ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF]Short Fic -Yaoi- หลายแนว~

    ลำดับตอนที่ #2 : [Romantic Fantacy][TempCin]Recondite Bard กวีเถื่อน -รันทด แฮปปี้เอนดิ้ง-

    • อัปเดตล่าสุด 30 มี.ค. 52


    ย้ายจากเรื่องสั้นมาแปะไว้ตรงนี้

    แล้วจะลบอันเก่า

    อิอิ



    Title: Recondite Bard กวีเถื่อน
    Pairing: Temp )( Cin
    Type: Poety Inspire
    Author: Deirc
     
    แคร๊ง
     
    เสียงโลหะวาววับกระทบพื้นถนนเมืองผู้ดี กลิ้งตามทางลาดมุ่งไปในตรอกคับแคบมืดสนิท ดวงตาสีเข้มตามแบบตะวันออกภายใต้กรอบแว่นล้ำสมัยจ้องมองตามแสงสะท้อนวิบวับด้วยความสนใจ
     
    ตามปกติชเวซึงฮยอนหนุ่มเอเชียเชื้อสายขุนนางคนนี้ คงไม่สนใจกับเหรียญด้อยค่าที่ทำตกด้วยความบังเอิญ หากแต่การที่เหรียญหนึ่งเซนต์นี้กลิ้งไปในตรอกเงียบงันนั้นไม่ใช่ความบังเอิญ
     
    ความมืดมิด และสงัดเงียบ ของตรอกแคบๆนี้กำลังเชิญชวนให้ร่างสูงตัดสินใจเดินเข้าไป
     
    สนิกเกอร์สีแสบบัดนี้ได้โดนความมืดมิดกลืนกินจนไม่สามารถมองเห็น น่าแปลกใจที่มีสถานที่ซึ่งมืดมิดเพียงนี้แม้ในยามกลางวัน
     
    ตามธรรมชาติความมืดสนิทเช่นนี้มักสร้างความกลัวแกผู้ย่างกรายเข้าไป แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับร่างสูงกลับแตกต่างไปจากธรรมชาติ...... ความรู้สึกโหยหา
     
    มือหนาล้วงกระเป๋ากางเกงคว้าโทรศัพท์มือถืออาศัยแสงจากหน้าจอส่องบริเวณโดยรอบ กำแพงทั้งสองด้านเป็นอิฐของตึกทั้งสองที่ตั้งขนาบข้าง และเมื่อมองตรงไปก็พบว่าอีกไม่เกินห้าก้าวก็ถึงทางตัน
     
    สองขาตัดสินใจเดินเข้าจนสุดแล้วสำรวจบริเวณกำแพงซึ่งกั้นอยู่เบื้องหน้า แล้วตาคมก็หยุดที่ข้อความบางอย่างบนแผ่นศิลา มือหนายกโทรศัพท์ขึ้นพยายามอ่านอักษรเหล่านั้น แต่ด้วยเถาวัลย์และวัชพืชบนกำแพงจึงทำให้ไม่สามารถอ่านได้ถนัดนัก
     
    ซึงฮยอนตัดสินใจใช้มือกำจัดบรรดาวัชพืชและเถาวัลย์ออกไปจากบริเวณตัวอักษร และแม้จะกำจัดสิ่งบดบังออกไปแล้วแต่ร่องรอยตัวอักษรก็เลือนลางจนไม่อาจเข้าใจได้
     
    นิ้วเรียวยกขึ้นสัมผัสร่องรอยเลือนลางอย่างไม่รู้ตัว
     
    ทันใดนั้นตาคมก็เบิกกว้าง สัมผัสรอบข้างถูกตัดออกจากโสตประสาท แล้วภาพความทรงจำที่ไม่เคยเห็นก็เข้ามาแทนที่
     
     
    "ท่านพ่อ หลังเก็บของเสร็จแล้ว ผมขอไปสำรวจบริเวณรอบๆปราสาทนะครับ" ภาษาบ้านเกิดของหนุ่มน้อยแดนตะวันออกไม่เป็นที่เข้าใจของบรรดาผู้รับใช้
     
    "ไปสิ แต่กลับมาให้ทันมื้อเย็นนะลูก" คนเป็นพ่อเอ่ยอนุญาติก่อนหันไปอธิบายให้สหายเจ้าบ้านและบรรดาผู้รับใช้เข้าใจเป็นภาษาท้องถิ่นนี้ เด็กหนุ่มจึงโค้งให้บิดาและสหายก่อนปลีกตัวออกไป
     
    สภาพอากาศในฝรั่งเศสขณะนี้แตกต่างจากเกาหลีไม่มาก เพราะยังไม่ถึงฤดูหนาว เด็กหนุ่มจึงสามารถเดินออกนอกบริเวณชาโต้ได้โดยอาศัพเสื้อคลุมเพียงตัวเดียว
     
    "แจมุล ออกไปเดินเล่นกัน" เสียงเข้มกระซิบแผ่วเบาผ่านสายลมไปยังผู้รับศาสน์
     
    เพียงเสี้ยววินาทีสุนัขป่าสีดำขลับก็กระโจนลงหมอบแทบเท้าผู้เป็นนาย ร่างกายใหญ่โต นัยย์ตาสีแดงประกายรวมทั้งความเร็วในการปรากฎตัวเป็นเครื่องชี้ชัดว่านี่ไม่ใช่สุนัขป่าธรรมดา
     
