คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ดวงมันซวย
[ดวงมันซวย]
ซ่า~!! เสียงฝนตก
“อ๊ายแย่แล้ว ไม่ได้เอาร่มมาด้วยสิ สงสัยต้องรอจนกว่าฝนจะหยุดแฮะ”ฉันพ่นลมหายใจสุดปอด ก่อนจะสูดอากาศเข้าไปใหม่ ฉันเหม่อมองท้องฟ้าที่ตอนนี้กำลังครึ้มมากพอดู เสียงฝีเท้าของผู้คนมากมายพากันวิ่งขวักไขว้เต็มไปหมด ฉันรีบวิ่งเข้าไปหลบฝนตรงศาลาป้ายรถเมล์สายหนึ่ง ศาลาที่ตอนนี้มีเพียงฉัน...ซักพักก็มีคนเริ่มทยอยเข้ามาหลบฝนในศาลานี้เรื่อยๆ และเรื่อยๆ ฉันถูกเบียดทีละนิด ทีละนิด ในที่สุดร่างของฉันก็ถูกเบียดจนไปติดหลังกำแพง
“โอ้ย!!ไอ้คนข้างหน้าฉันเนี่ย มันจะเบียดมาทางฉันไปถึงเมื่อไหร่น่ะ” ฉันกระแทกเสียงดัง ผลักไหล่ผู้ชายตรงหน้าด้วยความฉุนขาด เขาตวัดหน้ามามองฉันเล็กน้อย
“ขอโทษครับ พอดีผมไม่รู้ว่ามีคนอยู่หลังผม”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็ต้องขอโทษด้วย”ฉันพูดเก้อเขิน รีบเปลี่ยนท่ายืนให้ดูเป็นกุลสตรีขึ้นมานิด ฉันกับเขามองหน้ากันอยู่นานพอควร ต่างฝ่ายต่างมอง...
...รู้สึกมันทะแม่งๆชอบกลแหะ...
ทำไมนายนี่ ถึงเหมือนวายหนุ่มฮอตอันดับสองจังน้า..รึว่า...จะ...
“เธอ/นาย”ฉันกับเขาร้องออกมาเสียงหลง ชี้หน้ากันอย่างกระต่ายตื่นตูม
“เจอกันอีกแล้วนะยัยเจ้าหญิงน้อย”เขาพูดเสียงรอดไรฟันอย่างระงับอารมณ์
“แล้วนายล่ะ~นายไม่มีสิทธิ์มาบอกฉันหรอกน่ะนายเพลย์บอย”ฉันพูดเสียงสั่นเครือ ชูกำปั้นขึ้นกลางอากาศ เขาแยกเขี้ยวปัดใส่ฉัน แล้วดีดหน้าผากฉันดังเป๊าะ!
“ยัยบ้าเธอมาตามรังครวญฉันถึงที่เลยรึไง”
“แล้วไงเล่า ฉันก็มาหลบฝนของฉันนะ”ฉันตอบกลับเสียงแหลมปี๊ด ทำให้คนตรงหน้าต้องรีบเอามือมาอุดหูไว้
“ปากเธอมีลำโพงรึไง หัดอายคนซะบ้างเซ่” ใช่แล้วเขาพูดถูก คนที่เข้ามาหลบฝนในศาลาพากันมามุงดูฉันกับนายวายอย่างกับโรงภาพยนตร์กลางแจ้ง ฉันยิ้มให้คนพวกนั้นจางๆด้วยความอายแสนสุดจะบรรยาย แต่คนพวกนั้นก็ยังคงจ้องมาทางฉันและวายตาไม่กระพริบ
“ไอ้พวกบ้าไม่เคยเห็นสามีภรรยาเขาทะเลาะกันรึไง จ้องกันอยู่ได้”เขาตวาดเสียงดังลั่น อะไรนะสามีภรรยา ฉันไปเป็นภรรยากับนายนี่ตอนไหนเนี่ย ฉันคิดจะแก้ข่าวแต่นายวายก็เอามือมาอุดปากฉันไว้แน่น แล้วรีบจุงมือฉันออกจากศาลาท่ามกลางเสียงซุบซิบที่ดังกันให้แซ่ด
“เด็กพวกนั้นเป็นสามีภรรยากันงั้นหรอ งั้นก็ปู้ยี้ปู้ยำกันแล้วสิ”
