ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    --HOSHI NO SHARIN-- #2

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่2

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 57


                    มันต้องเป็นสิ่งที่ผิดเพี้ยนอย่างที่สุดไปแล้วแน่ๆ เมื่อจบสิ้นการประลองนั้นแล้ว แทนที่ทุกอย่างจะดำเนินไปตามครรลองของมัน แต่สตรีในเครื่องแต่งกายสีขาวกลับทำสิ่งที่ตรงข้ามกันที่สุด เมื่อนางคว้าร่างพระราชาขึ้นม้าแล้วโจนทะยานออกมาท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคน
                    ราตรีกาลสีดำมืดโอบล้อมทั้งสองร่างที่ฝ่าประตูชั้นต่างๆ จนออกไปจากวังได้สำเร็จและมุ่งสู่ป่ากว้าง เอเรซ่ารับรู้ได้ถึงสัมผัสเย็นเยือกที่มือและวงแขน นางรู้ดีว่านั่นคือเลือดที่รินไหลไม่หยุด เช่นเดียวกับน้ำตาของนางที่ไม่อาจควบคุมให้สงบอย่างที่สมควรจะเป็น
                    เจ้าม้าสีขาวกระโดดข้ามหุบเหวกว้างอย่างที่ม้าตัวอื่นทำไม่ได้ และด้วยความแสนรู้ของมัน ทำให้ตอนนี้นางพาพระราชามายังถ้ำใต้เหว ที่ถูกโอบล้อมด้วยน้ำตกรอบด้าน อันเป็นจุดยุทธศาสตร์ยอดเยี่ยม ที่ไม่อาจมีใครหาพวกเขาเจอในยามนี้ได้อย่างแน่นอน
                    เอเรซ่าตวัดเพียงครั้งเดียวก็พาเอาร่างสูงใหญ่ลงมานอนกับพื้นได้อย่างนุ่มนวล นางเอามืดลูบไล้ไปทั่วๆ ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นเพื่อปัดเอาเส้นผมสีแดงและเศษใบไม้ออก เพิ่งสังเกตว่าใบหน้าเขาขาวจนซีดคล้ายไม่มีสีเลือด ชะงักไปเพียงครู่ ก่อนจะเอามืออังที่จุดชีพจร แล้วก็ต้องถอยหายใจเมื่อพบว่ามันยังคงเต้นไปตามจังหวะไม่ขาดสาย
                    ภาพที่ทุกคนมองเห็น คือนางแทงดาบลงไปที่กลางหัวใจพระราชาต่างเมือง แต่คงไม่มีรู้นอกจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านหรอกว่า ตำแหน่งที่นางไสดาบลงไปนั้น แท้แล้วมันมิใช่หัวใจ แต่เป็นตำแหน่งใกล้หัวใจต่างหาก ที่ซึ่งแม้จะมีเลือดไหลออกมามาก แต่หัวใจไม่ได้ถูกทำลาย คนที่ถูกทำร้ายจะยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ หากได้รับการรักษาได้ทัน
                    เอเรซ่าฉีกชายผ้าคลุมสีขาวของตัวเองออกมายาวใหญ่ หลังจากใช้มือกดบริเวณบาดแผลเพื่อห้ามเลือดได้สนิท นางรั้งร่างไร้สตินั้นลุกขึ้นก่อนจะพันผ้ารอบร่างกำยำแนบแน่น ซึ่งในขณะเดียวกันก็ยังไม่อาจห้ามน้ำตาได้
                    เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ที่นางตัดสินใจไม่แทงดาบลงไปที่หัวใจเขา หรือบางที นางอาจจะไม่ได้ตัดสินใจกันแน่ นางรู้แต่เพียงว่า คล้ายประวัติศาสตร์ได้กลับมาซ้ำรอยเดิมอีกแล้ว
