ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อ้อมกอดขุนเขา

    ลำดับตอนที่ #2 : ก้าวเเรกสู่ไร่ภูตะวัน 100%

    • อัปเดตล่าสุด 3 ส.ค. 54


     “เอ้า...ถึงแล้วไอ้หนุ่ม” เสียงชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นเมื่อนำรถเข้าจอดสนิทที่ทางเข้าไร่ซึ่งมีป้ายเขียนบอกเอาไว้อย่างเด่นชัดว่า “ไร่ภูตะวัน” เมื่อเห็นดังนั้นริมฝีปากบางอมชมพูผิดจากชายหนุ่มทั่วไปก็แย้มยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ พลางหันไปกล่าวขอบคุณ ผู้ซึ่งพาตนมาส่งถึงที่

    “ขอบคุณมากฮะลุง” สองมือเรียวยกขึ้นพนมอย่างอ่อนช้อย แสดงถึงมารยาทที่ได้ถูกอบรมมาเป็นอย่างดี ผิดกับเด็กหนุ่มสมัยนี้ที่หาได้ยากนัก จึงทำให้คนมองเห็นแล้วนึกเอ็นดูขึ้นมาครามครัน
    “เออๆ โชคดีแล้วกันไอ้หนุ่ม ข้าไปล่ะ แต่เอ็งแน่ใจนาว่าจะทำงานที่ไร่นี้ได้จริงๆน่ะฮึ” ชายวัยกลางคนถามขึ้นอย่างนึกเป็นห่วง เนื่องจากดูจากบุคลิกท่าทางแล้วไอ้หนุ่มนี่ไม่น่าจะมาทำงานใช้แรงงานแบบชาวไร่ได้มันดู อ้อนแอ้น ตุ้งติ้งพิกล เหมือนพวกไม่เคยทำงานหนักมาก่อน
    “แน่ใจสิฮะลุงมาถึงที่ขนาดนี้แล้ว มันก็ต้องสู้กันสักตั้ง จริงไหมฮะ” หนุ่มร่างเล็กตอบออกไปด้วนน้ำเสียงมุ่งมั่น มาถึงขั้นนี้แล้วเธอจะถอยไม่ได้เด็ดขาด ต้องพิสูจน์ให้คุณแม่เห็นว่าเธอสามารถพึ่งตัวเองได้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยน่าอวดสักเท่าแต่ก็ช่างเถอะ ทำไงได้ล่ะ...เฮ้อ
    “ถ้างั้นก็โชคดีแล้วกันไอ้หนุ่ม ข้าไปล่ะ” พูดจบก็สตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจจากไปทันที ทิ้งให้คนตัวเล็กมองตามจนลับสายตา แล้วจึงแหงนหน้ามองป้ายชื่อไร่ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าพร้อมสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกความมั่นใจ ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไร่ด้วยใจดวงน้อยที่มุ่งมั่น หากแต่การก้าวเท้าเข้าไปในไร่ภูตะวันแห่งนี้หญิงสาวในคราบเด็กหนุ่มตัวน้อยไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตและที่สำคัญมันจะเปลี่ยนแปลงหัวใจของเธอไปตลอดกาล
     
    สำนักงานไร่ภูตะวัน.....
