ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fanfic : หัวขโมยแห่งบารามอส : ~A New Journey Of Baramos~

    ลำดับตอนที่ #2 : คู่แข่งของคาโล

    • อัปเดตล่าสุด 28 เม.ย. 48


    เมื่อไฮคิงพระองค์ก่อนเสด็จสวรรคต  การแต่งตั้งไฮคิงพระองค์ใหม่จึงเกิดขึ้น  โดยมีการดำเนินการหลักอยู่ที่โรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์ก  เนื่องจากโรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์กเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วในเอเดนว่าเป็นประเทศเดียวที่ไม่มีไฮคิง  ปกครองตนเอง  มีมหาปราชญ์เลโมธีเป็นหลัก  โดยมีเหล่าสภาสูงของโรงเรียนพระราชาเป็นผู้ดำเนินการด้านต่างๆภายในเอดินเบิร์ก  ดังนั้นการแต่งตั้งไฮคิงพระองค์ใหม่จึงเกิดขึ้นที่นี่  โดยมีกษัตริย์ทั้งยี่สิบสี่ประเทศมาร่วมลงนามให้สัตย์สาบาน



    “…ดังนั้นการเตรียมการต่างๆ  ขอให้พวกเธอไปปรึกษากับพวกรุ่นพี่อีกทีนะจ๊ะ”  เสียงชวนหลับของมิสแรมเซิลดังมาจนถึงตอนท้าย  ซึ่งเหล่าชาวป้อมอัศวินที่ตอนนี้อยู่ปีสามกันแล้ว  แต่ทว่าก็ยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมที่แสนจะแก้ได้ยาก  ต่างพากันนั่งหลับตาพริ้มเป็นแถวๆอยู่ด้านหลังของห้อง  บางคนฟุบลงไปนอนกับโต๊ะโดยเอาหนังสือเล่มหนาเตอะมาตั้งบังเอาไว้  ส่วนคิลก็หลับลงซะดื้อๆโดยไม่เกรงกลัวคนที่กำลังบรรยายอยู่หน้าห้องเลยแม้แต่น้อย  และไม่ต้องสงสัยหนึ่งในนั้นจะขาดเฟริน  เดอเบอโร  หรือ  เฟลิโอน่า  เกรเดเวล  ไปไม่ได้



    ทั้งที่เป็นถึงเจ้าหญิงคนสำคัญของทั้งบารามอสและเดมอส  แต่พฤติกรรมนั้นต่างกันกับฐานะราวฟ้ากับเหว  แถมเจ้าหล่อนก็ยังให้คนอื่นๆเรียกชื่อเดิมของเธอ  จะใช้ชื่อเฟลิโอน่าก็แต่ในเวลาสำคัญๆเท่านั้น



    “ใครมีอะไรสงสัยจะถามไหม๊จ๊ะ”  เสียงของมิสแรมเซิลดังขึ้นเมื่อเธอพูดจบ



    พฤติกรรมที่ไม่สมกับการเป็นกุลสตรีนั้น  ทำให้คนที่ดูอยู่อดไม่ได้ที่จะสั่งสอน  เมื่อมีโอกาส  แองเจลีน่า  โรมานอฟ  จึงยกมือขึ้น



    “มิสแรมเซิลคะ  เฟรินมีเรื่องจะถามค่ะ”  คนพูดยิ้มกว้าง  เมื่อเห็นคนที่มีคำถามสะดุ้งเฮือก  ตื่นจากภวังค์  เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเอง



    ซวย!!!

    เฟรินคิดในใจ  พลางหันไปจ้องถลึงตาใส่ยัยตัวแสบที่หาเรื่องมาให้เค้าได้ทุกวี่ทุกวัน  หรืออาจจะเป็นทุกวินาทีที่มีโอกาสถึงจะถูกมากกว่า



    “เฟรินมีอะไรสงสัยจ๊ะ  แล้วทีหลังถ้าสงสัยก็ยกมือขึ้นถามเองก็ได้  ไม่ต้องให้เพื่อนช่วยถามให้หรอกจ้ะ  เราเรียนที่โรงเรียนพระราชาก็ต้องมีความกล้า  ความเป็นผู้นำอยู่ด้วยรู้ไหม๊จ๊ะ”  น้ำเสียงฟังดูอ่อนโยนแฝงด้วยความเอ็นดูจากมิสแรมเซิลนั้น  ทำให้คนฟังตื่นขึ้นมาจากความง่วงได้ชะงัด  ไม่ใช่ว่าคำตำหนินั้นจะเข้าหู  แต่เนื่องจากไม่รู้จะถามอะไรดี  เพราะว่าไม่ได้ฟังเลยตั้งแต่ต้น  ทำให้เฟรินได้แต่ยืนทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม  ส่งสายตาบุ้ยใบ้ไปหาเจ้าชายแห่งคาโนวาล  เป็นเชิงขอความช่วยเหลือ  แต่ไม่ทันไร



    หง่าง!  หง่าง!  หง่าง!

    เสียงระฆังหมดเวลาเรียนช่วยชีวิตไว้ได้อีกครั้ง  ทำให้เฟรินถอนหายใจเฮือกใหญ่  ก่อนส่งยิ้มหวานไปทางคู่ปรับขาประจำ



    “เฟรินมีอะไรจะถามก็รออยู่พบครูก่อนก็ได้นะจ๊ะ  ส่วนคนอื่นๆไปเรียนวิชาต่อไปกันได้แล้วจ้ะ”  มิสแรมเซิลพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเคย



    “ไม่เป็นไรครับ  ผมเข้าใจหมดแล้วครับ”  เฟรินรีบพูด



    “แน่ใจนะจ๊ะ…งั้นก็ไปเรียนวิชาต่อไปกันได้แล้วจ้ะ”



    “ซวย!  ซวย!!  ซวย!!!  ซวยอะไรอย่างนี้  ยัยแองจี้จะเอาอะไรกับฉันกันนักกันหนา”  คำพูดของเฟรินขณะกำลังยัดขนมปังเข้าปาก  เคี้ยวตุ้ยๆ  ที่โรงอาหารดราก้อน



