ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF SJ] All about My SJ Short Fic

    ลำดับตอนที่ #2 : [SF SJ] Question (อยากรู้...แต่ไม่อยากถาม) [Kang x Teuk] Past : II (END)

    • อัปเดตล่าสุด 6 ธ.ค. 50


    “เอาล่ะ! แค่นี้ก็เรียบร้อย!” อีทึกเอ่ยกับตัวเอง พลางตวัดปลายปากกาลงเซ็นชื่อในช่องคำรับรองของประธานนักเรียนได้พอดีอย่างไม่ผิดเพี้ยน ร่างบางยืดตัวขึ้นบิดตัวไปมาช้า ๆ ก่อนจะก้มลงมองกองเอกสารทั้งหมดที่ตอนแรกตั้งระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ บัดนี้ได้ถูกตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย และผ่านการเซ็นต์รับรองด้วยมือของเขาเองทุกแผ่น ทั้งยังจัดวางเป็นกอง ๆ อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่กองเอกสารชมรมทั้งหมด 3 กองใหญ่นั้นก็กินพื้นที่บนโต๊ะทำงานกว้างนั้นพอดู

    “อา...นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย?” ร่างบางผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางบิดตัวไปมาอย่างปวดเมื่อยเนื่องจากการทำงานหนักอยู่ที่เก้าอี้โดยไม่ได้ลุกไปไหนเลยติดต่อกันหลายชั่วโมง สายตาสอดสายหานาฬิกาบนผนังห้องสีเบจอ่อน ครั้นเมื่อเหลือบแลเห็นเข็มนาฟฺกาที่ชี้ตัวเลขบนนั้น อีทึกก็เบิกตากว้างก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ตาอีกครั้ง

    “อ้าว! นี่มัน 3 ทุ่มกว่าแล้วไม่ใช่เหรอ?” อีทึกขมวดคิ้ว “เอ...ตอนนั่งทำงานไม่รู้สึกว่ามันจะนานขนาดนี้เลยนี่นา...” ประธานนักเรียนคนสวยพูดกับตัวเองอย่างงง ๆ พลางเกาศีรษะแกรก ๆ ก่อนที่ความง่วงจะเริ่มเข้าจู่โจมจนต้องขยี้ตาอีกครั้งหนึ่ง สำหรับอีทึกแล้ว หากมีงานที่ต้องรับผิดชอบมาวางกองอยู่ตรงหน้าแล้วล่ะก็ เป็นตายอย่างเราเขาก็ต้องทำให้มันสำเร็จให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ตาม แม้ในสายตาของผู้อื่นแล้วจะดูเหมือนเป็นแค่การรับผิดชอบตามหน้าที่ของประธานนักเรียนอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเท่านั้น แต่ความต้องการจริง ๆ ของอีทึก ก็เพียงแค่อยากเห็นรอยยิ้มของบรรดาประธานชมรมทั้งหลาย ที่เขาอุตส่าห์ตรวจตรางานเอกสารให้ด้วยมือของตัวเอง ยามที่งานของพวกเขาได้รับการเสนอต่อแผนงานของโรงเรียน โดยผ่านการรับรองจากปลายปากกาของเขาเพียงเท่านั้นเอง

    อีทึกอมยิ้มพลางร้องเพลงหงุงหงิงอย่างอารมณ์ดี นางฟ้าประจำโรงเรียนก้าวเดินไปยังหน้าต่างกระจกบานใหญ่ที่อยู่ด้านหลังเก้าอี้ มองเห็นดวงจันทร์เริ่มลอยตัวขึ้นสูง บ่งบอกถึงช่วงเวลาที่ล่วงเลยไปพอสมควร มิน่าเล่าถึงได้รู้สึกง่วงขึ้นมา คิดแบบนั้นแล้วอีทึกก็เอื้อมมือไปดึงผ้าม่านทั้ง 2 ด้านเข้าหากันจนปิดสนิท ไม่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้อีกต่อไป และแสงจันทร์ภายนอกก็ไม่สามารถส่องเข้ามาถึงได้อีก ร่างบางตรวจเช็คความเรียบร้อยครั้งสุดท้าย ก่อนจะคว้าเสื้อเชิตตัวนอกมาพาดไว้บนบ่าแล้วก้าวเดินออกไปจากห้อง


    ป่านนี้...คังอินจะยังรอเขาอยู่อีกหรือเปล่านะ?

    ไม่สิ คนคนนั้นต้องรออยู่...อย่างแน่นอน


    อีทึกเดินไปตามทางเดินสั้น ๆ ที่เปิดออกสู่ห้องโถงรับรอง เพียงแค่ภาพนั้นปรากฏสู่สายตา ร่างบางก็อดยิ้มไม่ได้...ที่นั่นคังอินยังคงนั่งรอเขาอยู่จริง ๆ อย่างที่เจ้าตัวคิด เพียงแต่ว่าร่างสูงที่นั่งรออยู่บนโซฟาบุกำมะหยี่หนานุ่มสบายบวกกับแอร์คอนดิชั่นเย็นฉ่ำที่เป่ารดอยู่ตลอดเป็นเวลานานสองนาน ทั้งร่างสูงยังคงอดทนรอเขาโดยไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหนเลยสักนิด ไม่แปลกอะไรเลย ที่ คิม ยองอุน โกลด์มือฉกาจของโรงเรียนมัธยมซง ฮวาจิน จะนั่งหลับอย่างหมดสภาพแบบนี้ ทั้งที่อยู่ในสภาพที่เอนกายมาข้างหน้าในท่าที่ไม่สบายเอาเสียเลย อีทึกหัวเราะคิกคัก ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ๆ แล้วร้องเรียกคังอิน


    “...อิน...คังอิน”


    “อือ...”


