คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : {part 1} Losing Piece
1
Losing pieces
เสียงกุกกักดังขึ้นเบา ๆ นัยน์ตาใสจดจ่อเข้ากับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำนิ่ง พื้นที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่ปกติจะใช้วางโลชั่นถูกแบ่งครึ่ง ขวดยาสีขาวทึม ๆ หลากหลายแบบถูกวางลงไปพร้อมกับแปะใบคำสั่งในการกินมัน ทงเฮคว้าขวดโลชั่นขึ้นมาวาง ตามด้วยอุปกรณ์ดูแลตัวเองอีกนิดหน่อย ถือว่ามันเป็นเพียงแค่หนึ่งส่วนสิบของทั้งหมดเท่านั้น เสียงประตูดังขึ้นข้างหลัง ร่างบางหันไปมองก่อนที่จะยิ้มบางให้อาคันตุกะที่เข้ามาใหม่
“นี่ยาเยอะขนาดนี้เลยเหรอทงเฮ”
เสียงกึ่งทุ้มกึ่งหวานของญาติผู้พี่ของเขาดังขึ้น ทงเฮยิ้มน้อย ๆ และพยักหน้าให้ฮีชอล ร่างโปร่งเดินเข้ามาในห้องเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยรอบ ๆ
“ไม่รู้ว่าพ่อผมคิดอะไรอยู่ถึงส่งผมมาที่นี่เนอะ”
ทงเฮรำพึงขึ้นมา ฮีชอลหันกลับมามองหลังจากที่พิจารณาบางสิ่งที่ขาดหายไป เขารู้สึกว่าทงเฮยังมีบางส่วนที่ขาดไปในความรู้สึก ดูเหมือนต้องการอะไรบางอย่างมาเสริมตลอดเวลา
“เค้าว่าถ้านายได้เปลี่ยนบรรยากาศ อาการน่าจะดีขึ้น”ฮีชอลตอบตามตรง ตามสิ่งที่พ่อของทงเฮบอกไว้ ทงเฮส่ายหัวและนั่งลงบนเตียง อันที่จริงย้ายมาก็ไม่เลวเท่าไหร่ ห้องของเขากว้างและสบายกว่าบ้านที่นู่นตั้งเยอะ
เขาย้ายมาที่นี่เพราะเขาประสบอุบัติเหตุแปลก ๆ จนความจำขาดหายบางส่วน และมันก็มีผลกระทบทำให้เขาปวดหัวอย่างหนักในบางที โดยเฉพาะการอยู่ที่ ๆ มีความทรงจำเดิมฝังตัวอยู่ ยิ่งเป็นการเร่งให้เขาเจ็บกับสิ่งในอดีตเข้าไปอีก เขาไม่อยากรู้ว่าสิ่งที่ทำให้เขาลืมไปมันคืออะไร
“เฮ้อ...ก็ดีเหมือนกันแหล่ะ บ้านนี้กว้าง แต่เหงา”ฮีชอลเดินตามมานั่งข้าง ๆ และถอนหายใจเบาบาง บ้านนี้ไม่ได้เป็นคฤหาสน์คนรวยอะไรขนาดนั้น แต่มันก็เหงา มีเพียงเขากับน้องชายที่อยู่กันสองคน ไม่นับแม่บ้านที่มีหน้าที่ทำความสะอาด พอพ่อของเขาบอกว่าจะรับทงเฮมาดูแล เขาก็ไม่ขัดอะไร กลับเห็นดีด้วยเสียอีกที่จะมีเพื่อนคุยเพิ่มขึ้น
แต่มันติดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมานี่
“ตกลงกะนายก่อน”ฮีชอลเริ่ม ใจก็คิดไปถึงใครอีกคนที่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง”คืองี้ วันก่อน..เอ่อ...แฟนคิบอมเค้าเพิ่ง..เอ่อ...ตาย แล้วหมอนั่นก็เสียตาไปทั้งคู่ เพิ่งไปผ่าตัดมาไม่กี่วันก่อน”
“...อื้อ...”
