คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : (สำเนา)
��� จากเทศาภิบาลเล่มที่ ๓-๔ ร.ศ. ๑๒๖��
สำเนาหนังสือครั้งกรุงเก่า�� ว่าด้วยการพระราชทานที่กัลปหา
ยอเข้าตำราหมื่นตราพระธรรรม
วิลาศเอาไปวิวาทเป็นหัวเมือง
������� แลครั้งเกิดสมเด็จเจ้าพระราชมุนีมีบุญ� แลได้พระพุทธศักราช� ๙๙o� ฉลูสัมฤทธิศก� เมื่อเกิดแม่นั้นเป็นทรพล� เอาไปนาแลผูกเปลไว้� ณ� ต้นไม้หว้า�� แลงูตระบองสลาขึ้นมาอยู่� ณ� บนเปลนั้น� แลแม่นั้นขึ้นมาจะกินน้ำ� แม่นั้นเห็นงูซึ่งขดพันอยู่� ณ� บนเปลนั้นก็ตระหนกตกใจกลัวจึงร้องเรียกวุ่นวายว่าตาหูเอ้ยๆว่าลูกกูตายแล้ว� ว่างูตะบองสลาขึ้นพันอยู่ ณ บนเปล� แลจึงตาหูก็แล่นมาดูลูกอ่อนก็ยังเป็นอยู่� แลจึงตาหูนั้นก็ให้ขอเข้า (ข้าวแต่ในหนังสือเขียนว่าเข้า) ตอกดอกไม้� ให้เอามานมัสการแก่เทพารักษ์ จึงงูนั้นก็เลื้อยไป� แลจึงพ่อแม่แลเพื่อนนานนั้นก็เข้าไปดูกุมาร� ณ� ดปลนั้น� ก็เห็นแก้วใบหนึ่ง� จึงพ่อก็เอาไว้สำหรับกุมารนั้นแล้ว�� อยู่มากุมารนั้นก็ค่อยจำเริญอายุสถาพรแล้ว� แลบิดาก็นำเอาไปบวชไว้� ณ� วัดกุฎีหลวงซึ่งสมเด็จพระจวงอยู่นั้น�� แล้วก็ให้ชื่อเณรปู�� แลชีต้นก็ให้ร่ำเรียนนโม� ก� ข� แลขอมไท�� จบแล้วจึงเรียนธรรมบททศชาติ� สมเด็จพระชินเสน� ณ� วัดศรีกูญัง� จบธรรมบททศชาติแล้วเป็นเวลาช้านาน�� แล้วเข้าไปเมื่อนครศรีธรรมราชนั้น� อยู่ร่ำเรียนเป็นหลายปีครบอายุยี่สิบเอ็ด�� แลพระขุนลกก็รับเอาเจ้าเณรปูไปศู่สำนัก� พนะเณรปิยทสสีนั้น�� เรียนว่าจะบวชเจ้าเณรปูเป็นภิกขุ� แลจึงพระมหาเณรนั้นก็คิดด้วยสงฆ์ในอาราม� ว่าพัทธสิมา� อุทกสิมา� หามิได้� แลจึงให้พระขุนลกจัดหาเรือมาดตะเคียนลำ ๑ มาด พยอมลำ ๑ มาด� ยางลำ ๑ มาด� เอามาขนาน ณ� คลองน่าท่าเรือแล้ว แลพระขุนลกแลญาติพี่น้องก็แต่งสบงจีวรครบด้วยธูปเทียน� แล้วเจ้าปู่ไปสู่พระมหาเณรปิยทสสีเป็นอุปัชฌา�จารย์� แลพระมหาเณรพุทธสาครเป็นกรรมวาจา�����แลพระมหาเณรศรีรัตนเป็นอนุ�� แลบวชเจ้าเณรปู่เป็นภิกขุแล้ว�� จึงพระมหาปิยทสสีก็ให้นามชื่อเจ้าสามิราม� แล้วให้อยู่ตามกิจสงฆ์และร่ำเรียนธรรมสืบไปเป็นช้านาน