    ชายหนุ่มร่างน้อยพาตัวเองมาหยุดอยู่หน้าบ้านไม้ขนาดกะทัดรัดหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ห่างจากปากทางเข้าไร่มาไม่กี่เมตร ตากลมโตใสราวลูกแก้วชั้นดีกวาดตามองตัวอักษรที่เขียนไว้อย่างสวยงามบนป้ายไม้ยกสูงจากพื้นดินอยู่ในระดับสายตา ซึ่งอ่านได้ใจความว่า”สำนักงานไร่ภูตะวัน”
    “ที่นี่สินะ” ปากบางพึมพำเบาๆกับตนเองก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปข้างใน ซึ่งมีประตูไม้เปิดแง้มไว้ คาดว่าน่าจะมีคนอยู่ข้างใน ร่างบางในคราบของเด็กหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้าประตู พร้อมเคาะส่งสัญญาณว่าต้องการเข้าไปข้างในอย่างมีมารยาท
    “เข้ามา!” เสียงห้าวทุ้มเอ่ยปากอนุญาตเสียงดังจนผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่สะดุ้งตกใจกันเลยทีเดียว
    “มีอะไรว่ามา” พูดทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร ทำเอาอิงฟ้าหาคำพูดทั้งที่เตรียมมาไม่เจอกันเลยทีเดียว
    “อ้าว! ฉันถามว่ามีอะไร ทำไมไม่พูด” เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากผู้ที่ก้าวเข้ามาใหม่จึงละสายตาจากงานตรงหน้าเอ่ยปากถามออกไปอย่างหงุดหงิด หากแต่กลับต้องแปลกใจเมื่อดวงตาคมกล้าได้สบกับดวงตากลมโต และใบหน้าหนุ่มน้อยอ่อนเยาว์ที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อนซึ่งตอนนี้ยืนสบตากับเขาอย่างทำอะไรไม่ถูก กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอก็ต้องใช้เวลานานพอดู


    “เอ่อ คือผะ....ผมมาสมัครงานฮะ” หลับตากลั้นใจตอบออกไปด้วยเสียงที่พยายามดัดให้ห้าวเหมือนผู้ชายอย่างเต็มที่หากก็ยังเจือแววหวานอย่างปิดไม่มิด หวังว่าเขาคงจะจับเราไม่ได้หรอกนะ
    “มาสมัครงานงั้นเหรอ” เสียงห้าวถามออกมาอย่างฉงน พลางเหลือบมองร่างบางตั้งแต่หัวจรดเท้าของคนที่บอกว่าจะมาสมัครงาน
    “จะมาสมัครตำแหน่งอะไรน่ะ ตอนนี้ตำแหน่งที่ว่างมีแต่คนงานในไร่เท่านั้นนะ” ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เนื่องจากดูท่าแล้วเจ้าหนุ่มนี่ไม่เหมาะกับงานในไร่สักนิด ตัวก็เล็ก เอวก็บางอย่างกับผู้หญิง จะมีปัญญาอะไรมาทำงานหนักๆในไร่ได้
    “ตำแหน่งอะไรก็ได้ครับ ผมทำได้ทั้งนั้น” รีบตอบออกไปอย่างมั่นใจเพื่อให้คนตรงหน้าเห็นความตั้งใจจริงของตน หากคนตัวโตกว่ากลับส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