    เมื่อสหายตัวโตมาแล้วเด็กหนุ่มจึงดำเนินการสำรวจ จุดแรกเริ่มจากสวนหลังชาโต้ไปจนถึงโรงม้า บรรยากาศโดยรอบดู้เป็นปกติไร้สิ่งผิดสังเกตจนผิดสังเกต
     
    "คนที่นี่เค้าเก็บจิตสังหารกับกลิ่นคาวเลือดกันยังไงนะ ถึงไม่หลุดมาซักนิด เก่งเนอะว่ามั้ย" ว่าพลางหันถามเพื่อนตัวขนที่เดินอยู่ข้างกาย
     
    สองสหายสำรวจจนทั่วด้วยเวลาอันรวดเร็ว หลังเอ่ยลาบรรดาม้าตาแดงก่ำในโรงม้ามืดสนิทเสร็จเรียบร้อย เด็กหนุ่มจึงเริ่มออกไปนอกอาณาเขตชาโต้
     
    ชนบทไม่ว่าจะประเทศไหนบรรยากาศก็ไม่ต่างกัน ท้องทุ่งเขียวขจี สายลมเอื่อยๆ พัดกลิ่นพืชพันธุ์มาแตะจมูก ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดได้เสมอ
     
    ขณะหลับตาปล่อยให้ประสาทหูได้สัมผัสเสียงธรรมชาติ เสียงฝีเท้าเบาแผ่วของสหายตัวขนก็เริ่มไกลออกไป เมื่อลืมตาอีกครั้งเพื่อนตัวโตก็ลับตาไปเสียแล้ว
     
    กลิ่นหญ้าชื้นลอยล่องแปลเปลี่ยนสอดแทรกด้วยสัมผัสหอมหวานชวนหลงไหล................. กลิ่นของมนุษย์
     
    เด็กหนุ่มเข้าใจในทันทีว่าสัตว์เลี้ยงของตนกำลังจะทำอะไร และหากหยุดไม่ทัน จะต้องมีผู้เคราะห์ร้ายอย่างแน่นอน
     
    สองเท้ายันพื้นดินอย่างแรงกายทะยานสู้เบื้องหน้าด้วยความเร็วเกินกว่าสิ่งมีชีวิตปกติจะสามารถทำได้ ชั่วอึดใจสองขาก็พาร่างสูงมาถึงที่เกิดเหตุ
     
    "มีมารยาทหน่อยสิ" การใช้เสียงเรียบๆสั่งการสัตว์ใหญ่ที่กำลังจะคร่าชีวิตคนไม่ใช่เรื่องที่คนปกติจะทำ แต่ชเวซึงฮยอนก็ทำมันเป็นปกติอย่างไม่น่าเชื่อ
     
    แจมุลตัวน้อยที่กำลังคร่อมเตรียมขย้ำคอมนุษย์ตัวบางท่าทางหน้ากินหันมาสบตานายอย่างไม่ชอบใจนักก่อนจะกระโดดกลับ ไปอยู่ในที่ๆควรตามเดิม
     
    แม้แจมุลจะกลับออกมาแล้วแต่คนตัวบางกลับนอนนิ่งสายตาแข็งกร้าวมองตรงขึ้นไปบนแผ่นฟ้าอย่างไร้จุดจบ
     
    "เธอ ไม่เป็นไรนะ" ใช้สำเนียงภาษาฝรั่งเศสแปร่งๆเช็คว่าคนที่นอนอยู่ไม่ได้ช็อคตายคาที่ไปเสียก่อน
     
    "นายจะเข้ามาขวางทำไม" คนนอนนิ่งย้อนถามด้วยภาษาเกาหลีอันคุ้นหู
    "เธอมาจากเกาหลีหรอ"
    "ฉันถามนายอยู่" ร่างผอมบางลุกขึ้นนั่งโดยมีแผ่นศิลาเย็บเฉียบเป็นหลักพิง
    "ฉันต้องหยุดมันเพราะถ้ามันขย้ำเธอเข้าไปคนที่จะลำบากก็คือฉัน"
    "นั่นสินะ ขนาดจะตายยังเป็นภาระชาวบ้านเขาอีก แต่เดี๋ยวก่อน นายพูดผิดนะ เธอมันเป็นสรรพนามเรียกผู้หญิงไม่ใช่หรือไง" ตาเหม่อลอยเริ่มเสมองอีกฝ่าย
     
    ใบหน้าขาวใสดวงตากลม นัยย์ตาสีดำสนิท ประกอบกับจมูกโด่งเป็นสันไหนจะกลีบปากอิ่มสีแดงสดนั่นอีก นี่มันผู้หญิงชัดๆ
     
    "เธอจะบอกว่าเธอเป็นผู้ชายงั้นหรอ" คนตัวโตที่ตกอยู่ในสภาวะมึนงงกับคนหน้าหวานตรงหน้าตั้งคำถามอีกทีเพื่อความแน่ใจ
    "ชิ พึ่งจะเห็นอมนุษย์โง่ๆก็มีนายตัวแรกเนี่ยแหละ แค่หญิงชายยังแยกไม่ออก" ปากแดงเหยียดยิ้มประชดประชัน ร่างบางมักจะไม่พอใจเวลามีใครเข้าใจผิดว่าเขาเป็นผู้หญิง
     