    “ก็นายเอาแต่นั่งหลับ”  คาโลพูดขึ้น



    “ไอ้คิลก็หลับ  ทำไมไม่โดน”  เฟรินยังเถียง



    “ฉันคงไม่ต้องฝึกคุณสมบัติการเป็นกุลสตรีมั้ง”  คิดพูดกลั้วหัวเราะ  ก่อนที่จะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในโรงอาหารดราก้อน  บุรุษผู้มีนัยน์ตาสีเขียวก็เดินเข้ามา



    “ที่ตรงนี้ว่าไหม๊”  คำถามของโร  ทำให้ทั้งสามคนเปลี่ยนเรื่องพูดไปได้



    “นายก็เห็นอยู่”  คิลตอบ  แล้วโรก็ยักคิ้วรับ  ก่อนนั่งลงข้างๆ



    “นายว่าปีนี้การแข่งขันชิงตราไฮคิงพระองค์ใหม่จะเป็นอย่างไง”  เฟรินถาม  ขณะหยิบขนมปังเข้าปาก



    “ก็คงเหมือนเดิม  แข่งประลองทั้งฝีมือแล้วก็ปัญญา”  โรตอบสั้นๆ  เฟรินพยักหน้าหงึกๆ  แล้วลุกไปเติมอาหารเป็นจานที่สาม  ทำให้เพื่อนๆมองตามอย่างปลงตก



    “คาโล  ถ้านายพามันไปอยู่คาโนวาลด้วย  มีหวังคาโนวาลของนายจะจนก็คราวนี้แหละ”  คิลแซวเข้าให้  ทำให้คาโลส่งสายตาดุมาปราม  เพื่อนซี้เลยยิ้มกว้างอย่างเจ้าเล่ห์  ส่วนโรได้แต่อมยิ้มนิดๆ  นัยน์ตามีประกายระริก



    การแข่งขันชิงตราไฮคิงจะจัดขึ้นทุกครั้งหลังจากการแต่งตั้งไฮคิงพระองค์ใหม่  ซึ่งในครั้งก่อนป้อมอัศวินเป็นผู้คว้าชัยชนะ  โดยการนำของ  บาโร  วาเนบลี  เดอะปรินซ์  ออฟ  คาโนวาล  ซึ่งเป็นหัวหน้าป้อมอัศวินในตอนนั้น



    การแข่งจะให้แต่ละป้อมแต่ละปราสาทส่งตัวแทนมาเจ็ดคน  แล้วค้นหาตราไฮคิงพระองค์ใหม่  ซึ่งตรานั้นจะอยู่ภายในโรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์ก  อุปสรรคต่างๆมีมากมาย  จะต้องใช้ทั้งฝีมือและสติปัญญาในการแก้ปัญหาต่างๆ



    “คาโล  นายจะไปประชุมอีกแล้วหรอ”  เสียงออดอ้อนจากเฟริน  ทำให้คนถูกเรียกหันมามอง



    “อืม  นายกับคิลนอนกันไปก่อนได้เลย  ไม่ต้องรอ”  คาโลตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล  “แล้วอย่าทำเรื่องยุ่ง  รู้ไหม๊”  คนฟังอมยิ้มแล้วพยักหน้ารับ  ก่อนที่คาโลจะเดินออกจากห้องไป



    “เจ้ากวางมานี่เร็ว”  เฟรินรีบเรียกองครักษ์ประจำตัวมาใกล้  ก่อนหยิบหนังสือเวทมนต์เล่มหนาปึก  ที่โกโดมเคยให้ไว้เป็นของขวัญออกมา  ทำให้คิลได้แต่หัวเราะหึๆ  กับความซนของเพื่อนซี้ตรงหน้า



    “เดี๋ยวได้โดนไอ้คาโลมันโกรธเอาหรอก”  คิลพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน  ขณะเดินเข้ามานั่งด้วย  เฟรินยิ้มเผล่  เอามือลูบแผลเป็นใต้ตาซ้ายเบาๆด้วยความเคยชิน



    “ถ้านายไม่พูด  ฉันไม่พูด  เจ้ากวางไม่พูด  แล้วมันจะรู้รึ”  เฟรินพูดพลางคิดในใจ  ไอ้เพื่อนซี้คนนี้มีรึที่มันจะพลาดเรื่องสนุกๆไปได้  แล้วเจ้าตัวก็ยิ้มกว้าง



    “เจ้าหญิงทรงอยากเรียนคาถาบทไหนหรือพระเจ้าค่ะ”  โกโดมถามด้วยความภูมิใจในตัวเจ้าหญิงของตน  ที่ทรงอยากเรียนรู้คาถาของชาวเดมอส



    “อืม…เอาเป็นคาถาแยกร่างดีกว่า  น่าสนุกดี”  เฟรินพูดขณะหันไปทางเพื่อนซี้ที่พยักหน้าหงึกๆ  เห็นดีเห็นงามไปด้วย



    “พระเจ้าค่ะ”  โกโมรับคำทันที



    “ก่อนอื่นเจ้าหญิงต้องทรงอ่านออกเสียงให้ถูกต้อง  ชัดเจนทุกคำ  ตั้งจิตให้มั่น  มีสติอยู่กับคาถาที่กำลังร่าย  แล้วทุกอย่างจะดีเองพระเจ้าค่ะ”  โกโดมพูดจบก็เริ่มสาธิตให้ดูทันที



    “ข้าแต่พลังมหาเวทมนตร์ดำอันยิ่งใหญ่  โปรดประทานพละกำลังแก่ข้า  บันดาลให้ความมืดจงกลืนกินแสงสว่าง…”  เสียงโกโดมทำให้ห้องทั้งห้องเงียบกริบ  ดึงดูดคนในห้องทั้งสองให้นั่งนิ่งอยู่กับที่  มองดูด้วยความตั้งใจ



    “…ข้าแต่จ้าวพญามารแห่งใจอันยิ่งยง  โปรดประทานพลังอำนาจ  ควบคุมจิตใจเหล่ามนุษย์ตัวจ้อยผู้หาญมาลองฤทธิ์…”