ทงเฮทำตาแป๋ว ฟังฮีชอลอย่างตั้งใจ เรื่องที่ฟัง ๆ มาปกติเขาอาจจะเบื่อ แต่ว่าเรื่องนี้กลับทำให้เขาสนใจอย่างประหลาด
คิมคิบอม...ใครกันนะ
“ก็ อย่ายุ่งกะหมอนั่นมากก็แล้วกัน”ฮีชอลตัดจบง่าย ๆ แบบคนที่ไม่อยากอธิบายอะไรมาก ทงเฮทำหน้ามุ่ยนิด ๆ”พักนี้ขนาดฉันก็เอามันไม่อยู่ ข้าวปลาก็ไม่กิน แต่อย่างว่า ซอฮยอนเพิ่งตายนี่นะ”
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ
ทงเฮเดินขึ้นบันไดมาโดยมองซ้ายมองขวานิด ๆ เหมือนเด็กกำลังทำความผิด มือหนึ่งแตะเข้าที่ประตูที่เขาไม่เคยเห็นมันเปิด ประตูไม่ได้ล็อก ทงเฮผลักมันออกไปนิด ๆ ให้พอมองผ่านเข้าไปได้ นัยน์ตาใสจ้องผ่านช่องว่างที่เกิดขึ้นเข้าไปก่อนที่จะพบกับภาพที่ทำให้เขาต้องค้างคาอีกนาน
ชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าคมเข้มมีรอยอิดโรย อ่อนล้า ความรู้สึกเศร้าหมองครอบคลุมไปทั่วร่างกาย ทงเฮรู้สึกว่าแม้แต่การขยับตัวนิด ๆ หน่อย ๆ ยังคงอิริยาบถหมองราวกับถูกสีดำกลืนกินเข้าทั้งตัว แต่น่าแปลก เขากลับสนใจคนที่ชื่อคิบอมนี่มากทุกขณะ
ไม่ทันได้ตั้งตัว คิบอมหันหน้ามามองทงเฮพอดี นัยน์ตาทั้งสองสบประสานกัน ทงเฮรู้สึกเหมือนมีแรงดึงดูดให้ลอยคว้างเข้าไปในนัยน์ตาคู่นั้น ทั้งสองจ้องมองกันโดยไม่มีใครขยับไปไหน จนกว่าจะรู้ตัว หัวใจของเขาก็เต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง นัยน์ตาคู่นั้นมีอะไรคุ้นเคยจนน่าประหลาด
...และเขาก็ต้องตกใจ
ริมฝีปากของร่างสูงบิดเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่ส่งให้ใบหน้าที่ดูเย็นชาและเงียบขรึมนั้นอ่อนโยนขึ้นมา ร่างบางยกมือขึ้นจับหัวใจตัวเองที่เต้นรุนแรงโดยที่ไม่รู้ตัว มีอะไรบางอย่างที่บอกได้ว่าแปลกประหลาดประเดประดังเข้ามาในใจ
...ความรู้สึกที่บอกว่าเขาอยากเห็นคน ๆ นี้ยิ้ม
อยากให้คิมคิบอมยิ้มอย่างมีความสุข...
มันคืออะไร ความรู้สึกอยากดูแลแบบนี้
“ทงเฮ ~~!! ลงมานี่หน่อย”
เสียงของฮีชอลดังขึ้น ร่างบางใช้จังหวะที่ใจไขว้เขวไปชั่วคราวดึงตัวเองออกจากภวังค์ ร่างบางปิดประตูและเดินลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว ใบหน้าหวานแดงก่ำ พอพ้นจากมุมบันได ร่างโปร่งบางของคิมฮีชอลกำลังยืนอ่านเอกสารอย่างหนักใจ
“เอ้อ..มีอะไรเหรอฮะพี่ฮีชอล”
“ตายแล้วแหล่ะ คือว่าอาทิตย์หน้านายต้องไปโรงเรียนใช่มั้ย พอเกิดเรื่องก็ลืมวันลืมคืนไปซะหมด”ประโยคสุดท้ายบ่นเบา ๆ อย่างกลัดกลุ้ม”ถ้าไม่เกิดปัญหาอะไรนะ ตอนแรกฉันจะให้นายไปโรงเรียนกับคิบอม แต่อาการแบบนี้ฉันว่ามันคงจะไปไม่ได้หรอก ไปแล้วก็เฮิร์ต”
“ผมว่าเค้าก็น่าจะไปได้นะ”ทงเฮแย้งขึ้นมา ไม่รู้สิ เขาอยากทำความรู้จักเจ้าของดวงตาที่ดึงดูดเขาได้คู่นั้น
“ว่าอะไรของนาย เจอกันยังไม่เจอ แต่ถ้ามันขาดเรียนก็ไม่ดีหรอก”ร่างบางพึมพำ ก้มลงไปอ่านเอกสารในมืออีกรอบ”แต่ก็..นายอยู่ห้องเดียวกะหมอนั่นนี่..”
“ไปได้แหล่ะฮะผมว่า ถ้าไม่ชนกับปัญหาแล้วมันจะจบได้ยังไง”ทงเฮบอก ฮีชอลขมวดคิ้วนิด ๆ และถอนหายใจ
“เอางั้นก็ได้ แต่ฉันไม่มีรถลีมูซีนยาวสิบแปดกิโลเมตรให้นั่งนะ แม่ฉันรวยแต่งก”ร่างบางบอกตรงไปตรงมา ทงเฮขำพรืดกับลีมูซีนอะไรนั่น เลี้ยวทีก็หักครึ่งแล้ว”ขึ้นรถเมล์กันไปเองนะ”
“คร้าบ...ผมชินอยู่แล้วแหล่ะ”ร่างบางตอบรับ ที่บ้านเก่าเขาเดินไปประจำ บางทีก็รถเมล์ แต่ก็อดเสียดายไม่ได้ที่ไม่ได้นั่งรถไปซะเอง
“เอ้อ..ยังไงก็เตรียมใจรับไว้หน่อยแล้วกัน คิบอมอารมณ์แปรปรวน”
ทั้งสองคนคุยกันเรื่องสัพเพเหระกันอีกนิดหน่อยก่อนที่จะแยกย้ายกันไป ทงเฮอดคิดไปล่วงหน้าไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ริมฝีปากวาดรอยยิ้มบาง ๆ อย่างคนอารมณ์ดี รอยยิ้มของใครคนนั้นแวบเข้ามาในหัว แปลกใจเหมือนกันที่เขานึกถึงแต่ใบหน้าของคิบอมได้แบบนี้...
