คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Soul |-01-|
Soul |-01-|
บนสังคมแห่งอุตสาหกรรม เงินทองเป็นสิ่งจำเป็นอย่างสูง และมีคำกล่าวหนึ่งที่มักจะถูกพูดถึงในหมู่นักธุรกิจมือทองว่า ‘มีโอกาสก็จงรีบคว้า น้ำขึ้นให้รีบตัก’ เช่นเดียวกัน ในเวลาที่ไม่ว่าจะประกอบกิจการอะไรก็เป็นเงินเป็นทองอย่างตอนนี้ บริษัทมากมายต่างก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด การแข่งขันทางธุรกิจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง บ้างก็เป็นบริษัทที่มีรากฐานยาวนานที่เป็นฝ่ายชนะ แต่บางครั้งบริษัทน้องใหม่เองก็ไม่น้อยหน้า โค่นบริษัทเก่าแก่ ขึ้นมายืนอยู่ในระดับสูงสุดของวงการได้เช่นกัน
...และหนึ่งในนั้นย่อมมีชื่อของกลุ่มบริษัทขนส่งสินค้า โกลา (GOULA SENT Group) อยู่ด้วย...
ด้วยความที่เป็นอย่างนั้นก็ส่งผลให้ผู้บริหารหนุ่มไฟแรง หุ้นส่วน รวมถึงเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารของบริษัทขนส่งยักษ์ใหญ่นี้เป็นที่รู้จักไปเช่นเดียวกัน เขาก่อตั้งบริษัทนี้ขึ้นเมื่อห้าปีก่อน และเพียงสามปีเท่านั้นก็สามารถไต่อันดับขึ้นมาติดหนึ่งในสิบของโลกในเครือธุรกิจขนส่งได้อย่างง่ายดาย เอาชนะมือชั้นเซียนที่เคยครอบครองตลาดจนล้มไปหลายบริษัท แล้วก็เขาอีกนั่นแหละที่เจรจาติดต่อจนเกิดการควบรวมกับบริษัทที่กำลังจะล้ม เกิดเป็นกลุ่มธุรกิจขนส่งชื่อดัง ที่อีกหนึ่งปีหลังจากนั้นก็ทะยานขึ้นมาคว้าอันดับหนึ่งอย่างไม่ยากเย็น
แต่น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ชายหนุ่มผู้บริหารของกลุ่มบริษัทนี้กลับไม่ค่อยปรากฏตัวให้เห็นบ่อยครั้งนัก บ้างก็ว่าเป็นเพราะเขาเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงไม่ชอบเป็นข่าวบนหน้าหนังสือ บ้างก็ว่าเขาหยิ่งเล่นตัว จะออกมาแสดงตัวแต่ละครั้งต้องเป็นการเจรจา หรือการเซ็นสัญญาใหญ่ ๆ เท่านั้น
...และนี่ก็เป็นครั้งแรกในรอบเดือนที่เขาปรากฏตัวต่อหน้าสื่อ...
“คุณชาดคะ ดิฉันสุภาพร จากช่อง OAV อยากทราบว่าคุณชาดคิดยังไงกับการเซ็นสัญญาขนส่งงานศิลปะที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ชิ้นนี้คะ” นักข่าวสาวจากฟรีทีวีช่องหนึ่งเอ่ยขึ้น หลังจากที่นักบริหารหนุ่มเปิดโอกาสให้ซักถาม
“ครับ ขอบคุณสำหรับคำถามนะครับคุณสุภาพร ตามความคิดของผมเกี่ยวกับการเซ็นสัญญาครั้งนี้ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ท้าทายระบบรักษาความปลอดภัยระหว่างขนส่งของกลุ่มบริษัทของเราเป็นอย่างมาก แต่ผมจะไม่เอาความท้าทายนั้นมากดดันการทำงานครั้งนี้ครับ ผมจะใช้มันทำให้พนักงานของเราแต่ละคนมีความมั่นใจที่จะปฏิบัติงาน และขนส่งผลงานศิลปะชิ้นเอกนี้สู่สถานที่จัดแสดงบริเวณย่านศิลปินอย่างไม่มีร่องรอยบุบสลายครับ” ชาดตอบอย่างฉะฉาน เขาอยู่ในชุดสูทสีกรมท่าเนื้อดีดูมีราคาสมฐานะนักธุรกิจใหญ่