                    เอเรซ่ารู้...จากสมุดบันทึกพี่สาวของบิดา ผู้เคยเป็นแม่ทัพหญิงแห่งป้อมตะวันออกอันเกรียงไกร นางรู้ดีทุกอย่าง ทั้งความรัก ความเศร้า ความเจ็บปวด และทุกเรื่องราวที่ดำเนินไป ทั้งเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในช่วงหน้าท้ายๆ ของสมุดบันทึก ที่บอกเล่าเอาไว้ว่า คนที่นางรัก ได้ไสดาบมายังตำแหน่งเหนือหัวใจนาง
                    ตำแหน่งที่ทำให้นางต้องตาย ตายทั้งที่ร่างกายยังมีลมหายใจ
                    และดูเอาเถิด เมื่อชายผู้นั้น ยามนี้ก็กำลังนอนหายใจรวยระรินอยู่ตรงหน้าเอเรซ่านั่นเอง
                    นางเกลียดชังเขาเป็นที่หนึ่ง เขาจึงเป็นที่ตั่งมั่นให้นางทำทุกวิถีทางให้ขึ้นมาเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจ และมีวันนี้ วันที่นางได้เข้าพบกับเขา ได้ต่อสู้กับเขา และได้ฆ่าเขา
                    แต่สุดท้ายแล้ว นางก็ไม่ได้ทำ
                    เอเรซ่าไม่มีคำตอบให้ตัวเอง นางมีเพียงอาการปวดศีรษะหนึบๆ ที่ทำเอาชาด้านไปทั้งแถบ แม่ทัพหญิงเอนหลังลงพิงผนังถ้ำ ก้มลงมองอย่างพินิจ
                    เขาเป็นบุรุษที่ดูเกลี้ยงเกลายิ่งกว่าสตรี รูปโครงหน้าสมบูรณ์แบบ ผิวของเขาละเอียดเหมือนกระเบื้องเคลือบ แตะแล้วเย็นชืดเหมือนไม่มีชีวิต
                    “ท่านจะตายอย่างนี้น่ะหรือ มันง่ายเกินไปแล้วกระมัง” เสียงเอเรซ่าดุจตัดพ้อ “ท่านทำลายศักดิ์ศรีคนผู้นั้น ทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูลข้า ท่านจะมาตายง่ายๆ อย่างนี้ ข้าไม่ยอม”
                    “เจ้าไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าข้า” อยู่ๆ บุรุษที่นอนอยู่ก็ลืมตาโพลง หญิงสาวสะดุ้งเฮือกเกือบจะถดหนี แต่แล้วมือเย็นเฉียบกลับรัดแขนนางไว้แน่น “เจ้าไม่ได้ฆ่าข้า ข้าจะตายได้อย่างไร”
                    เอเรซ่าอ้าปากค้าง ดวงตาสีแดงเหมือนเลือดของเขามองมาคล้ายกำลังหัวร่อ เส้นผมสีแดงก็เปียกปอนลู่แนบไปกับโครงหน้า เขาส่ายหน้าเบาๆ ลุกขึ้นนั่ง แต่มือยังคงจับแขนนางไว้เช่นเดิม
                    “ท่านไม่ได้ตาย ท่านไม่ได้เป็นอะไร”
                    นางไม่ได้ตอบคำถาม แต่ดวงตาเหลือกลานและหวาดกลัวยิ่งนัก ถึงไม่ได้ตั้งใจให้เขาตาย แต่ก็ทำให้เจ็บหนัก แต่นี่เขากลับลุกขึ้นหน้าตาเฉย เหมือนไม่ได้เจ็บปวดอะไรกับบาดแผลสักนิด
                    “ข้าแค่อยากเป็นอิสระ ข้าอยู่เมืองคาเพื่อรอคอยเจ้ามายี่สิบกว่าปีแล้ว ข้าควรไปตามทางของข้าเสียที” พูดจบเขาก็ลุกขึ้น มือปล่อยแขนนางออก แต่เอเรซ่ากลับเป็นฝ่ายคว้ามือเขาไว้แทน