    “คังอิน!”


    “อ๊ะ! ครับ ๆ ๆ ผมไม่ได้หลับนะครับอาจารย์!” คังอินทะลึ่งตัวลุกขึ้นพรวดโดยทันที ทำเอาอีทึกตกใจไม่น้อยกับปฏิกิริยาตอบสนองที่ฉับไวแบบนั้น หากแต่เมื่อหายตกใจ ความรู้สึกอื่นก็เข้ามาแทนที่ อีทึกแย้มยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา คังอินเอียงคอไปมาอย่างุนงง ยังไม่สามารถสลัดความง่วงออกไปได้ดีเท่าไหร่ แต่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่ใสดุจระฆังแก้ว ร่างสูงก็กระพริบตาถี่ ๆ จนมองเห็นทิวทัศน์รอบกาย ห้องที่ตกแต่งเสียหรูหราแบบนี้ย่อมต้องเป็นห้องกรรมการนักเรียนไม่ผิดแน่ เมื่อทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ว่าตัวเองมายืนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร คังอินก็ร้องเสียงหลง


    “เฮ้ย!!”


    “คังอิน หลับเลยเหรอ ไม่ต้องตกใจพี่ถึงขนาดนั้นก็ได้” อีทึกที่พูดพลางหัวเราะพลาง เดินมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ร่างสูงอีกครั้ง คังอินรู้สึกเหมือนตัวเองหน้าชาไปเป็นแถบ นี่เขานอนเป็นตัวตลกให้ร่างบางหัวเราะอยู่อย่างนี้นานแค่ไหนกันนะ หากแต่อีทึกก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าเดินมายืนอยู่ตรงหน้าร่างสูงที่ลุกขึ้นยืนเต็มตัวอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นรุ่นพี่ของคังอิน แต่ถ้าเทียบความสูงแล้ว คังอินก็ยังคงสูงกว่าเขาอยู่มากจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง

    “ขอโทษนะคังอิน รอพี่นานเลยสิ” คำพูดที่อ่อนโยนมาจากก้นบึ้งหัวใจ พร้อม ๆ กับรอยยิ้มที่แย้มยิ้มประดุจนางฟ้าของอีทึกนั้น ทำเอาคังอินหัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ อุณหภูมิฉีดขึ้นใบหน้าเสียจนร้อนรุ่ม พร้อม ๆ กับที่เหงื่อกาฬที่ผุดซึมขึ้นมาตามแผ่นหลัง ทั้งที่อากาศในห้องนี้ก็ไม่ได้ร้อนเสียหน่อย ยิ่งเห็นใบหน้าของอีทึกที่อยู่ใกล้เสียขนาดนั้น คังอินก็ถึงกับต้องชักเท้าถอยหลังกลับ

    “ปละ ปละ เปล่าครับ ไม่นานเท่าไหร่หรอก พอดีผมมีซ้อมเมื่อตอนบ่ายหนักไปหน่อยน่ะครับ ก็เลย...” คังอินตอบตะกุกตะกัก แต่คำตอบนั้นก็ทำเอาเขาอยากจะตบปากตัวเองสักทีที่เผลอพูดออกไปแบบนั้น ก็เท่ากับว่าเขาพยายามหาข้ออ้างมาแก้ตัวที่จู่ ๆ เขาก็ผล็อยหลับไปเสียมากกว่า ร่างสูงจึงรีบตัดบท “พี่อีทึก...งานเสร็จแล้วหรือครับ?”


    “อื้อ!” อีทึกยิ้มจนเห็นลักยิ้มที่แก้ม “กลับกันเถอะคังอิน”


    คำชวนที่คล้ายจะเป็นประกาศิตของนางฟ้า คังอินพยักหน้าก่อนจะยิ้มกว้างให้


    “ครับ”


    หากแต่เมื่อทั้งคู่ขยับตัวจะเดินออกจากห้องนั้น อีทึกก็เบิกตากว้างเหมือนนึกขึ้นได้


    “อ๊ะ! คังอินเดี๋ยวก่อน” อีทึกร้องออกมาแทบจะทันทีทันใดที่คังอินก้าวเท้าจะเดินออกจากห้อง ทำเอาร่างสูงขมวดคิ้ว


    “ครับ?”