    “นายรู้รึเปล่าว่างานในไร่มันหนักแค่ไหน แล้วอย่างนายตัวเท่าแมวจะไปช่วยอะไรได้ แน่ใจได้ยังไงว่าจะไม่ไปเป็นภาระให้ใครเขาเดือดร้อน ฉันว่าไปหางานอื่นที่เหมาะกับนายมากกว่านี้ทำจะดีกว่า” โดยไม่รู้ตัวชายหนุ่มได้พูดดูถูกและสบประมาทคนตัวเล็กเข้าอย่างจัง ปลุกเลือดนักสู้และศักดิ์ศรีที่มีอยู่ในตัวคุณหนูอิงฟ้าให้ตื่นขึ้นมาทันที ตอนนี้ใบหน้าเนียนใสแดงก่ำ ริมฝีปากเม้มแน่นด้วยความโกรธ ดวงตากลมโตจ้องไปยังคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ลดละราวกับจะแผดเผาคนที่กล้าบังอาจมาดูถูกตัวเองให้มอดไหม้ไปต่อหน้าอย่างที่เคยทำมาแล้วกับคนที่กล้ามาท้าทายคนอย่างเธอ ทำเอาคนที่สบตาด้วยเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นอย่างรู้สึกขันกับท่าทางเอาเรื่องของเด็กหนุ่มเมื่อวานซืน ที่กล้ายืนต่อตากับเขาอย่างไม่นึกกลัวทั้งที่คนอื่นไม่กล้า
    “ใจแคบ อคติ ผมไม่คิดเลยว่าคนที่เป็นถึง” น้ำเสียงห้าวเล็กชะงักเพื่อเหลือบมองป้ายซึ่งบ่งบอกถึงตำแหน่งของชายหนุ่มซึ่งบังอาจมาดูถูกเธอ “อ้อ เจ้าของไร่ จะเป็นใจแคบและไม่ให้โอกาสคนได้ถึงขนาดนี้ แถมยังอคติตัดสินคนที่ภายนอกไม่สมกับคนที่ต้องปกครองคนจำนวนมาก ใช้ความคิดส่วนตัวตัดสินคนอื่นว่าไร้ความสามารถอย่างโหดร้ายที่สุด” พูดจบถึงกับสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อระงับอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาทุกที แต่ก็สะใจอยู่บ้างที่ได้เห็นคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามที่บัดนี้ใบหน้าคร้ามคมขึ้นสีเรื่อ แววตาดุกล้าขึ้นด้วยรอยโทสะ นึกอยากบีบคอเล็กๆที่กำลังยืนด่าเขาปาวๆตอนนี้จิ้มน้ำพริกให้รู้แล้วรู้รอด
    “พูดพอรึยัง!” เสียงห้าวทุ้มเปล่งออกมาอย่างเย็นยะเยือก จนคนฟังที่คิดว่าตัวเองแน่ถึงกับขนลุกไปได้เหมือนกันแต่ก็ยังทำใจกล้าตอบโต้ออกไปทั้งที่ตอนนี้อยากจะไปให้พ้นสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยของตนเองอยู่แบบนี้ เรื่องอื่นช่างมันก่อนเถอะ คิดได้ดังนั้นจึงหาทางรอดให้ตัวเองทันที
    ฮึ! ในเมื่อที่นี่มีแต่คนใจแคบ ผมก็ไม่อยากทำงานที่นี่เหมือนกัน พูดจบร่างเล็กเตรียมตัวจะหันหลังกลับออกไปจากตรงนี้ แต่เป็นอันต้องชะงักค้างเพราะเสียงห้าวทุ้มที่เรียกเอาไว้เสียก่อน
    "เดี๋ยว!"


            เสียงห้าวทุ้มเรียกไว้ก่อนที่หนุ่มน้อยร่างบางจะเดินออกจากห้อง คนตัวเล็กกว่าชะงักการก้าวเดินและหันมาเผชิญหน้ากับเขา ใบหน้าเรียวเล็กเชิดขึ้นอย่างถือดีบอกให้รู้ว่าเธอจะไม่มีวันยอมลงให้เขาเด็ดขาด ชายหนุ่มมองท่าทางหยิ่งยโสของคนตรงหน้าอย่างหมั่นไส้ระคนทึ่ง ทั้งๆที่เป็นแค่เพียงเด็กหนุ่มตัวเล็กธรรมดา หากแต่ในความรู้สึกของนั้นกลับคิดว่าในความธรรมดานั้นมันมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ ทั้งความหยิ่งในศักดิ์ศรี