                    “รอข้า...ท่านรอข้าทำไม” ยามนี้นางไม่หลงเหลือความอหังการเช่นปกติอีกแล้ว ส่วนลึกในหัวใจของนางมันรู้สึกแปลก มันดูเหมือนไม่ใช่นาง...อย่างตอบไม่ถูก
                    “หนูน้อย หนูน้อยเอเรซ่า เทพเจ้าแห่งสงคราม” น้ำเสียงเขาเจือแววคล้ายเอ็นดู อดีตราชาเมืองคาหันมามองด้วยความปรานีเพียงวูบหนึ่ง เขารั้งร่างให้นางลุกขึ้นตาม มืออีกข้างแหวกหน้าอกด้านซ้ายให้ดู
                    โดยไม่คาดคิด แนวบาดแผลฉกรรจ์ของชายผู้นั้น กำลังสมานตัวอย่างรวดเร็ว แสงสีฟ้าวาบขึ้นเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย หญิงสาวผงะแทบหงายหลัง แต่มือที่เหนี่ยวกันไว้กลับรั้งขึ้น
                    “ท่าน...เป็นใครกันแน่” มีเพียงเสียงแหบแห้งที่ผ่านพ้นริมฝีปาก เอเรซ่าอกสั่นขวัญแขวน แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับหันมองไปทางปากถ้ำ
                    “เจ้าไม่รู้จริงหรือ ว่าข้าเป็นใคร”
                    “ที่ข้ารู้ ท่านคือคนที่ทำให้ตระกูลข้ามัวหมอง และท่านไม่ใช่มนุษย์” แม่ทัพหญิงปากคอสั่น “ท่านทำแบบนี้ได้ยังไง”
                    อดีตพระราชาหัวเราะเบาๆ ในลำคอ มือเย็นเยียบของเขาบีบแขนเธอจนแข็งเกร็ง ความหนาวเยือกถูกส่งผ่านมาให้ เรี่ยวแรงของเอเรซ่าคล้ายถูกดูดหายไปเรื่อยๆ
                    “ผิดแล้ว หนูน้อย ข้าไม่ใช่คนที่ทำให้ตระกูลเจ้ามัวหมอง และเจ้าก็มองเห็นด้วยตาตนเองอยู่ว่า ข้าเป็นมนุษย์ ดูสิ ข้ามีเลือดเนื้อ มีลมหายใจ ไม่ต่างอะไรจากเจ้า”
                    “ท่านไม่ใช่ ท่านต้องเป็นปีศาจแน่ๆ”
                    ดุจคำนั้นเป็นการจี้ใจดำ มือของเขาสั่นสะท้านขึ้นก่อนจะกลับสู่ความปกติ ใบหน้ายังคงฉายแววเรื่อยเรียบเหมือนเดิม เขาผันมาส่งยิ้มให้ ดวงตาสีเลือดจ้องมองลึกเข้าไปในตาของเอเรซ่า ชั่ววูบหนึ่งหญิงสาวมองเห็นความแวววาวคล้ายดวงดาวในดวงตาของเขา
                    “สิ่งเดียวที่ทำให้ข้าเป็นปีศาจ คือการที่ข้าทำให้ชารินหลงรักอย่างไม่ตั้งใจ”
     
                มานูเอลแทบไม่ทันได้ตั้งตัว ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นมันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เมื่อแม่ทัพหญิงของเราแทงดาบลงไปยังตำแหน่งหัวใจของฝ่ายตรงข้าม แล้วอยู่ๆ นางก็หอบร่างคนผู้นั้นขึ้นม้าแล้วหายไปทันที
                    สิ่งที่เขาทำได้คือสั่งการต่อคนสนิทให้ปิดเมืองโดยไว ห้ามคนในออกและคนนอกเข้ามา หากเรื่องไม่เป็นเรื่องนี้รู้ไปถึงพวกที่กำลังมองหาข้อผิดพลาดของเอเรซ่าล่ะก็ งานนี้คงจะจบไม่สวย และพระราชาวินเซ้นท์แห่งเมืองเคเนลบ้านเกิดเมืองนอนของเขาคงไม่อาจช่วยเจ้าหญิงน้อยที่แสนดื้อรั้นองค์นี้ได้เหมือนทุกครั้งเป็นแน่