    “พี่...พี่ลืมกระเป๋านักเรียนไว้ในล็อกเกอร์ที่ห้องพักกรรมการนักเรียนน่ะ” อีทึกพูดออกมาเสียงแผ่ว ร่างบางก้มหน้าก้มตาลงมองที่พื้นอย่างช่วยไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เป็นของสำคัญแท้ ๆ แต่กลับลืมเสียได้แบบนี้ก็เท่ากับว่าถ้าเขายังดึงดันจะกลับไปเอาล่ะก็ คงต้องทำให้รุ่นน้องตรงหน้าต้องเสียเวลารอเขาอีกแน่ ๆ


    คังอินมองดูท่าทางของประธานนักเรียนคนสวยที่ทำหน้าเหมือนกำลังลำบากใจอยู่นั้นก็ยิ้ม


    “ไม่เป็นไรครับ...พี่อีทึกไปเอากระเป๋าเถอะครับ ผมจะรอพี่ตรงนี้แหละ” คังอินพูดพลางหย่อนตัวตัวลงนั่งบนโซฟารับรองตัวเดิม ท่าทางของเขาดูจะไม่คิดอะไรมากมาย ต่างจากอีทึกที่ไม่ว่ายังไง ๆ เจ้าตัวก็ยังคงเป็นกังวลอยู่ดี


    “แต่...”


    “ผมรอพี่ได้ตลอดอยู่แล้ว...พี่ก็รู้ กับแค่เวลาอีกไม่กี่นาที ทำไมผมจะรอพี่ไม่ได้ล่ะครับ” คำพูดเพียงแค่นั้นของคังอินก็ทำประโยคที่อีทึกต้องการจะพูดทั้งหมดกลืนหายไปหมดสิ้น อีทึกได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มให้


    “อื้ม...งั้น เดี๋ยวพี่มานะ” ร่างบางเอ่ยบอกกับคนที่นั่งรออยู่ก่อนจะวิ่งหายลับไปทางห้องพักกรรมการนักเรียน


    ชั่วเวลาไม่นาน คังอินก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากทางเดินไปยังห้องพักกรรมการนักเรียน อันเกิดจากการที่พื้นรองเท้าหุ้มส้นหนังกระทบกับพื้นหินอ่อน เมื่อหันไปดูก็พบว่าร่างบางของประธานนักเรียนอีทึกกำลังวิ่งกระหืดกระหอบมาทางที่เขานั่งอยู่ ในมือข้างหนึ่งถือกระเป๋านักเรียนไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็หอบแฟ้มเอกสารเล่มบางมาด้วย ร่างสูงเห็นอย่างนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ ด้วยคิดว่าอีทึกคงจะหอบงานเอกสารของโรงเรียนกลับไปทำที่หอต่ออีกเป็นแน่ อดชื่นชมในใจไม่ได้ว่าช่างเป็นประธานนักเรียนที่รับผิดชอบต่อหน้าที่และสูงส่งเสียจริง เมื่ออีทึกวิ่งมาเกือบถึงที่ที่คังอินนั่งรออยู่ คงเป็นเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานและอารามเร่งรีบ ร่างบางก็สะดุดพื้นพรมจนเซถลามาข้างหน้า


    “พี่อีทึก! ระวัง!”


    “คังอิน อ๊ะ!” อีทึกร้องเสียงหลง ร่างบางล้มตัวมาข้างหน้า พร้อม ๆ กับมือที่ถือเอกสารและกระเป๋าไว้กลับปล่อยออกด้วยความตกใจจนเอกสารที่อยู่ในแฟ้มนั้นปลิวหล่นกระจัดกระจาย อีทึกหลับตาปี๋ รู้ตัวแล้วว่าจะต้องล้มหน้าคว่ำลงไปกระแทกกับพื้นแน่ ๆ หากแต่ก็ไม่ไวไปกว่า 2 มือของผู้รักษาประตูแห่งโรงเรียนมัธยมซง ฮวาจินที่ผุดลุกขึ้นแล้วเอื้อมมือไปรวบตัวอีทึกไว้ได้ทันท่วงที

    “พี่อีทึก...” คังอินร้องเรียกคนที่เอาแต่หลับตาแล้วมุดหน้าอยู่ที่แผ่นอกของเขาเบา ๆ รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ หากเขารับไว้ไม่ทันแล้วล่ะก็ อีทึกคงไม่พ้นต้องบาดเจ็บเป็นแน่ สายตาของร่างสูงทอดมองร่างบางในอ้อมแขนอย่างลืมตัว หากแต่อีทึกที่หลับตาพริ้ม ครั้นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นมากกว่าจะเป็นพื้นแข็งก็ลืมตาขึ้นมอง ร่างบางที่เงยหน้าขึ้นประจวบเหมาะกับที่คังอินก็ก้มหน้าลงมาเช่นกัน สายตาของทั้ง 2 คนจึงประสานกันอยู่ชั่วครู่ และเป็นคังอินที่เป็นฝ่ายหลบตาอีทึกเสียเอง

    พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรร่างบางก็หน้าแดงซ่าน รีบดันตัวออกห่าง พร้อม ๆ กับที่คังอินก็รีบปล่อยมือที่โอบรั้งเอวของอีทึกไว้ทันที

    “อา...พี่นี่ซุมซ่ามจังเลย” อีทึกที่ก้มหน้าลงด้วยความเขินอายที่ต้องให้คังอินมาช่วยเอาไว้นั้นพูดขึ้นกลบเกลื่อน หากแต่คังอินกลับใส่ใจกับอาการบาดเจ็บของคนตรงหน้ามากกว่า เพราะท่ายืนของอีทึกดูแปลก ๆ อย่างไรชอบกล