ความถือดีที่แสดงออกจากท่าทางและคำพูดคำจาที่ฉะฉานผิดกับเด็กหนุ่มทั่วไปที่ต้องการมาสมัครงานเป็นเพียงคนงานในไร่ แต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับมีบุคลิกลักษณะที่เรียกได้ว่า ยังดีล่ะ เขาคิดว่ามันมีความ “สง่า” ด้วยทุกท่วงท่าที่เจ้าตัวแสดงออกยามโกรธโดยไม่รู้ตัว หากแต่เขาสังเกตเห็น มันเป็นไปโดยธรรมชาติจนเขาคิดว่าเจ้าตัวเองอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาต้องเรียกตัวเจ้าเด็กนี่เอาไว้ก่อน ทั้งๆที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร อาจเป็นเพราะแววตาท้าทายแกมเยาะหยันนี่ล่ะมั้ง เขาให้คำตอบกับตัวเอง
    “มีอะไรอีก ในเมื่อไม่คิดจะรับผมเข้าทำงาน แล้วจะเรียกผมไว้ทำไม” ถามออกมาเสียงขุ่นเนื่องจากอารมณ์คุกรุ่นเมื่อครู่ยังไม่จางหาย และคิดว่าคงอีกนานกว่าจะหมดไปถ้าคนตรงหน้าที่เรียกเธอเอาไว้พูดอะไรไม่เข้าหูอีก
    “นายอยากทำงานที่นี่จริงๆใช่ไหม”
    “ก็ใช่สิไม่งั้นผมจะมาสมัครงานที่นี่ทำไม” หญิงสาวตอบอย่างหาเรื่องเต็มที่
    “อย่ามารวนฉัน ไหนบอกว่าอยากทำงานนักหนา แล้วพูดจากับเจ้าของไร่อย่างนี้แล้วคิดว่าใครเขาจะอยากรับนายเข้าทำงานกัน” ชายหนุ่มเอ็ดออกไปเสียงดุ ที่เด็กหนุ่มตรงหน้าพูดจาไม่เหมาะสม
    “ถ้าไม่รับแล้วจะเรียกผมไว้ทำไม” เถียงอย่างไม่ยอมแพ้ ให้มันรู้ไปเสียบ้างว่าอย่ามาบังอาจข่ม คุณหนูอิงฟ้า เชอะ!
    “พอทีเลิกยั่วโมโหฉันได้แล้ว ตกลงว่าฉันจะรับนายเข้าทำงาน” ชายหนุ่มปรามพร้อมทั้งบอกจุดประสงค์ที่เขาเรียกเธอเอาไว้ ทำเอาหญิงสาวหน้าเหวอ อ้าปากหวอ ทำตาโตอย่างตกใจไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้ทั้งๆที่เธอเพิ่งเถียงกับเขาไปหยกๆ
    “อะ อะ ไร นะครับ รับฉัน เอ้ย รับผมเข้าทำงานหรือครับ” ถามออกไปอย่างตะกุกตะกักเพราะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
    “ใช่ ฉันรับนาย แต่อย่าเพิ่งดีใจไปเพราะนี่เป็นแค่เพียงขั้นทดลองงานเท่านั้น นายจะต้องผ่านการทดลองงานก่อนหนึ่งเดือนหลังจากนั้นฉันจะตัดสินใจอีกทีว่านายจะได้ทำงานในไร่นี้ต่อไปหรือไม่” ชายหนุ่มบอกออกไปพร้อมกับอธิบายถึงเงื่อนไขในการที่จะได้เป็นคนงานเต็มตัวของไร่นี้โดยจะต้องผ่านการทดลองงานให้ได้เสียก่อน
    “หวังว่านายคงทำได้อย่างที่ปากพูดนะ แล้วอย่ามาโอดครวญหาว่าฉันใจร้ายทีหลังไม่ได้นะ เพราะบอกเองว่าจะพิสูจน์ตัวเองให้ฉันเห็น” ชายหนุ่มท้าทาย ซึ่งมันก็ได้ผลเมื่อไปสะกิดต่อมศักดิ์ศรี ฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ของเธอเข้า