“เป็นแค่เด็กม.ปลายแท้ๆเลย ท่าทางจะเป็นเด็กบ้านแตกนะ”
“นั่นสิค่ะ แย่จริงๆเลย”
นี่เป็นแค่เสียงที่ได้ยินจากพวกแม่บ้านเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไงบ้าง โอ้ออออม่ายยยย!! ชีวิตเด็ก ม.ปลาย ที่แสนสุขของฉันถูกนายเพลย์บอยทำลายไปต่อหน้าต่อตา พวกแม่บ้านพวกนั้นพูดออกมาได้ไงกัน ปู้ยี้ปู้ยำ เด็กบ้านแตก แต่งงานก่อนวัยอันควร ฮือๆ
“เป็นเพราะนาย ลีวาย ดูสิฉันเปียกหมดแล้ว”ฉันพูดทั้งน้ำตา ร่างกายสั่นเทาเพราะความหนาวและความกลัวและพร้อมกับความโกรธแค้น
“จะมาพูดอะไรเอาตอนนี้เล่า!!!”เขาโอบไหล่ฉันให้แน่นขึ้น ตอนนี้เราเหมือนแฟนกันจริงๆ ฉันสะบัดร่างกายออกจากมือใหญ่หนานั้น แล้วรีบเดินห่างจากตัวเขาซักสามเมตร
“ไม่ต้องกลัวกันขนาดนั้นก็ได้” ฉันไม่ตอบแต่กับยิ่งเดินออกห่างเขาไปเรื่อยๆตอนนี้ฉันกับเขาห่างกันได้ซักประมาณห้าสิบเมตรแล้ว ฉันกอดอกด้วยความหนาว เสื้อนักเรียนตอนนี้มันบางจนเห็นเสื้อในไปหมด
“อยากได้เสื้อโค้ทซักตัวจัง” ฉันบ่นอุบอิบเพียงลำพัง ตอนนี้ฉันมองไม่เห็นนายวายเลย หมอนั่นเดินเร็วเป็นบ้า แต่ทำไมมันถึงเย็นๆวาบๆตรงขานัก
“กางเกงในสีขาวสะอาดจริงนะ” เสียงของผู้ชายที่ไม่รู้จักดังขึ้นที่ด้านหลัง มีพวกผู้ชายประมาณหกคนกำลังล้อมฉันอยู่ ฉันสังเกตเห็นในมือข้างขวาของผู้ชายที่ย้อมผมสีฟ้าถือกระจกขนาดสีเหลี่ยมเล็กๆอยู่ในมือ ฉันสะดุ้งเล็กน้อย
“กระจกนี่ดีนะ ส่องที่ใต้ขาก็มองเห็นอะไรดีๆซะแล้ว”ชายที่ย้อมผมสีฟ้าพูดเสียงเย้ยหยัน ฉันกำหมัดแน่นร่างกายทั้งหมดไร้สิ้นเรี่ยวแรง ชีวิตม.ปลายที่สวยงามจบสิ้นแล้ว ดวงตาคมสวยหล่อลื้นทั้งน้ำตาที่หยดลงใบหน้าเนียนสวย ฉันเม้นปากแน่น ในใจร้องเรียกอยากให้มีซุปเปอร์ฮีโร่เข้ามาช่วย
“เฮ้ย!หยุดร้องไห้ ต่อไปนี้พี่จะพาน้องไปสนุก” พวกผู้ชายพวกนั้นพูดจนฉันขนลุกซู่ ร่างกายฉันแทบทรุดฮวบลงกับพื้น
“จะพาฉันไปไหน”
“ไปที่ที่...”ชายที่ย้อมผมสีฟ้าไม่ทันจะร่ายต่อ ก็ถูกหมัดของใครบางอัดเข้าจนกระเด็นลงไปกองอยู่กับพื้น
“วาย”ฉันเรียกชื่อเขาพลางเอามือป้องปากด้วยความตกใจ
“ที่แท้ไอ้บ้าวายนี่เองว่ะ พวกเรา”พวกผู้ชายโรคจิตที่เหลือวิ่งไปคว้าท่อนไม้มาคนล่ะท่อน
“ฉันจะจัดการแกวันนี้แหละ”วายพูดเสียงเฉียบ พวกผู้ชายโรคจิตวิ่งเข้าไปหาวายคนเดียว เสียงตะรุมบอนดังระงมไปทั่ว ฉันกำมือขึ้นภวานาให้วายปลอดภัย ส่วนพวกผู้ชายพวกนั้นส่งลงนรกได้ยิ่งดี
