คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2
วิวาห์รักใต้เงาแค้น 2
คุณหมอวินัยพาเด็กหญิงอริญชย์เข้ามายังภายในบ้าน วันนี้สมาชิกทุกคนอยู่กันครบพร้อมหน้าพร้อมตาเนื่องจากเป็นวันหยุดของครอบครัว ในหนึ่งอาทิตย์ต้องมีวันหยุดอย่างน้อยหนึ่งวัน นี่คือข้อตกลงสองสามีภรรยา ทั้งคู่อยากมีเวลาให้ความรักและความอบอุ่นกับลูกสาวอย่างเต็มที่บ้าง ไม่ใช่จะทำแต่งานห่วงงานจนไม่เห็นความสำคัญของคำว่าครอบครัวไป ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดปัญหาตามมาทีหลังได้ ถ้าขาดการดูแลเอาใจใส่ ปัญหาครอบครัวเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมอีกอย่างหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็มักจะแก้ยาก ยิ่งเด็กที่ขาดการเอาใจใส่ดูแลด้วยแล้วยิ่งเป็นปัญหาหนักยากที่จะแก้ไขในอนาคต
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณ หนูอริญร้องไห้ทำไมคะ”
คุณกานดาผู้เป็นภรรยาเอ่ยถามสามี เมื่อเห็นเขาพาเด็กหญิงอริญชย์เข้ามาในบ้านและยังร้องไห้งอแงเหมือนโดนใครทำร้ายมา
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นแกบอกว่าจะไปตาหาพี่ชายกับแม่ พอพูดแค่นั้นแกก็ร้องไห้ใหญ่เลย จะถามไถ่ให้ได้ความแกก็ร้องไม่หยุดก็เลยไม่รู้จะถามยังไง”
คุณหมอวินัยบอกด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนี้
“ไปตามหาแม่กับพี่ชายอย่างนั้นเหรอคะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันคะเนี่ย หนูริญมานี่มาลูก...”
คุณกานดาเข้าไปรับหนูน้อยมานั่งข้างตนพลางปาดเช็ดน้ำตาให้ด้วยอ่อนโยนและสงสาร แม่กับพี่ชายของเด็กหญิงอริญชย์ไปไหนอย่างนั้นหรือหนูน้อยถึงต้องได้ออกตามหา ทำไมถึงได้น่าสงสารอย่างนี้นะ ชีวิตครอบครัวต้องมาตกละกำลำบากด้วยสภาวะเศรษฐกิจทำให้ต้องล้มละลายแล้วยังไม่พอ นี่ต้องมาเจอะเจอเรื่องอะไรอีกล่ะทีนี้ คุณกานดาคิดกังวลในใจ
“หนูริญอย่าร้องนะลูกนะ หยุดร้องก่อนนะคะคนดี เล่าให้ป้าฟังได้ไหมลูก... คนเก่งของป้าเป็นอะไรคะ ใครทำอะไรหนูเอ่ย...”
คุณกานดาใช้ความอ่อนโยนเข้าปลอบหวังให้เด็กหญิงหยุดร้องแต่เด็กหญิงอริญชย์ก็ยังไม่ยอมหยุด ยังร้องไห้สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจอยู่อย่างนั้น
“หนูริญทานขนมไหมจ๊ะ ป้ามีขนมเยอะแยะเลยนะ... ทานไหมลูกเดี๋ยวป้าไปเอามาให้ ขนมอร่อยๆ ทั้งนั้นเลยนะจ๊ะ...”