    “พี่อีทึก...เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ?” คังอินถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง หากแต่อีทึกกลับฝืนยิ้มทั้ง ๆ ที่เหงื่อไหลท่วม รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้ามากขึ้น คงเป็นเพราะการก้าวเท้าผิดจังหวะเมื่อตอนที่เขาสะดุดพรมหกล้มเมื่อครู่นี้เอง แต่ด้วยความที่ไม่ต้องการให้คนตรงหน้าเป็นห่วง ร่างบางจึงส่ายหน้าพลางปฏิเสธ

    “พี่ไม่เป็นไรหรอก อ๊ะ!” อีทึกพูดออกมาได้แค่นั้นก็ต้องนิ่วหน้า ก่อนจะทรุดลงไปนั่งกับพื้นอีกครั้งหนึ่ง คังอินจึงก้มลงไปมองดู ร่างสูงก้มหัวเป็นเชิงขออนุญาตก่อนจะถกขากางเกงของอีทึกขึ้น พร้อม ๆ กับเมื่อดึงถุงเท้าให้ร่นออกมากองบนพื้น คังอินก็ตาโต

    “นี่พี่...ข้อเท้าแพลงนี่ครับ” คังอินว่าพลางส่งสายตาดุ ๆ ไปให้ ทำเอานางฟ้าประจำโรงเรียนที่ได้แต่บอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไรนั้นได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ เพราะหลักฐานนั้นก็ฟ้องอยู่แล้วทนโท่ ข้อเท้าเรียว ๆ ขาวผ่องของอีทึกบัดนี้เป็นสีแดงก่ำเกือบจะม่วงช้ำ แสดงว่าเจ้าตัวได้รับบาดเจ็บจริง ๆ

    “จริงเหรอ? พี่นี่แย่จังเลย...ขอโทษนะคังอิน” อีทึกทำหน้าเหรอหราเหมือนกับว่าตัวเองเพิ่งรู้ หากแต่น้ำเสียงที่เอ่ยคำขอโทษนั้นกลับอ่อนโยนลงเมื่อมองเห็นร่างสูงที่นั่งอยู่ตรงหน้าจ้องมองอาการบาดเจ็บที่ขาของเขาอย่างเป็นห่วงแค่ไหน ทำเอาพาลคิดไปว่า หากคังอินไม่มารอเขาอยู่จนถึงตอนนี้ ป่านนี้เจ้าตัวก็คงจะนอนหลับสบายอยู่ที่หอไปแล้ว ไม่ต้องมากังวลกับเรื่องของเขาอีก

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ” คังอินตอบนิ่ง ๆ ร่างสูงไล้นิ้วมือกดเบา ๆ ไปตามรอยแดงนั้นจนอีทึกร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวด ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะบอกให้อีทึกนั่งรอเขาอยู่ตรงนั้น ห้ามขยับเขยื้อนไปไหนเด็ดขาด ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นวิ่งไปยังห้องพักกรรมการนักเรียน หากเป็นอย่างที่เขาคิดล่ะก็ ที่นั่นจะต้องมีตู้ยาหรือกระเป๋ายาที่ใช้ในกรณีฉุกเฉินอยู่เป็นแน่ ซึ่งก็เป็นอย่างที่คาดเดาไว้จริง ๆ คังอินหาพบกระเป๋ายาฉุกเฉินวางอยู่บนชั้นเก็บของตู้กระจกได้ไม่ยากเย็น ร่างสูงจึงรีบหยิบออกมา ก่อนจะวิ่งกลับไปยังห้องรับรองอีกครั้ง ซึ่งก็พบว่าอีทึกยังคงนั่งอยู่ที่เดิม หากแต่ร่างบางงอขาเข้าตัวเองก่อนจะพยายามใช้มือจับข้อเท้าไว้เพื่อระงับความเจ็บปวด

    “พี่อีทึก...ยื่นขามาสิครับ” คังอินที่นั่งลงตรงข้ามนั้นร้องบอกแกมสั่ง อีทึกทำตามอย่างว่าง่าย ร่างสูงใช้ผ้าพันแผลชนิดยืดที่พบในกระเป๋ายาขึ้นมาพันข้อเท้าของอีทึกเอาไว้เพื่อเป็นการพยุงไม่ให้ข้อเท้าได้รับบาดเจ็บ หรือออกแรงเคลื่อนไหวอีก ซึ่งคังอินสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วและรวดเร็วเนื่องจากเขาเองก็เคยปฐมพยาบาลเพื่อน ๆ ร่วมทีมในสนามฟุตบอลมาแล้ว เมื่อพันเสร็จอีทึกก็ยิ้มให้

    “ขอบคุณนะคังอิน หายปวดลงเยอะเลยล่ะ” อีทึกว่าพลางใช้นิ้วมือแตะเบา ๆ ที่ผ้าพันแผล คงเป็นเพราะผ้ายืดช่วยพยุงเอาไว้ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ แต่คังอินก็ยังคงไม่วางใจนักเนื่องจากอาการบาดเจ็บอาจจะร้ายแรงกว่าที่เห็นภายนอกมาก อย่างไรเสียเขาก็ไม่ควรให้อีทึกต้องออกแรงใช้ขามากในตอนนี้ คิดแบบแล้วนั้นร่างสูงจึงก้มลงเก็บเอกสารที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นใส่เข้าแฟ้มอย่างเรียบร้อย พร้อมกับหยิบกระเป๋านักเรียนของอีทึกที่วางนอนบนพื้นพรมขึ้นมาวางไว้ข้าง ๆ กระเป๋าเขาด้วย จนร่างบางที่นั่งอยู่เอียงคอมองอย่างงุนงง