“หยุดๆ”เสียงตำรวจร่างอวบอ้วนคล้ายอึ่งวิ่งเข้ามาทางฉัน ฉันพอคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ จึงใช้ความกล้าทั้งหมดวิ่งฝ่ากลุ่มโรคจิตพวกนั้น แล้วรีบไปคว้าตัววายออกมา
“ฉันยังจัดการพวกนั้นไม่เสร็จเลยน่ะ”เขาจับรีบฝีปาก ตรงมุมปากเขามีรอยช้ำเล็กๆริมฝีปากเขาแตกเป็นรอยเลือดซึมออกมา ฉันมองเขาอย่างรู้สึกผิด ที่ทำให้เขาต้องมาลำบากด้วย
“ฉันว่าเราไปทำแผลที่โรงพยาบาลก่อนนะ”
“ ไม่จำเป็น เธอต้องพาฉันกลับบ้าน”
“แล้วทำไมไม่กลับเองล่ะ”ฉันทำหน้านิ่ว แล้วเบนสายตาไปทางอื่น
“เธอทำให้ฉันเจ็บน่ะ ไม่คิดจะชดใช้เลยรึไง” เขาโวยวายเป็นเอ็ดตะโร
“ก็ได้ ว่าแต่บ้านนายอยู่ไหนล่ะ ฉันขอโทรหาแม่ก่อนด้วย” เขาชี้ไปสุดถนน ถ้ามองดีๆก็พอมองเห็นบ้านอยู่บ้าง
“บ้านนายหรอ”
เขาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นคำตอบ เราเดินไปได้ซักพักก็มาถึงบ้านวาย ใหญ่เป็นบ้าอย่างกับพระราชวังแนะ เขากดกริ่งหน้าบ้านสองครั้งก็มีแม่บ้านวิ่งมาเปิดประตูให้
“กลับมาแล้วหรอค่ะ” คนรับใช้วัยกลางคนถามสีหน้าระรื่น
“ครับ”เขาตอบอู้อี้
“ตายแล้วหน้าคุณหนูไปโดนอะไรมาคะ เดี๋ยวป้าทำแผลให้”
“ไม่เป็นไรครับป้าโสม ป้าโสมแค่ช่วยเอายาให้ผู้หญิงคนนี้ก็พอแล้วครับ ผมจะให้เธอทำแผลให้” นายวายผายมือมาทางฉัน คนรับใช้ที่ชื่อป้าโสมก็พยักหน้ารับคำทั้งๆที่ยังงงๆ
ป้าโสมพาฉันมาที่ห้องครัว เครื่องครัวภายในถูกจัดไว้อย่างลงตัว ข้าวของทุกอย่างล้วนดูแปลกตาและมีราคาแพงมาก ป้าโสมยื่นกล่องยาให้ฉันแล้วพาฉันไปส่งที่หน้าห้องวาย ป้าโสมทำตากระพริบเล็กๆ แล้วกระซิบที่ข้างหูเบาๆ
“เป็นแฟนกับคุณหนูหรอคะ ป้าก้ขอให้รักกันนานๆนะคะ”แก่ขนาดนี้ยังจะมาแซววัยรุ่นอีกหรอเนี่ย ฉันฉีกยิ้มทำใบหน้าจิ้มลิ้ม ป้าโสมแค่นหัวเราะออกมารัวเร็วแล้วเดินลงบันไดช้าๆ
แก้ก! เสียงเปิดประตู
“มาแล้วหรอ” เขาพูดทั้งๆที่สายตาเขาจับจ้องไปที่หน้าจอทีวี
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ ฟังแล้วขนลุกชะมัด”
“เธอนี่ก็เข้าข่ายพวกคิดลึกน่ะ”เขายิ้มกว้างเผยให้เห็นรักยิ้มที่บุ๋มเป็นวงกลมของเขา นับเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเขายิ้มออกมา เป็นใบหน้าที่อ่อนโยนไม่เหมือนที่โรงเรียนที่เอาแต่เก๊กแถมยังทำตัวเกกมะเหงกเกเรอีกต่างหาก