    "นายรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็น......" คนที่ถูกเรียกด้วยสรรพนามไม่ใช่คนถามทันควัน ปกติมนุษย์จะไม่สามารถรู้ถึงความแตกต่างพันธุกรรมด้วยตาเปล่าไม่ใช่หรือไง
    "เอาเป็นว่ารู้ละกัน แล้วก็ไอ่ตัวตาแดงนั่นก็ด้วย ฉันอุส่าห์มานั่งรอให้มันขย้ำ นายดันมาขวางซะอีก" บ่นด้วยน้ำเสียงเพลียใจ
     
    "นายกำลังอยากตายหรอ" นั่งสูงทรุดลงนั่งข้างๆคนตัวเล็กที่ขณะนี้พยายามเขยิบออกห่าง
    "ขุนนางเกาหลีเดี๋ยวมารยาททรามขนาดนี้เชียวหรอ นายถามคำถามอย่างนี้ก็คนที่ไม่รู้กระทั่งชื่อเนี่ยนะ" แม้จะเป็นคำตำหนิแต่เนื้อเสียงนั้นกลับอ่อนแรง
    "โอเค งั้นนายชื่ออะไร"
    "กล้าถามฉันก็กล้าตอบ ฉันชื่อคิมฮีชอล"
    "งั้นนายคิมฮีชอลกำลังอย่างตายหรอ" การพูดที่ตรงไปตรงมาเกินความจำเป็นอันไม่เข้ากับหน้าโหดๆของคนตัวโตทำให้คนตัวเล็กลอบยิ้มออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย ก่อนจะตอบสิ่งที่อีกคนพยายามจะรู้ให้ได้
    "ฉันอยากตาย โอเครึยัง"
    "ทำไมล่ะ" ได้คืบจะเอาศฮก
    "เหอะ ฉันจะไม่เล่าเรื่องส่วนตัวให้คนที่ฉันไม่รู้จักกระทั่งชื่อฟังหรอกนะ แถมเป็นพวกกินคนแบบนายด้วยยิ่งไม่น่าไว้ใจเข้าไปใหญ่" ตาโตเหล่อีกคนด้วยสายตาเหยียดๆ
    "ฉันชเวซึงฮยอน เล่าสิ"
    "ความพยายามสูงจริงๆ เล่าก็ได้ ฉันอยากตายก็เพราะการมีชีวิตอยู่มันน่าเศร้าแล้วก็ทรมานไงล่ะ ฉันถูกส่งมาขายให้พวกนักธุรกิจวิปริต รู้มั้ยมันทำอะไรบ้าง" มือเรียวยกขึ้นถลกเสื้อขึ้นเผยผิวเนื้อขาวที่ถูกบดบังด้วยบาดแผลฉกรรจ์จากรอยเฆี่ยนตีและรอยแผลลวกไหม้จำนวนมาก
    "นายเก่งนะ" คนตัวโตมองบาดแผลยับเยินแล้วรู้สึกชื่นชมคนตัวเล็กอยู่ไม่น้อย บาดแผลฉกรรจ์เหล่านี้แม้แต่ผู้ล่าอย่างพวกเขายังต้องใช้ความอดทนไม่น้อย แต่มนุษย์ธรรมดาตัวเล็กแค่นี้สามารถอดทนผ่านมาได้ถือว่าเก่งทีเดียว
     
    "เก่งสิ บางคนน่ะตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวเลยนะ แถมไอ่โรคจิตนั่นมันยังฉลาด ทิ้งรอยแผลไว้เฉพาะที่ตัวเพราะถ้าแขนขามีรอยคนอื่นจะรู้"
    "นายอยากตายเพราะเรื่องนี้?"
    "ไม่อ่ะ ถ้าตายเพราะเรื่องแค่นี้เสียชาติเกิดไปหน่อยมั้ง หลังจากที่ฉันชักจะทนไอ่เจ้าคนวิปริตนั่นไม่ไหว ฉันก็หนีออกมา นายนึกออกใช่มั้ยว่าฉันไม่เข้าใจภาษาที่นี่แถมยังไม่รู้จักใครอีก หนีออกมาก็ไม่มีที่ไป พอฉันคิดว่าหนีมาไกลพอที่เจ้านั่นจะหาไม่เจอฉันก็เริ่มเร่ร่อน อดมื้อกินเมื้อจนกระทั่งมีคนๆนึงให้ฉันไปอยู่ด้วย ฉันคอยดูแลบ้านให้คนๆนั้น ได้กลับมาใช้ชีวิตมีความสุขอีกครั้ง แต่ความสุขก็อยู่ได้ไม่นาน คนพวกนั้นตามหาฉันจนเจอ แล้วรู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าของบ้านที่ให้ฉันไปอยู่เค้าช่วยฉันให้หนีมาได้ส่วนเขาก็ถูกคนพวกนั้น...... ฆ่า     เพราะฉัน" ทุกถ้อยคำชัดเจนแต่แผ่วเบาลงในตอนท้าย
    "นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่นายควรจะตายอยู่ดี นายควรจะทำให้การสละชีวิตของคนๆนั้นมีค่ามากที่สุดไม่ใช่นั่งรอตความตายแบบนี้"
    "นาย" คนตัวเล็กหันไปจ้องหน้าอีกคนอย่างอึ้งๆ
    "นายรีบกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวนายจะต้องโดนพ่อเทศน์ยาวเลยล่ะ" ร่างบางเริ่มไล่
    "นายรู้ได้ไง" เลิกคิ้วอย่างแปลกใจพลางหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูเวลา
    "เพราะฉันเห็นอนาคตไง นั่นล่ะเหตุผลว่าทำไมฉันถึงรู้ว่านายเป็นพวกดูดเลือด แล้วก็รู้ว่าเจ้าตัวตาแดงของนายจะมาขย้ำฉัน" ปากแดงคลี่ยิ้มกับความสามารถของตัวเอง
    "งั้นนายรู้มั้ยว่ามั้งรูปทั้งกลิ่นนายมันชวนกันขนาดไหน" คำพูดล้อเล่นทำเอาคนตัวเล็กหุบยิ้มแทบจะทันทีที่ได้ยิน
     