    “พี่อีทึก...ขี่หลังผมไปกันเถอะครับ” คังอินพูดพลางย่อตัวลงโดยหันหลังให้ร่างบางที่นั่งอยู่บนพื้น


    “มันจะดีเหรอ คังอิน?” อีทึกพูดเสียงค่อย อย่างไรก็ตามและแล้วเขาก็ทำให้คังอินต้องลำบากอีกจนได้


    “ไปกันเถอะครับ ถึงยังไง ผู้พิทักษ์ก็ต้องอยู่เคียงข้างนางฟ้าสิครับ” คำพูดของคังอินทำเอานางฟ้าประจำโรงเรียนยิ้มระรื่น


    “อ่า...นั่นสินะ ขอบใจมากนะคังอิน” อีทึกพูดพร้อมกับยิ้มกว้างเสียจนเห็นรอยบุ๋มที่แก้ม ซึ่งคังอินที่หันหลังให้อยู่นั้นไม่สามารถมองเห็นได้เลย ร่างสูงนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่ออีทึกทาบทับลงมาด้านหลังก่อนจะคล้องแขนทั้ง 2 มาไว้ข้างหน้า ไม่ใช่เพราะหนักอะไรแต่เป็นเพราะความฉงนปนสงสัย

    ตัวของอีทึกเบามากจริง ๆ ราวกับจะล่องลอยได้ เหมือนจะเป็นนางฟ้าจริง ๆ ทำให้เขาไม่รู้สึกถึงน้ำหนักตัวเลยเมื่อลุกขึ้นยืน ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวอยู่บนหลังของเขาแท้ ๆ เว้นแต่ความอบอุ่นอันเกิดจากที่ต้นคอสัมผัสกับแขนของร่างบางที่โอบคล้องคอเอาไว้หลวม ๆ และลมหายใจอุ่น ๆ แผ่วเบาที่เป่ารดอยู่แถวต้นคอและหลังใบหู คังอินพยายามไม่ใส่ใจความรู้สึกร้อนรุ่มนี้ก่อนจะหยิบกระเป๋านักเรียนทั้ง 2 ใบมาถือไว้ในมือพร้อมกับแฟ้มเอกสาร ทั้ง ๆ ที่แขนของตัวเองนั้นสอดอยู่ใต้ข้อพับขาของอีทึกอยู่ แม้จะลำบากพอดูแต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไรไปกว่าการซ้อมฟุตบอลของคังอินเลย ไม่นานนักทั้ง 2 ก็ออกมาอยู่นอกอาคารเรียน ซึ่งตอนนี้ฝนได้หยุดทิ้งช่วงไปนานแล้ว และท้องฟ้าก็พลันเปิดโล่ง กระจ่างใสขึ้นมาทันตาจนมองเห็นดาวระยิบระยับ ตัดกับท้องฟ้าสีดำสนิทที่เป็นฉากหลัง

    “เป็นแบบนี้แล้ว...รู้สึกดีจังเลยนะคังอิน” อีทึกเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ สายตาเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่สูงลิบ ก่อนที่ร่างบางจะยกแขนข้างหนึ่งเหยียดขึ้นไปจนสุดพร้อมกับแหงนหน้ามองท้องฟ้า อดที่จะกางมือออกแล้วทำท่าเหมือนกับคว้าไว้ไม่ได้ อีทึกหัวเราะขำกับท่าทางของตัวเอง

    “รู้สึกเหมือนว่ามองเห็นท้องฟ้าได้ชัดขึ้นเลยล่ะ ดูสิ คังอินก็ว่ามันสวยใช่มั้ย?” สายตาของนางฟ้าคนสวยยังคงจ้องมองบนฟ้านั้น หมู่ดาวน้อยใหญ่ที่เปล่งแสงระยิบระยับราวกับจะแย้มยิ้มทักทายให้ ยิ่งสังเกตเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อหลังฝนและคืนเดือนแรมเช่นนี้


    รู้สึกเหมือนท้องฟ้าอยู่ใกล้มาก...ใกล้เหลือเกิน

    ใกล้เสียจนแทบสัมผัสได้ เหมือนกับจะห่างกันเพียงไม่กี่เซนติเมตร

    แต่พอเอื้อมมือขึ้นจะคว้าไว้...ท้องฟ้าก็ราวกับจะลอยห่างไกลออกไปอีก


    “ครับ ท้องฟ้าก็ต้องเหมาะกับนางฟ้าอยู่แล้วนี่ครับ” คังอินพูดพลางยิ้มอ่อนโยน อดเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าตามคนที่อยู่บนหลังไม่ได้ ร่างสูงเดาเอาจากอาการขยับตัวยุกยิกของคนที่อยู่บนหลัง บวกกับน้ำเสียงที่ร่าเริงเหมือนเด็กทว่าดูจริงจังนั้น เขาก็พอจะเดาได้ว่าตอนนี้ร่างบางกำลังมีสีหน้าแบบไหน คังอินจึงเดินให้ช้าลงเพื่อให้กระทบกระเทือนขาของอีทึกที่บาดเจ็บน้อยที่สุด และถือเป็นการให้ร่างบางมองท้องฟ้าไปในตัว อดคิดถึงคำพูดที่ตัวเองพูดไปเมื่อครู่ไม่ได้