แลยังมีเรือเจ้าสเภาอิน� (เจ้าสำเภาในหนังสือเขียนเจ้าสเภา)� จะเข้ากรุงเทพมหานคร� จึงเจ้าสามิรามไปถามเจ้าสเภาอินว่าจะโดยสารเรือเข้าไปด้วย�� จึงเจ้าสเภาอินก็ถามว่าซึ่งเจ้าสามิจะไปนี้ประสงค์แก่อันใด�� แลบาทเจ้าว่าจะไปเรียนธรรม� แลเจ้าสเภาอินก็โมทนาขอนิมนต์พระเจ้าไป� และจึงเจ้าสามิรามก็กลับมาลาชีต้นทั้งสามองค์นั้น�� แล้วก็ไปด้วยเจ้าสเภาก็ใช้ใบเรือไปแล� ครั้นถึงกลางทะเลเป็นปัจจุบันกาลเรือนั้นก็ต้องพายุ� แลครั้นสงบพายุใหญ่เจ็ดวันเจ็ดคืน� จึงเจ้าสเภาก็ขึ้งโกรธว่าตาชีนี้มาจึงเรือต้องพยุ(พายุ)��� แลครั้นสงบพยุแล้วจึงเจ้าสามิก็ลงไป� ณ� เรือสัดจอง�� จึงเอาเท้าข้างซ้ายเป็นทู่นั้นแช่ลง� ณ� น้ำๆนั้นก็จืด�� แลจึงสามิก็อาบน้ำนั้น� จึงเจ้าสเภาก็ถามว่าลงอาบน้ำนั้นเค็มหรือจืด�� จึงบาทเจ้าก็ว่าจืดแลบาทเจ้าก็ตักกระบวยตักน้ำมายื่นให้แก่เจ้าสเภา� จึงเจ้าสเภาก็รับเอาชิมดูน้ำนั้นก็จืด� แลเจ้าสเภาก็ให้ลูกเรือทั้งนั้นตักใส่โอ่งฉางอ่างตุ่ม� จึงเจ้าสเภาก็ยินดีเอาเป็นชีต้นปฏิบัติรักษาแล้วก็ใช้เรือไป
������������������������������������������� ครั้งเมื่อไปถึงเมืองศรีอยุธยา� จึงเจ้าสเภาก็ไปถามให้อาไศรย� ( อาศัย )� ณ� วัดแค� แลเจ้าสามิก็อาไศรย� (อาศัย )อยู่ที่นั้น�� แลเจ้าสเภาอินจะกลับมาเมืองนคร�� จึงเจ้าสเภาก็เอาอ้ายจันผู้ทาษ (ทาส )� ค่าเป็นเงินตำลึงให้รักษาเจ้าสามิราม� แลเจ้าสเภาก็กลับมาที่เมืองนครแล�� แลจึงบาทเจ้าก็ไปเรียนธรรม��������� ณ� วัดลุมพลีนาวาดช้านาน��� แลอยู่มามีประเทศเอาพระธรรมทั้งเจ็ดคัมภีร์เขียนใส่แผ่นทองเท่าใบมะขาม� ใส่หม้อ�� เอามาทายเปนปฤษณา ( ปริศนา ) ให้แปลก็แปลได้ไซ้จะถวายสิ่งของทั้งลำสเภานั้นแล� จึงมีพระบรมราชโองการตรัสสั่งชุมนุมสงฆ์ทั้งหลาย�� ทั้งเมืองกรุงศรีอยุธยานั้นแล� จึงพระสงฆ์เจ้าทั้งหลาย�� ก็ไปชุมนุมตามมีพระราชโองการตรัสสั่งนั่นแล�� พระสงฆ์ทั้งหลายประดับมิได้� จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งแก่�������������� ขุนศรีทนนไชย��� ให้ป่าวพระสงฆ์อันมาแต่เมืองนอกขัณฑเสมาประจันตประเทศ�� จึงสงฆ์ทั้งปวงอันมาแต่เมืองข้างนอกทั้งนั้นให้สิ้นเสร็จ��� จึงขุนศรีทนนไชยก็ไปนิมนต์พระรามเข้าไป� ณ� ที่ชุมนุม�� จึงสัปรุษย์จันตักน้ำมาล้างตีนบาทเจ้าพระรามก็เหฦนเป็นประหลาด�� ซึ่งเหยียบศิลาอันลุ่ม�� จึงสัปรุษย์จันก็เอาด้าย� เจาะชายจีวรแล้ว�� แลขุนศรีทนนไชยก็ผายๆกูจะเอาพระราม(หลวงปู่ทวด)เข้าไป�� แลพระบาทรามก็คลานเข้าไปถึงอาจารย์�� จึงพระรามก็นั่งลงแล้วไหว้อาจารย์�� จึงราชทูตทั้ง๗คนก็ว่าเอาเด็กสอนคลานมาให้แก้ปฤษณา (ปริศนา )ก็บอกแก่อาจารย์ว่าให้กรมการกฎหมายไว้�� แล้วพระรามก็ว่าแก้คำราชทูต� ว่ากุมารเมื่อออกแต่ครรภ์พระมารดากี่เดือนกี่วันจึงรู้คว่ำ�� กี่เดือนจึงรู้นั่ง�� กี่วันจึงรู้คลาน� จึงผู้รู้หลักนั้นว่าเราจะแก้มิได้�� จึงบาทเจ้ารามก็ถามราชทูตว่า� รู้คว่ำแก่หรือว่ารู้คลานแก่จึงราชทูตก็ว่าแก้คำพระรามนั้นมิได้�� ก็แพ้พระรามนั้นแล
������������������� จึงพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว� ก็ให้เอาเตียงทองมารองรับ�� ให้ราชทูตเอาอักษรอภิธรรมทั้งเจ็ดคัมภีร์มากองเป็นเจ็ดกอง� จึงพระรามก็เอาอักษรมาประดับ�� จึงได้เป็นแถวแนวทั้งเจ็ดคัมภีร์�� จึงพระรามนักปราชว่ายังขาดอักษรเจ็ดตัวจะครบ�� จึงราชทูตก็ว่ามีแต่เท่านั้นแล� พระรามก็ว่าแก่ราชทูตให้ทำทานบนเข้าต่อกันเล่า��� ราชทูตมิสู้ทำแลจึงราชทูตก็ถามว่ายังขาดตัวใด�� จึงพระรามก็ว่าสังตัวหนึ่ง� ตัววิตัวหนึ่ง� ตัวทาตัวหนึ่ง� ปุตัวหนึ่ง� กะตัวหนึ่ง� ดะตัวหนึ่ง ญะตัวหนึ่ง� จึงราชทูตก็เอาอักษรเจ็ดตัวออกมาแต่มวยผมมหาพราหมณ์�� มายื่นให้แก่พระราม� แล้วราชทูตก็ขอแพ้แก่พระรามเป็นสองท่า� จึงราชทูตก็กราบไว้นมัสการแก่พระราม���แล้วก็ยกเอาเครื่องสิ่งของ� ณ� สเภา� ซึ่งราชทูตเอามานั้น� ถวายแก่บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ให้ปลูกกุฎีถวายแก่พระรามนักปราชแล้วถวายเมืองท่อนหนึ่ง�� พระรามก็รับครองแต่สามวัน� แล้วก็คืนให้แก่บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวเล่า� ให้ครองอยู่ตามเก่านั้น� จึงพระรามก็คืดด้วยขุนศรีทนนไชย� สิ่งใดซึ่งยากแค้นแก่ไพร่แผ่นดิน� แลขุนศรีทนนไชยก็นิมนต์พระรามเข้าไปในวัง� ถวายพระพรพระราชกุศลแก่บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว� มีพระราชโองการตรัสถามพระรามนักปราช�� ว่าเข้ามานี้ประสงค์แก่อันใด�� จึงพระรามนักปราชขอพระราชทาน�� ข้าส่วยหลวงซึ่งยากแค้น� แล้วเห็นวัดราชประดิษฐาน� จะขอพระราชทานสร้างพระอาราม� อย่าให้ส่วยหลวงเข้าในพระคลังแต่นี้ไปเมื่อน่า�� จึงมีพระราชทานโปรดให้�� แลตรัสใช้นายสามแลจอมขุนอินปัญญาออกไป����� เอาสารบาญชีเบิกค่าส่วยไว้ให้เป็นค่าพระตาม� ซึ่งพระรามนักปราชขอพระราชทานนั้น� จึงนายสามจอมและขุนอินปัญญาก็เอาสารบาญเข้าไปทูลเกล้า� ทูลกระหม่อมถวายเป็นข้าพระนั้น ๓๐๐ หัวงานมีเลศ