“ผม เจมส์ จากสำนักข่าว WWW เอเชีย อยากทราบมูลค่าของค่าจ้างในสัญญาชิ้นนี้ครับ ไม่ทราบว่าพอจะเปิดเผยได้หรือไม่”
“เรื่องมูลค่าตัวเงินในสัญญาครั้งนี้ถือเป็นความลับระหว่างคู่สัญญาครับ ผมไม่สามารถเปิดเผยได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากอีกฝ่าย” รอยยิ้มจริงใจ บวกกับเส้นผมสีดำที่มัดรวบเป็นระเบียบทำให้ภาพลักษณ์ของเขาที่ออกสื่อครั้งนี้ไม่ต่างไปจากเทพบุตรมาจุติ
หลังจากคำถามต่าง ๆ นา ๆ ผ่านไปนับสิบคำถาม ก็มีสัญญาณจากพนักงานด้านหลังบอกว่าหมดเวลาให้ผู้สื่อข่าวซักถาม ชาดก็เอ่ยปากขอจบการแถลงข่าวการเซ็นสัญญา แล้วหันหลังเดินกลับเข้าตัวอาคารไป แต่นักข่าวก็ยังคงระดมถ่ายรูปไม่หยุด แสงแฟลชยังคงกะพริบต่อเนื่องแม้ผู้บริหารหนุ่มจะเดินหายเข้าไปในอาคารบริษัทแล้วก็ตาม
ชายสูทสีกรมท่าสะบัดหายเข้าไปในลิฟต์ใหญ่ ที่เวลานี้ไม่มีผู้คนอยู่ในนั้นเลยแม้แต่คนเดียว ประตูสีเงินปิดเข้าหากัน ก่อนจะเปิดอีกครั้งเมื่อลิฟต์นั้นไปถึงชั้นสิบสาม หากแต่ชายหนุ่มในนั้นกลับไม่ได้สวมสูท รวบผม และมีรอยยิ้มจริงใจ เหมือน ‘ชาด’ ที่เพิ่งปรากฏตัวออกสื่อไปเมื่อครู่นี้
...กลับกลายเป็นชายหนุ่มลึกลับผู้มากับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์โผล่พ้นผ้าพันคอสีขาว และชุดสีดำแขนยาวขายาวปิดมิดชิด เส้นผมยาวปรกตาซ้าย หมวกสีดำวางคร่อมปิดตาขวา คาดเข็มขัดสีขาว หัวเข็มขัดเป็นหัวกะโหลก...
...ดูอย่างไรก็ไม่เหลือภาพลักษณ์ของนักธุรกิจใหญ่เลยแม้แต่น้อย...
ชาดเอนหลังลงกับพนักพิงเก้าอี้บุด้วยหนังสีดำในห้องทำงานอย่างเคยชิน ห้องนี้ตกแต่งได้ไม่ต่างจากห้องทำงานที่บ้านของเขาเท่าไรนัก เฟอร์นิเจอร์เกือบทั้งหมดเป็นเครื่องไม้สัก จะเว้นก็แต่เก้าอี้กับชุดโซฟาเครื่องหนังสีดำที่ตัดโดดออกมาจากเครื่องเรือนชิ้นอื่น ๆ ที่จะแตกต่างอยู่อีกเล็กน้อยก็คือห้องนี้ไม่ได้ปิดทึบ แต่ติดเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย แถมผนังด้านหลังโต๊ะทำงานของเขาก็เป็นบานกระจกแผ่นใหญ่ทั้งแถบ เผยให้เห็นทิวทัศน์มุมสูงของมหานครใหญ่ที่แสนวุ่นวายในยามสาย และแสงสีที่ไม่มีวันหลับในยามค่ำคืน
“ขยันหางานยากให้น่าดูเลยนะท่าน คราวนี้ขอค่าตอบแทนแบบที่มันพอจะสมน้ำสมเนื้อกับชิ้นงานหน่อยก็แล้วกัน” ชาดกล่าวด้วยประกายตาหยั่งรู้ซึ่งกำลังจดจ้องไปทางโซฟาหนังสีดำ...ที่เวลานี้ว่างเปล่า...