                    จากนั้นมานูเอลก็ออกจากเมืองพร้อมด้วยทหารองครักษ์อีกเพียงไม่กี่นายเพื่อตามหาเอเรซ่า โดยปกติแล้วเขาก็ไม่ใคร่จะเข้าใจนางนักกับความคิดและพฤติกรรมต่างๆ นานาของนาง แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นางคือคนที่ทำให้เขายอมทุกอย่างเพื่อได้เข้ามาอยู่ในโรงเรียนทหาร และยอมทุกอย่างแม้แลกด้วยศักดิ์ศรีเพื่อได้ใกล้ชิดนาง ยอมทุกหนทางไปสู่ความเจริญเพื่อได้เรียนจบแล้วออกมารับใช้นาง และนางก็ตอบแทนเขาอย่างดีที่สุด เมื่อนางได้เป็นแม่ทัพหญิงเจริญรอยตามตระกูลของนาง เขาก็เองก็ได้รับยศเป็นองครักษ์ชั้นหนึ่งผู้รักษาเจ้าหญิงแห่งเคเนลด้วยเช่นกัน
                    แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการสักเท่าไรนัก แม้ว่ามันจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวชาวบ้านของเขาดีขึ้น พ่อแม่และน้องสาวมีเงินทองจับจ่ายใช้สอยไม่ต้องทำงานแบกหามต่อไปอีก แต่แท้แล้วสิ่งที่เขาปรารถนาที่สุด คือการได้รับความรักนั้นกลับคืน
                    ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ คนรักเกียรติยศศักดิ์ศรีเช่นเอเรซ่า ถึงตายก็ไม่มีวัน แต่มานูเอลก็ไม่เคยสิ้นหวัง เขาทำทุกอย่าง ความรักหรือบางทีอาจจะเป็นความหลง มันได้ครอบงำเขาเอาไว้จนหมดสิ้นแล้ว
                    กระทั่งภาพนั้นได้บังเกิดต่อสายตา เอเรซ่าผู้ไม่เคยยี่หระต่อชีวิตผู้ใด กลับทำการที่ไม่มีใครเข้าใจ แต่เขาแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ตาฝาด เมื่อเขาเห็นน้ำตาจากดวงตาของนาง
                    เอเรซ่าน่ะหรือจะร้องไห้ เป็นคำถามที่เขาไม่อยากได้คำตอบสักนิด แต่นางกำลังทำให้เขาปวดใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเกิดคำถามขึ้นมาอีกว่า พระราชาผู้แปลกประหลาด เกี่ยวพันอะไรกับนาง หรือแม้แต่คำพูดที่ทั้งสองโต้ตอบกันคืออะไร มันมีอำนาจทำให้นางร้องไห้ได้เชียวหรือ
                    มานูเอลขบกรามแน่น ม้าของเขาโจนทะยานออกไปในป่ากว้าง ป่าชายแดนนี้รกทึบและเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เขามิได้ห่วงว่าจะมีสิ่งใดมาทำร้ายเอเรซ่า เพราะเขารู้ว่านางเอาตัวรอดได้ทุกสภาวการณ์ แต่ที่เขากลัว นั่นคือคนที่นางพาออกไปด้วยต่างหาก