    “แน่นอนคุณคอยดูได้เลย ผมต้องทำได้แน่ และเมื่อถึงวันนั้นคุณต้องถอนคำพูดที่เคยดูถูกผมเอาไว้ทุกคำ คอยดู” หญิงสาวในคราบของหนุ่มน้อยจอมพยศตอบรับคำท้านั้นอย่างมั่นใจ ซึ่งก็ได้รอยยิ้มหยันแกมเยาะจากกลับมาเช่นกัน
    “หึ! แล้วฉันจะคอยดูว่าคนเก่งๆอย่างนายจะไปได้สักกี่น้ำกัน” ยังไม่วายสบประมาทคนตัวเล็กที่ตอนนี้คันปากยิบๆอยากจะโต้เขากลับคืนแรงๆแต่ก็ทำไม่ได้เพราะตอนนี้เขาอยู่ในฐานะเจ้านายที่เธอต้องให้ความเกรงใจถึงจะไม่ชอบขี้หน้าก็ตาม
    “จะทำไม่ทำให้ผิดหวังเลยล่ะฮะ เจ้านายยยย” รับคำเสียงอ่อนหากยังไม่วายลากเสียงยาวในคำสุดท้ายอย่างประชดประชัน
    ชายหนุ่มเจ้าของไร่ได้แต่ส่ายหน้าในความช่างยอกย้อนของลูกจ้างหนุ่มน้อย ดูจากลักษณะท่าทางแล้วคงจะเป็นตัวป่วนไม่น้อยเลยทีเดียวกับนิสัยดื้อรั้นไม่ยอมคนที่เจ้าตัวแสดงออกมาให้เห็นหลังจากปะทะคารมกับเขาไปเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ชายหนุ่มพิจารณาคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเงียบๆ จากหน้าตาผิวพรรณของเจ้าหนุ่มนี่แล้วก็ออกจะเชื่อยากอยู่สักหน่อยว่าเป็นเด็กหนุ่มชาวบ้านธรรมดาๆ ถึงแม้เจ้าตัวจะอยู่ในเสื้อผ้าธรรมดามอซอ แต่หาได้กลบความเปล่งประกายความมีชีวิตชีวาของเจ้าตัวไม่ และที่โดดเด่นออกมาก็เห็นจะเป็นดวงตากลมโตฉายแววเฉลียวฉลาด ทำให้สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น และนี่อาจจะเป็นอีกผลหนึ่งก็ได้ที่เขาต้องหยุดเด็กนี่เอาไว้ จริงๆแล้วเด็กนี่เป็นใครมาจากไหนกันแน่
    “นายครับมีอะไรหรือครับ ผมได้ยินเสียงเอะอะไปถึงแปลงกุหลาบก็เลยรีบมาดู” ลุงพุดคนงานเก่าแก่ของไร่ตั้งรุ่นบิดาเอ่ยขึ้นหลังจากวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงสำนักงาน ซึ่งเจ้านายหนุ่มนั่งทำงานอยู่
    “ไม่มีอะไรหรอกลุง ลุงมาก็ดีครับผมเพิ่งรับคนงานใหม่เดี๋ยววานลุงช่วยจัดหาที่หลับที่นอน แล้วก็พาไปดูงานต่างๆในไร่ด้วยนะครับ” ชายหนุ่มบอกผู้สูงวัยกว่าขณะหันไปแนะนำคนตัวเล็กให้รู้จักกับลุงพุด
    “นายชื่ออะไร” เสียงทุ้มห้าวเอ่ยถามคนตัวเล็กที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่มุมห้องใกล้โต๊ะทำงานของเขา
    “ชะ ชื่ออิงครับ” หญิงสาวตอบออกไปอย่างไม่เต็มสียงนัก
    “นี่ลงพุดจะเป็นคนสอนงานนายนับจากวันนี้” ชายหนุ่มแนะนำ
    “สวัสดีฮะลุง” หญิงสาวยกมือไหว้อย่างนอบน้อมตามประสาคนที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี ซึ่งกิริยานั้นก็ไม่พ้นไปจากการลอบสังเกตของชายหนุ่ม
    “เออ ๆ หวัดดี แต่นายเจ้านี่มันตัวนิดเดียวจะไหวเหรอ งานในไร่ไม่ใช่เบาๆนา” ลุงพุดเอ่ยออกมหลังจากพินิจรูปร่างลักษณะของเด็กหนุ่มที่ดูแล้วไม่น่าจะทำงานในไร่ไหว