ทั้ง ๆ ที่ได้เจอกันแค่ไม่กี่นาที ไม่สิ ไม่กี่วินาทีเลยด้วยซ้ำ
แล้วทำไม...เขาถึงได้หลงใหลนัยน์ตาคู่นั้นถึงขนาดนี้นะ
แม้จะหลับตา ภาพของคิบอมยังคงตามมาให้เขาได้ใจ้เต้นระรัวเล่น..
เหมือนกับเจอสิ่งที่ขาดหาย
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความคิดของเขา สำหรับคนที่วัน ๆ ไม่ได้ทำอะไรนอกจากหมดอาลัยตายอยากไปเรื่อย ๆ วินาทีต่อวินาทียาวนานเหลือเกิน โดยเฉพาะเวลาจ่อจมอยู่กับภาพของคน ๆ เดิม ซอจูฮยอน เสียงหัวเราะของเธอยังคงค้างไว้ในความทรงจำ รวมทั้งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจจากอุบัติเหตุคราวนั้นที่เป็นฝีมือของเขา แม้แต่คิมฮีชอล พี่ชายที่เขาเคารพมากยังไม่สามารถทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาได้ แล้วในอีกไม่กี่วันเขาต้องไปเผชิญกับสถานที่เดิม ๆ ที่มีความทรงจำของเขาสองคนประทับอยู่ทั่วไป
ซอจูฮยอนเป็นรุ่นพี่ปีสุดท้าย เขาสองคนเจอกันแบบไม่สวยเท่าไหร่นัก แต่มันก็จบลงด้วยความสุขเหมือนนิยายทั่วไป ไม่กี่เดือนที่เขาได้พบกับความสุขที่ไม่เคยพบ จนถึงวินาทีนี้ที่เขาตระหนักว่าไม่มีอะไรยั่งยืน บางเวลาก็วาดหวังให้ทั้งหมดเป็นเพียงฝัน พอลืมตาตื่นขึ้นมาจะพบเธอคนเดิม
..ยิ่งไปที่โรงเรียนก็เจอเสียงซุบซิบนินทาเก่า ๆ
แย่ที่สุด
ร่างสูงนอนนิ่งอยู่บนเตียง รับรู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาตีห้าแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากจะลุกไปเลยแม้ซักนิด หนังตาหนักอึ้ง เนื้อตัวก็ชวนให้หลับต่อ คิบอมรู้สึกอยากจะหยุดไปเรื่อย ๆ เลยด้วยซ้ำ..ถ้าไม่ติดเสียงที่กำลังเรียกเขาอยู่นี่ เขาจะหลับต่อไปอย่างปกติสุข
“ตื่นได้แล้วน่า ~”
เสียงนั้นสดใส ถึงแม้จะห้าว ๆ นิดหน่อยตามเพศของเจ้าตัว แต่ถ้าฟังเผิน ๆ ก็เหมือนทอมแอ๊บเสียงห้าว คิบอมทำหน้านิ่ง ไม่แม้แต่จะขยับเอาผ้าห่มปิดหน้า เขารู้ว่ามุกนี้คือสัญญาณบอกว่าเขารำคาญ ถ้าใครมาปลุกก็ได้เห็นดีกัน แต่เจ้าของเสียงนั้นกลับเพิ่มแรงเป็นการเขย่าแขนเบา ๆ
“วันนี้วันแรก นายคงไม่อยากจะสายหรอกนะ ตื่นสิ ~”
คิบอมรู้สึกหงุดหงิด เขาลืมตาขึ้นมา ไม่มีแววตาของคนเพิ่งตื่นนอนเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่เห็นนั้นทำให้เขาหยุดชะงักด้วยท่าทางแปลกใจ
ภาพของผู้ชายผมยาวระต้นคอ ใบหน้าหวานเหมือนผู้หญิง ยิ่งประกอบกับผิวขาวเกือบจะซีด ริมฝีปากแดง ๆ และทรงที่ผ่านการตัดมาเพียงหนเดียวแล้วปล่อยจนยาวเคลียคอ คิบอมอาจจะเชื่อว่าคนตรงหน้าเป็นผู้หญิง ถ้าหากไม่ติดว่าอีกฝ่ายใส่เสื้อคอกลมบาง ๆ แล้วหน้าอกแบนราบขนาดนั้น มือเนียนกำลังกระตุกแขนของคิบอมอย่างอ้อนวอนให้ตื่น พอร่างสูงลุกขึ้นมา คนตัวเล็กกว่าก็ยิ้มอย่างดีใจ