                    ทันใดนั้น ม้าของเขาก็ชะงัก มันทำจมูกฟุดฟิดแปลกๆ ก่อนส่งเสียงครางเบาๆ ในคอ มานูเอลจึงได้สติคืนมาบ้าง ม้าของเขาได้รับการเลี้ยงดูมาคู่กับนูรอส ม้าหนุ่มสีขาวของเอเรซ่า แม้ว่าพวกมันจะได้รับการทนุถนอมต่างกันด้วยความแตกต่างระหว่างม้าของนายกับบ่าว แต่สัตว์อย่างพวกมันก็กลมกลืนกัน ไม่เหมือนเขากับเอเรซ่า
                    “เป็นอะไรไปหรือบลัช หืม...” เขาก้มลงไปกระซิบกับม้า สายตากลับเห็นอะไรบางอย่างที่ติดอยู่กับกิ่งไม้
                    สิ่งนั้นคือถุงมือเปื้อนเลือด สีขาวแต้มแดงของมันโดดเด่นในราตรีกาล มานูเอลหยิบขึ้นมาพินิจ รูปร่างและขนาด ไม่ผิดเพี้ยนแน่ เขากำมันแน่น ก่อนจะจรดกับจมูก สูดดมกลิ่นอันคุ้นเคย
                    “ข้าจะต้องรู้ให้ได้ ว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่ เอเรซ่า”
     
                    ในถ้ำปรากฏความเงียบงัน มีเพียงเสียงน้ำตกไม่ขาดสาย นูรอสร้องพรือๆ เป็นระยะ เอเรซ่ารู้สึกหนาวเยือกไปทั้งร่าง คำตอบของอดีตพระราชาเมืองคา สร้างความสับสนงุนงงไม่น้อย จากคำบอกเล่าของคนอื่นๆ ไม่เคยมีใครบอกเลยว่า คนคนนั้น บังเกิดความรักกับชายผู้นี้
                    “เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ หนูน้อย” เขาหันมาถาม ดวงตาสีเลือดจ้องมองเหมือนจะมองให้ลึกเข้าไปถึงอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็กลับกลายเป็นเสียงหัวเราะขื่นๆ “หน้าตาเจ้าเหมือนนางจริงๆ เหมือนจนเจ้าทำให้ข้าหัวเราะไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ตั้งแต่พบเจ้า”
                    “คนคนนั้น ถึงจะอ่อนแอและโง่เขลาเพียงใด ก็คงไม่มีทางรักท่านได้เป็นแน่” เสียงสั่นๆ ตอบกลับมาในที่สุด
                    “เจ้ากล่าวราวกับรู้จักนาง” เขาสั่นหน้า ยิ้มละไม “นางอ่อนแอ โง่เขลา ที่ดึงดันจะใกล้ชิดข้า ทั้งที่แม้ว่าข้าจะไม่เคยบอก นางก็รู้ดีว่า ข้าไม่เหมือนนาง และข้าไม่มีทางรักนางได้ เพราะ...ดวงตาข้า ไม่ได้มีไว้เพื่อมองชาดดารา”
                    “ชาดดารา...” เอเรซ่าพึมพำ คำนี้นางพบในสมุดบันทึกหลายครั้ง แต่อ่านเท่าใดก็หาได้เข้าใจความหมายไม่ นางเคยถามไถ่กับท่านลุงธอมินัส ปราชญ์หลวงผู้เป็นสหายสนิทของชาริน แต่เขาก็เพียงยิ้มละไม...เช่นเดียวกับที่ชายผู้นี้กำลังยิ้ม
                    “หนูน้อย เจ้ามายืนตรงนี้สิ มองออกไปจากปล่องถ้ำตรงนี้” เขาหันมาฉุดแขนนางขึ้น พลางชี้ชวนให้ดูเบื้องบน “เห็นท้องฟ้าไหม เห็นดวงดาวไหม เจ้านับดาวบนท้องฟ้าได้ไหม”
                    “ข้า...นับไม่ได้” เอเรซ่าตอบออกไปราวกับไม่มีสติอยู่กับตัว  แสงดาวคืนนี้ระยับระยับยิ่งนัก