“ทำแผลได้แล้ว ฉันจะต้องรีบกลับบ้าน” ฉันวางกล่องยาไว้บนเตียงนอนของเขา เขาละสายตาจากทีวีแวบหนึ่ง แล้วหันหน้ามามองฉันอย่างจริงจัง
“ภรรยาน่ะ เขาต้องเดินมานั่งข้างๆสามีแล้วก็ถามด้วยความเป็นห่วง”
“เดินมาเองเซ่!” เขาไม่ตอบอะไรกับหันหน้าไปดูทีวีต่อ หมอนี่วอนซะแล้วน่ะ ตั้งใจจะให้ฉันเดินไปทำแผลให้ถึงเตียงเลยรึไง
“เอ๋!กองกระดาษอะไรเนี่ย” ฉันพยามยามทำให้เขาเบี่ยงเบนความสนใจมาทางฉัน
“....”เงียบ
“....”เงียบ
ตกลงหมอนี่ไม่คิดจะสนใจอะไรเลยรึไง ฉันคว้ากองกระดาษหนาเท่าตึกขึ้นมาค้นดูด้วยความอยากรู้ เพราะเนื้อหาในกองกระดาษพวกนั้นเป็นกระดาษเฉลยข้อสอบ
“เธอทำอะไรน่ะ!!”วายตวาดเสียงดัง ฉันสะดุ้งโหยงสุดขีด กระดาษหนาเท่าตึกล่วงหล่นลงไปกองกับพื้น กระดาษสีขาวเนียนเกลื่อนกราดทั่วพื้นห้อง
...รูป...
มีบางสิ่งที่นอกจากกระดาษสีขาว มันเป็นรูปของผู้หญิงคนหนึ่งหลายรูปด้วยกัน ทุกอิริยาบถต่างถูกถ่ายทอดลงสู่กระดาษ เป็นภาพวาดเสมือนจริง...ภาพของเด็กผู้หญิงม.ต้น ซึ่งมันเป็นภาพที่น่ารักมากทีเดียว
“รูปใครหรอ ขอดูหน่อยสิ” ฉันคิดที่จะหยิบรูปวาดขึ้นมาดูแต่วายก็พลักไหล่ฉันล้มลงไปกองกับพื้นกระเบื้อง
“อย่ามายุ่ง!!มันจะเป็นรูปใคร มันก็ไม่เกี่ยวกับเธอหรอก ยัยบ้า!!”เสียงตวาดนั้นเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ใบหน้านั้นแดงก่ำด้วยความโกรธจัด ตอนนี้เขากำลังตวาดใส่หน้าฉัน
..ทำไม..ฉันก็แค่อยากดูรูปว่า..เป็นใคร...เท่านั้น
“ยัยหน้ารำคาญ!!!เธอนี่มัน~~
”
“ข..ขอโทษ” ฉันพูดโดยไม่มองหน้าเขา กับอีแค่ถูกคนตวาดใส่ คนอย่างเราไม่น่าจะมาร้องไห้กับเรื่องแค่นี้เลย
“ยัยบ้า!รีบมาทำแผลให้สามีสิ”ฉันก้มหน้ามองพื้น ไม่ยอมตอบอะไรทั้งนั้น...ฉันชักเกียจหมอนี่จริงๆแล้วสิ
“โกรธรึไง....”เขาเบาเสียงลง
“คำก็สามี สองคำก็สามี อะไรอีกล่ะฉันไปเป็นภรรยาในตั้งแต่เมื่อไหร่ หัดเอาใจคนอื่นซะบ้างเซ่!!ฮึกๆๆ”ฉันตะโกนเสียงสั่นเครือ ฉันก้มหน้าตลอดเพราะไม่อยากให้เขารู้ว่าตอนนี้ฉันกำลังร้องไห้ เขาไม่เถียงกับเหมือนเคย แต่เขากับยิ้มออกมา จิตใต้สำนึกของฉันมันชาไปหมด ฉันคิดได้เพียงว่า เขาเป็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง เขาเป็นอสูรที่จ้องจะเขมือบคนบริสุทธิ์ได้ทุกเมื่อ
แหมะ! แหมะ!