รอยยิ้มนั่นสว่างไสวเหลือเกิน
เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่จ้องมองคนตัวเล็กกว่าด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ ทงเฮฝืนยิ้มน้อย ๆ ถึงแม้ในใจจะสั่นไหวกับสายตาที่ถูกส่งมาหา นัยน์ตานั้นมีร่องรอยความเย็นชาเหลืออยู่...แต่ทงเฮก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาอยากจะมองไปนาน ๆ
“สายแล้วนะ...”ทงเฮทำเสียงงุบงิบแบบคนไม่รู้จะพูดว่าอะไร คิบอมยิ้มน้อย ๆ อีกครั้ง กล้ามเนื้อรอบปากตึงอย่างน่าประหลาด หรือบางทีเขาอาจจะไม่ได้ยิ้มมานานเกินไปถึงได้รู้สึกแบบนี้ เขาลุกขึ้นยืน ส่งผลให้ทงเฮลุกตามแทบไม่ทัน ก่อนที่ร่างสูงจะเดินออกไปห้องน้ำโดยที่ทิ้งทงเฮไว้ตรงนั้น
“เงียบไปไหนนะ”ทงเฮบ่นกับตัวเองเบา ๆ แต่ก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรมากมาย ร่างบางที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมในชุดนักเรียนเต็มยศ ปากบางแย้มยิ้มอย่างดีใจที่อย่างน้อยคิบอมก็ไม่ได้ไล่ตัวเองออกไป
รอไปได้อีกราว ๆ ครึ่งชั่วโมง ทงเฮก็ได้เห็นคิบอมเดินมาที่โต๊ะอาหาร คิมฮีชอลยังคงหลับอุตุเพราะเจ้าตัวมีเรียนคาบบ่ายที่มหาวิทยาลัย อาหารเช้าง่าย ๆ ที่ทงเฮคำก็เป็นแค่โจ๊กสำเร็จรูปธรรมดา ไม่ได้เหมือนปกติที่จะเป็นกับข้าวที่แม่บ้านทำไว้ให้ คิบอมมองโจ๊กร้อน ๆ ควันกรุ่นก่อนที่จะนั่งลงกับโต๊ะเล็ก ๆ นั่น
ทั้งโต๊ะมีแต่ความเงียบสงัด เสียงช้อนของคิบอมต่างกับทงเฮยิ่งนัก ช้า ๆ เหมือนคนไม่มีแรงทำอะไร ทงเฮเหลือบมอง มือก็คนของในจานด้วยความรู้สึกอึดอัดอยู่เหมือนกัน
“ฉันกับนายอยู่ห้องเดียวกันด้วยแหล่ะคิบอม”
ในที่สุดทงเฮก็พยายามเปิดบทสนทนาขึ้นมา คิบอมไม่ได้ตอบ เพียงแต่ตักข้าวใส่ปากอีกคำด้วยสีหน้าเรียบเฉย ร่างบางยิ้มเจื่อน ในใจรู้สึกวูบ ๆ
“ฉันย้ายเข้ามาตอนปีสุดท้ายนี่คงไม่แปลกใช่มั้ย ยังไงก็ช่วยฉันด้วยนะ”
ไม่มีอะไรตอบกลับมา ทงเฮก้มหน้าลงคนโจ๊กในชามอย่างอ่อนใจ เพิ่งรู้ว่าการกินข้าวกับคนเงียบแบบนี้ทำให้เขาพลอยไม่เจริญอาหารตามไปด้วย แต่ความตื่นเต้นที่จะได้เจอเพื่อนใหม่ก็ไหลกลบเสียแทบหมด ไม่รู้ว่าตัวเองจะเปิ่นเป๋อออกไปมากแค่ไหน ถ้าได้คิบอมอยู่ข้าง ๆ ก็ดีทีเดียว...
เขากำลังคิดแบบนั้นสินะ
“ไปเถอะ”
นั่นเป็นคำแรกที่คิบอมพูดกับทงเฮ ร่างบางเงยหน้าอย่างตกใจ สายตาชำเลืองไปที่ชามของคิบอมที่พร่องลงไปเพียงนิดเดียว คิบอมพูดเพียงแค่นั้นและหันหลังออกไปทันที ทงเฮรีบยกจานไปใส่อ่างล้างจานและวิ่งตามไปอย่างรีบร้อน
“ขึ้นสายไหนอ่ะ..?”
