คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : The Republic of Venecia
................................................................... 6 ปีต่อมา........................................................................
............อากาศสดชื่นของตอนรุ่งสาง ไอน้ำเริ่มสลายหายไปความสดชื่นของยามเช้าในเช้าวันหนึ่งต้องมลายสลายไปพร้อมกับเสียงก๊องแก๊งดังสนั่นร้านตีเหล็กแห่งหนึ่งใจกลางเมือง “เวเนเซีย” ประกายไฟที่เกิดจากการตีเหลกร้อน ๆ ปลิวว่อนไปทั่วทั้งร้าน หยาดเหงื่อแรงกายของคนงานในร้านตีเหล็กค่อย ๆ ไหลชโลมอาบร่างพวกเขา ดาบที่อยู่ใต้ค้อนและเหนือทั่งเหล็กของพวกเขาแดงก่ำ นอกร้านตีเหล็กคือถนนที่ทำจากอิฐบล็อคสีขาวเหลืองเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ มีผู้คนเดินกันขวักไขว่ นั่นหมายถึงเกวียนและรถเข็นที่ขนสินค้าจะร้านตีเหล็กไปขายยังร้านค้าที่ตลาดด้วย ผู้คนที่นี่นั้นส่วนหนึ่งสวมชุดเกราะเต็มยศสะพายดาบไว้ข้างหลัง ไม่ก็เหน็บไว้ที่เอว บ้างถึงกับชักดาบออกมากร่างกันเลย ที่นี่เป็นถนนที่จ๊อกแจ๊กจอแจมาก ได้ยินเสียงตะโกนตั้งแต่ “ดาบข้าขายถูก ๆ 200 เซนี พิเศษสำหรับคาราวานที่จะรับไปขายต่อ” “หลีกทางซิโว้ย! เดี๋ยวข้าไปถึงร้านไม่ทันจะโดนหักเงินเดือนนะ!” ไปจนถึง “ดาบเจ้าโดนไหล่ข้านะไอ้หนุ่ม... จ่ายค่าเสียหายมา!”
ที่นี่คือเมืองท่าสำคัญของอาณาจักรเมเดน่า ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกสุดของทวีปเบฮ์มอท จนถูกตั้งฉายาว่าอรุณแรกแห่งเบฮ์มอท บริเวณนี้มีการทำอุตสาหกรรมเหมืองแร่เป้นจำนวนมากเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ทั้งจากภูเขาที่ล้อมรอบ และสายแร่เหล็กนานาชนิดที่พาดรวมกันที่เมืองนี้อย่างกับนัดแนะกันเอาไว้ ทำให้เมืองนี้มีอีกชื่อว่า นครเหล็กกล้า
ในบรรดาทหารรับจ้าง รวมไปถึงนักดาบและนักรบพเนจรนั้น เมืองนี้ถือได้ว่าเป็นเมืองสำคัญในการซื้อหาอาวุธและอุปกรณ์โลหะต่าง ๆ อีกด้วย คุณภาพของเหล็กที่นำมาใช้ผลิตที่เมืองนี้นั้นเป็นเหล็กคุณภาพสูง แข็งแกร่งทนทานและไม่ขึ้นสนิมอีกด้วย ช่างตีเหล็กที่เมืองนี้นั้นไม่ได้หากินกันด้วยคุณภาพเนื้อเหล็กเพียงอย่างเดียว แต่ยังอาศัยเทคนิคความเก๋าในเชิงตีเหล็กส่วนตัวอีกด้วย ว่ากันว่าดาบเหล็กที่ตีที่เมืองนี้ เมื่อส่งไปขายที่เมืองอื่น ราคาจะดีดตัวขึ้นถึง 3 เท่าตัวเลยทีเดียว นี่ยังไม่นับภาษีที่ขูดรีดจนแทบจะเรียกได้ว่า “ไม่ต้องซื้อคุ้มกว่า!” แล้ว