     
    ภาพเรื่องราวแปลกๆที่แล่นมาในหัวขาดตอนลง ความทรงจำเหล่านี้ทำให้ความรู้สึกหลากหลายเกิดขึ้นในใจ แล้วเรื่องราวก็ปรากฎขึ้นอีกครั้ง
     
     
    ก๊อก ก๊อก ก๊อก
     
    เสียงเคาะประตูกวนใจคนที่กำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารอยู่ไม่น้อย คนตัวเล็กจึงรีบเดินไปเปิดประตูหวังให้เสียงกวนประสาทหยุดลงเสียที
     
    "นี่นายกะจะมาทุกวันเลยใช่มั้ย" เสียงแหลมแว๊ดใส่หน้าคนที่มาเคาะประตูกินฟรีเวลาเดิมทุกวันติดต่อกันมาสามอาทิตย์แล้ว
    "ถ้าไม่มาอาหารที่นายเตรียมไว้ก็เหลือสิ" คนตัวโตก้มหัวให้พ้นคานประตูแล้วก้าวเข้ามาในบ้านเล็กๆแล้วนั่ง
    ลงรออย่างเคยชิน
    "ซึงฮยอนนายรู้มั้ยว่าขนาดตัวนายกำลังทำให้บ้านฉันมันเล็กลง" คนที่พึ่งเดินถือจานอาหารสองจานออกมาบ่นไม่หยุดปาก
    "แต่ฉันเป็นคนสร้างบ้านหลังนี้ไม่ใช่หรอ" คนตัวโตเลิกคิ้วถาม
    "โอเคฉันยอมแพ้"
     
     
    คนตัวโตยิ้มบางๆแล้วลงมือจัดการอาหารตรงหน้าอย่างมีความสุข ขณะเดียวกันคนที่ได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวอยู่ก็ยิ้มตาม แล้วเรื่องราวก็ตัดไปยังอีกเหตุการณ์
     
     
    "ผู้หญิงคนนั้นแฟนนายหรอ" เสียงหวานถามคนที่กำลังพยายามปลอกผลไม้ด้วยความพยายามอย่างสูงเพื่อจะไม่ให้โดนมือ
    "อ๋อ คนที่มาเดินเล่นกับฉันวันนั้นน่ะนะ นายเห็นด้วยสินะ เธอเป็นลูกสาวเจ้าของชาโต้ที่ฉันกับพ่อมาอยู่ระหว่างรอสร้างชาโต้ของพวกเราน่ะ"
    "ทำไมนายถึงย้ายมาอยู่ฝรั่งเศสล่ะ" คนสวยเอียงคอถามด้วยสายตาเหม่อลอย
     
    มือหนาวางมีดลงเช็ดมือแล้วเอนหลังลงกับพนักเก้าอี้ตั้งท่าเตรียมเล่าเรื่องทั้งหมด
     
    "ก่อนที่แม่จะตาย แม่เคยบอกพ่อว่าอยากจะกลับไปอยู่ฝรั่งเศส คือแม่ฉันเกิดที่นี่น่ะ แต่ช่วงก่อนที่แม่จะป่วยที่เกาหลีเกิดการจราจลทำให้เรามีเรื่องวุ่นวายในบ้านไม่มีเวลาจะมาพาแม่มาที่นี่ กว่าเรื่องวุ่นวายจะสงบลงแม่ก้จากฉันกับพ่อไปแล้ว พ่อเลยตั้งใจจะย้ายมาอยู่ที่นี่เพื่อทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่"
    "พ่อนายนี่สุดยอดไปเลยนะ" แม้ปากจะขานรับแต่แท้จริงแล้วในหัวของคนตัวเล็กกลับเต็มไปด้วยเรื่องของซึงฮยอนกับผู้หญิงคนนั้น
     
     
    อีกครั้งที่เรื่องราวสะดุดและรอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของเด็กแนวที่กำลังยืนในในตรอกมืดมิด คิมฮีชอลในอดีตกำลังเริ่มตกหลุมรักชเวซึงฮยอนสินะ
     
     
    "ฉันต้องเข้าเมืองซักพักนายอยู่ได้นะ ฉันจะให้แจมุลอยู่เป็นเพื่อนนายที่นี่" ร่างสูงบอกคนที่กำลังนอนซบไหล่
    "ซักพักนี่มันนานแค่ไหนหรอ" คนตัวเล็กลืมตาขึ้นเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา แม้แววตาเต็มไปด้วยคำถามมากมายแต่ก็ไม่ได้หลุดออกมาจากปาก
    "นายมองไม่เห็นหรอว่าอะไรจะเกิดขึ้น" คนสวยส่ายหน้าเบาๆ
     