นิ้วของร่างสูงถูกใช้ตอบแทนคำพูด ท่าทางคิบอมจะไม่ชอบพูดจริง ๆ ทงเฮเห็นรถประจำทางที่กำลังวิ่งมา..ตอนนี้เพิ่งจะหกโมง โรงเรียนก็ไม่ได้ไกลมากเท่าไหร่ เขาคงได้ถึงเช้าแหงแซะ
และก็เป็นเช่นเคย ไร้เสียงพูดจาใด ๆ เมื่อทั้งสองขึ้นไปบนรถแล้ว สภาพคนที่ยืนประปรายทำให้พวกเขาต้องยืน ทงเฮยืดมือขึ้นจับราวบนรถเมล์อย่างทุลักทุเล เขาก็ว่าเขาสูงนะ..แต่ทำไมสภาพของเขาดูลำบากลำบนกว่าคิบอมที่แค่ยกมือก็สบายแล้วล่ะ เขาไม่ได้เตี้ยมากขนาดนั้นซะหน่อย...โธ่
“ระวังหน่อย”
พอรถเบรก เขาก็ถลาแล่นลมไปหาคนที่ยืนเป็นเบาะอยู่ข้างหลัง คิบอมส่งเสียงเตือนเบา ๆ เป็นการปราม ทงเฮหน้าแดงขึ้นมานิด ๆ และขยับออกห่าง ยิ่งตอนนี้เป็นหน้าร้อน พวกเขาเลยใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นไปโรงเรียน...ทำไมคิบอมถึงได้มีกล้ามนะ ต่างจากเขาที่แขนเรียวอย่างกับผู้หญิง โลกนี้ไม่ยุติธรรมจริง ๆ
“ห้องทะเบียนอยู่ไหนเหรอ?”
สิ่งที่เขาต้องทำคือรายงานตัวและเซ็นเอกสารการเข้าใหม่ในปีสุดท้ายของที่นี่ และปัญหาคือเขาไม่รู้ทางไปอะไรซักอย่าง โรงเรียนที่นี่สวย และกว้างอย่างมหาศาล ตึกนั้นตึกนี้ราวกับดอกเห็ด ถ้าทงเฮมาคนเดียวก็คงได้แย่ไปเสียจริง ๆ
“คิบอม..ห้องทะเบียนอยู่ไหนอ่า ~”
เสียงของเขาก็เป็นน้ำเสียงที่เขามักจะใช้ในเวลาที่จะอ้อนคนนั้นคนนี้ หลายคนบอกว่ามันน่ารักแบบผู้หญิงอยู่หรอก แต่เขาก็เถียงสุดใจขาดดิ้นว่ามันออกจะแมนและเข้ากับเขา และก็มีใครคนหนึ่งเห็นด้วย แต่คนนั้นเป็นใครเขาก็ไม่รู้หรอก
คิบอมหันมามองหน้าคนที่กระตุกชายเสื้อของเขาด้วยสายตาวาววับเหมือนลูกแมว จู่ ๆ ก็รู้สึกอยากยิ้มขึ้นมาดื้อ ๆ ร่างสูงหันกลับและเดินนำทงเฮไปทางห้องทะเบียน ร่างบางทำหน้าง้ำอย่างไม่พอใจแต่ก็เดินตามไปแต่โดยดี
และในที่สุดก็ถึงเวลาที่เขาอยู่ต่อหน้าเพื่อนทั้งห้อง ทงเฮกัดริมฝีปากด้วยความตื่นเต้นที่ไม่อาจควบคุมได้ ฝ่ามือชื้นเหงื่อถูกบีบจนแทบจะชา นัยน์ตาสีเข้มกวาดไปรอบห้องเพื่อหาคิมคิบอมเป็นหลักประกันให้อุ่นใจ แต่ภาพที่ได้คือโต๊ะว่างเปล่าหลังห้อง
“อ่า..อีทงเฮครับ”
เสียงแนะนำตัวของเขาฟังดูประหม่าจริง ๆ นั่นแหล่ะ ผู้หญิงหลาย ๆ คนในห้องเอียงหัวเข้าหากันและหัวเราะคิกคัก ทงเฮก้มหน้าต่ำลงไปอีกด้วยความประหม่า จนอาจารย์ประจำชั้นบอกให้เขาเดินไปที่นั่งนั่นแหล่ะถึงได้รีบออกมา เขารีบทิ้งตัวลงนั่งโดยมีคำนินทาที่ได้ยินจากบรรยากาศรอบตัวเต็มไปหมด
“หน้าเหมือนกะเทยเนอะ”
“อื้อ..ตลกดี มีผู้ชายที่ไหนมั่งเนี่ยที่ตัวเล็กขนาดนี้ ฉันห่างกะเขาเซ็นต์นึงเอง”
“แต่ฉันว่าก็น่ารักดีนะ..”
“นี่ยุนจี อย่าเสี่ยงนะยะ หน้าอย่างงั้นชายแท้รึเปล่าเถอะ”
คำพูดพวกนั้นทำให้ทงเฮรู้สึกแปลก ๆ ความมั่นใจที่มีน้อยอยู่แล้ว็หายไปจนแทบไม่เหลือ บางมุมของเขาร่าเริง สดใส แต่ในระยะเวลาที่ไม่มีกำลังใจแบบนี้เขาก็จะกลายเป็นเป็นคนประหม่าแบบนี้ไป แต่ก่อนที่ทงเฮจะได้นั่งจิตตกไปแบบนี้ สัมผัสจากคนข้าง ๆ ก็เรียกให้เขาไปสนใจเสียก่อน
“ทงเฮใช่มั้ย..นี่อีซองมินนะ”
“
อื้อ..”