”คุณโมฮัมเหม็ด...... ราคาเหล็กในท้องตลาดเท่าไหร่แล้ว?.....” ช่างตีเหล็กหนุ่มผมสีดำสั้นตั้ง สวมชุดผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดเปรอะไปด้วยเขม่าไฟ หันหน้าออกจากทั่งตีเหล็กมาที่ชายหนุ่มหน้าตาเหมือนแขกอาหรับคนหนึ่ง ขมวดผมไว้บนศรีษะสวมชุดเช่นเดียวกับเขา สวมเข็มขัดหนังสีน้ำตาลที่เอวซ้ายเหน็บกริชเงินเอาไว้ เขาเอ่ยตอบช่างตีเหล็ก
“เหล็กแท่งราคาตกฮวบลงมาตั้งครึ่งแหนะคุณหนู นี่คงจะเป็นผลมาจากการเปิดเหมืองใหม่แน่ ๆ เลยนะข้าว่า”
“หา!? ราคาเหล็กตกอีกแล้วเรอะ เลโอริก ฉลองเว้ย!” ชายอายุประมาณ 45 ผมสีดำเริ่มมีผมขาวขึ้นแทรก หัวล้านกลางกระหม่อม พุงพลุ้ยตะโกนดังมาจากหลังร้านตีเหล็ก เสียงของเขาดังมากจนคนที่หน้าร้านได้ยินและหันมาที่ร้านของเขาเป็นทางเดียวกัน คนในร้านตีเหล็กนั้นโห่ร้องดีใจบ้างเป่าปากวี้ดวิ้ว มีแต่เลโอริกช่างตีเหล็กหนุ่มเท่านั้นที่ไม่แสดงอาการมากนัก เพียงแต่ยิ้ม ๆ แล้วเดินไปหยิบถุงเงินใกล้ ๆ ทั่งตีเหล็กของเขา ก่อนจะหันไปหยิบดาบเล่มหนึ่งซึ่งสอดอยู่ในปลอกดาบทำจากไม้มีลายสวยงามสีน้ำตาลเข้ม คมดาบยาวราวเมตรครึ่ง ด้ามจับนั้นหุ้มด้วยหนังสีน้ำตาเข้มเช่นกัน ที่ปลายด้ามจับนั้นประดับด้วยมณีสีแดงเพลิงอันเล็ก ๆ อันหนึ่งก่อนจะเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าในทางขวาของร้านตีเหล็กซึ่งทำจากไม้สีน้ำตาลอ่อนดูเหมือนจะเป็นไม้โอ๊ค หยิบเสื้อตัวหนึ่งสีแดงอ่อนดูไม่แสบตาเกินไปสวมทับกับเสื้อเปรอะเปื้อนตัวเก่าลงไปทันทีจากนั้นเดินไปที่หน้าร้าน
“อ้าว ๆ! เลโอริก นั่นจะไปไหนน่ะ?” เสียงไล่หลังดังมาจากหลังร้าน ได้ยินจนถึงหน้าร้าน เป็นเสียงของช่างตีเหล็กคนเดิม เด็กหนุ่มหันกลับไปตะโกนบอก
“ข้าจะไปดื่มข้างนอก แล้วจะไปเดินเที่ยวอีกหน่อยนึงน่ะพ่อ!”
“อ้าว! จะไปดื่มทำไมแต่เช้าเล่า? ไว้ตอนเย็นค่อยไปดื่มกับพวกพ่อแล้วก็คนในร้านสิ” เขาตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ละครับ ข้าไม่ค่อยชอบงานเลี้ยงสังสรร เมื่อต้นปีเพิ่งกินเลี้ยงมาเองนะตอนนี้ข้ายังเอียนอยู่เลย ขอตัวละครับ” ช่างเหล้กหนุ่มค่อยๆ เดินหายไปจากหน้าร้าน ตามมาด้วยเสียงของหนุ่มอาหรับที่วิ่งออกจากร้านตามไปด้วย
“คุณหนู รอด้วย!” โมฮัมเหม็ดช่างตีเหล็กวิ่งออกจากร้านตามเลโอริกไป ช่างตีเหล้กที่อยู่หลังร้านคนนั้นส่ายๆหัวเบา ๆ แล้วถอนหายใจหนึ่งเฮือก “ไม่รู้เป็นอะไรนะลูกคนนี้”
“โธ่ เถ้าแก่ อยู่กันมาหกปี เขาก็ไม่ค่อยจะกินเลี้ยงกับพวกเราเลยนี่ครับ!?” ช่างตีเหล็กคนหนึ่งหันกลับไปตอบชายแก่
“เออ ๆ ตีต่อไปโว้ย! ข้าจะไปหาเบียร์กินก่อนละ อย่าอู้ละ” เถ้าแก่ร้านตีเหล็กเดินออกจากหลังร้านหายไปอีกคน.....