    "เรื่องราวที่กินเวลานานน่ะฉันมองไม่เห็นหรอก" น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวั่นใจ
    "ฉันไม่รู้ว่ามันนานแค่ไหน แต่ฉันจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด เชื่อฉันนะ" มือหนากุมมือเล็กขึ้นบีบเบาๆเพื่อลดความกังวลใจให้คนตัวเล็ก
    "อืม รักษาตัวดีๆนะ" น้ำเสียงหนักแน่นแต่ทว่าความกังวลใจไม่ได้ลดน้อยลงเลย
    "นายไม่ต้องกังวงหรอก ฉันไม่ได้ไปทำอะไรซักหน่อยแค่เข้าเมืองไปกับพ่อเอง ฉันจะคอยส่งจดหมายมานะ"
    "กังวลสิ เพราะสำหรับฉัน..... ความสุขมักจะอยู่ได้ไม่นาน" ตาโตเริ่มคลอด้วยน้ำใส ทันทีที่กระพริบตาหยาดน้ำนั้นก็ไหลลงอาบแก้ม
     
    กลีบปากสีสดถูกประกบด้วยริมปากอบอุ่นของซึงฮยอน ร่างสูงขบเม้มเบาๆที่กลีบปากล่างไล้เลียไปทั่ว พยายามทำให้คนตัวเล็กเผยอปากขึ้นเพื่อสอดลิ้นอุ่นเข้าสำรวจโพรงปากร้อนโดยมีลิ้นเรียวคอยตอบสนองอย่างเขินอาย จูบแสนหวานดำเนินไปเนิ่นนานกระทั่งคนตัวเล็กหมดอากาศในปอดจนต้องบีบไหล่กว้างแรงๆ
     
    ร่างสูงผละออกด้วยความเสียดาย แต่รอยยิ้มของคนตัวเล็กที่ปรากฎขึ้นก็ทำให้หัวใจกลับมาโลดเต้นอย่างมีความสุขอีกครั้ง แม้ว่าการพยายามอดกลั้นไม่ให้คนน่ารักตรงหน้ากลายเป็นมื้อเที่ยงจะลำบากหน่อยก็เถอะ
     
     
    คิ้วเข้มขมวดชนกัน ทุกเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดเข้ามาในสมองมีผลต่อจิตใจและความรู้สึกของเขา หรือเพราะชเวซึงฮยอนนั้นจะคือตัวเขาในครั้งอดีตกาล
     
     
    ปัง! ปัง! ปัง!
     
    ร่างสูงทุบประตูอย่างเร่งร้อนโดยหารู้ไม่ว่าภายในบ้านไม่มีใครอยู่แม้สักคน
     
    ร่างบางเดินมาหยุดที่หน้าชาโต้ของร่างสูง ทันทีที่บรรดาผู้เฝ้ายามรู้ว่าผู้มาเยือนคือบุคคลที่นายกำลังสั่งให้ตามไล่ล่า ก็รีบเข้าจับกุมแล้วส่งตัวไปยังนายใหญ่หวังจะได้รับรางวัล
     
    พลั่ก
     
    ร่างเล็กถูกผลักกระแทกลงกับพื้นต่อหน้าชายสูงวัยที่กำลังมองมาด้วยสายตาหยามเหยียด
     
    "ถูกแล้วที่เจ้ายอมมามอบตัวกับข้า โทษหนักจะได้เป็นเบา" เสียงทุ้มอ่อนโยนช่างแตกต่างกับพฤติกรรมโหดร้ายนัก
    "ฉันยอมมาที่นี่ก็เพื่อซึงฮยอน ไม่ใช่เพื่อตัวเอง ที่สำคัญฉันไม่ได้ทำอะไรผิด" แม้ร่างกายจะไร้เรี่ยวแรงแต่ทุกคำพูดกลับหนักแน่น จนคนฟังหระตุกยิ้มมุมปาก
    "นั่นสิ เธอก็รู้ตัวดีนี่ ว่าตัวเองเป็นคนนำความเดือดร้อนมาให้ซึงฮยอน ดูซิหน้าตาดี แต่เสียดายโชคไม่ดี" ว่าแล้วก็ดีดนิ้วเรียกบรรดาลูกสมุนให้มาพาตัวเด็กหนุ่มผู้โชคร้ายออกไป
     
     
    เรื่องราวที่กำลังเข้มข้นสะดุดลงอีกครั้ง ในใจของเด็กหนุ่มร้อนรนไม่ต่างจากร่างสูงในภาพควาทรงจำ แล้วเรื่องราวก็ดำเนินต่อไป
     
     
    "ปล่อย! ฉันสั่งให้ปล่อย!! อ๊ากกกซ์ ปล่อยเซ่!!!" ร่างสูงที่ร่างกายบอบช้ำจากการต่อสู้และไล่ล่า ถูกบรรดาทหารของผู้เป็นบิดาตรึงตัวไว้ไม่ให้ไปไหน แม้พยายามขนาดไหนก็ไม่สามารถหลุดจากการพันธนาการได้
     
    ดวงตาสีดำแปลเปลี่ยนเป็นสีแดงตามอารมณ์ที่พุ่งพล่าน ไม่นานผู้เป็นพ่อก็ปรากฎตัวต่อหน้าลูกชาย
     