น้ำตาใสๆเอ่อคลอรอบดวงตา ฉันมันเป็นพวกบ่อน้ำตาตื้น ถูกด่านิดหน่อยก็ร้องไห้...ตอนนี้ไม่มีฝ่ายใดเอ่ยปากพูด ภายในห้องเงียบลง ได้ยินเพียงเสียงเจื่อยแจวดังออกมาจากโทรทัศน์ ฉันหรี่ตามองวายเล็กน้อย เขากำลังเก็บกองกระดาษข้อสอบและภาพวาด เพียงแปบเดียวเขาก็เก็บกระดาษพวกนั้นเสร็จ เขาแยกกองภาพวาดกับกองกระดาษไว้ ภาพวาดของหญิงสาว ม.ต้นถูกนำไปเก็บไว้ในลิ้นชักแล้วถูกล็อคกุญแจอย่างแน่นหนา การกระทำอย่างนั้นมันเสียบแทงใจฉันมาก มันมีความรู้สึกเหมือนฉันเป็นฝ่ายผิดจริงๆ
“ฉันกลับล่ะ”ฉันหุนหันเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่ยอมตอบอะไรทั้งสิ้น แต่เข้ามาจับเอวฉันไว้แน่น ฉันก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย มือใหญ่หนาของวายปาดน้ำตาที่แก้มของฉันออกเบาๆ
“ฉัน-ขอ-โทษ-น่ะ”เขาพูดคำนั้น ช้าๆชัดๆ ส่วนฉันก้มหน้าลงไปอีก เจ็บคอชะมัดยาด คนอย่างหมอนี่วันๆเอาแต่ทำตัวเพลย์บอยผู้หญิงคนไหนเขาจะยอมเชื่อคำพูดพล่อยๆของนายล่ะ
“เงยหน้าขึ้นมาสิ” เขาพูดเสียงเฉียบ ฉันเงยหน้าขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ ตอนนี้เขากอดเอวฉันอยู่ มันรู้สึกเหมือนว่าเราเป็นคู่รักกันจริงๆ
“ช่วยปล่อยมือได้มั้ย” ฉันชี้ไปที่เอวบางๆของตัวเอง รู้สึกว่าเขาจะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ จึงรีบปล่อยมือออกอย่างรวดเร็วด้วยความเขินอาย
“ฉันขอโทษ”วายพูดทวนอีกครั้งแต่ครั้งนี้เขาพูดเบามากจนฉันแทบไม่ได้ยินเลย
“ไม่ต้องมาขอโทษหรอก นายกับฉันมันก็แค่คนรู้จักกันเท่านั้น”ฉันตอบกับอย่างไม่แคร์ เขามองฉันสีหน้าซีดเผือดลง ก่อนที่เขาจะเดินดุ่มๆไปเปิดลิ้นชักตู้ที่เขาเก็บรูปวาดนั้นไว้
“เธออยากดูรูปใช่มั้ย” เขายื่นรูปพวกนั้นมาให้ฉัน...ฉันรู้ว่าเขาฝืนทำ...เขาเพียงแค่ไม่อยากให้ฉันโกรธ...แม้แต่คำขอโทษ...เขาก็ยังฝืน...เขาก็แค่ผู้ชายเห็นแก่ตัวคนหนึ่งเท่านั้น
“นายอย่าฝืนดีกว่านะ”ฉันกระพริบตาปริบๆ แล้วตอบออกไปอย่างคนเสียสติ
ปัง!