    “เร็วๆสิเจ้ากวาง  ตรงนั้นฉันท่องได้แล้ว  ข้ามๆๆ”  เฟรินอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น  แต่โกโดมยังร่ายคาถาต่อด้วยสมาธิอันแน่วนิ่ง  คิลโคลงหัวไปมากับเจ้าเพื่อนซี้ตัวยุ่ง



    “…ด้วยฤทธิ์ลำนำบทแห่งมหาเวทมนตร์ดำ  แยกร่าง…”  แสงสว่างค่อยๆเจิดจ้าขึ้นภายในร่างโกโดม  สว่างขึ้นเรื่อยๆ  เรื่อยๆ  ทำให้ทั้งสองคนที่ตั้งใจดูอยู่ต้องหลับตาสนิท  ทนแสงสว่างเบื้องหน้าไม่ไหว



    “…จงแยกกายและจิต  กลับอดีตและอนาคต  บันดาลปัจจุบันให้เหมือนฝัน  ให้…”  แสงสว่างค่อยๆจางลง  เฟรินและคิลลืมตาขึ้นมามอง



    “แยกร่าง!!!”  สิ้นเสียงของโกโดม  ทั้งสองคนที่ดูอยู่ถึงกับต้องอ้าปากค้าง  โกโดมที่ยืนอยู่เบื้องหน้ามีอยู่นับสิบ  ไม่รู้ว่าตัวไหนตัวจริง



    “เจ้ากวางตัวไหนตัวจริงอ่ะ”  เฟรินถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น  ส่วนคิลก็เอามือไปจับโกโดมตัวโน้นทีตัวนี้ที



    “กระหม่อมอยู่นี่พระเจ้าค่ะ”  โกโดมตัวจริงพูดขึ้น  แล้วเดินเข้ามาหาเฟริน  ส่วนโกโดมตัวอื่นๆ  บางตัวยืนคุยกันเอง  บางตัวเดินดูรอบๆห้อง  บางตัวก็โดนคิลจับมาลูบๆคลำๆ  สำรวจความเหมือน



    “แล้วจะสั่งไอ้พวกนั้นได้ไหม๊อ่ะ”  เฟรินพูดเมื่อเห็นว่าไม่มีตัวไหนอยู่นิ่งๆเลยสักตัว



    “ได้กระหม่อม  ตัวอื่นๆก็คือตัวเรา  มีจิตวิญญาณของเราอยู่  เมื่อเราคิดอะไร  ต้องการอะไร  ตั้งจิตให้มั่นก็จะสั่งได้  แต่ก็ต้องอยู่ที่การฝึกฝนด้วยพระเจ้าค่ะ”  โกโดมอธิบาย



    “แล้วถ้าจะทำให้หายไป  ทำยังไงอ่ะเจ้าคนแคระ”  คิลยังสงสัย



    “ก็หลับตา  ตั้งจิตให้มั่นแล้วนึกในใจว่าจงหายไป  ก็เรียบร้อย”  โกโดมอธิบายต่อ  แต่เมื่อเห็นทั้งสองคนยังทำหน้างงๆ  “เดี๋ยวกระหม่อมจะทำให้ทอดพระเนตรนะพระเจ้าค่ะ”  เฟรินพยักหน้า  โกโดมยืนนิ่งแล้วหลับตา  ชั่วพริบตาโกโดมตัวปลอมก็หายไป



    “โอ้โห”  เฟรินอุทานขึ้นเสียงดัง



    “งั้นฉันลองบ้างดีกว่า”  เฟรินพูดจบก็เรียกคทาพิชิตโลกันตร์มาอยู่ในมือ



    “ข้าแต่พลังมหาเวทมนตร์ดำอันยิ่งใหญ่  โปรดประทานพละกำลังแก่ข้า  บันดาลให้...ให้...ให้...  คาโล!!!”  เฟรินร้องเสียงหลง  เมื่อเห็นคนตรงหน้าเปิดประตูห้องเข้ามา



    ซวย!!!  อีกแล้ว  วันนี้มันวันอะไรวะเนี่ย  เฟรินคิดในใจ  ขณะที่เห็นเพื่อนซี้อีกคนได้แต่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ  ไม่พูดอะไร



    “ประชุมเสร็จแล้วหรอ  ทำไมเร็วจัง”  เฟรินยังทำใจดีสู้เจ้าชายน้ำแข็ง  ที่บัดนี้ส่งสายตาดุจัดมาให้เธอ  ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา



    “ฉันหิวอ่ะ  เจ้าคนแคระไปหาอะไรกินกัน”  คิลรู้หน้าที่  พลางเดินไปทางโกโดมแล้วพาออกจากห้องไปด้วย  โกโดมได้แต่ทำหน้างงๆ  แต่ก็ไม่คัดค้านอะไร  เนื่องจากเห็นสายตาดุจัดของคาโลมองมา



    “คาโล  เหนื่อยรึเปล่า”  เฟรินรีบเอาใจ  แล้วเดินเข้าไปใกล้  “วันนี้ประชุมเรื่องอะไรมา  ทำไมเครียดจัง”  เจ้าตัวยุ่งยังไม่หยุดพูด  หวังจะให้คนตรงหน้าตอบกลับมาซักคำก็ยังดี  ถึงจะถูกดุก็เถอะ



    คาโลยังเงียบ  เดินห่างไปยังโต๊ะทำงาน  ทำให้เฟรินรีบเดินตามไป  โอบคนตัวโตกว่าจากทางด้านหลัง



    “คาโล  ฉันขอโทษก็ได้”  เฟรินพูดขึ้น  ทำให้คาโลชะงัก  หันกลับมามองคนตรงหน้า  นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่โตค่อยๆช้อนขึ้นมามอง



    “ฉันผิดก็ได้  นายอย่าทำแบบนี้สิ”  เฟรินพูดด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดจริงจัง



    “รู้ก็ดี”  คาโลพูดเสียงเรียบ  พลางนึกในใจแม่เจ้าประคุณทำให้เค้าใจอ่อนอีกจนได้  เฟรินยิ้มกว้าง  ทำให้คาโลถอนใจเบาๆ