“อ้อ ลืมไป ตอนนี้พวกท่านไม่มีอำนาจในการดำรง ‘ตัวตน’ เหนือแสงอาทิตย์” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ดีดนิ้วเสียงดัง และม่านสีดำก็เลื่อนมาปิดบานกระจกด้านหลังมิดชิด
เมื่อแสงตะวันดับหายไป บนโซฟาหนังก็ปรากฏร่างของหญิงสาวหุ่นสะบึมในชุดรัดรูปสีดำขึ้นมา เธอทำท่าทางยั่วยวนให้ท่า ปรายตามองชายหนุ่มบนโต๊ะทำงานอย่างเซ็กซี่ ทว่าดูเหมือนสิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงแค่การมองด้วยหางตาเท่านั้น และท่าทางการกระทำแบบนั้นจะทำให้เธอไม่สบอารมณ์เอาเสียด้วย
“นี่...เค้าอ่อยเหยื่อให้ท่าขนาดนี้แล้วยังไม่สนอีกเหรอ” เธอบ่นเบา ๆ ก่อนจะกลับมานั่งไขว่ห้าง ทำท่าทางออดอ้อน อีกดวงตาสีแดงเข้มจ้องไปที่ชาดอย่างแฝงความนัย
“ตกลงจะเจรจาธุรกิจกันไหม หรือต้องให้ข้าเอาวิญญาณนี่ไปขายให้ลูกค้ารายอื่นล่ะท่านยมทูต” ชายหนุ่มเอนตัวพิงพนักอย่างผ่อนคลาย จ้องมองไปยังดวงไฟสีเขียวที่ผุดขึ้นมาเหนือมือของเขา ส่งผลให้หญิงสาวเนื้อนมไข่ในห้องส่งเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ
เธอรวบเส้นผมดำยาวเป็นลอนไปด้านหลัง เผยให้เห็นรอยสักรูปดวงไฟสีแดงที่ต้นคอที่เรืองแสงวาบ ๆ ออกมาไม่หยุด...สัญลักษณ์แห่งนรกกำลังเร่งเตือนให้เธอรีบเจรจา ‘ธุรกิจ’ กับคนตรงหน้าให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด พลัน ชุดหนังที่สวมอยู่ก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นชุดราตรีเกาะอกยาวสีดำเป็นมันวาว ชายของชุดลากพื้นไปมาดูพลิ้วไหวดั่งมีชีวิต ผ้าแพรผืนหนึ่งวางพาดบ่าทั้งสองปล่อยชายทิ้งลงมาด้านหน้า บนใบหน้าของเธอสวมหน้ากากสีดำปิดซีกซ้ายของใบหน้าไปจนมิด เหลือเพียงดวงตาสีแดงก่ำที่มองเห็นจากบนหน้ากากนั้นเพียงสิ่งเดียว...
...อาภรณ์นรกแห่งยมทูต...
“ข้าขอสองพันสำหรับวิญญาณดวงนี้ กับมัดจำอีกห้าหมื่นสำหรับงานต่อไป” หากเป็นคนธรรมดาได้เห็นชุดอาภรณ์ยมทูตคงช็อกตายกันไปแล้ว แต่ชาดกลับเป็นฝ่ายออกปากต่อรองเสียก่อน
“ห้าหมื่นเค้ารับได้สำหรับงานต่อไป แต่กับวิญญาณดวงนี้ พันเดียวก็แพงไปแล้วจ๊ะ”
“แต่เหมือนลูกค้าที่รออยู่ด้านนอกพร้อมจะให้ข้าสองพันห้าร้อย ข้ายอมขายให้ท่านในราคาสองพันก็ถูกแล้วนะท่านยมทูต จะขูดรีดกันไปไหน” พูดไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังหันมอนิเตอร์ให้ได้เห็น ‘ลูกค้า’ รายที่ว่า
“ก็ได้ ๆ สองพันก็สองพัน เค้ายอมแล้ว ๆ”
“เดี๋ยว!”
เสียงตวาดดังขึ้นมาพร้อมกับสายลมหอบหนึ่งที่หมุนขึ้นมาจนปรากฏเป็นรูปร่างขนาดเล็ก สูงเพียงอกของชาด ใบหน้านั้นบูดบึ้ง เส้นผมสีทองตรงยาวรับใบหน้านวลรูปไข่ ดวงตาสีฟ้าสดใสกลับขุ่นมัวตามอารมณ์ของเจ้าของ รูปร่างของเธอไม่ต่างจากเด็กสาวเพิ่งโต อีกทั้งชุดที่สวมอยู่ก็เป็นชุดเสื้อนอนตัวใหญ่สีขาว คอกว้างจนเกือบเห็นไหล่ แถมยังยาวลากพื้น ไม่ว่าจะมองมุมไหนเด็กคนนี้ก็ไม่ต่างไปจากเด็กสาวธรรมดาที่กำลังโมโหที่ถูกปลุกให้ตื่นเลยสักนิด...