ฉันปิดประตูห้องของวายเสียงดัง แล้วรีบวิ่งลงบันไดอย่างไม่คิดชีวิต เสียงโครมครามดังออกมาจากห้องของวายไม่หยุด ท่าทางเขาจะเป็นพวกอารมณ์ร้อน อะไรไม่ได้ดั่งใจต้องพังข้าวของลูกเดียว ป้าโสม และพ่อบ้านมองฉันอย่างเป็นห่วง คงเพราะได้ยินเสียงทะเลาะกัน
“จะกลับบ้านแล้วหรอจ๊ะ”
“ค่ะ”ฉันตอบ
“เดี๋ยวป้าให้พ่อบ้านไปส่งนะจ๊ะ นี่มันก็ดึกมากแล้ว”ป้าโสมจับมือฉันแล้วพาฉันไปส่งขึ้นรถที่หน้าบ้าน
เฮ้อ! วันนี้เป็นวันที่โคตรจะซวยเลย ชีวิตจริงนี่มันไม่เหมือนนิยายเลย (แล้วนี่ไม่ใช่นิยายหรอ) พรุ่งนี้จะปั้นหน้าอย่างไงไปโรงเรียนละเนี่ย
“ถึงบ้านแล้วครับ”
“ขอบคุณค่ะ”ฉันหยิบกระเป๋าสะพายสีดำแล้วกล่าวขอบคุณเสียงขุ่นๆ ตอนนี้ตาฉันแดงมาก ถ้าพี่ทั้งสองคนเห็นฉันในสภาพนี้คงตกใจแน่
ปึง ปึง!!
ฉันเคาะประตูอยู่นานก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิด
“พี่ซาบิ พี่ซูชิ เฮ้ย!เปิดให้หน่อยสิ พ่อ แม่ เปิดประตูให้หน่อย”ฉันตะโกน ในใจรอความหวังว่าครอบครัวฉันคงไม่ปล่อยให้ฉันนอนอยู่นอกบ้านเหมือนหมา
หวืด~ลมผ่านตัว 20 นาทีผ่านไป
“เปิดประตูหน่อยเซ่!”เวลาผ่านไปนานขนาดนี้ แสดงว่าคงไม่มีใครอยู่บ้านจริงๆ ฉันวิ่งไปทางหลังบ้าน ตอนนี้ฉันยังคงปลอดภัยอยู่ เพราะทางไปหลังบ้านฉันมักจะมีสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดอาศัยอยู่...
“มืดอย่างนี้มองไม่เห็นทางเลยแฮะ”ฉันใช้แสงที่นาฬิกาข้อมือเป็นตัวนำทางแม้ว่ามันจะเป็นแสงระยะสั้นๆ แต่ก็ช่วยได้มาก...แต่...รู้สึกฉันจะเห็นเงาคนเดินนะ... หรือว่าจะเป็น..ผ..ผี
กรู กรู~
กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!!! ผีหลอก ๐_๐
ฉันหันหลังวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว เงาผีตนนั้นก็วิ่งไล่หลังตามฉันมาด้วย
“กรี๊ด!อย่าตามมานะ ฉันมีพระน่ะจะบอกให้” ฉันหวีดร้องเสียงหลง ผีตนนั้นวิ่งมาใกล้ฉันเรื่อยๆ ตาของผีตนนั้นรู้สึกจะส่องแสงได้ด้วย
“ฮือๆตายแน่ อ่ะอ้าก จะล้มแล้ว จะล้มแล้ว กรี๊ดดดดด!” ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าตัวเองไปสะดุดกับอะไรเข้า แต่กับไม่รู้สึกเจ็บเลย รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมอกของใครบางคน...หรือว่าจะผี..แต่มันอุ่นๆแหะ...ฉันลืมตาขึ้นมาดู แล้วใช้นาฬิกาไฟฉายส่องไป
และ...