                    “ใช่แล้ว ดวงดาวน่ะมีมากมายนักบนท้องฟ้า และด้วยความที่มันมีมากมายนัก ทำให้บางดวงก็สีรูปทรงและสีสัน รวมถึงตำแหน่งที่ตั้ง คล้ายคลึงจนแทบจะเหมือนเป็นสิ่งเดียวกัน”
                    ไม่มีคำพูดใดออกจากปาก ชายผู้มีดวงตาแดงฉานหันมายิ้ม ดวงตาเขายามนี้ช่างดูลึกซึ้ง แต่คงไม่ใช่กับนาง
                    “ข้าจะเล่านิทานให้ฟัง แม้ว่าเจ้าจะไม่อยากฟังก็ตามที กาลครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งที่โลกนี้ยังคงมีพระจันทร์อยู่สองดวง”
     
                    มานูเอลให้ม้าหนุ่มไล่ตามกลิ่นมาเรื่อยๆ กระทั่งมาหยุดยืนที่หน้าเหวน้ำตก เขาสอดส่ายสายตาไปโดยรอบ พลันอะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ไกลๆ ทำให้เขาชะงัก และหยิบกล้องขึ้นมาส่อง ทหารองครักษ์บางนายตามมาเบื้องหลัง
                    “ท่านมานูเอล ท่านก็มาอยู่ที่นี่เช่นกันหรือ ม้าของข้าตามกลิ่นปลายลมมาเช่นกัน” นายทหารด้านหลังเพียงกระซิบ เช่นเดียวกับองครักษ์อื่นๆ ที่ค่อยๆ ทยอยกันมาสมทบ มานูเอลขบกรามแน่น เพราะม้าของเขาเองก็เป็นเช่นม้าขององครักษ์ทุกคน และภาพที่เขาส่องกล้องเห็น นั่นคือเจ้านูรอสไม่ผิดเพี้ยน มันยืนแกว่งหางสีขาวเป็นยวงของมันอยู่หลังม่านน้ำตกตรงหน้า
                    กริยาแปลกของนูรอส ทำให้เขาเกิดโทสะ เอเรซ่าไม่ได้มีอันตรายอะไรเป็นแน่ แต่คงจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น ไม่อย่างนั้นเจ้านูรอสคงไม่ทำเหมือนกำลังดูต้นทางอย่างนี้เป็นแน่
                    โดยไม่ทันคาดคิด บลัชกรีดร้องขึ้น ตามมาด้วยเสียงกู่ก้องของนูรอส ก่อนที่มันจะวิ่งหายไป
                    “บ้าฉิบ ร้องทำไมฮะบลัช”
                    “อย่าบันดาลโทสะเลยท่าน มันคงดีใจที่พบนูรอสแล้ว” ทหารคนข้างหลังเอ่ยอย่างไม่ติดใจอะไร แต่สำหรับมานูเอลแล้ว มันไม่ใช่เลยสักนิด
                    ท่านเอเรซ่า ขออย่าให้เป็นอย่างที่ข้าคิดเลย
     
                    นูรอสวิ่งย้อนกลับเข้าไปในถ้ำ มันไปยืนอยู่ข้างๆ เอเรซ่า ที่บัดนี้นั่งคุกเข่าหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดจบลง
                    “อย่าได้มีความรู้สึกใดเลย ในเมื่อเจ้าไม่ใช่ผู้ครอบครองชาดดารา และไม่ใช่...ชาริน”
                    เสียงนั้นดังเพียงกระซิบ การเล่าเรื่องเก่า ที่เหมือนย้อนกลับไปสู่ความทรงจำเก่าที่อยากจะลืมเลือน ก็มีผลให้เขาเองต้องรู้สึกสะท้านใจไม่น้อย
                    “ข้าเล่าให้เจ้าฟัง เพราะข้าอยากเล่า ทั้งที่มันไม่เกี่ยวกับตัวเจ้าเลยสักนิด อย่างน้อย เจ้าก็จะได้รู้ว่า ทำไมนางต้องประสบเคราะห์กรรมเช่นนั้น และทำไมข้า...ไม่อาจรักนางได้”