คุณกานดายังพยายามทุกวิถีทางหลอกล่อให้เด็กหญิงนั้นหยุดร้องไห้แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล สองสามีภรรยามองสบตากันด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดี ดูท่าหนูน้อยคงไม่ยอมหยุดร้องให้ง่ายๆ แน่
“แกคงไม่หยุดร้องไห้ง่ายๆ แน่เลยคุณ เอายังไงกันดีล่ะคะ”
คุณกานดาเริ่มวิตกกังวล จึงหันไปปรึกษากับสามีที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กับลูกสาว ที่นั่งจ้องคนร้องไห้ตาไม่กระพริบ
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงให้แกหยุดร้องได้”
คุณวินัยเองก็ดูเหมือนจะจนปัญญา หากหนูน้อยร้องไห้นานๆ มันก็จะไม่ดีต่อตัวแกเอง
“ขืนหนูริญร้องไห้หนักอยู่อย่างนี้ไม่ดีแน่เลยคะ สุขภาพจิตของแกอาจจะแย่เอาได้นะคะ”
ในขณะที่สองสามีภรรยากำลังนั่งหน้าเครียด หาวิธีให้หนูอริญหยุดร้องไห้ เด็กหญิงชญาภรณ์หรือมีชื่อเล่นว่าน้องส้มโอซึ่งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของทั้งคู่ก็เลื่อนตัวลงจาโซฟาแล้วเดินไปหยิบตุ๊กตาที่วางอยู่ที่โซฟาตัวเล็กถัดไปก่อนจะเดินเข้าไปหาเด็กหญิงอริญชย์ที่ร้องไห้ไม่ยอมหยุดพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เรามีตุ๊กตาอยากได้ไหม”
น้องส้มโอยื่นตุ๊กตาส่งให้ อริญเมื่อเห็นของที่อยู่ตรงหน้าก็มองอย่างแปลกใจแต่ก็ยังร้องให้อยู่
“พี่หมีบอกว่าอยากเล่นกับเธอแต่เธอร้องไห้พี่หมีก็เลยเล่นด้วยไม่ได้”
น้องส้มโอยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจื้อแจ้ว มองใบหน้าเด็กหญิงอริญที่มีน้ำตาไหลอาบสองแก้มอย่างรอคอยคำตอบ เด็กหญิงอริญชย์ค่อยๆ หยุดร้องแต่ก็ยังสะอื้นอยู่ เด็กหญิงไม่พูดว่าอะไรได้แต่มอง เห็นของที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็อยากได้แต่ไม่กล้ายื่นมือไปรับเอามา วินัยและกานดามองสบตากันนิ่ง ไม่คิดว่าลูกสาวของตนนั้นจะทำในสิ่งที่ดูจะง่ายเสียเหลือเกินในการที่จะปลอบให้คนที่ร้องไห้หยุดได้ สองสามีภรรยาอดขำไม่ได้ที่เห็นความฉลาดของลูกสาว บางครั้งเรื่องง่ายๆ แค่นี้ ผู้ใหญ่อย่างพวกเขาก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน
“อยากได้พี่หมีไหม”
น้องส้มโอยังถามต่อมองสบตาบวมเป่งของเพื่อน เด็กหญิงอริญชย์พยักหน้ารับแทนคำพูด
“อยากได้ก็หยุดร้องแล้วพี่หมีจะไปเล่นกับเธอ”
น้องส้มโอวางตุ๊กตาใส่ตักของเด็กหญิงอริญชย์ก่อนจะกลับมานั่งที่โซฟาตัวเดิมข้างบิดดา อริญชย์หยิบตุ๊กตาหมีขึ้นมาดูแล้วกอดไว้ไม่มีคำพูดใดอย่างเช่นเคย ดวงตาบวมเป่งของหนูน้องที่เพิ่งจะหยุดร้องมองไปยังคนที่เอาตุ๊กตามาให้เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ วินัยและการดายิ้มออกเมื่อเด็กหญิงหยุดร้องไห้แล้ว
“พี่หมีน่ารักไหมจ๊ะหนูริญ”
กานดาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยนั้นหยุดร้องให้สนิทแล้ว
“น่า อื้อ รัก อื้อ ค่ะ”
เด็กหญิงอริญชย์ตอบเสียงขาดๆ หายๆ เพราะเสียงสะอื้นนั้นแทรกขึ้นมา ทีแรกคุณวินัยคิดจะถามให้ได้ความว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่เมื่อเด็กหญิงหยุดร้องไห้แล้ว แต่คิดมาอีกที อย่าดีกว่าถ้าถามตอนนี้คงได้ร้องไห้อีก เอาไว้ให้เด็กหญิงอริญชย์อารมณ์ดีและลืมเรื่องนี้ไปซักพักก่อนจะดีกว่าแล้วค่อยถาม และสิ่งที่จะทำให้เด็กหญิงอริญขย์นั้นอารมณ์ดีและลืมเรื่องที่จะไปตามหาแม่และพี่ชายได้นั้น ก็คือการได้มีเพื่อนเล่นเพื่อนคุย คุณวินัยจึงคิดที่จะใช้ลูกสาวที่จะช่วยหนูน้องผู้น่าสงสารและเป็นการดีอีกอย่างที่ลูกสาวของเขาเองก็จะได้มีเพื่อนเล่นด้วยเช่นกัน
“ส้มโอทำไมไม่ชวนเพื่อนไปเล่นตุ๊กตาล่ะลูก... ในห้องเก็บของเล่นมีตุ๊กตาเยอะแยะเลยไม่ใช่เหรอจ๊ะ...”