..ท่ามกลางฝูงคนอันขวักไขว่ใจกลางตลาดแห่งเมืองเวเนเซียอันคึกคัก คนที่แน่นเอี้ยดจนแทบจะเหยียบกันตายเดินดูสินค้าข้าวของเครื่องใช้กันอย่างหนาแน่น จริง ๆ แล้วมันก็ไม่น่าจะเรียกได้ว่าตลาดหรอก มันเป็นเพียงถนนสายหนึ่งซึ่งทอดตรงจากประตูตะวันออกของเมืองเวเนเซียไปยังประตูตะวันตก ถนนนี้กว้างสองวาทอดยาวทะลุใจกลางเมืองไปยังประตูตะวันตก มันจึงเป็นย่านการค้าสำคัญของเมืองเวเนเซียทีเดียว ในตลาดแห่งนี้นั้นมีร้านรวงอยู่เต็มไปหมด บนถนนที่ทำด้วยอิฐเรียงกันนี้ไม่ว่าจะเป็นหาบเร่แผงลอยขายขนมปังและอาหารเช้าก็มี ข้างทางนั้นคือโรงแรมที่ราคาปานกลาง ไปจนถึงราคาแพงลิบซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่ใจกลางเมือง บ้างก็เป็นร้านขนมปังที่จะอบขนมปังใหม่ทุก ๆ สามวัน กลิ่นของขนมปังที่หอมฉุยตลบอบอวล แต่ถึงอย่างไรงก็ไม่เท่ากลิ่นของเครื่องเทศที่ถึงแม้ว่าจะฉุนกึ้กจนแทบจะจามออกมา แต่ก็มีคนจำนวนมากนำมันออกมาขาย คนพวกนี้นั้นไม่ใช่คนที่อยู่ที่เมืองเวเนเซียหรอก แต่เป็นคนที่มาจากเมืองอื่น อันที่จริงนั้นเครื่องเทศเป็นสินค้านำเข้าหลักของเวเนเซียเลยทีเดียว เนื่องจากเมืองนี้นั้นเป็นเมืองที่เศรษฐกิจดี คนในเมืองจึงพลอยติดรสนิยม “อร่อย” ไปด้วย อาหารทุกจานนั้นอย่างน้อยต้องมีขิงหรืออบเชยใส่ลงไปพอปะแล่มจึงจะถูกปากคนที่นี่
จริง ๆ แล้วนั้น ถ้าเพราะความฟุ่มเฟือยของชาวเวเนเซียแล้ว เมืองนี้คงจะรวยเป็นอันดับหนึ่งในทวีปเลยทีเดียว!
นอกจากร้านขนมปังอบหรือร้านเครื่องเทศแล้ว ยังมีอีกสองร้านที่ส่งกลิ่นหอมออกมาตีกับกลิ่นหอมหวนน่าอร่อยของขนมปังและกลิ่นเครื่องเทศที่ฉุนแสบจมูก หนึ่งคือร้านขายน้ำหอม ส่วนใหญ่ร้านขายน้ำหอมนั้นจะนำสินค้ามาวางขายแบบแบกะดิน เอาผ้าปูรองแล้วเอาสินค้าเครื่องหอมต่าง ๆ วางกองกับพื้น น้ำหอมนั้นมีทั้งแบบที่ทำมาจากกลิ่นของพืชจริง ๆ และแบบที่ทำมาจากฮอร์โมนของสัตว์ หลากสีหลากกลิ่น ทุกอย่างมีให้เดินชมเลือกซื้อ ส่วนเรื่องบรรจุภัณท์นั้นไม่ต้องพูดถึง! งามบรรเจิดยิ่งกว่าสิ่งใด อย่างกับว่าขายขวด กลิ่นยังไงก็ได้ยังไงยังงั้น ส่วนกลิ่นสุดท้ายนั้นคือกลิ่นของดอกไม้จากร้านขายดอกไม้... ดอกไม้สารพัดสารเพ... หลากร้อยหลายพันชนิดที่รายเรียงกันวางขายที่ใจกลางเมืองเวเนเซียอันศิวิไลซ์นี้ เป็นเรื่องน่าแปลกที่จะต้องนำมาวางขายกันที่ใจกลางเมืองที่เดียวเท่านั้น ดอกไม้ส่วนใหญ่คือดอกลาเวนเดอร์สีม่วงอ่อนที่กลิ่นหอมอ่อน ๆ พอจะทำให้ผู้สูดดมได้สดชื่นขึ้นบ้าง และดอกกุหลาบที่หนุ่มชาวเมืองมักจะนำไปมอบให้กับสาว ๆ ที่นอกเมืองกันเนือง ๆ