ภาพของชายหนุ่มร่างเล็กพอ ๆ กับเขาส่งยิ้มกว้างมาให้ นัยน์ตายาวรีบวกกับแก้มสีชมพูนั่นก็ทำให้เหมือนผู้หญิงพอ ๆ กับเขา ทงเฮยิ้มตอบไปอย่างไม่ตั้งใจ ในใจรู้สึกขอบคุณที่มีคนมาฉุดเขาให้ขึ้นจากความรู้สึกประหม่าวูบวาบแบบนี้ได้ ให้ตายเถอะ..ผู้ชายคนนี้น่ารักจริง ๆ
“อย่าไปสนใจยัยบ้าพวกนั้นเลย”ซองมินพยักเพยิดไปทางกลุ่มผู้หญิงเมื่อครู่”ยัยพวกนั้นก็แบบนี้แหล่ะ ฉันยังโดนทุกวันเลย”
“ฮะ...”
“นี่ แล้วนายมาจากไหนเหรอ ทะลุเข้ามาตอนปีสุดท้ายพอดีเลย”ซองมินเริ่มต้นถามคำถาม แต่ก่อนที่ทงเฮจะตอบกลับไป เสียงประตูห้องที่ดังขึ้นมาก่อนทำให้ร่างบางสะดุ้งสุดตัว ซองมินทำหน้าเบ้ก่อนที่จะหันไปทางเสียง
“มาแล้ว...”
คนที่มาแล้วก็ไม่ใช่ใครอื่น คิมคิบอมที่ทงเฮไม่เห็นตั้งแต่ส่งเขาเข้าห้องทะเบียนนั่นแหล่ะ ร่างบางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ คิบอมที่เขาเห็นตอนนี้ดูเย็นชาและเงียบขรึมยิ่งกว่าตอนแรกที่เจอเสียอีก นัยน์ตาคู่นั้นไม่ใช่แค่เฉยชา แต่กลับกลายเป็นดุดัน ทั่วทั้งห้องเงียบกริบ ชนิดที่ว่าหากใครเผลอทำอะไรตก เสียงนั้นก็ได้กลายเป็นเสียงดังไปเลย
คิบอมเดินตามทางเดินไปหาที่นั่งเดี่ยวที่มีโต๊ะอยู่เพียงตัวเดียวหลังห้อง ระหว่างทางก็กระแทกคนที่เผลอนั่งเกินที่ไปด้วยอย่างไม่สนใจอะไร สายหูฟังที่พันไว้กับหูห้อยระยางกับตัวไอพอดสีดำสนิทที่เหน็บไว้กับกระเป๋าที่เห็นครั้งแรกก็พูดได้ว่าผิดกฏ ทงเฮยังอ้าปากค้าง ก่อนที่เสียงเล็กจะทำลายความเงียบนั้นขึ้น
“คิบอม..ไปไหนมาอ้ะ..”
พลั่ก !!
ซองมินรีบคว้าตัวทงเฮให้เข้ามากับตัว ร่างบางเบิกตาด้วยความตกใจ ก่อนที่สายตาแปลก ๆ จะถูกส่งมาจากทั้งห้อง คิบอมไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่จ้องไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่า ร่างบางรู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่าเป็นความน้อยใจยังไงยังงั้น
“นี่ ! รู้จักกับหมอนั่นด้วยเหรอทงเฮ !?”
เสียงของซองมินกระซิบกระซาบใส่หูของร่างบาง ทงเฮพยักหน้านิด ๆ แรงรัดของซองมินคลายออกก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปทำตาดุใส่คนที่มองทงเฮอย่างแปลก ๆ ให้เลิกมอง
“แย่แล้วนะ ถือว่านายเข้าข่ายอันตรายเลยแหล่ะแบบนี้ รู้มั้ยคิบอมนั่นร้ายกาจขนาดไหน..ตั้งแต่แฟนหมอนั่นตายไป เท่าที่ฉันได้ข่าวมานะ...เขาแย่ยิ่งกว่าเดิมอีกแหล่ะ”
“อ้าวเหรอ ฉันอยู่บ้านเดียวกับเขา”
ทงเฮไม่เข้าใจว่าทำไมซองมินด้วยพูดด้วยสีหน้าซีเรียสสุดชีวิตขนาดนั้น คนพูดทำหน้าตกใจอีกรอบและชำเลืองไปมองคิบอมอย่างระแวง