วินัยหันไปพูดกับลูกสาวและเหมือนลูกสาวของเขาเองก็เห็นด้วยเหมือนกันที่จะมีเพื่อนเล่นในวัยเดียวกัน เพราะปกติจะเล่นอยู่แต่กับพี่เลี้ยงซึ่งวัยก็ต่างกันเยอะ น้องส้มโอเองก็ไม่ค่อยจะชอบใจสักเท่าไหร่
“ก็ได้ค่ะ”
น้องส้มโอแหงนหน้าตอบบิดาก่อนจะเอ่ยชวนเพื่อนใหม่
“ไปเล่นตุ๊กตาที่ห้องเราไหม มีเยอะเลยนะ...”
น้องส้มโอเลื่อนตัวลงจากโซฟาอีกครั้งแล้วเดินไปดึงมือเพื่อนใหม่อย่างเด็กหญิงอริญชย์ให้เดินตามไปที่ห้องเก็บของเล่น โดยที่เด็กหญิงอริญชย์เองก็ไม่ได้ขัดขืนและยังเต็มใจที่จะไปด้วยเพราะอยากที่จะเล่นของเล่นอยู่เหมือนกัน เมื่อมีเรื่องอื่นมาเบี่ยงเบนความตั้งใจและยังเป็นอะไรที่ดูจะสนุกกว่า เด็กหญิงอริญชย์ก็ลืมเรื่องที่จะไปตาหาแม่และพี่ชายเสียสนิท หนูน้อยเพลิดเพลินที่ได้เล่นกับเพื่อนใหม่ ของเล่นใหม่ๆ ซึ่งไม่ได้เล่นมานานตั้งแต่ย้ายออกจากบ้านหลังเก่ามาอยู่กระท่อมปลายสวนที่นี่ เสียงเจื้อแจ้วของเด็กทั้งคู่ทำให้สองสามีภรรยายิ้มให้กันอย่างโล่งอก
“คุณคะ ฉันว่าเราไม่ต้องถามเรื่องนี้กับหนูริญแกหรอกค่ะ”
คุณกานดาเอ่ยขึ้นหลังจากที่ไปแอบดูเด็กๆ ในห้องเก็บของเล่นมา
“ทำไมล่ะ”
คุณวินัยผู้เป็นสามีถามด้วยความใคร่รู้
“สงสารแกน่ะค่ะ ไม่อยากเห็นแกร้องไห้อีก ฉันว่าเราน่าจะไปถามคุณยายดีกว่าไหมคะ ถามเอากับเด็กก็คงไม่ได้ความอะไรนักหรอกค่ะ”
“อืม... ก็ดีเหมือนกัน ผมเห็นด้วยอย่างที่คุณว่า”
คุณวินัยเห็นพ้องด้วยอย่างที่ภรรยาเสนอ
“ถ้าอย่างนั้นเราให้สำลีกับจำรวยดูเด็กๆ ไปก่อน แล้วเราก็ไปหาคุณยายกันดีไหมคะ”
“ก็ดีเหมือนกัน แต่ว่าจะไปตอนนี้เลยรึ”
“ไปตอนนี้น่ะดีแล้วค่ะ เดี๋ยวคุณยายท่านจะได้รู้ว่าหนูริญอยู่ที่บ้านเรา เห็นหนูริญหายไปนานเดี๋ยวแกจะเป็นห่วงเอาได้นะคะ”
คุณกานดาอธิบายพลางดึงสามีให้ลุกตามด้วยความร้อนใจ
“ไม่ต้องรีบก็ได้กานดา ค่อยเดินเดี๋ยวจะสะดุดเอาได้นะ”
คุณวินัยเตือนภรรยา เมื่อเธอทั้งจูงกึ่งลากด้วยอาการร้อนรน
“ก็คนมันใจร้อนนิ่คะคุณ คุณเองก็รีบๆ กับฉันหน่อยไม่ได้หรือไร คุณไม่สงสารคุณยายกับหนูริญหรือคะที่ต้องอยู่กันตามลำพัง”
คุณกานดาบอกด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลแกมสงสารพร้อมกับเร่งฝีท้าวให้เร็วขึ้นอีก
“เรายังไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คุณยายกับหนูริญจะอยู่กันตามลำพังจริงหรือเปล่าเราก็ยังไม่เห็น คุณอย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปก่อนเลย นิชาเขาอาจจะไปทำธุระข้างนอกก็ได้ แต่หนูริญแกอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าแม่ทิ้งแกเพราะไม่ให้แกไปด้วยหรือเปล่า”