    “รู้ไหม๊  การใช้เวทมนตร์ไม่ถูกวิธี  มันมีอันตรายนะเฟริน”  คาโลพูดขณะเอามือลูบเส้นผมสีน้ำตาลสลวยอย่างอ่อนโยน  ในขณะที่มือเจ้าหล่อนก็ยังโอบเค้าอยู่อย่างลืมตัว



    “แต่เจ้ากวางก็อยู่”  เฟรินยังอดไม่ได้ที่จะอธิบายเหตุผลของตัวเอง



    “เจ้าคนแคระเขากวางน่ะนะ...เอาแต่ตามใจ  ผิดถูกเคยห้ามที่ไหน”  คาโลพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด



    “ไอ้คิลก็เหมือนกัน  แทนที่จะห้าม  ดันเห็นเป็นเรื่องสนุกซะหมด”  คาโลยังบ่นต่อ  ทำให้สาวน้อยตรงหน้าหัวเราะคิกคัก  เจ้าชายน้ำแข็งบัดนี้ไม่เหลือมาดเก่าเลยแม้แต่น้อย  เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ



    โอ๊ย...ทำไมคาโลมันน่ารักอย่างนี้วะเนี่ย!!!



    และแล้วเจ้าตัวยุ่งก็อดไม่ได้ที่จะปิดปากคนขี้บ่น  ที่บัดนี้เริ่มพูดมากขึ้นทุกที  โดยเฉพาะเวลาอยู่กับเธอสองคน  เจ้าหล่อนเลยเขย่งเท้าขึ้นช้าๆ  ให้ดวงหน้าของตนใกล้กับดวงหน้าของอีกฝ่ายแล้ว...ประทับริมฝีปากบางลงบนริมฝีปากสีแดงระเรื่อของคนตรงหน้าเบาๆ



    ทุกอย่างหยุดชะงักลงทันที  คนถูกถืออภิสิทธิ์กับริมฝีปากของตนเองได้แต่ยืนนิ่ง  กับการถูกกระทำ  ดวงหน้าขึ้นสีเช่นเดียวกับสีของริมฝีปาก  รับสัมผัสนุ่มนวล  อ่อนหวาน  ของคนตรงหน้าที่ทำให้หัวใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ



    แม้จะเป็นเวลาแค่ไม่กี่วินาทีที่คนตรงหน้าประทับริมฝีปากบางลงมา  แต่ก็รู้ได้ถึงความในใจทั้งหมดของทั้งเขาและเธอที่มีให้แก่กัน



    “ฉันขอโทษ”  คำพูดและการกระทำของเฟริน  ทำให้ก้อนน้ำแข็งที่มีแต่ความเยือกเย็นละลายลง  เหลือเพียงชายหนุ่มรูปงามที่มีแต่ความอบอุ่น  อ่อนโยน  คาโลโอบกอดคนตรงหน้าแน่ขึ้นกว่าเดิมอีก  ด้วยความรักที่มีอยู่เต็มหัวใจ



    ปัง!!!

    “ดีกันแล้วสินะ”  คิลเปิดประตูห้องเข้ามา  ยิ้มกว้าง  มีโกโดมยืนอยู่ข้างๆ



    เฟรินรีบผลักคาโลออกทันที  หน้าของทั้งสองคนที่แดงระเรื่ออยู่แล้วก็ยิ่งแดงเข้าไปใหญ่  จนกลายเป็นสีของลูกตำลึงสุก



    “ไอ้คิล!!  แก...ไหนบอกว่าไปหาอะไรกินไง”  เฟรินพูดขึ้นด้วยความอาย  ที่ไอ้เพื่อนซี้มันเข้ามาเห็นภาพเธอกับคาโล...^^”  ขณะที่คาโลได้แต่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่ด้านข้าง



    “ถ้าฉันไปก็อดเห็นอะไรสนุกๆสิ”  คิลยิ้มเจ้าเล่ห์  “แล้วอีกอย่างถ้าเกิดไอ้คาโลมันทำอะไรแกขึ้นมา  ฉันกับเจ้าคนแคระจะได้ช่วยทันไง”  พูดแล้วก็หัวเราะก๊าก  ส่วนโกโดมก็พยักหน้าตาม  เห็นด้วยกับที่คิลพูด  ทำให้เฟรินยืนนิ่งเถียงไม่ออกเป็นครั้งแรก



    “แกมาก็ดีแล้ว”  เสียงจากเจ้าชายแห่งคาโนวาลดังขึ้น  “ทำไมไม่ห้าม  ปล่อยให้เฟรินทำอะไรตามใจ  เดี๋ยวได้เกิดเรื่องยุ่งอีกจนได้”  คำตำหนิที่คิลได้แต่ไหวไหล่



    “แกก็รู้  ฉันห้ามมันเคยฟังที่ไหน  มันน่ะฟังแต่แก”  คิลพูดพลางหันไปยิ้มกว้างทางเฟริน  ที่ตอนนี้กำลังถลึงตาใส่เค้าอยู่  “ในเมื่อห้ามไม่ได้...ก็เลยร่วมด้วยช่วยกันซะเลย”  พูดจบก็ยิ้มกว้างขึ้นอีก  ทำให้คาโลถอนใจเบาๆ  พลางคิดในใจส่วนเจ้าคนแคระเขากวางนี่ไม่ต้องถาม  เพราะยังไงมันก็ไม่เคยขัดใจเจ้าหญิงของมันอยู่แล้ว  คิดเสร็จก็ถอนใจอีกเฮือกใหญ่



    “เอาน่า  คาโล  ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว”  เฟรินพูดขึ้น  ทำให้คาโลหันมามอง