“สวัสดีจ๊ะยายเตี้ย” น้ำเสียงหวาน แต่คำพูดบาดหูคนฟังที่ดูจะอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว
“ว่าไง ยายแม่วัว” อีกฝ่ายตอบกลับโดยไม่หันไปมองหน้าคนพูดด้วยซ้ำ เธอยังคงจ้องไปที่ชาดเขม็ง “วิญญาณนั่นข้าให้สามพัน”
“ไม่คิดว่าท่านเทวทูตจะสนใจวิญญาณหมอนี่ด้วยแหะ” ชาดเหยียดยิ้ม ดูเหมือนธุรกิจของเขากำลังจะไปได้สวย “ว่าไงล่ะท่านยมทูต สนใจจะแข่งราคาด้วยไหม”
“ไม่ล่ะ ถ้าเค้าเพิ่มราคาสภานรกได้ด่าเค้าแน่ ให้ยายเตี้ยนี่ไปเถอะจ๊ะ” แล้วยมทูตสาวก็สะบัดผ้าคลุมอาภรณ์นรก หายตัวไปจากที่ตรงนั้น
“แล้วค่ามัดจำจะเก็บยังไงล่ะเนี่ย” ชาดเลิกคิ้ว ดวงไฟวิญญาณในมือสลายไปแล้ว พร้อมกับเหรียญสีขาวหม่นลายหัวกะโหลกขนาดเล็กจะปรากฏขึ้นในมือ เขาวางมันลงบนโต๊ะทำงานอย่างเบามือ ก่อนใช้ปลายนิ้วดันไปด้านหน้า ซึ่งเทวทูตร่างเล็กได้มายืนรออยู่ตรงนั้นแล้ว และทำท่าจะคว้าเหรียญนั้นทันทีที่เห็น
“ไหนล่ะ สามพัน” ชาดดึงเหรียญนั้นกลับ พร้อมทั้งแบมืออีกข้างออกมาด้านหน้า
เทวทูตตัวน้อยส่งเสียงลอดไรฟันออกมาอย่างไม่พอใจ ก่อนใช้เรียวแขนเล็กล้วงลงไปในคอเสื้อกว้าง ลูบคลำอยู่แถว ๆ หน้าอกแบนราบของตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะดึงมือออกมาพร้อมกับเส้นแสงสีขาวเหลืองที่ตามมาด้วย และทันทีที่เธอใช้มืออีกข้างตัดมันออก เส้นแสงนั้นก็ดีดตัวไปรวมอยู่ที่มือของเธอ กลายเป็นวัตถุแสงทรงกลมเล็ก
“สัญญาเทวา สามพันโซล”
สิ้นเสียงบอลแสงทรงกลมนั้นก็แปรสภาพกลายเป็นแผ่นกระดาษสีขาว จารึกด้วยตัวอักษรสีทองสวยงาม บนนั้นเขียนตัวเลขราคาสินค้าเอาไว้อย่างชัดเจน ทำให้ชาดยิ้มได้อย่างพึงพอใจ แต่อีกฝ่ายยังคงทำหน้าตาบอกบุญไม่รับอยู่ดี
แล้วการแลกเปลี่ยนระหว่างสองฝ่ายก็เกิดขึ้น เหรียญสีขาว กับกระดาษจารึกสีทอง ซึ่งพอทั้งคู่ได้รับสิ่งที่ตนต้องการแล้ว ก็คงไม่มีอะไรที่จะต้องพูดจากันอีก ชาดเอนหลังพิงพนัก แล้วหันหลังให้เทวทูตสาวทันที ส่วนอีกฝ่ายนั้น ทำเพียงจ้องมองคนตรงหน้าอย่างนึกฉงนสงสัย แต่ก็ยอมสลายตนกลับเป็นสายลมพัดจากไป
“แล้วพวกท่านจะได้รู้ ทำไมถึงต้องมีข้าอยู่บนโลกใบนี้”
ชายหนุ่มหลับตาลง พร้อมกับม่านสีดำที่เปิดออกให้เห็นบรรยากาศของกรุงเทพฯ ในยามราตรี แสดงให้เห็นว่า การสนทนาเพียงไม่กี่ประโยคเมื่อครู่นี้ กินเวลาไปกว่าครึ่งวัน...
...โดยที่ไม่มีใครในบริษัทล่วงล้ำเข้ามาในห้องทำงานแห่งนี้เลยสักคนเดียว...