    ใช่ อย่างไรเสีย...ท้องฟ้าก็ย่อมต้องเหมาะกับนางฟ้า

    เพราะทั้ง 2 สิ่งต่างอยู่สูง...สูงเกินกว่าจะไขว่คว้าได้

    แม้ไขว่คว้าได้เพียงชั่วครู่ก็คงเป็นเพียงแค่ฝัน

    แม้พยายามเท่าไหร่...แต่สิ่งที่ได้มาก็เป็นเพียงแค่ธาตุอากาศ

    แม้จะเหนี่ยวรั้งไว้ได้...ไม่นานนางฟ้าก็คงต้องกลับคืนสู่ฟ้าอยู่ดี


    “ไม่หรอกคังอิน...กับนางฟ้าไร้ปีกอย่างพี่น่ะ” อีทึกพูดก่อนจะยิ้มเศร้าให้กับตัวเอง จนคังอินรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่หดหู่ลงแทบจะทันที


    “พี่อีทึก”


    “คังอินรำคาญหรือเปล่า ที่นางฟ้าคนนี้ไร้ปีก...จนต้องมีผู้พิทักษ์คอยดูแลอยู่ตลอดเวลาน่ะ?” อีทึกเอ่ยถาม รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองคอยแต่จะเป็นภาระให้ร่างสูงตลอดเวลา ตั้งแต่รู้จักกันมานั้น เท่าที่จำได้ เขาเองยังไม่เคยทำอะไรให้คังอินสักครั้ง มีแต่คังอินนั่นแหละที่คอยช่วยเหลือเขาเสมอ คอยอยู่เคียงข้างเขาทุกครั้ง คอยปกป้องดูแลเขาตลอดมา จนเหมือนกับตัวเองเป็นแค่คนเห็นแก่ตัว รังแต่จะสร้างความรำคาญให้คังอินไม่วันใดก็วันหนึ่ง


    คังอินหยุดเดินทันทีเมื่ออีทึกพูดจบประโยค ทำเอาอีทึกชะงักไป


    “ใครบอกกันครับ ที่นางฟ้าไร้ปีกน่ะก็เพราะผมต่างหาก!” คังอินเอ่ยเสียงกร้าว รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเสียเฉย ๆ อย่างไร้เหตุผล สายตาของร่างสูงจ้องมองไปยังถนนเบื้องหน้า ระยะทางอีกไม่ไกลนักก็จะถึงหอพักที่เขาและอีทึกพักอยู่แล้วแท้ ๆ แต่คำพูดที่ดูเหมือนจะตัดพ้อของอีทึกทำเอาอดรู้สึกฉุนขึ้นมาไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้คิดอะไรแบบที่อีทึกพูดมาเลยด้วยซ้ำ

    “เห?” อีทึกทำหน้างุนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ คังอินถึงได้ทำท่าเหมือนโมโหขึ้นมาเสียเฉย ๆ แบบนั้น ทั้งยังไม่เข้าใจความหมายที่ร่างสูงต้องการจะสื่ออีกด้วย

    “ก็เพราะนางฟ้ามีผมอยู่แล้ว...นางฟ้าไม่จำเป็นต้องมีปีกก็ได้นี่ครับ” คังอินเอ่ยออกมาอีกครั้งหนึ่ง น้ำเสียงที่พูดออกไปคราวนี้นั้นอ่อนโยนลง แต่ทว่าหนักแน่นเพราะอยากให้อีทึกเชื่อมั่นเช่นนั้น 


    อีทึกจะรู้หรือเปล่า ว่าใจจริงเขาเองก็ไม่อยากให้อีทึกเป็นนางฟ้าที่มีปีกเลยจริง ๆ ...

    นางฟ้าที่เลิศเลอเหมือนอยู่บนฟ้าบนสวรรค์แบบนั้นเขาไม่ต้องการ เพราะเกรงว่าหากนางฟ้ามีปีก ไม่นานนางฟ้าก็คงโบยบินจากเขาไป แต่นางฟ้าแบบอีทึกไม่ใช่เช่นนั้น ขอเพียงแค่นางฟ้าอยู่เคียงข้างเขา เป็นนางฟ้าเดินดินธรรมดา เพียงแค่นั้นก็เลิศเลอยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ไม่ต้องมีปีก ไม่ต้องปกป้องตัวเองแต่อย่างใด