� ผูกไว้ให้เป็นข้าพระศรีรัตนมหาธาตุในวัดพระราชประดิษฐาน�� จึงมีพระบรมราชโองการตรัสให้ขุนศรีทนนไชยให้นิมนต์พระรามนักปราชเข้าไปในพระราชวัง�� จึงมีพระราชโองการศรัทธาให้ทำเป็นกัลปนาอุทิศไว้ยกญาติโยมบ่าวไพร่ไร่นาดินป่าบูชาเทศนาธรรมเทศนา� ให้แก่พระรามนักปราชแล้ว� แลมีพระราชโองการตรัสว่า��� เราจะกรวดน้ำคณทีเงินทองเห็นว่ามิแตก� จึงตรัสให้เอาคณทีกระเบื้องให้แตกที่เดียว� แล้วแลมีพระเราชโองการสาบานไว้ว่า�� ถ้าผู้ใดแลลเมิด(แลละเมิด) พระบัณฑูรเบียดเบียนข้าพระคนทานไปใช้�� ใหผู้นั้นตกนรกหมกไหม้�� ได้ทุกขนิรันดร์�� อย่าได้ทัน พระพุทธ� พระธรรม์ พระจันทร์�� พระอาทิตย์� แลพระสงฆ์เจ้าสักชาติ� อย่ารู้คลาศอปราไชยในชั่วนี้ชั่วหน้า��ต้องสัจจาอษิฐานพระมหากษัตรย์เจ้าสาบาลไว้ทั้ง ๕๐๐๐ พระพรรษาแต่นี้เมื่อน่า� แลในท้องพระตำรานั้น� ให้ห้ามเจ้าพระตำรานั้น�� ให้ห้ามเจ้าพระยาแลสัสดีเมืองพัทลุงอย่าให้ใช้ข้าพระ� ณ วัดพระราชประดิษฐาน� ลงเรือรบเรือไล่รักษาค่ายตัดหนังวังช้างส่งข่าวแลลงพ่วงรอ� แลงานสรรพมาตราทั้งปวง� งวดคราวสารพิไลย� เก็บโคกระบือทอดพริกทอดฝายทำนาที่ใต้กำแพงเมือง� ทำรั้วทำเรือนเจ้าเมืองแลข้าหลวง� อย่าให้เบียดเอาค่าน้ำค่านา� อากรขนอนตลาดหัวป่าค่าที่เชิงเรือน� เก็บเรือแลเครื่องเรืองานสรรพมาตราแต่สิ่งหนึ่งสิ่งใด� แลให้คงอยู่ตามพระตำราพระราชอุทิศไว้นั้นแลพระรามนักปราชให้มหาเณรศรีผู้น้อง�� คุมสมุทบัญชีหัวงานข้าพระ�� ซึ่งพระราชอุทิศไว้ให้เป็นค่าพระแบให้ไว้รักษาให้ไว้รักษาวัดพระราชประดิษฐานแลทำพระมาลิกเจดีย์� ณ� วัดพระราชประดิษฐานนั้น� สูงเส้นห้าวามีเสศ(เศษ)� แลมีพระห้องรอบตามราชจำนงแต่ครั้งองค์พระเจ้ารามาธิบดีเสวยราชสมบัติ�� พระราชทานให้ข้าหลวงจ่าพรหมานออกมาบำรุงช่วยพระมหาเถรศรีผู้น้องพระรามนักปราชนั้น� ให้ข้าหลวงแต่งสเภาปากสามวาศอก� บรรทุกอิฐแลยอดพระมาลิกเจดียพระมหาธาตุออกมาแต่เมืองศรีอยุธยา� แลให้นายจัน� พี่สมเด็จเจ้าพระรามนักปราชถือยอดพระ� ซึ่งหล่อด้วยเบญจโลห� ยาวสามวาสามคืบ�� แลยอดพระนั้นมีพระราชทานโปรดแต่งให้ออกมาแต่พระราชมณเฑียร�� แลเครื่องประดับประดายอดพระนั้น�� พระราชทานแต่งออกมาแต่คลังหลวงแลซึ่งพระราชทานไว้ให้เป็นข้าคนทานรักษาสืบๆ กันไปแต่นี้ เมื่อน่าไว้รักษาพระศรีรัตนมหาธาตุ ๕๐� รักษาพระธรรมศาลา ๒๐ รักษาอุโบสถ ๒๐ แต่นี้ไปเมื่อน่า
ความคิดเห็น