    “เจ้าตัวเขายืนยันว่าทำไหวน่ะลุง แต่ไม่ต้องห่วงนี่เป็นเพียงแค่ช่วงทดลองงานเท่านั้น ถ้าไม่ผ่านผมก็ไม่คิดจะเลี้ยงไว้เหมือนกัน” ชายหนุ่มพูดพร้อมมองหน้าคนตัวเล็กกว่าอย่างท้าทาย
    “ไม่ต้องห่วงหรอกฮะลุงยังไงผมก็ต้องทำได้แน่นอนฮะ คนแถวนี้จะได้เลิกดูถูกผมซักที” หญิงสาวเอ่ยพาดพิงถึงอีกคนอย่างเคืองๆ
    “เออ ๆ งั้นเอ็งตามข้ามาเดี๋ยวจะพาไปหาที่พัก แล้วก็ไปรู้จักคนงานคนอื่นๆกัน”
    “ฮะลุง” หนุ่มน้อยยิ้มทะเล้นดีใจที่จะได้ออกไปจากที่นี่สักที” หากแต่
    “เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป” คนที่กำลังจะก้าวเท้าหยุดชะงักกะทันหันจากเสียงเรียกห้าวทุ้ม
    “มีอะไรครับนาย” ลุงพุดถามอย่างสงสัย
    “หลังจากวันนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะครบกำหนดทดลองงานหนึ่งเดือน นายจะต้องมารายงานตัวกับที่นี่ฉันทุกวันก่อนไปทำงาน และหลังจากเสร็จงานเข้าใจไหม” ชายหนุ่มออกคำสั่งทำเอาคนตัวเล็กหน้ามุ่ย กำลังอ้าปากจะเถียงกลับด้วยความชอบใจ ทำไมเธอต้องมารายงานตัวกับเขาด้วยในเมื่อลุงพุดจะเป็นคนตรวจสอบและสอนงานในไร่ให้เธออยู่แล้ว
    “ทำไมผมต้อง....” พูดยังไม่ทันขาดคำเสียงห้าวทุ้มดุก็พูดสวนขึ้นมาเสียก่อน
    “ฉันถามว่าเข้าใจไหม”
    “เข้าใจครับ” เมื่อได้ยินดังนั้นคนตัวเล็กจำต้องรับคำอย่างเสียมิได้
    “เข้าใจก็ไปได้แล้ว ลุงพุดผมฝากด้วยนะครับ ถ้าแผลงฤทธิ์อะไรขึ้นมารายงานผมได้ทันที” ชายหนุ่มหันไปย้ำกับลุงพุดอีกครั้งก่อนที่จะเดินนำร่างบางก้าวออกจากห้องไป
    ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยๆ เมื่อการปะทะคารมของเขากับเจ้าเด็กเมื่อวานซืนนั่น เหมือนจะสูบเอาพลังของเขาออกไปไม่น้อย นานแล้วที่เขาไม่ได้ลับริมฝีปากกับใครแบบนี้ ตั้งเข้ารับช่วงต่องานในไร่ของบิดาผู้ล่วงลับกับมารดา ด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ตกเขาขณะขับรถกลับไร่ แต่ด้วยทางขึ้นเขาทั้งลาดชัน คดเคี้ยว อีกทั้งถนนที่ลื่นเนื่องจากฝนเพิ่งตกทำให้ลดเสียงหลักพุ่งตกเขาพรากชีวิตบิดา มารดาผู้เป็นที่รักของเขาไปตลอดกาล ตอนนั้นเขาเพิ่งจะอายุได้ 23 ปีและกำลังศึกษาต่อปริญญาโททางด้านกฎหมายซึ่งกำลังจะจบกลับมาในอีกไม่กี่เดือน กลับต้องมาได้รับข่าวร้ายเสียก่อน ตอนนั้นชายหนุ่มทั้งเคว้งคว้างและโดดเดี่ยว เนื่องจากเขาสูญเสียบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปพร้อมกันถึงสองคน กว่าผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ชายหนุ่มต้องทนลำบากอย่างแสนสาหัส เพื่อที่จะกลับมาสานต่อธุรกิจของครอบครัวที่ผู้เป็นบิดาได้ทิ้งไว้ให้ กว่าจะประสบความสำเร็จจนถึงทกวันนี้ ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้หล่อหลอมให้ชายหนุ่มผู้ร่างเริง อ่อนโยน กลับกลายเป็นบุรุษผู้เงียบขรึม เอาแต่ทำงานจนบางครั้งเขาก็ลืมไปด้วยซ้ำว่าตัวเองยิ้ม หรือ หัวเราะครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน
    เขานาย ภูผา พิพัฒโยธิน เจ้าของไร่หนุ่ม แห่งไร่ ภูตะวัน อายุ 27 ปี เจ้าของความสูงกว่า 185 ซม.เป็นที่หมายปองของสาวๆทั่วเมืองเชียงใหม่ ด้วยดีกรีนักเรียนนอก และเจ้าของที่ดินกว่าพันไร่ และธุรกิจอีกหลายอย่างก็คร้านที่จะนับ นอกจากนั้นยังรวมไปถึงรูปร่างหน้าตาที่แสนสมบูรณ์แบบที่สาวๆที่ไหนได้เห็นเป็นต้องร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า เทพบุตร เดินดินเป็นแน่แท้ ด้วยโครงหน้าสมบูรณ์แบบหล่อเหลารับกับดวงตาคมดุจราชสีห์ จมูกโด่งคมเข้มร่างกายบึกบึนสง่าผ่าเผย ที่ผู้ชายด้วยกันยังนึกอิจฉาในความองอาจนั้น และผิวสีแทนอันเกิดจากการทำงานกลางแดดนั้นก็ยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจ้าตัวแลดูเซ็กซี่น่าปรารถนาสำหรับสาวน้อยสาวใหญ่โดยไม่รู้ตัว จะติดอยู่ก็ตรงที่เจ้าตัวหาได้สนใจกับคุณสมบัติอันเพียบพร้อมของตนเองไม่ วันๆเอาแต่ทำงานอยู่ในไร่ ไม่เคยคิดจะชายตาแลสาวที่ไหน เพราะเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระสู้เอาเวลามาทำงานและพัฒนาที่ดินให้เจริญงอกงามดีกว่า และที่สำคัญก็ยากนักที่จะมีผู้หญิงคนไหนกล้าเข้าใกล้เขาในระยะสิบเมตร เนื่องจากสายตาเชือดเฉือนที่คอยส่งสัญญาณเตือนอยู่เป็นระยะ ว่าชายหนุ่มผู้นี้หวงแหนความเป็นส่วนตัวยิ่งนัก ทำให้จนบัดนี้ ไร่ภูตะวันยังไม่มีนายหญิงของไร่ เป็นตัวเป็นตนสักที
    หลังจากเดินออกมาจากสำนักงานไร่แล้ว ลุงพุดจึงพาเด็กหนุ่มมาที่พักคนงานท้ายไร่และแนะนำให้รู้จักกับคนงานคนอื่นๆ
    “เอ้าพวกเอ็งมารู้จักคนงานใหม่กันหน่อยเร็ว มันจะมาทำงานกับเราตั้งแต่พรุ่งนี้ ทำความรู้จักกันไว้ซะ มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้” ลุงพุดเอ่ยเรียกคนงานทั้งชายและหญิงที่กำลังนั่งกินข้าว พักกลางวันกันอยู่ ซึ้งก็ดูหนาตาอยู่พอสมควรอาจเป็นเพราะว่าอยู่ในช่วงพักทานข้าวกลางวันทุกคนจึงอยู่กันพร้อมหน้า
    “สวัสดีจ้ะทุกคน ฉันชื่ออิงจ้ะมาทำงานที่นี่เป็นวันแรกฝากตัวด้วยนะจ๊ะ” หญิงสาวแนะนำตัวเองอย่างเขินๆเนื่องจากสายตาทุกคู่จ้องอยู่ที่ตนเป็นตาเดียว
    “เออ ๆ สวัสดี ๆ มากินข้าวด้วยกันมาไอ้หนู” ป้าแม้นแม่ครัวใหญ่ของที่นี่เอ่ยปากชักชวนอย่างเป็นกันเอง