    เพราะถึงแม้นางฟ้าจะไร้ปีก...แต่เขาจะเป็นปีกให้กับนางฟ้าเอง 


    “ขอบใจนายมากนะคังอิน คังอินเป็นคนดีมากเลย...พี่ชอบนายมากที่สุดเลยล่ะ” อีทึกยิ้มกว้างอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้นางฟ้าคนสวยยิ้มแก้มแทบปริ ถ้าแม้คังอินจะมองเห็นได้ก็คงจะรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมากกว่านี้ เหมือนกับที่หัวใจของเขาอบอุ่นเสียจนร้อนยามที่อยู่ใกล้ร่างสูง คนที่คอยดูแลปกป้องเขามาตลอด เสมือนเป็นดวงอาทิตย์ที่ให้แสงสว่างให้นางฟ้าได้อาบแสงแดดนั้น ร่างบางกอดคอคังอินแน่นก่อนจะเบียดหน้ามาอยู่บนไหล่ของร่างสูง

    “พี่อีทึกครับ” คังอินเอ่ยขึ้นมาด้วยว่าความรู้สึกที่อยู่ในใจนั้นต่างพากันวิ่งพรวดมาออกันอยู่ในลำคอ จะอะไรเสียอีก ก็ที่จู่ ๆ อีทึกก็กอดคอเขาแน่น ทั้งยังเอาหน้ามาเกยไล่เขาเสียแบบนั้น แม้จะหันกลับไปมองอย่างเต็มตาไม่ได้ แต่คังอินก็พอจะมองเห็นได้ว่า อีทึกกำลังยิ้มอยู่ แม้จะเป็นเพียงแค่แวบหนึ่งจากหางตา อีกทั้งคำพูดที่เจ้าตัวพูดออกมาแบบนั้นเสียอีก แม้จะรู้ว่าอีทึกแทบจะไม่คิดอะไรเลยก็ตาม

    “หืม?” อีทึกเอียงคอแบบงุนงง ทั้งยังพยายามเบียดแทรกหน้าตัวเองมาข้างหน้าอีก เพราะพอคังอินเรยีกชื่อเขาเพียงแค่นั้น ร่างสูงก็เงียบไปอีก คังอินทำหน้าลำบากใจ ความรู้สึกที่อยากเอ่ยเมื่อครู่หายไปอีกครั้งหนึ่ง พร้อม ๆ กับเสียงเพลงที่เขาได้ฟังมาจากห้องดนตรีเมื่อตอนเย็นก็แวบเข้ามาแทนที่


    เธอจะมีใจหรือเปล่า? 

    เธอเคยมองมาที่ชั้นหรือเปล่า? 

    ที่เราเป็นอยู่นั้น...คืออะไร?

    เธอจะมีใจหรือเปล่า? 

    มันคือความจริงที่ชั้นอยากรู้ เก็บอยู่ในใจแต่ไม่อยากถาม... 

    กลัวรับมันไม่ไหว...



    “เปล่าหรอกครับ...ไม่มีอะไร” คังอินตัดบท ในที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้พูดออกไป และแม้แต่อีทึกเองก็ไม่ใส่ใจจะถามเช่นกัน บทสนทนาของทั้ง 2 จึงยุติลงเพียงแค่นั้น เพราะหลังจากนั้นแล้วทั้งเขาและอีทึกก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ๆ อีก ดังนั้นทุกย่างก้าวที่เดินไปของร่างสูงจึงมีแต่ความเงียบงัน


    .
    .
    .


    “พี่อีทึกครับ ถึงห้องแล้วนะครับ” คังอินเอ่ยขึ้นบอกกับคนที่อยู่บนหลังเบา ๆ


    ตอนนี้เขาอยู่ที่หน้าห้องของอีทึกในหอพักที่เขาและอีทึกพักอยู่ ถึงแม้ว่าอีทึกจะมีฐานะที่ร่ำรวย เป็นลูกชายคนเดียวของบริษัทสินค้าส่งออกที่อยู่ในโซล แต่เป็นเพราะสนิทกับคังอินและเพราะพ่อแม่ของเจ้าตัวอาศัยอยู่ที่โซล นาน ๆ ครั้งถึงจะได้แวะกลับมาเยี่ยม นั่นทำให้อีทึกเลือกที่จะมาพักอยู่ที่หอใกล้โรงเรียนแบบนี้แทน ทั้งที่เงินที่อีทึกได้ไว้สำหรับใช้จ่ายในแต่ละวันนั้นมากพอที่จะเช่าห้องสูทหรูของโรงแรมชั้นนำได้เลยทีเดียว ซึ่งเจ้าตัวให้เหตุผลว่าที่พักอยู่ใกล้โรงเรียนเพราะเขาสามารถจะทำงานที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จดึกดื่นแค่ไหนก็ได้ โดยไม่ต้องกลัวเรื่องการเดินทาง เพราะเพียงแค่เดินเท้าไม่กี่นาทีก็มาถึง แต่สำหรับคังอิน การที่เขามาอยู่ที่หอก็เพราะเขาไม่ได้มีฐานะร่ำรวยแบบนั้นเหมือนกับอีทึก หรือจะบอกว่า ฐานะทางบ้านเขาก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนกับเพื่อน ๆ ในกลุ่ม ครอบครัวของเขาเองก็เป็นเพียงชนชั้นกลางธรรมดาเพียงแค่นั้น แต่เพื่อน ๆ ทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทุกคนคบเขาด้วยใจ ไม่มีใครคิดกีดกันหรือรังเกียจฐานะแต่อย่างใด ซึ่งอีทึกก็เป็นคนหนึ่งที่พูดเช่นนี้เสมอ