    "ทำไมพ่อต้องตามล่าฮีชอลด้วย!!" เสียงแข็งตะโกนกึกก้องราวเสียงคำราม
    "เพราะหนุ่มน้อยคนนั้นกำลังทำให้ลูกชายคนเดียวของพ่อเสียคน ตั้งแต่ลูกเจอกับเด็กคนนั้นลูกก็เริ่มห่างจากคนในบ้านและบรรดาคนในสังคมของเรา ซึ่งมันมีผลกับตัวลูกโดยตรง แล้วเด็กคนนั้นก็ทำให้ลูกหัวแข็ง เหมือนอย่างนี้ไง พ่อล่ะอยากรู้ว่าเด็กคนนั้นมีอะไรที่ทำให้ลูกหลงผิดไปได้ขนาดนี้ ผู้หญิงก็ไม่ใช่!! ที่สำคัญลูกฆ่าพวกของเราเพียงเพื่อจะช่วยมนุษย์ไร้ค่านั่นคนเดียว!! คิดซะว่าพ่อไม่มีทางเลือกแล้วกัน ลูกจะถูกกักบริเวณในนี้จนสำนึกได้เมื่อไหร่พ่อก็จะปล่อยลูก" ชายสูงวัยไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้ลูกชายของตนได้เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว แล้วจากไปอย่างไม่ใยดี
     
    คนฟังได้แต่แสยะยิ้ม ข้อมือทั้งสองถูกพันธนาการด้วยโซ่แหล็กและถูกตอกเข้ากับกำแพงอิฐ การขยับเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ความเจ็บปวดแล่นไปทั้งกายประกอบกับลมหนาวที่เริ่มมาเยือนยิ่งทำให้เจ็บไปถึงจิตใจ
     
     
    ซึงฮยอนหันหลังพิงกำแพง เลิกแว่นขึ้น ยกมือถือขึ้นส่องรอยแผลบนมือที่มีติดตัวมาแต่กำเนิดคำถามที่เคยสงสัยว่ามันมาจากไหนก็ได้รับคำตอบ แต่ทำไมชเวซึงฮยอนกับคิมฮีชอลถึงได้น่าสงสารนักนะ
     
     
    "นี่ นายรู้รึเปล่าว่าเด็กผู้ชายที่ถูกจับน่ะหัวหน้าได้รับคำสั่งให้ฆ่าทิ้งด้วยล่ะ เห็นว่าตอนนี้ตายแล้วด้วย น่ากลัวชะมัด" พวกลูกสมุนที่ทำหน้าที่เฝ้าห้องขังพูดคุยกันจนถึงหูชเวซึงฮยอนเข้าจนได้
     
    ความจริงอันโหดร้ายยากเกินกว่าจะยอมรับโดยไม่หลั่งน้ำตา หยดน้ำใสไหลรินออกจากตาคมเป็นเวลาเนิ่นนาน ไร้เสียงสะอึกสะอื้นมีเพียงความเจ็บแค้นที่ก่อขึ้นในใจ
     
    ฉันจะไม่ทำให้การสละชีวิตของนายไร้ค่า จากนี้ไปชีวิตของฉันคือการอยู่เพื่อนาย
     
     
    น้ำตาไหลอาบแก้มความรู้สึกหดหู่เกาะกุมไปทั้งใจ แม้จะเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ตราบใดที่ความรู้สึกทั้งหมดไม่จจางหายไปจากใจ รอยแผลก็ยังคงอยู่ ในซอยมืดมิดยากที่จะมีใครเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งผู้กำลังร่ำไห้กับอดีตที่โหดร้าย และเรื่องราวยังไม่จบเพียงแค่นั้น
     
     
    นับจากช่วงเวลาอันโหดร้ายนี่เป็นครั้งแรกที่ซึงฮยอนออกมานอกชาโต้อีกครั้ง แผลสองข้างที่มือบรรเทาลงแม้จะไม่สามารถกลับไปใช้งานได้สมบูรณ์แบบตามเดิม
     
    หิมะแรกโปรยปราย ยิ่งหนาวก็ยิ่งเหงา ความเศร้าเสียใจไม่เคยจางไปจากจิตใจ แม้จะไม่ใช่มนุษย์แต่เมื่ออยู่ในร่างของมนุษย์ทั้งอารมณ์และความคิดก็จำต้องเป็นไปตามธรรมชาติของมัน........ รวมทั้งความรู้สึกรัก
     
    ท่ามกลางลมหนาวโชยพัดเหตุการณ์คล้ายเดิมเกิดขึ้น กลิ่นอันคุ้นเคยของคนตัวบางล่องลอยมากับกระแสลม ตาคมเบิกกว้าง รีบมุ่งไปยังที่มาของสัมผัมหอมหวาน
     
    ในที่สุดก็พบสิ่งที่กำลังตามหา ช่างเป็นภาพที่น่าเศร้าร่างเพรียวบางเนื้อขาวซีดเส้นเลือดทั้งร่างแปรเป็นสีคล้ำปรากฎให้เห็นอย่างน่ากลัว ผู้มาใหม่ได้เพียงเฝ้ามองร่างไร้ลมหายใจอย่างเงียบงัน
     
    ร่างสูงคุกเข่าลงกับพื้นหิมะเย็นเฉียบแขนแกร่งประคองร่างเย็นชืดขึ้นจากกองหิมะที่เริ่มจะทับถมแล้วกอดไว้ในอ้อมแขนอย่งโหยหา น้ำตาที่หายไปเริ่มรินไหลอีกครั้งท่ามกลางความเงียบสงบของฤดูหนาว
     
    แม้ม่านน้ำตาจะทำให้ไม่สะดวกในการมองเห็น แต่ตาคมก็สังเกตเห็นผ่นกระดาษโผล่พ้นกระเป๋าเสื้อของร่างสงบนิ่ง
     