    “แน่ใจนะเฟริน”  คาโลถามย้ำ  นัยน์ตาคู่สีฟ้ามีประกายไม่เชื่อแฝงอยู่



    “แน่ใจสิ”  เฟรินรับคำเสียวใส  “ถ้านายอยู่”  ประโยคหลังนี่พูดเบาแสนเบา  ทำให้คนฟังไม่แน่ใจ  ทำสีหน้าเป็นเชิงถามอีกครั้ง  ส่วนคิลก็ได้แต่ยืนหัวเราะหึๆ  กับเจ้าเพื่อนซี้ทั้งสองคน  ที่คนหนึ่งก็แสนสุขุม  เยือกเย็น  อีกคนหนึ่งก็เจ้าเล่ห์  แสนกล  แต่มันก็เข้ากันได้อย่างลงตัว  เพราะต่างก็รู้นิสัยใจคอของกันและกันเป็นอย่างดี  ทำให้รู้ทันกันไปหมดซะทุกเรื่อง



    “คาโล  วันนี้นายไปประชุมกับมาทิลด้ามา  ตกลงเป็นไง”  คิลรีบเปลี่ยนเรื่องพูด  แน่ล่ะหน้าที่ของเพื่อนซี้อย่างเค้า  มีรึจะปล่อยให้พวกมันหาเรื่องทะเลาะกันอีก  มีหวังเดี๋ยววันนี้ได้เดินไปหาอะไรกินอีกรอบ



    “วันนี้สภาสูงเรียกประชุมด่วน  การประชุมของป้อมอัศวินเลยเลื่อนเป็นพรุ่งนี้ตอนเช้า”



    “มิน่าล่ะ  นายถึงกลับมาเร็ว”  เฟรินพูดพลางโคลงศีรษะไปมา  คาโลส่งสายตาดุมาปราม



    “เจ้าหญิงทรงพักผ่อนเถอะพระเจ้าค่ะ  ดึกมาแล้ว”  โกโดมขัดขึ้น



    “จริงสิ  ง่วงแล้วด้วย”  เฟรินพูดขึ้น  แล้วเดินไปที่เตียงทำท่าจะนอน



    “อะไรของแกวะ  บทจะเชื่อก็เชื่อขึ้นมาง่ายๆ”  คิลสงสัย



    “ก็เรื่องนอน  ไม่ต้องสั่ง  ฉันก็ทำอยู่แล้ว”  เฟรินพูดกลั้วหัวเราะ  ทำให้ทุกคนส่ายหัวไปตามๆกัน



    แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่  ลมพัดมาเอื่อยๆ  นำพาความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ความหนาวเย็นของค่ำคืนที่เพิ่งผ่านไป  ทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงเริ่มขยับแพขนตาหนาช้าๆ  แล้วค่อยๆลืมตาขึ้น  ก็มองเห็นเพื่อนซี้ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน



    “อรุณสวัสดิ์  คิล”  เฟรินทักเมื่อเห็นเพื่อนซี้มองมา



    “อรุณสวัสดิ์บ้านแกสิ  นี่มันจะสิบเอ็ดโมงแล้วนะ”



    “เอาน่าๆ  วันหยุดก็ขอนอนเต็มที่หน่อยล่ะกัน”  เฟรินมองหาอีกคนในห้อง



    “คาโลมันไปประชุมแต่เช้าแล้ว  เดี๋ยวคงเจอมันที่โรงอาหารดราก้อน”  คิลพูดโดยไม่ต้องรอให้เฟรินถาม  ทำให้เฟรินแยกเขี้ยวรับกับไอ้เพื่อนที่รู้ทันไปหมดทุกเรื่อง



    คาโล!!!

    เสียงเรียกจากหัวขโมยตัวแสบดังขึ้น  ทำให้คนถูกเรียกหันมามอง



    “เป็นไงไปประชุมกับเจ้าหญิงแห่งอเมซอนมาสนุกมั๊ย”  เฟรินร้องทักด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว  ขณะยกอาหารมานั่งข้างๆ  มีคิลเดินตามหลังมา  ทิ้งให้โกโดมอยู่เฝ้าห้อง  เพราะเจ้าหญิงของมันสั่งให้ทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย  ทำให้ไม่มีเวลาออกมานอกห้อง



    “นายหึงหรอ”  คาโลถามขณะยิ้มน้อยๆที่มุมปาก



    ทำให้คนถูกถามแยกเขี้ยวงุดเข้าให้  คิลได้แต่หัวเราะก๊าก  สงสัยมันอยู่ด้วยกันมากคงจะติดเชื้อกวนประสาทมาจากเฟริน



    “ตกลงไปประชุมมาเป็นไงบ้าง”  เฟรินถามซ้ำ



    “วันนี้ประชุมเรื่องตัวแทนที่จะไปชิงตราไฮคิงพระองค์ใหม่  รายชื่อออกมาแล้ว”  คาโลอธิบาย



    “ทำไมรายชื่อออกเร็วจัง  แล้วไม่ต้องแข่งขันชิงตำแหน่งหรอ”  เฟรินสงสัย



    “เหลือเวลาอีกสามวันก็จะถึงการแข่งขัน  ดังนั้นการมาแข่งกันเองถือว่าเป็นการตัดกำลัง  จึงคัดคนจากผลงานของหมากกระดานเกียรติยศในปีที่ผ่านมา”  คาโลอธิบายต่อ  ทำให้เฟรินยิ้มกว้าง



    “งั้นก็ดีสิ  ฉันคงไม่ติดแหงมๆ”



    “แล้วตกลงมีใครบ้าง”  คิลเริ่มสนใจ  นัยน์ตาเป็นประกายระริก



    “มีรุ่นพี่ปีเจ็ด  สามคน  แล้วก็รุ่นเรา  สี่คน”  คาโลพูดเรียบๆ



    “หา!!  ทำไมมีรุ่นเราเยอะจัง  และปีอื่นไม่คิดจะเอาบ้างรึไง”  เสียงเจ้าตัวยุ่งดังขึ้น



    “สงสัยผลจากหมากกระดานเกียรติยศของเราจะเจ๋งกว่ามั๊ง”  คิลพูดแล้วยักคิ้วให้  พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์



    “เหอะๆ  ไม่จริง  ฉันไม่ติดอยู่แล้ว”  เฟรินขมวดคิ้วเรียวๆเข้าหากันจนเป็นโบ



    “มีนาย  ฉัน  คิล  โร  รุ่นพี่ลอเรนซ์  รุ่นพี่ลูคัส  แล้วก็รุ่นพี่โรเวน”  คาโลตอบข้อข้องใจให้  ทำให้คนฟังหันมามองอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง



    “ที่นายได้ยินอ่ะ  ถูกแล้ว”  คิลเสริมด้วยน้ำเสียงขบขัน  กับหน้าของเพื่อนซี้ที่ตอนนี้ซีดเป็นไก่ต้มไปแล้ว



    “เดี๋ยวตอนบ่ายมีประชุมชั้นปี  พวกนายก็ต้องไปประชุมด้วย”  คาโลพูดขึ้น  โดยไม่รอให้เฟรินได้หาข้ออ้างที่จะไม่ลงแข่ง  ทำให้เฟรินได้แต่หงุดหงิด  จัดการกับอาหารเบื้องหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย



    การประชุมของชาวป้อมอัศวินปีสามมีมาทิลด้าและคาโลเป็นคนชี้แจงเช่นเคย

    “การรักษาความปลอดภัยของกษัตริย์ทั้งยี่สิบสี่ประเทศ  จะจัดเช่นเดียวกับครั้งก่อนที่มีการประชุมเกี่ยวกับสงครามระหว่างเอเดนและเดมอส  แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงบางตำแหน่ง  เนื่องจากจะมีการแข่งขันชิงตราไฮคิงพระองค์ใหม่  ดังนั้นคนที่เป็นตัวแทนของป้อมจะได้รับหน้าที่ที่ไม่หนักนัก”  มาทิลด้าอธิบาย  พลางกวาดสายตาไปสบกับเพื่อนๆที่กำลังฟังอยู่  และมาหยุดอยู่ที่นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่โต



    “หวังว่าคงได้รับความร่วมมือ  อย่าให้มีใครก่อเรื่องยุ่งอีก”  ประโยคหลังดูจะเน้นเป็นพิเศษ  ทำให้เฟรินสะดุ้งโหยง  แล้วยิ้มกว้าง



    “ใครจะกล้าทำอย่างนั้น”  ครี้ดรับคำแทน  “จริงไหม๊เฟริน”



    “ใช่ๆ…ใครจะกล้า”  เฟรินรับคำกระเซ้าจากเพื่อน  ทำหน้าตาเจี๋ยมเจี้ยม  เป็นที่น่าเตะยิ่งนัก



    “ส่วนเรื่องคนที่มีรายชื่อเป็นตัวแทนของป้อมอัศวินมีประชุมต่อกับคาโล  คนอื่นๆก็แยกย้ายไปพักผ่อนได้แล้ว”  มาทิลด้าปิดประชุม  ทุกคนก็ต่างแยกย้ายไปที่ห้องของตนเอง  เหลือเพียงคาโล  เฟริน  คิล  และโรอยู่ประชุมต่อในห้องนั่งเล่น



    “การแข่งขันครั้งนี้พวกรุ่นพี่ให้ความสำคัญมาก  เพราะถือเป็นศักดิ์ศรีของป้อมอัศวิน”  คาโลเริ่มพูดขึ้น



    “ก็แน่ล่ะ  ครั้งที่แล้วพ่อนายทำไว้  ทำให้คราวนี้ฉันต้องมาซวยไปด้วย”  เฟรินขัดขึ้น  คาโลสงสายตาดุมาปราม  แต่ก็ไร้ความหมาย



    “ถ้ากษัตริย์บาโรมาได้ยินว่าที่ลูกสะใภ้พูดอย่างนี้  จะเป็นยังไงนะ”  คำพูดของบุรุษผู้มีนัยน์ตาสีเขียวที่มีประกายระริก  ทำให้เฟรินชะงัก  ดวงหน้าเริ่มขึ้นสี



    “สะใภ้บ้าบออะไรของแก  ใครจะไปเป็นให้มิทราบ”  เฟรินเถียงแก้เขิน



    “หรือนายจะเปิดโอกาสให้ขอทานอย่างฉัน”  โรพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ  แต่ก็ทำให้นัยน์ตาคู่สีฟ้ามองมาปรามด้วยความดุจัด



    “ไอ้บ้า!!  แกนี่พูดไม่รู้เรื่องรึไง  ดูสิขนลุกหมดเลย”  เฟรินรีบพูด  พลางยกแขนให้ดู  โรได้แต่หัวเราะขำขัน  ทำให้คิลทำหน้าสงสัย  ขณะที่คาโลก็ยังคงนิ่ง  มีแต่นัยน์ตาดุจัดมองปรามขอทานกิตติมศักดิ์เบื้องหน้า  ที่ชักจะพูดมากไปแล้ว



    “เอาเป็นว่าการแข่งครั้งนี้  ต้องพยายามชิงตราไฮคิงพระองค์ใหม่นั่นมาให้ได้”  คิลสรุปเปลี่ยนเรื่องทันที



    “จะว่าไปปีนี้ปราสาทขุนนางไม่มีเจ้าชายอาเธอร์แล้วด้วย”  เฟรินรีบช่วยเสริม  โรแย้มรอยยิ้มที่มุมปาก  เข้าใจเหตุการณ์เบื้องหน้า



    “แต่การแข่งคราวนี้จะขึ้นอยู่กับตัวเองเป็นหลัก”  โรกล่าว



    “เวลาที่เหลือ  เตรียมตัวให้พร้อม  แล้วก็แยกย้ายกันไปได้แล้ว”  น้ำเสียงออกคำสั่งดังมาจากเจ้าชายแห่งคาโนวาล  แล้วเจ้าตัวก็เดินนำออกไป  เป็นอันปิดประชุม



    “คิล  คาโลมันเป็นอะไรของมันวะ”  เฟรินถามขณะเดินมาตามทางที่จะไปยังห้องพัก  ที่ตอนนี้คาโลคงไปถึงห้องแล้ว



    “มันหึงแกมั้ง  ดูไอ้โรมันพูด  แถมเรื่องที่มันพูดฉันก็ยังไม่รู้เรื่องเลย”  เฟรินหัวเราะคิกคัก  นี่ไอ้คาโลมันหึงหรอเนี่ย…^^