“ย้ายออกเลยทงเฮ หมอนี่น่ะแย่ชัด ๆ ถือว่ารวยแล้วดันมาโดดเรียนชิบหายวายวอด สูบบุหรี่อีก อะไรก็ไม่รู้ พักนี้เห็นว่าควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าแทบทุกคืน ยอดยี้งี่เง่า”ซองมินทำมือประกอบไปด้วย จริง ๆ นะ เขาเคยออกไปตามพี่ชายกลับจากผับ เจอคิบอมกำลังอยู่กับสาว ๆ ถึงสามสี่คน หน้าตาดูเจ้าเล่ห์จนเขาเริ่มมองในแง่ติดลบตั้งแต่นั้นมา
“เอ้อ...แล้วแฟนเขาล่ะ”ทงเฮคิดไม่ถึงว่าคิบอมจะแย่ขนาดนั้น แต่เขากลับรู้สึกว่าคิบอมน่าสนใจกว่าที่คิดไว้ตอนแรกเสียอีก
“พี่ซอจูฮยอนน่ะนะ..ยัยนั่นเคยเปลี่ยนคิบอมจากเมื่อก่อนนิสัยแย่กลายเป็นคนดีด้วย แต่รู้สึกตอนนั้นรถของคิบอมถูกคนตัดสายเบรกมั้ง หมอนั่นเลยรถคว่ำไปกับพี่ซอฮยอน เห็นว่าชนใครไปอีกคน แล้วก็ตาบอดด้วยนะ แต่ว่าเปลี่ยนได้ไง แล้วพี่ซอฮยอนก็ตาย คิบอมเลยกลับมาเป็นแบบนี้”
ทงเฮเงียบอย่างครุ่นคิด เขาเห็นรอยแผลสะท้อนกลับมาจากแววตาของคิบอม แต่เขาก็ยืนยันว่าอยากจะใกล้ชิดกับคิมคิบอม ไม่ได้เป็นอาการหลงรักหรืออะไรเพราะยังไงก็ผู้ชายด้วยกัน แต่เขารู้สึกว่านัยน์ตาคู่นั้น เจ้าของนัยน์ตาสีดำคู่นั้นเป็นคนที่เขารู้สึกว่าเขาหายไป และกำลังจะได้กลับคืน
เหมือนกับคิมคิบอมเป็นชิ้นส่วนที่ขาดหายไป
ทั้งวันนั้นทงเฮได้รู้ว่าคิมคิบอมนิสัยแบดบอยแค่ไหน ไม่ใช่แค่เย็นชา แต่กวนประสาททุกคนอย่างคาดไม่ถึง ตั้งแต่เดินเข้าออกห้องเรียนโดยไม่บอกกล่าวแก่ใคร นั่งควงปากกาเล่นจนมันกระเด็นไปหน้าห้อง แทบจะโดนหัวอาจารย์ด้วยซ้ำ เวลาไหนที่อาจารย์ตำหนิ คำพูดเจ็บแสบพร้อมน้ำเสียงเรียบเฉยก็ถูกนำออกมาใช้ให้หน้าหงายกันไปทุกคน
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกไม่อยากจะยุ่งด้วยก็คือรังสีของคิบอมนี่แหล่ะ ทั้งมืดมัว หนาวเย็น และอ้างว้าง ยามใดที่คิบอมนั่งคิดอะไรอยู่คนเดียว ยามนั้นแหล่ะคือทุกคนจะไม่กล้าทำเสียงดัง ซองมินบอกกับทงเฮว่าเพราะเคยมีคนทำมาแล้ว โดนคิบอมลุกขึ้นจ้อง แค่นั้นแหล่ะ จุดจบ
สายตาของคิบอมมีพลังมาก กดดันให้คนขวัญหายไปหมด
วันแรกของทงเฮที่โรงเรียนนี้ก็ถือว่าดี ถึงแม้บางวิชาจะน่าเบื่อไปหน่อยก็ตาม ยิ่งมัธยมปลายปีสุดท้ายที่ต้องเรียกให้หนักเพื่อเตรียมตัวเข้ามหาลัยด้วยแล้ว และพอถึงเวลาเลิกเรียน ทงเฮก็ลุกขึ้นไปหาคนที่นั่งควงปากกาคนนั้นทันที
ไม่รู้ทำไมทั้งห้องต้องหันมามอง แถมยังเงียบกริบอีกต่างหาก
“กลับบ้านด้วยกันนะ”
เสียงของเขาแหวกอากาศที่แทบจะแข็งตัว คิบอมหันหน้ามามองช้า ๆ นัยน์ตานั้นยังว่าเปล่าเหมือนเดิม
“สงสัยจะเป็นอย่างทีเธอว่าจริง ๆ และซูจอง...”