    นิ้วสั่นเท่าดึงกระดาษมาแล้วคลี่อ่าน
     
     
    ถึงคนที่กำลังอ่านไม่ว่าคุณเป็นใครกรุณาเอาจม.นี้ไปให้ ชาวซึงฮยอนด้วยเถอะนะครับ
     
    ถ้าคนที่กำลังอ่านคือซึงฮยอนฉันแค่จะบอกว่า อย่าร้องไห้ การสละชีวิตของฉันน่ะเป็นเรื่องน่าภูมิใจจะตาย
    ใช้ชีวิตให้คุ้มล่ะ ที่นายบอกฉันไง อย่าให้ฉันตายฟรีล่ะ
    จดหมายนี่ห้ามทิ้งนะ ฉันไม่มีหมึก อุส่าห์กัดนิ้วเขียนเลยนะ ฮ่าๆ ว่าแต่เจ็บชะมัด T T
    สุดท้ายฉันเคยบอกนายรึยังก็ไม่รู้
     
    ฉันรักนายนะ รักมากเท่าที่คนๆนึงจะรักใครซักคนได้
    รักแจมุลด้วยฉันขอโทษที่ทำมันตายตอนโดนจับ อย่าโกรธฉันนะ
     
    คิมฮีชอล ^ o ^
     
    "บ้าน่าคิมฮีชอล นายเขียนภาษาเกาหลีแบบนี้ขอร้องไปคนที่เค้าเก็บได้ก็อ่านไม่ออกหรอก งี่เง่าจนนาทีสุดท้ายเลยสินะ" รอยยิ้มทั้งน้ำตาเป็นอย่างไร พึ่งจะประจักษ์ก็วันนี้ล่ะ
     
    "หลับให้สบายนะ ฉันรักนาย" คำเหล่าอาจเป็นเพียงคำพูดธรรมดา แต่สำหรับคนๆนี้ เป็นการบอกลาชั่วนิรันดร์ของคนสองคน
     
    มือหนาประคองศีรษะมนขึ้นแล้วโน้มลงจุมพิตเบาๆบนกลีบปากสีคล้ำ จูบลาอันขมขืน
     
    ยามเปรยตามองไปยังบริเวณล่มไม้ก็พบแผ่นศิลาพิงอยู่กับต้นไม้สูง
     
    ร่างสูงลุกขึ้นพร้อมร่างบางในอ้อมแขน ตรงไปยังแผ่นศิลา วางร่างเย็นเฉียบให้นั่งพิงกับแผ่นศิลา เมื่อแน่ใจว่าอยู่ในท่าทีสบาย จึงถอดถุงมือออก เขี้ยวแหลมคมเจอะลงบนนิ้วเรียวจนเลือดไหลหยด
     
    นิ้วเปื้อนเลือดคว้าเอากิ่งไม้ใกล้บริเวณมาขูดแผ่นศิลาแกร่งหวังจารึกชื่อบุคคลอันเป็นที่รัก แต่กิ่งไม้เหล่านั้นก็เปราะบางเกินกว่าจะสร้างรอยบนแผ่นศิลานี้ได้ กิ่งทุกกิ่งล้วนหักออกยามออกเลยขูดกับศิลา นิ้วชุ่มเลือดจึงใช้เล็บขูดแผ่นศิลา เวลาผ่านไปยาวนานท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ ตัวอักษรปรากฎขึ้นทีละตัวโดยมีสีโลหิตแต่งแต้มให้ชัดเจนขึ้น อักษรเพียงสามที่เกิดจากความยากลำบากสื่อความหมายยืดยาวเกินกว่าผู้ใดจะรับรู้ มีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่จะเข้าใจความรู้สึกอันลึกซึ้ง
     
    สองตาจ้องมองนิ้วมือและเล็บที่กินเข้าไปในเนื้อและมือโชคเลือดที่ผ่านการทำงานหนัก กลีบปากแย้มยิ้มแม้บาดแผลจากการจารึกจะสร้างความเจ็บปวดอันหนักหน่วงให้ก็ตาม......      เพราะความรักไม่จำกัดการแสดงออก
     
    ปัง
     
    เสียงปืนปล่อยกระสุนดังไปทั่วทุ่งสงัดเงียบ
     
    เลือดสีสดเริ่มรินไหลมาจากหลังศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยผมสีดำขลับ ตาเข้มปิดลง กลีบปากกระตุกยิ้มเปี่ยมสุข ก่อนร่างสูงจะล้มลงบนพื้นสีขาวโพลน ของเหลวสีแดงเริ่มแผ่วงกว้างไปทั่วบริเวณ
     
    "ตายแล้วครับหัวหน้า" เสียงเจ้าของกระสุนตะโกนบอกนาย
    "ดูซิว่าใครกันกล้าเข้ามาในอาณาเขตหวงห้าม"
     
    เจ้าหน้าที่ดูแลเขตแดนทั้งสองรีบวิ่งไปสำรวจจุดเกิดเหตุ
     
    สองคนช่วยกันพลิกร่างผู้เสียชีวิต แล้วก็ตระหนักได้ว่าเห็นทีผู้เคราะห์ร้ายตัวจริงจะเป็นตน เพราะผู้เสียชีวิตข้อหาบุกรุกอาณาเขตหวงห้ามคือชเวซึงฮยอน ทายาทคนเดียวของขุนนางชเวผู้ปกครองที่ดินผืนนี้
     