---***---***---***---***---***---***---***---***---
แล้วก็มาถึงวันตามสัญญาขนส่ง ผลงานศิลปะชิ้นเอก ถูกทำปลอมขึ้นมาอีกห้าชิ้น ทั้งหกถูกใส่กรอบแบบเดียวกัน บรรจงวางลงบนกล่องสำหรับขนส่งซึ่งรองด้วยแผ่นกันกระแทกที่พื้นกล่อง และขอบทั้งสี่ด้าน วางแผ่นกันกระทกอีกชั้นด้านบนสุด แล้วปิดฝากล่อง บรรจุลงบนกล่องไม้ที่บุกันกระแทกทุกด้านอีกชั้น แล้วนำขึ้นรถขนส่งทั้งหกคัน ซึ่งจะขนส่งผ่านไปยังจุดหมายคนละเส้นทาง นี่เป็นวิธีป้องกันการถูกดักปล้น เพราะผู้ที่รู้ว่าผลงานชิ้นไหนเป็นชิ้นจริงนั้น มีเพียงผู้บริหารของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเท่านั้น
ชาดไม่ได้เดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่เป็นต้นทาง หรือแม้แต่ปลายทาง เขายังนั่งอยู่ในห้องทำงานบนอาคารสูงของบริษัท สำหรับการขนส่ง ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องลงสนามด้วยตัวเองสักนิด...
นักธุรกิจหนุ่มในชุดสีดำตัวเดิมพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบเดิมทิ้งตัวเอนหลังพิงพนักอย่างผ่อนคลาย มือหนึ่งหยิบเอาซองบุหรี่ออกมาจากลิ้นชัก ก่อนจะจุดสูบ... แต่ที่น่าแปลกเห็นจะเพราะบุหรี่นั้นไม่มีกลิ่นและควันแม้จะถูกเผาไหม้ไปกว่าครึ่งตัวในเวลาไม่กี่นาที เมื่อเขายกมันออกจากปาก ก็ไม่ได้พ่นควันออกมาเหมือนที่ควรจะเป็น ที่สำคัญ ส่วนใดที่ไหม้หมดไปก็ไม่เหลือแม้แต่เศษขี้เถ้า
...น่าเบื่อ...
เขาบอกตัวเอง งานจากนรกครั้งนี้เป็นการรอคอยที่แสนน่าเบื่อ โทรศัพท์บนโต๊ะทำงานยังไม่ดังเลยสักครั้ง ทั้งที่ตามที่เขาคาดการณ์ไว้... อีกฝ่ายน่าจะลงมือได้แล้ว...
ดวงตาภายใต้หมวกและเส้นผมที่ปรกตาปราดมองไปยังจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะที่ปิดอยู่ ทำให้มันเปิดขึ้นมาเองได้อย่างน่าประหลาด ทว่าบนหน้าจอนั้นกลับไม่ได้เป็นสภาพของความเป็นคอมพิวเตอร์อย่างที่มนุษย์ปรกติธรรมดาทั่วไปใช้ หากแต่ถูกตัดเป็นหน้าจอเล็ก ๆ หลายจอ ภายในนั้นมีใบหน้าของคนคุ้นเคยอยู่สองสามคน สองในนั้นคือสองสาวยมทูตและเทวทูต ส่วนอีกหนึ่งคือ ‘ริช’ ลูกน้องคนสนิทที่ตอนนี้ยังอยู่ที่บ้านพักของเขา
“ริช สภาพทั่วไปเป็นไงบ้าง” ชาดเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเข้มเหมือนทุกครั้ง พลันหน้าจอของริชบนหน้าจอก็ขยายขึ้นมาเป็นจอใหญ่
“ทั้งหกเส้นทางยังไม่มีร่องรอยของ ‘สินค้า’ ขอรับ”
“แล้วมีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นบ้างไหม”
“จะว่ามีก็มีขอรับ” คำตอบนั้นทำให้ชาดเลิกคิ้ว เพราะนาน ๆ ครั้ง เขาถึงจะเห็นริชเป็นแบบนี้
“คนของเราที่นายท่านส่งไปในรถสินค้าทุกคัน มีอาการผิดปกตินิดหน่อยครับ เหมือนเหม่อลอยไปสองสามวินาทีแล้วกลับมาเป็นแบบเดิม”
“ขอบใจมากริช ที่เหลือฉันจัดการเอง”
“ไม่เป็นไรขอรับ”
แล้วหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ดับวูบลงอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงประกายตาของชาดที่จ้องหน้าจอนั้นที่สะท้อนกลับมา ก่อนที่เงาของเขาบนจอนั้นจะค่อย ๆ จางหายไป...
...เขาได้กลิ่น ‘สินค้า’ ครั้งนี้แล้ว...
ความคิดเห็น