    “ไม่ต้องมาหัวเราะดีไป  เดี๋ยวเจอมันก็อธิบายเองล่ะกัน”  คิลเตรียมเปิดประตูห้อง  เฟรินพยักหน้าหงึกๆ



    ภายในห้องมีเพียงสายตาเย็นเหยียบส่งมาให้  ทำให้คนหนึ่งได้แต่เงียบ  เดินไปนั่งที่เตียงที่มีโกโดมนอนนิ่งอยู่  นี่มันคงสะกดเจ้าคนแคระให้หลับไปอีกแล้ว  คิลได้แต่คิดในใจ  ส่วนอีกคนเดินยิ้มหน้าระรื่นเข้าไปนั่งข้างๆ  โดยไม่เกรงกลัวกับสายตาดุๆที่มองมา



    “นายหึงหรอ  คาโล”  เฟรินถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ  ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา  “คิดมากไปได้  ไอ้โรมันพูดไปงั้นแหละ  ฉันเคยบอกมันไปแล้ว”  นัยน์ตาคู่สีฟ้าหันมาสบกับนัยน์ตาคู่สีน้ำตาลเป็นเชิงถาม



    “ตอนที่อยู่เดมอสมันเคยพูดแล้วครั้งหนึ่ง  แต่ก็ไม่มีอะไรแล้ว”  เฟรินรีบอธิบาย



    “ฉันเคยได้ยินว่าเดมอสมีราชบุตรเขยจากทริสทอร์  งั้นข่าวนี้ก็จริงสิ”  คิลถาม



    “ก็ท่านพ่อเอวิเดสน่ะสิ  ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรด้วยเลย  ตัดสินใจเองหมด”  เฟรินพูดแล้วก็ถอนใจ



    “รวมถึงไอ้สงครามชิงตัวคาโลมันด้วยงั้นสิ”  คิลพูดเสร็จก็หัวเราะก๊าก



    “นายก็รู้ท่านพ่อเวลาโกรธเคยฟังใครที่ไหน”



    “พ่อลูกก็เหมือนกัน”  คนที่เงียบไปนานพูดขึ้น  ทำให้นัยน์ตาสีน้ำตาลหันมามอง  แล้วแย้มรอยยิ้ม



    “หายโกรธแล้วใช่มั๊ย”  เฟรินถามเสียงใส  “ฉันกับไอ้โรเนี่ยนะ  คิดไปได้”



    “ก็ดูมันพูดให้น่าคิดมั้ยล่ะ  ทีหลังนายมีอะไรก็บอกกันบ้าง”  คิลเริ่มหงุดหงิดแทน



    “ก็ฉันว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระนี่  จะบอกพวกนายไปทำไม”  เฟรินยังเถียง  แต่ก็ยังเห็นนัยน์ตาดุๆมองมาอยู่ดี



    “ก็ได้ๆ  คราวนี้ไม่ว่าเรื่องจะเล็กเท่ามดหรือใหญ่เท่าช้าง  ฉันก็จะบอกล่ะกัน  เลิกมองดุๆได้แล้ว”



    “ก็ดี”  คำรับสั้นๆตามนิสัยของคาโล  ทำให้เฟรินอมยิ้มนิดๆ  แล้วหันไปทางคิลก็เห็นองครักษ์ประจำตัวนอนนิ่งอยู่



    “แล้วนี่ไปสะกดเจ้ากวางไว้ทำไม”  เฟรินสงสัย



    “มันง่วง  ก็เลยให้มันหลับสักพัก”  คาโลตอบเสียงเรียบ  ทำให้เฟรินถลึงตาใส่กับคำตอบที่ไม่ได้คำตอบเลยสักนิด  ส่วนคิลก็ได้แต่หัวเราะหึๆ  สงสัยว่ามันจะติดเชื้อกวนประสาทจากเฟรินมาแล้วจริงๆซะด้วย



    “ตกลงจะบอกได้รึยังว่าสะกดเจ้ากวางไว้ทำไม”  เฟรินยังไม่เลิกถาม



    “รึว่านายไปถามเรื่องบ้าๆนี่กับมัน”  คาโลไหวไหล่  มิน่าล่ะตอนเข้ามาคาโลมันถึงได้ส่งสายตาเย็นเหยียบมาให้  เจ้ากวางคงเล่าเรื่องราชบุตรเขยจากทริสทอร์ให้ฟังหมดแล้ว  ก็สมควรอยู่ที่ถูกสะกด  เรื่องไหนควรพูด  เรื่องไหนไม่ควรพูดมันเคยรู้ที่ไหน  แล้วแถมเรื่องที่มันพูดจะรู้จริงรึเปล่าก็ไม่รู้  ก็ที่มันเห็นเธอกับโรอยู่ด้วยกันตลอดที่เดมอสก็เพราะที่เดมอสเธอไม่รู้จักใครเลย  นี่เจ้ากวางมันคงคิดว่าเธอพิศวาสไอ้โรมากซินะ  เฟรินคิดไปคิดมาก็เริ่มถึงบางอ้อ



    “คาโล  นายคงไม่คิดว่าฉันจะไปคบกับไอ้โรหลังจากที่นายเพิ่งตายหรอกนะ”  เฟรินขมวดคิ้วมุ่น  แถมที่ตอนนั้นมันจะตายก็เพราะช่วยเธออีกด้วย  คิดแล้วก็แย้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์  มันโกรธก็เพราะเรื่องนี้เอง



    “แต่ตอนนั้นก็ไม่แน่”  นักยั่วชั้นดีเริ่มปฏิบัติการ  ทำให้คนฟังหันมาสบตาด้วย  นัยน์ตาคู่สีฟ้ามีประกายเดาได้ยาก  นัยน์ตาคู่สีน้ำตาลมีประกายระริกขบขัน  ส่วนคิลก็เลยขอตัวไปอาบน้ำอุ่นๆ  ก่อนที่จะเกิดเรื่องหัวขโมยตัวแสบปะทะกับเจ้าชายน้ำแข็ง  จนห้องทั้งห้องต้องเย็นยะเยือก