คนเป็นสามีบอกอย่างใจเย็นและให้เหตุผลเพราะไม่อยากให้ภรรยาของเขาคิดมากถึงแม้ในใจเองก็หวั่นอยู่ว่าจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน
“ฉันไม่ได้ตีโพยตีพายเสียหน่อย”
คนเป็นภรรยาบอกเสียงเรียบเมื่อเขาบอกเหตุผลมาเพื่อที่เธอจะไม่ได้คิดมาก
“เพียงแต่สิ่งที่ได้ยินจากคำบอกเล่าของคุณว่าหนูริญกำลังจะไปตามหาแม่และพี่ชายนั้นต่างหากที่ทำให้ฉันกลัว ถ้าเกิดแม่ของหนูริญทิ้งแกไปจริงๆ ล่ะคะ คุณจะทำยังไง คุณจะช่วยแกกับคุณยายยังไง ฉันล่ะไม่อยากจะคิดเลย”
“ไม่อยากคิดก็ไม่ต้องคิด”
“เอ๊ะ! คุณนี้”
คุณกานดาหันมาขึ้นเสียงกับสามี เมื่อเขาพูดไม่เข้าหู
“ผมก็แค่ไม่อยากให้คุณคิดมาก็เท่านั้นเอง เอาไว้ให้ไปถึงที่นั่นก่อนแล้วค่อยคิดก็แล้วกันแล้วผมจะช่วยคุณคิดอีกแรง ดีไหม”
คุณหมอวินัยพูดเอาใจภรรยา
“มันก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว ว่าแต่คุณเถอะเดินให้มันเร็วหน่อยได้ไหม”
ยังมิวายที่คุณกานดาหันมาเร่งเร้าสามีอีกครั้ง คนเป็นสามีก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างระอาเดินตามอย่างว่าง่ายเพราะไม่อยากขัดใจ
เมื่อไปถึงกระท่อมปลายสวนก็เห็นคุณยายก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าเตาไฟเหมือนกำลังจะก่อไฟในเตาเพื่อหุงหาอาหาร สองสามีภรรยาเดินเข้าไปใกล้ๆ คุณยายอย่างช้าๆ พลางมองภาพที่อยู่ข้างหน้าด้วยความสงสาร หญิงชราค่อยๆ หันมามองเมื่อรู้สึกว่าเหมือนมีคนมา คุณยายส่งยิ้มมาให้ด้วยใบหน้าที่เหี่ยวย่นตามวัยเมื่อเห็นว่าผู้เยือน
“สวัสดีค่ะ/ครับ คุณยาย”
สองสามีภรรยายกมือไหว้ผู้อาวุโสด้วยความเคารพ คุณยายเองก็รับไหว้
“สวัสดีจ๊ะ”
“คุณยายกำลังทำอะไรอยู่หรือคะ”
คุณกานดาเป็นผู้เอ่ยถาม
“กำลังจะก่อไฟหุงข้าวไว้ให้หนูริญ”
คุณยายตอบเสียบราบเรียบก่อนจะเอ่ยถามสองสามีภรรยาด้วยความใคร่รู้ ว่าเหตุหรือเรื่องอันใดคุณหมอทั้งสองถึงได้มาตนถึงที่นี่
“คุณหมอทั้งสองมีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ ถึงได้มาที่นี่”
หญิงชราถามเข้าประเด็นทันทีเหมือนจะรู้จุดประสงค์ของคนทั้งสองที่มาหา คุณกานดาและสามีหันไปมองสบตากันก่อนที่คุณกานดาจะเป็นคนเอ่ยถาม ในเรื่องที่ตนนั้นกังขาและอยากรู้ว่าความจริงเป็นเช่นไร