“คิบอมรวยนี่ แต่สงสัยอยากเป็นซอฮยอนสองมั้ง”
เสียงซุบซิบดังขึ้นข้างหลัง ใบหน้าของทงเฮร้อนผ่าว
“ฉันไม่กลับ”
คำสามคำนั้นเรียกเสียงฮือฮาได้นิดหน่อย เพราะนี่อาจจะเป็นคำแรกที่พวกเขาได้ยินจากคิบอม ร่างบางกัดปาก มือเล็กยื่นออกไป แต่คราวนี้ไม่ใช่แค่เสื้อ กลับมาเป็นทงเฮเกาะนิ้วของคิบอมไว้ในมือและออกแรงดึงเบา ๆ สัมผัสเย็นวาบของผิวเนื้อร่างสูงให้ความรู้สึกที่ทำให้เขาใจเต้นอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วฉันจะกลับยังไงเล่า..นั่นมันบ้านนายนะ”
เสียงโทนสูงบ่นงุบงิบ คิบอมสะบัดมือของทงเฮออกและหันกลับไปใส่ใจกับอากาศตรงหน้าแทน ใจดวงน้อยของร่างบางเกิดอาการแป้วกะทันหัน มือของร่างบางยืนเข้าไปจับแบบเดิมเพื่ออ้อนให้คิบอมเดินกลับบ้านด้วยกันอีก
“นะ...กลับด้วยกันนะ”
“บอกแล้วว่าไม่”
เสียงเย็นชานั่นไม่ได้ทำให้ร่างบางเลิกล้มความตั้งใจ ริมฝีปากบางสวยฝืนยิ้ม แม้ในใจจะอยากเลิกแค่นั้น เพราะนิสัยของเขาที่ไม่ชอบให้ใครดุใส่ และเจ้าน้ำตาอีกต่างหาก มาเจอแบบนี้แทบจะอยากร้องไห้กันไปเลย
“น้า...คิบอมกลับด้วยกันนะ”
“คิบอม...เดินกลับเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
เสียงสดใสของหญิงสาวดังขึ้นข้างตัว ร่างสูงก้มหน้า ทำเป็นสนอกสนใจหนังสือเรียนในมือ ริมฝีปากฉีกยิ้มนิด ๆ แต่พอเงยหน้าขึ้นมา ยิ้มนั้นหายวับตามแบบฉบับการแสดงละครของเจ้าตัว ซอฮยอนทำหน้าบึ้งนิด ๆ อย่างไม่พอใจ
“นะ ๆ ๆ ฉันยอมไม่กินนมวันนึงเลยก็ได้”เธอหมายถึงนมรสหวานที่เธอชอบกินมาก และเป็นหน้าที่ของคิบอมที่จะซื้อให้ซอจูฮยอนกินทุกวัน คิบอมส่ายหัว และมุมปากก็อดหลุดยิ้มออกไม่ได้
“ยิ้มอะไรน่ะคิบอม !!”
“ขำคนแก่แถวนี้แหล่ะ”
“บ้าเอ๊ย...กลับบ้านด้วยกันเถอะ ฉันอยากเดินกะนายมานานแล้ว”
รอยยิ้มของเธอยังคงพราวพร่างอยู่ในความทรงจำ ไม่มีวันไหนที่จะลบเลือน
“...ซอฮยอน”
เสียงพึมพำนั้นแผ่วจนมีแต่ทงเฮเท่านั้นที่ได้ยิน รอยยิ้มบางชะงักลงทันควัน ชื่อของเธอคนนี้หยุดทงเฮได้ดียิ่งกว่าคำพูดที่ผ่านมาทั้งหลาย คิบอมลุกขึ้นยืน เสียงเก้าอี้กระเด็นล้มไปข้างหลังดังขึ้นท่ามกลางความเงียบที่เกิดขึ้น ทงเฮอ้าปากจะถามอย่างไม่เข้าใจ แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร มือของคิบอมก็คว้าเข้าที่ข้อมือของทงเฮและออกแรงลากให้ร่างเล็กเดินตามตัวเองออกไป
============================================
และแล้ว...เค้าก็กลับมาอีกครั้ง
คิดถึงกันม้ายยยยยยยย (โผเข้ากอด)
หายหัวไปสองเดือนเต็ม ๆ ด้วยภารกิจอันยุ่งยากสาหัสฉกรรจ์ ทั้งไฟนอล ทั้งการจองบัตรคอน บลา ๆ ทำให้ตัวรัดติ้วขยับไปไหนไม่ได้ แต่พอเจียดเวลามาวางพล็อตเรื่องนี้ได้บ้าง และสุดท้ายมันก็เป็นรูปเป็นร่างจนได้
* สำหรับเค้า วันคอนวันแรกไป S2 หรือ R2 ของกรุ๊ปเซย์อึนฮยอก ใส่เดปเขียวเสื้อหมาป่าลายCarnival(อะไรประมาณนั้น - -) วันที่สองไป 3000 D1 แถว A ที่นั่งที่ 2 เน้อ *-* คนที่เสียงดัง ๆ โวยวาย ๆ นั่นแหล่ะ - -
สวัสดีคนที่หลงเข้ามาอ่านใหม่ทุกคน และกระโดดกอดคนเก่า ๆ ที่ถูกบีบบังคับให้ตาม ๆ กันมา คิดถึงทุกคนจริง ๆ ฮึกกก T^T
เรื่องนี้ออกแนวหวานต้น..ขม3หวานปลาย คิคิ มีอำนาจมืดคอยบีบบังคับในการอัพเหมือนเดิม แลไซโคให้เรื่องมืดลง ๆ เรื่อย ๆ ถ้าใครอยากจะเปลี่ยนความคิดเค้าเชิญโทรมาไซโคได้เลย ไรท์เตอร์สามารถชวนคุยได้มากกว่าสองชั่วโมง = =
เค้ารักทุกคนนนนน =w=
ปล้ำฮยอก * เค้ายังคงจะตอบเม้นท์นะ ชะเอิงเงย
ความคิดเห็น