ทว่าถึงแม้จะมีคนเบียดเสียดกันอยู่ก็ตาม ก็ยังมีคนพยายามจะวิ่งแทรกฝูงชนที่เบียดกันจนเหมือนกับปลากระป๋องอยู่ดี
“คุณหนู รอข้าด้วยสิครับ!!” ชายหนุ่มหน้าตาเหมือนแขกตะวันออกกลางผิวขาววิ่งกระหืดกระหอบแหวกฝูงชนไปหาเลโอริกช่างเหล็กหนุ่ม เขาเบือนหน้ากลับมามองเล็กน้อยก่อนจะเดินต่อไม่กี่ก้าว แล้วจึงหยุดเดิน.....
“พ่อข้าไม่ว่าเจ้ารึ? ที่วิ่งกระหืดกระหอบมาหาข้าแบบนี้? ทำไมไม่กลับไปช่วยพ่อข้าทำงานละ?” เลโอริกหันกลับมาพูดกับโมฮัมเหม็ดช่างตีเหล็กที่วิ่งมาหาเขาอย่างไม่ไยดี
“ก็คุณหนูออกมาเดินคนเดียวนี่ครับ มันเหงาแย่ ข้าเลยมาเดินเป็นเพื่อน อีกอย่าง ถ้าคุณหนูเป็นอะไรไปกลางทางแล้วมีบาดแผลติดมา พ่อของท่านคงจะเป็นห่วงมาก ข้าก็เลย.......” โมฮัมเหม็ดพูดค้างไว้
“ก็เลยออกมาด้วยสินะ...... เลิกเรียกข้าว่าคุณหนูสักที! ข้าไม่ชอบ! ข้าช่วยชีวิตท่านไว้ แค่ขอบคุณก็น่าจะพอแล้วนะ” เลโอริกพูดต่อประโยคอย่างเรียบเฉย โมฮัมเหม็ดหัวเราะแหะ ๆ
“โธ่...คุณหนูก็.....”
“ช่างเถอะ นายออกมาก็ดีแล้ว ถือดาบให้ข้าหน่อยสิมันหนักน่ะ” เลโอริกพลันเดินไปหาโมฮัมเหม็ดแล้วยื่นดาบให้ เขายื่นมือสองข้างออกมารับดาบไว้อย่างถ่อมตนพลางคำนับ อากัปกริยานี้ทำให้เลโอริกส่ายหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ โมฮัมเหม็ดเหน็บดาบไว้ข้างกริชที่ใบมีดสีเงินคมกริบ พลางถาม “ทำไมคุณหนูชอบออกมาดื่มคนเดี่ยวล่ะ?”
“มันเรื่องของข้า ข้าไม่ชอบความวุ่นวายที่ร้าน ข้าชอบดื่มเงียบ ๆ คนเดียวมากกว่า เจ้าอยู่กับข้ามา 5 ปี ก็น่าจะรู้นี่นา” ทันทีที่ช่างตีเหล็กหนุ่มเลโอริกยื่นดาบให้ถึงมือของโมฮัมเหม็ดแล้ว เขาก็พลันเดินต่อไปเสียดื้อ ๆ โมฮัมเห็ดรีบเดินตามไปทันที ถึงแม้ว่าฝูงคนจะแน่นเอี้ยดก็ตามที เลโอริกเดินตรงไปตามถนนที่ทอดผ่านหน้าร้านของเขา แล้วเดินไปยังใจกลางเมือง ผ่านร้านค้าหลายร้อยร้านที่วางของขายกันข้างถนน....
ความคิดเห็น