแบบนั้นก็ได้”
ไอ้ก้างตอบกลับมา แม้จะดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ผมรู้ดีว่าสติของเจ้าตัวเริ่มกลับมาแล้ว
“ไหนๆวันนี้ก็วันสุดท้ายแล้ว ไปเดินเที่ยวด้วยกันหน่อยมั้ย เผื่อว่าจะเจออะไรน่าสนใจ”
ผมพูดชวน
“….”
“ก็เอาสิ”
...
“เอ้า! เร่เข้ามา เร่เข้ามา ซุ้มกิจกรรมสาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจของศิษย์เก่าคร้าบบบ!!” ชายผู้หนึ่งยืนป้องปากตะโกนอยู่ เป็นการเชื้อเชิญให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาหันมาให้ความสนใจ
เบื้องหลังของเขามีกระโจมที่ทำมาจากผ้าใบสีดำขนาดใหญ่พอจะจุคนได้ประมาณ 20 คน ด้านหน้ากระโจมแขวนป้ายเอียงกระเท่เร่ที่เขียนไว้ว่า “สาชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ – ศิษย์เก่า” โดยหากสังเกตดีๆจะเห็นตัวอักษรเล็กๆที่อ่านแล้วได้ความว่า “เกม , การ์ตูน , หนัง และคลิป เชิญที่นี่ >>>” เขียนแอบอยู่
“เร่เข้ามาคร้าบ เร่เข้ามา!! อ๊ะ!” ขณะที่เขากำลังเรียกลูกค้าอยู่นั้นก็เหลือบไปเห็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเดินเข้ามา เขาโบกมือขวาสะบัดไปมากลางอากาศ พร้อมทั้งป้องปากตะโกนเรียกชื่อ
“เฮ้! ไอ้พล ทางนี้โว้ย ทางนี้!!” เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามเห็นเขาแล้วจึงหยุดตะโกนแล้วยืนรอ
“ไงไอ้เสก ไม่เจอกันตั้งนาน มางานนี้ด้วยเหรอนี่” อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้เขาแล้วทักทายตามประสาคนรู้จักมักคุ้น
“ไงว่ะไอ้พล ไอ้เจิ้ง กูก็ไม่ได้เจอหน้าพวกมึงตั้งนานแล้วเหมือนกัน 1 ปีแล้วสินะ แล้วงานนี้ศิษย์เก่าอย่างกูมีโอกาสได้กลับมามีส่วนร่วมทั้งที เรื่องอะไรจะพลาดวะ”
“อาหะ แต่ปีนี้ดูเหมือนจะลำบากหน่อยนะ” พลพูดพลางเหล่มองป้ายที่แขวนไว้หน้ากระโจม
“ก็งั้นแหละ จู่ๆปีนี้อาจารย์เกิดระเบียบจัดขึ้นมาซะงั้น ไอ้พวกอะไรที่มันใต้ดินหน่อยก็ต้องแอบๆทำ ถ้ามีคนมาตรวจก็ต้องเอาสีข้างเข้าแถเลี่ยงแบบเนียนๆเอา” เสกกล่าวด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย พลางทำท่าทางประกอบคำพูด ทำเอาทั้งพลทั้งเจิ้งหัวเราะออกมา
“พี่เสกนี่ก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยนะครับ” เจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม
“ก็งั้นแหละ” ไอ้เสกก็ยิ้มตอบ
“พี่เสกครับ ไอ้พลมันหัวเสียอยู่น่ะ พอจะมีเกมออนไลน์ใหม่ๆมาแนะนำให้มันเล่นมั่งรึเปล่า” เจิ้งถาม พร้อมทำปากบุ่ยใบ่ไปทางพลที่ยืนอยู่ข้างๆ เสกจึงกระซิบถามว่าไอ้พลไปหัวเสียเรื่องอะไรมา จนได้ความแล้วจึงยิ้มเล็กน้อย
“เอาน่า ปล่อยๆเธอไปเถอะ ผู้หญิงก็เงี้ยแหละ เดาใจยาก อย่าไปน้อยใจเลย แต่ถ้ามึงยังอยากหาอะไรทำให้หัวเย็นลงละก็ กูมีเกมออนไลน์ใหม่ๆมาแนะนำ” เสกพูดพร้อมยื่นมือขวาไปขยี้หัวพลเล่นเบาๆ
“เอาเหอะ จะยังไงก็ได้ทั้งนั้นแหละ กูก็ไม่อยากเครียดนักหรอก มันไม่ดีต่อสุขภาพจิต”
“โอเค งั้นตามกูเข้ามาในกระโจมเลย” เสกเลิกกระโจมขึ้นแล้วเดินเข้าไป พร้อมทั้งหันกลับมากวักมือเรียกรุ่นน้องทั้งสอง
ความคิดเห็น