“เมื่อคุณยายถามมาอย่างนี้ ดิฉันเองก็จะไม่อ้อมค้อมเหมือนกันค่ะ คืออย่างนี้นะคะคุณยาย”
คุณกานดาเว้นประโยคไว้พลางสอดส่ายสายตามองหาใครบางคนในครอบครัวของหญิงชราว่าอยู่หรือเปล่า
“มีอะไรสงสัยก็ถามมาเถอะ ตอนนี้... ที่นี่มียายอยู่เพียงคนเดียว”
หญิงชราตอบเหมือนจะรู้ว่าคุณกานดากำลังมองหาใครอยู่ คุณกานดายิ้มแหยๆ ก่อนจะเอ่ย
“เอาล่ะค่ะคุณยายเอาเป็นว่าดิฉันจะเข้าประเด็นเลยก็แล้วกัน ฉันอยากรู้ว่าคุณนิชาไปไหนคะคุณยาย เห็นหนูริญแกร้องให้บอกว่าจะไปตามหาแม่และพี่ชาย มันเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือคะ”
หญิงชรามีสีหน้าเศร้าสลดทันทีเมื่อพูดถึงลูกสาวเพียงคนเดียวของหล่อน ที่ตอนนี้ได้ทิ้งหล่อนไปอย่างไม่ใยดีอีกแล้ว คุณยายทิ้งเชื้อไฟลงในเตาอันขาวโพลนเต็มไปด้วยขี้เถ้า สองขาพยุงร่างอันชราที่ดูจะอ่อนแรงเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เดินไปยังแคร่หน้าบ้านก่อนจะทรุดกายนั่ง ยกชายเสื้อขึ้นเช็ดปาดน้ำตาที่คลอเคล้ารื้อล้นไหลออกจากตาอย่างเสียมิได้ คุณยายหันไปมองสองสามีภรรยาที่ยืนมองมาอย่างใจจดใจจ่อรอคำตอบก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือทั้งที่พยายามสกัดกั้น
“นิชาเขาไม่อยู่หรอกจ่ะ เขาไปแล้ว”
“นิชาไปแล้ว... หมายความว่ายังไงกันคะ นิชาไปที่ไหนอย่างนั้นหรือคะ”
คุณกานดาเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ กับหญิงชรา พลางมองจ้องตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตาของคุณยาย ด้วยหัวใจเต้นระทึก ประหวั่นพรั่นพรึงกับเรื่องที่จะได้ยินต่อจากนี้
“นิชาไปจากที่นี่แล้ว แต่ไปที่ไหนนั้นยายเองก็ไม่รู้”
หญิงชราตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“หมายความว่า... นิชาทิ้งคุณยายกับหนูริญไปอย่างนั้นเหรอคะ”
คุณกานดาหน้ามีสีหน้าสลดลงทันทีเช่นกันที่รู้ความจริง มันเป็นอย่างที่เธอคิดไว้แต่ทีแรกว่าต้องเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุใดนิชาถึงทิ้งแม่และลูกสาวของตนไปอย่างนี้ มันเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ
“นิชาเขาทิ้งคุณยายไปได้ยังไงกันคะ ทำไมเขาไม่พาคุณยายไปด้วย เขาทิ้งคุณยายไปอย่างนี้ได้ยังไงกัน ฉันไม่ยอมนะคะคุณ นิชาทำอย่างนี้ได้ยังไงกัน ฉันจะไปตาหานิชาและจะถามให้ได้ความว่าทำไมถึงทำแบบนี้”