“พ...พี่ ซาบิ”
“เป็นอะไรรึป่าว”
“ฮือๆ”ฉันกอดพี่ชายตัวเองให้กระชับขึ้นด้วยความโล่งอก
“ไปทำอะไรมาทำไม่ถึงตัวเปียก ตากฝนรึไง” พี่ซาบิถามเสียงนุ่ม ฉันพยักหน้าแล้วตอบกลับไป
“พี่ บ้านเรามีผีแหละ”
“ผี”พี่ซาบิทำหน้าเหวอ
“ใช่เมื่อกี๊มันวิ่งไล่ตามซอสมา”
“ยัยซอสบ้า ผีเผอที่ไหนกัน ผีนะน่าจะเป็นไอ้ซูชิมากกว่า” ฉันปล่อยตัวออกมาจากพี่ซาบิ แล้วจ้องหน้าพี่ด้วยความสงสัย พี่ซาบิยิ้มแล้วชี้ไปทางด้านหลัง...ฉันหันหลังไปมองก็พบว่า คนที่กำลังยื่นอยู่ด้านหลังฉันก็คือพี่ซูชิ
“แต่ซอสเห็นมันมีตาเรืองแสงด้วยนะ และก็มีขนด้วย”ฉันยังไม่ตัดใจเชื่อว่าผีตนนั้นจะเป็นพี่ซูชิที่วิ่งไล่ตามฉันมา
“ซอสคงหมายถึงเจ้านี่” พี่ซูชิอุ้มมันขึ้นมาให้อยู่ในอ้อมกอด
“โซยุ” ฉันขานชื่อมัน ‘โซยุ เป็นแมวที่บ้านฉันเลี้ยงไว้เอง เป็นแมวขนฟู ตัวใหญ่ โซยุเป็นแมวเพศผู้ตัวสีขาวสะอาด น่ารักน่าชัง ใครเห็นมันก็ต้องหลงรักมันทุกคน’
“เชื่อยังล่ะ ว่าบ้านเราไม่มีผี”พี่ซาบิและพี่ซูชิถามแค่นหัวเราะรัวเร็ว
“อืม”ฉันทำปากยื่นด้วยความงอน จนพี่ชายทั้งสองต้องรีบหุบปากลง
“แล้วพวกพี่มาทำอะไรหลังบ้านเนี่ย”
“ก็พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน เห็นบอกว่าจะไปเที่ยวที่จีนซักเดือนสองเดือนน่ะ แต่ว่าพ่อกับแม่ดันเอากุญแจบ้านไปด้วย พวกพี่ก็เลยต้องมาหาทางเข้าบ้านนี่ไง” พี่ซูชิอธิบายสีหน้าหงุดหงิดลงทันที
“พวกพี่หาทางเข้าบ้านมาเป็นชั่วโมงแล้วก็หาทางเข้าไปในบ้านไม่ได้ซักที”พี่ซาบิอธิบายให้ฟังต่อ
“ซอสมีกุญแจสำรองอยู่นะแต่ว่าเป็นกุญแจหลังบ้าน”
“อย่างไงก็ได้แต่ขอให้เข้าบ้านได้ก็พอ”พี่ชายทั้งสองตอบพร้อมกันท่าทางจะเหนื่อยกับการหาทางเข้าบ้านน่าดู
เมื่อกับเข้ามาในบ้านเรียบร้อยแล้ว พี่ชายและฉันก็รีบแยกย้ายพากันอาบน้ำกินข้าวและรีบเข้านอนอย่างรวดเร็ว
“เหนื่อยเป็นบ้าเลย”ฉันบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว ก่อนจะโน้มตัวลงนอนบนที่นอนลายหมีพูสีสดใส แล้วเอื้อมมือไปปิดโครมไฟที่อยู่ใกล้ๆเตียงนอน
“พรุ่งนี้ขอให้อย่ามีเรื่องอะไรเลยนะ สาธุ....”
ความคิดเห็น