     
    ทุกอย่างจบลงด้วยความมึนงง สรุปว่าเขาตายงั้นหรอ นั่นคือสาเหตุที่เค้าได้เกิดมาในครอบครัวเกาหลีที่อาศัยในฝรั่งเศสสินะ เรื่องราวเกินจริงที่เกิดขึ้นสร้างความสับสนให้กับซึงฮยอนไม่น้อย
     
    ซึงฮยอนยกมือถือส่องดูตัวอักษรอีกครั้งคราวนี้เขาพอจะมองออกแล้วว่าศิลาแผผ่นนี้เป็นรอยสลักว่า คิมฮีชอล เพียงคิดว่านี่คือศิลาแผ่นเดียวกับที่ตัวเองในชาติก่อนเป็นคนสลักไว้ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกบางอย่าง
     
    เมื่อเรียกสติกลับมาได้ ร่างสูงก้มลงส่องหาเศษเหรียญเจ้าปัญหาสาเหตุของเรื่องทั้งหมด เมื่อมองเห็นแสงวิบวับจึงรีบคว้าเหรียญโลหะและหันกลับมุ่งหน้าออกจากตรอกมืดมิด
     
    นาฬิกาบอกเวลาว่าเรื่องราวมากมายที่ถ่ายทอดจากกำแพงแปลกๆนั่นเป็นเวลาเพียงสิบห้านาทีเท่านั้น
     
    เมื่อเดินออกมาถึงทางเท้าริมถนนร่างสูงจึงสังเกตว่าวันนี้เป็นวันอากาศดีท้องฟ้าปลอดโปร่ง มือหนาปลดแว่นกันแดดออกเหน็บไว้กับแจ็คเก็ตสีสด เงยหน้าทักทายฟ้าสดใสพร้อมสูดหายใจเข้าเต็มปอด ถือเป็นการเริ่มต้นวันที่ดีวันหนึ่ง
     
    รอยยิ้มอ่อนๆแต่งแต้มทำให้ใบหน้าคมเข้มนี้น่าดูขึ้นไม่น้อย สองเท้าก้าวเดินไปท่ามกลางหมู่คน แหงนหน้ามองฟ้าเป็นระยะ
     
    แล้วท่ามกลางผู้คนมากมายหนึ่งในคนเหล่านั้น คนๆนึงที่ดูโดดเด่นในสายตาของซึงฮยอน ตาคมเบิกกว่าเมื่อเห็นใบหน้านั้นชัดๆ
     
    "คิมฮีชอล" เสียงอุทานกับตัวเองดังขึ้นในขณะที่คนๆนั้นกำลังเดินสวนกับเขา
     
    แม้เสียงจะแผ่วเบาแต่เจ้าของชื่อกลับได้ยินชัดเจน ขาเรียวหยุดชะงัดหันกลับมองคนแปลกหน้าที่หันมาในจังหวะเดียวกัน
     
    ตาสองคู่ประสานกัน เรื่องราวที่ถูกลืมกำลังจะเริ่มต้นใหม่ หัวใจที่ตายด้านกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ระยะห่างสองเมตรกับผู้คนมากมาย คนทั้งสองกลับเห็นเพียงกันละกันโดดเด่นในสายตา
     
    "ฮีชอล นายจะไปกับฉันมั้ย?!!" เสียงทุ้มตะโกนฝ่าเสียงรบกวนรอบข้าง
    ใบหน้าสวยหวานอันคุ้นเคยระบายยิ้มจริงใจพยักหน้าเบาๆ
     
    "อืม"
     
    ในใจกระโดดโลดเต้นด้วยความสุขเอ่อล้น
     
    ฉันจะทำให้รักครั้งนี้จะไม่มีโชคร้าย
     
    Fin




    [Shout!!]

    แปะไปไม่หวังเม้น

    รุ้ว่าคนจิ้มน้อย

    แค่อยากแปะปีใหม่

    ฮัลโลวีน+คริสมาสย้งดองอยุ่เลย อิอิ

    วันนี้ไรท์เตอร์จาอทิบายความเป้นมาของชื่อฟิค

    ซึ่งมันดูจะไม่เกี่ยวกับฟิคเลบ

    แต่ความจริงมันเกี่ยวนะ

    เนื่องจากเรียนภาษาไทยเรื่องบทดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า

    เป็น Poem ชื่อ Elegy  Written  in  a Country  Churchyard

    ที่เอามาแปลเป็นไทยแล้วเอามาปรับให้เข้ากับสภาพสังคมไทย

    แล้วในบทที่21ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำว่า กวีเถื่อน

    Their  name , their  years  by  th'  unletter 'd  Muse ,
    The  place  of  fame  and  elegy  suppy :
    And  many  a  holy  text  around  she  strews ,
    That  teach  the   rustic   moralist  to  die .

    ศพเอ๋ยศพสูง.....................เป็นเครื่องจูงจิตใจให้เสื่อมศานติ์
    จารึกคำสำนวนชวนสักการ.....................ผิดกับฐานชาวนาคนสามัญ
    ซึ่งอย่างดีก็มีกวีเถื่อน..............................จารึกชื่อปีเดือนวันดับขันธ์
    อุทิศสิ่งซึ่งสร้างตามทางธรรม์................ของผู้นั้นผู้นี้แก่ผีเอย 

    เนี่ยแหละ

    เลยเกิดอินสไปร์ชั่วขณะเป็นฟิคเพ้อเรื่องนี้

    55+
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×