ประโยคหลังคุณกานดาหันมาพูดกับสามีด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกให้รู้ว่าหล่อนมีอารมณ์โกรธแค้นแทนหญิงชรา
“กานดา ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งวู่วาม”
ผู้เป็นสามีปรามเสียงเรียบเย็น สีหน้าเหมือนอารมณ์ไม่ได้ร้อนตามภรรยา หากแต่ในใจนั้นกลับร้อนดั่งไฟสุม เขาเองก็โกรธเคืองที่นิชาทำอย่างนี้แต่ไม่พูดหรือแสดงอาการใดๆ ออกมาให้เห็น เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่านิชาจะกล้าทิ้งแม่ผู้บังเกิดเกล้าไปได้
เขารู้สึกเสียใจที่นิชาทำอย่างนี้ คนที่เขาเคยรักและเคยมอบหัวใจให้เมื่อหลายสิบปีก่อนกลับกลายเป็นคนที่ไม่มีหัวใจไปเสียแล้วในวันนี้ อะไรที่เปลี่ยนนิชาคนเก่าให้กลายเป็นคนใจจืดใจดำจนไม่สำนึกถึงคำว่าบุญคุณ กตัญญู มันไม่หลงเหลือไว้ในความเป็นคนของหล่อนเลยหรืออย่างไร
ในวันที่เขาตัดสินใจแต่งานกับกานดาเพราะผู้ใหญ่เป็นคนจัดการให้ทุกอย่างโดยที่เขาเลี่ยงหรือปฏิเสธไม่ได้ เหมือนกับเป็นการคลุมถุงชนดีๆ นั่นเอง ในตอนนั้นนิชาเองก็รู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย
เขาแต่งงานกับกานดาทั้งที่บอกว่ารักหล่อนแต่สุดท้ายคนที่จะร่วมใช้ชีวิตของเขากลับไม่ใช่หล่อน กลายเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่มหาลัยซึ่งไม่ค่อยกินเส้นกันสักเท่าไหร่ นิชารู้สึกเสียใจ เจ็บใจระคนกันและไม่ถึงเดือนหล่อนก็ตัดสินใจแต่งงานแบบสายฟ้าแลบกับนักธุรกิจคนหนึ่งที่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ความรักของหล่อนก็ไม่ได้ราบรื่นเพราะการแต่งานครั้งนี้มันไม่ได้เกิดจากความรัก
“ไม่ต้องไปตามหาเขาหรอกคุณหมอ... ปล่อยเขาไปเถอะ นิชาคงเหนื่อยและลำบาก เขาไม่เคยลำบากมาก่อนจะให้มาอยู่อย่างนี้ได้ยังไง ยายเองก็เข้าใจเขา ไม่ต้องเสียเวลาไปตามหรอกยายอยู่ได้”
หญิงชราบอกเสียงเรียบเมื่อปรับอารมณ์ความรู้ให้อยู่ให้เป็นปกติ ถึงจะเสียใจแค่ไหนที่ลูกสาวของหล่อนทิ้งไป แต่หัวอกของคนเป็นแม่ก็ไม่อยากให้ลูกนั้นต้องมาตกระกำลำบากอยู่ดี หากสิ่งที่ลูกสาวของหล่อนเลือกและคิดแล้วว่าการจากไปในครั้งนี้ จะพบกับชีวิตใหม่ที่สุขสบายกว่าที่เป็นอยู่ซึ่งหล่อนเองก็ไม่มีปัญญาที่จะทำให้ชีวิตที่เคยสุขสบายนั้นกลับมาได้ จึงได้แต่ปลง
“คุณยายทำใจได้หรือคะ”
คุณกานดาเอื้อมมือไปบีบมืออันเหี่ยวย่นที่เป็นไปตามวัยด้วยความเจ็บปวดและเสียใจไปด้วย