    “นั่นสิจ๊ะพี่รูปหล่อ มากินข้าวด้วยกันก่อนสิจ๊ะ” สำอางเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอพลางยิ้มหวานเดินมาจูงมือหญิงสาวให้เข้ามานั่งล้อมวงกินข้าวบนแคร่ไม้ขนาดใหญ่ด้วยกัน ท่ามกลางสายตาไม่พอใจของเด็กหนุ่มสามคนที่มองมาอย่างตาขวางๆเนื่องเธอได้รับความสนใจจากเด็กสาวที่เจ้าหนุ่มนั่นหมายปองไว้
    “อิ่มแล้วโว้ย ป่ะพวกเรา หมั่นไส้คนแถวนี้ว่ะข้ากินข้าวไม่ลงแล้วไปกันเถอะ” พูดจบพลางลากลูกสมุนที่นั่งเคี้ยวข้าวตุ้ยๆไปด้วยโดยไม่สนใจสียงด่าระงมตามหลัง
    “ไอ้พวกนี้ไม่มีมารยาทกันจริงๆ ดูสิดูมันทำ” ป้าแม้นบ่นออกมาด้วยความโมโห หันไปมองคนตัวเล็กที่นั่งมองตาปริบๆไม่เข้าใจว่าตนไปทำอะไรให้พวกนั้นหมั่นไส้ พลางคิดในใจว่าการมาทำงานที่นี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆเสียแล้ว ไหนจะรับมือกับเจ้านาย จะเพื่อนร่วมงาน หญิงสาวได้แต่ถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย
    “อย่าไปสนใจพวกมันเลยไอ้หนูแล้วนี่มีที่พักหรือยังล่ะ ฮึ ว่าไงล่ะตาพุดเจ้าเด็กนี่มันมีที่พักหรือยัง” ป้าแม้นปลอบหญิงสาวเสร็จจึงไปถามลุงพุดที่ตอนนี้กำลังข้าวเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย หากเมื่อได้หญิงเสียงถามของป้าแม้นทำให้ต้องวางช้อนลงทันทีก่อนตอบคำถาม
    “ก็ว่าจะมาถามนี่แหละว่ามีเรือนคนงานว่างบ้างไหมน่ะแม่แม้น จะได้ให้ไอ้หนูมันเข้าไปอยู่” ลุงพุดตอบคำถามป้าแม้นอย่างเสียงอ่อนเสียงหวาน จนคนแถวนั้นแอบหัวเราะคิกคัก เนื่องรู้ว่าลุงพุดน่ะแกแอบชอบป้าแม้นมานานหากแต่ไม่กล้าบอกสักที
    “เอ เห็นจะไม่มีเรือนไหนว่าเลยนา ไอ้เรือนที่พอจะอยู่ด้วยได้ก็เห็นแต่จะเป็นเรือนของไอ้สามตัวแสบนั่น แต่เห็นทีคงจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ซะล่ะมั่งข้าว่า” ป้าแม้นว่าพลางเหลือบมองเด็กหนุ่มหน้าหวานข้างๆพลางตัดสินใจ นำพาความโล่งอกมาสู่หญิงสาวยิ่งนัก
    “เอาเป็นว่าเอ็งมาพักกับข้าก่อนก็แล้วกันนะ ข้าเองก็อยู่คนเดียว แก่แล้วด้วยได้คนมาอยู่เป็นเพื่อนก็ดีเหมือนกัน แล้วเอ็งล่ะว่ายังไง พอจะอยู่กับคนแก่ๆอย่างข้าได้ไหม” ป้าแม้นหันไปถามคนตัวเล็กที่ตอนนี้ยิ้มกว้างอย่างไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าตัวนั้นเต็มใจแค่ไหนอย่างนึกเอ็นดู
    “อยู่ได้ สบายมากเลยจ้ะป้าแม้นคนสวย” รับคำเสียงใสไม่วายหยอดคำหวานหูในตอนท้ายเรียกค้อนงามๆจากผู้สูงวัยได้กันเลยทีเดียว


    อย่าลืมคอมเม้นท์ติชมผลงานกันด้วยนะคะ ^^
                                                                                                          
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×