                    “ท่านไม่ควรเล่าให้ข้าฟังเลย” เอเรซ่าพูดออกเป็นคำแรก เสียงสั่นของนางทำให้นูรอสครวญครางยิ่งขึ้น
                    “ม้าของเจ้า รักเจ้า เหมือนที่ม้าของชารินรักนางยิ่งกว่าชีวิต เจ้ารู้จักมันใช่ไหม เจ้าม้าสีขาว ดื้อด้าน ดื้อรั้น ข้ารู้สึกว่าหลังจากนางจากไป มันจะไปอยู่กับสหายของนางที่เป็นโหรหลวง”
                    “ท่านลุงธอมินัสว่า มันตรอมใจตายไปก่อนที่ข้าจะเกิดเสียอีก”
                    อดีตพระราชาหัวเราะอีกครั้ง ก่อนพึมพำ “นั่นสิ ข้าลืมไป อายุของเจ้า กับอายุของข้าและทุกๆ อย่างในชีวิตชาริน มันแตกต่างกัน”
                “ข้ารู้ว่ามันแตกต่างกันกว่านั้น” เอเรซ่าพูด นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา นางยันกายขึ้นโดยใช้นูรอสเป็นที่พึ่ง
                    ดวงตาของเขาแดงฉาน มันเป็นสีเลือด เช่นเดียวกับสีผม ที่บัดนี้เปียกแนบลู่ไปกับโครงรูปศีรษะ ผิวของเขาขาวซีด รูปหน้าของเขาคมเข้ม แต่ประกอบกันอยู่บนกรอบหน้าที่เรียวรี เขาดูเหมือนนักปราชญ์ แต่ก็เหมือนนักรบ หรือความจริงแล้ว เขาดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างของบุรุษบนโลกนี้จะพึงมี หล่อหลอมรวมกันอยู่ ซึ่งก็ไม่แปลกหากนิทานนั้นเป็นความจริง เอเรซ่าถามเสียงแหบแห้ง
                    “กี่ครั้งแล้ว ที่ท่านต้องเสียใจ”
                    “มันไม่อาจเท่ากับที่คนอื่นต้องเสียใจเพราะข้า”
                    “หากไม่เพราะสิ่งนั้น ท่านจะรักนางไหม”
                    เป็นคำถามที่เอเรซ่าเองก็ไม่รู้ว่าจะถามไปให้ได้อะไรขึ้นมาเมื่อคนผู้นั้นป่านนี้วิญญาณจะไปสถิตหนใดก็ไม่อาจทราบได้ ความเงียบบังเกิดขึ้นครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างอีกครั้ง
                     “ความจริงคือ ข้ารักนาง”
                    เอเรซ่าจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย เนิ่นนานจนเหมือนนางหลุดลอยไปจากร่างกาย และคล้ายเป็นคนอื่น เมื่อรู้สึกถึงความร้อนผ่าวจากดวงตาตนเอง และหัวใจที่ไหวหวิวคล้ายจะแตกดับ สายลมประหลาดพัดผ่าน เหมือนจะเห็นแสงสีฟ้าวาบอยู่กลางอกของอีกฝ่าย
                      เอเรซ่าคล้ายเป็นเพียงหนึ่งในผู้ชมของเหตุการณ์ตรงหน้า เหมือนนางจมอยู่ในความฝันอันสว่างไสว พลันคำพูดหนึ่งออกจากปากนาง ทั้งที่นางไม่รู้ตัว

                     "ข้าก็รักท่าน รักเหลือเกิน และจะรักท่านไม่ว่าจะชาติภพใด ..อาเธอร์"
             
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×