“ยายทำใจได้ เพราะชีวิตคนเราจริงๆ มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ไม่มีใครอยากลำบากหรอกจ่ะ”
“แต่คุณยายเป็นแม่นะคะ เลี้ยงเขามาตั้งแต่เกิดเขาทำอย่างนี้ได้ยังไงกัน”
“ถึงยายจะเป็นคนเบ่งเขาออกมาและเลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ ก็เลี้ยงได้แต่ตัวเท่านั้นแหละคุณหมอ หัวใจนั้นเราไม่สามารถบังคับกันได้ ให้เขาไปตามทางของเขาเถอะ อย่าไปรบกวนเขาเลย”
“โถ... คุณยาย”
กานดารู้สึกเศร้าและเจ็บปวดแทน หล่อนเข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่ดี เพราะหล่อนเองก็มีลูกสาวเหมือนกัน
“นิชาพาตารัชไปด้วยหรือคะคุณยาย”
คุณกานดาถามเสียงเรียบ หญิงชราพยักหน้ารับ
“ถ้าอย่างนั้นผมว่าคุณยายไม่ต้องอยู่ที่กระท่อมหลังนี้อีกต่อไปล่ะครับ ไปอยู่ที่บ้านด้วยกันดีกว่า อยู่กันตามลำพังกับหนูริญแค่สองคนอย่างนี้อาจจะไม่ปลอดภัย อยู่ไกลหูไกลตาเกินไปเพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นพวกเราอาจจะช่วยไม่ทัน ทีแรกผมกะว่าอีกสองวันจะไปคุยเรื่องบ้านใหม่ให้ไปอยู่ที่นั่นกัน ที่ผมยังไม่ได้พูดหรือบอกเพราะรอให้เจ้าของบ้านหลังนั้นกลับมาจากต่างประเทศเสียก่อน ตอนนี้คงไม่ต้องแล้ว อยู่ด้วยกันเสียที่บ้านนั่นแหละครับดีที่สุด นิชาเขาทิ้งคุณยายกับหนูริญไปแล้วอย่างนี้ แต่คุณยายไม่ต้องห่วงนะครับว่าจะไม่มีใคร ผมกับกานดาจะเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างเองครับ ผมจะดูแลคุณยายให้เหมือนแม่แท้ๆ และหนูริญผมก็จะรักแกให้เหมือนลูกคนหนึ่งเหมือนกัน ผมสัญญา ใช่ไหมกานดา”
ประโยคหลังเขาหันมาขอความคิดเห็นกับภรรยา กานดาอึ้งเล็กน้อยคาดไม่ถึงว่าเขาจะคิดทำอย่างนี้ หล่อนรู้สึกดีใจที่เขาเองก็คิดเหมือนกัน ผู้เป็นภรรยาไม่ปฏิเสธเพราะเต็มใจทำตามอย่างที่สามีของหล่อนว่า
“ค่ะคุณยาย พวกเรายินดีจะดูแลคุณยายและหนูริญ ไปอยู่ที่บ้านกับพวกเรานะคะ ไปอยู่ที่นั่นเป็นครอบครัวเดียวกันไม่ต้องกลัวค่ะ ว่าต่อจากนี้จะไม่มีใคร คุณยายกับหนูริญมีพวกเราค่ะ”
“ขอบคุณคุณหมอทั้งสองมากนะจ๊ะ ที่มีใจประเสริฐคิดจะดูแลยายกับหนูริญ ขนาดลูกสาวของยายยังไม่...”
หญิงชราพูดได้แค่นั้นน้ำตาแห่งความเสียใจก็พรั่งพรูออกมาเกินจะกั้น
“โถ... คุณยาย...”
คุณกานดาเข้าไปโอบกอดคุณยายด้วยหัวใจที่รวดร้าวแทน ชีวิตของคนเราไม่มีอะไรที่แน่นอนเลยสักอย่าง ไม่ว่าอะไรก็ไม่เที่ยงแท้ แม้แต่หัวใจของคนล้วนยากที่จะหยั่งถึง
ความคิดเห็น