    “เคยมีคนพูดไว้ว่า  คนตายมักเป็นฝ่ายชนะตลอดกาล  เพราะคนเป็นพยายามแทบตายก็ท้าสู้ด้วยไม่ได้  เวลาของคนตายจึงเป็นนิรันดร์  ขณะที่เวลาของคนเป็นมีจำกัด”  รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนดวงหน้าของเฟริน  “ตอนนั้นไอ้โรมันดันถอนตัวซะก่อน  นึกแล้วก็ยังเจ็บใจไม่หาย  แทนที่มันจะบอกว่าพวกนายยังไม่ตาย  ดันให้ฉันพูดอะไรบ้าๆออกไปได้”



    แต่คนที่ได้ฟังคำพูดบ้าๆของสาวน้อยตรงหน้านั้น  นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยบัดนี้เปลี่ยนเป็นแววอ่อนโยนขึ้นทันที  แม่เจ้าประคุณเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้เค้าว้าวุ่นใจ  จากที่การควบคุมจิตใจให้สงบนิ่งนั้นเป็นเรื่องที่เค้าทำได้ง่ายแสนง่าย  เต็มบัดนี้กลับทำได้ยากเต็มที  เมื่อมีเธอมาอยู่ใกล้ๆ  



    ดวงหน้าคมคายค่อยๆโน้มเข้าไปใกล้…ประทับริมฝีปากตรงกลางระหว่างคิ้วของเจ้าหล่อนเบาๆ



    “ฉันขอโทษ”  คำขอโทษจากเจ้าชายคนสำคัญแห่งคาโนวาล  ทำให้คนฟังค่อยๆช้อนนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่โตขึ้นมามอง  แล้วยิ้มกว้าง



    “รู้ก็ดี”  คำรับสั้นๆ  ที่เลียนแบบกันมาเด๊ะ  “ทีหลังนายมีอะไรก็ถามฉันนี่  ไปถามอะไรกับเจ้ากวางมัน  ไม่ไหวๆ”  คำบ่นที่เจ้าตัวได้ทีก็เอาใหญ่



    “ให้เจ้ากวางมันตื่นได้แล้ว  ฉันจะได้พูดกับมันให้รู้เรื่อง”  



    คาโลเรียกคทาพิพากษามาอยู่ในมือ  แล้วเริ่มร่ายมนตร์  ทันทีที่ชี้ปลายคทาไปที่โกโดมพร้อยกับร่ายคาถา  แสนสว่างวูบก็ปรากฏจากคทาแทงเข้าไปในร่างโกโดม  จากนั้นโกโดมก็กะพริบตาขึ้นช้าๆ



    “ท่านราชบุตรเขยสะกดกระหม่อมไว้ทำไม”  โกโดมถามทันทีที่เห็นภาพบุรุษเบื้องหน้า  แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบ  เฟรินก็จับโกโดมมาเหวี่ยงเล่นทันที  โยนไปโยนมาอยู่ในมือ  ทำให้โกโดมเกือบจะสลบไปอีกรอบ



    “เจ้ากวางแกเล่าเรื่องอะไรให้โคโลมันฟัง”  เฟรินถามขณะวางโกโดมลงบนเตียง  ในขณะที่ตอนนี้โกโดมเริ่มหายใจหอบ  หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ  ด้วยความวิงเวียนจากการเล่นกายกรรมบนฝ่ามือน้อยๆของเจ้าหญิงแห่งเดมอส



    “ไงเจ้าคนแคระ  เป็นอะไรไปอีกล่ะ”  เสียงของคนเพิ่งอาบน้ำเสร็จทัก  เมื่อเห็นสภาพของโกโดม  “นี่คงโดนรุมล่ะสิ”  คิลพูดกลั้วหัวเราะ  โกโดมพยักหน้าหงึกๆ  แต่เมื่อเห็นสายตาเย็นเหยียบของเฟริน  ที่คล้ายๆกับของใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ  ก็รีบตอบคำถามทันที

        

    “กระหม่อมก็แค่ตอบคำถามของท่านราชบุตรเขยเฉยๆพระเจ้าค่ะ”  เฟรินยังไม่พอใจในคำตอบ  เลยเอื้อมมือเข้าไปใกล้โกโดม  แล้วกะจะโยนเล่นอีกสักทีสองที  ทำให้โกโดมรีบอธิบายต่อ



    “กระหม่อมก็แค่เล่าเรื่องตอนที่เจ้าหญิงประทับอยู่ที่เดมอส  แล้วก็เรื่องท่านโร…”  โกโดมพูดเสียงอ้อมแอ้ม  เนื่องจากเริ่มเดาเหตุกราณ์ต่างๆได้คราวๆ  



    “ขอประทานอภัย  กระหม่อมคงจะเล่าอะไรผิดไปนิดหน่อย”  โกโดมรีบแก้ตัว  พลางมองคนทั้งสองคนเบื้องหน้า  ก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่



    “รู้ก็ดี”  เสียงสองเสียงดังประสานกัน  ดวงหน้าของสาวน้อยเริ่มขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อย  เมื่อเห็นนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยมองมาด้วยความเอ็นดูระคนขบขัน  ก่อนจะหัวเราะก๊าก  เมื่อเสียงหัวเราะของเพื่อนรักที่ทนไม่ไหว  เนื่องจากกลั้นมานานดังขึ้น  ห้องทั้งห้องที่เคยเงียบสงบจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะขำขันของเจ้าของห้องทั้งสามคน…





    -------------------------------------------------------------------

    มุมจิบน้ำชา : ขอบคุณทุกคนที่อ่านกันนะคะ(โค้งงามๆหนึ่งที  อิอิ)  มดขึ้นคอมกันรึเปล่าจ๊ะ  แหะๆ  ฟิคตอนที่ 2 นี้ก็ออกแนวรักหวานซึ้ง  แอบมีกวนๆนิดๆ  ใครมีอะไรสงสัยก็คอมเมนต์มาได้นะเจ้าค่ะ  เดี๋ยวจะมาตอบให้  ฟิคเรื่องที่เขียนเป็นฟิคสั้นๆแหละ  มีแค่ 4 ตอนนะ  ยังไงก็ฝากไว้ด้วยนะคะ  
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×