    “พี่อีทึกครับ” คังอินเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อยอีกครั้งหนึ่ง เพราะเกรงว่าเสียงห้าว ๆ ของเขาอาจจะดังรบกวนรุ่นพี่ห้องข้าง ๆ ซึ่งอาจจะโดนเจ้าตัวลุกขึ้นมาเอาอะไรเขวี้ยงเอาได้ เพราะนี่ก็เป็นเวลาดึกพอสมควร หากแต่ร่างบางก็ไม่สนองตอบ

    “...” ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ จากอีทึก นอกเสียจากลมหายใจอุ่น ๆ แผ่ว ๆ อย่างสม่ำเสมอจนคังอินชักเอะใจ ร่างสูงจึงวางกระเป๋าและแฟ้มลงบนพื้นข้างประตูห้อง ก่อนจะค่อย ๆ คลายมือที่สอดอยู่ใต้ข้อพับขาของอีทึกออก แล้วรั้งตัวร่างบางมาข้างหน้าแทน มือของอีทึกที่คล้องคอเขาไว้หลวม ๆ ก็คลายปล่อยออกอย่างง่ายดาย

    “พี่อี...” คังอินเอ่ยออกมาได้แค่นั้นก็ต้องชะงักปาก ร่างสูงปิดปากสนิทหากแต่กลายเป็นรอยยิ้มแทนเมื่อแลเห็นร่างบางที่หลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมแขนพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย อีทึกผล็อยหลับไปบนหลังคังอินด้วยความเหนื่อยอ่อนเพราะเจ้าตัวทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเวลาพักผ่อนเป็นเวลาหลายวัน ซึ่งเพียงหลังจากที่คังอินทำท่าจะเอ่ยถามเขาแล้วร่างสูงไม่ยอมพูดอะไรอีก อีทึกก็สวิตส์ดับวูบลงไปเสียเฉย ๆ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ไม่มีคำพูดใด ๆ เลยที่หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากของนางฟ้าประจำโรงเรียน

    คังอินประคองอีทึกไว้ด้วยมือข้างเดียวส่วนอีกมือหนึ่งก็เอื้อมมือไปบิดลูกบินประตูห้อง อดหันไปทำหน้าบึ้งใส่คนที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยไม่ได้ ด้วยว่าอีทึกไม่ยอมล็อคห้องตัวเองอีกแล้ว คังอินบ่นอุบอิบก่อนจะช้อนตัวอีทึกขึ้นอุ้มร่างบางเดินเข้าไปในห้อง
    เป็นเรื่องปกติสามัญทีเดียวสำหรับอีทึกที่เจ้าตัวมักจะไม่ยอมล็อคห้องเสมอยามที่เจ้าตัวไม่อยู่ในห้อง โดยให้เหตุผลกับคังอินว่า ในหอทุกคนก็เหมือนเพื่อนกันทั้งนั้น ไม่มีใครจะเป็นขโมยไปได้ นอกจากนั้นแล้วในห้องเขาก็ไม่มีของที่พอจะขโมยได้ด้วยซ้ำ คังอินส่ายหน้าให้กับความคิดอันไร้เดียงสาของอีทึก และคำว่าไม่มีของที่พอจะขโมยได้ เพราะแค่นาฬิกาปลุกที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงของอีทึกก็ดูสวยงามมีราคาจาเขาไม่อยากจะเดาเลยว่าเขาจะมีปัญญาซื้อหรือเปล่า ไหนจะยังพวกเครื่องประดับที่เจ้าตัวชอบสะสมไว้อีก แต่ยังดีอยู่บ้างที่อีทึกยอมล็อคห้องตามคำสั่งของเขาก่อนนอน ไม่ใช่ว่าเขากลัวว่าใครจะมาขโมยของอะไรหรอก กลัวว่านางฟ้าเองจะไม่ปลอดภัยต่างหาก เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่คังอินเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาในห้องของอีทึกยามดึกเพื่อจะขอยืมหนังสือติวข้อสอบ หากแต่ก็ต้องรีบถอยหลังออกมาแทบไม่ทันเพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือ อีทึกที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงอวดผิวขาวผ่องโดยไม่มีอาภรณ์ใด ๆ ปกปิด นอกจากผ้าห่มผืนบาง หลังจากวันนั้นคังอินก็ต้องกำชับให้อีทึกล็อคประตูห้องเสียทุกครั้ง โดยที่ไม่ยอมอธิบายกับเจ้าตัวว่าเพราะเหตุใด

    คังอินเดินเข้ามาจนถึงเตียงนอนที่อยู่มุมด้านในสุดก่อนจะบรรจงวางร่างของร่างบางลงบนเตียงนุ่ม แล้วจัดแจงถอดรองเท้าอีกข้างที่เหลือออกให้ อีทึกย่นหน้าเล็กน้อยก่อนจะกลับเป็นปกติอีกครั้งหนึ่งเมื่อใบหน้าสัมผัสกับหมอน ร่างบางขดตัวนอนตะแคงคุดคู้เหมือนกำลังหนาวจนคังอินต้องรีบดึงผ้าห่มจากปลายเตียงมาห่มให้ ร่างสูงล้มตัวลงนอนข้าง ๆ สายตาจดจ้องมองใบหน้านางฟ้าที่พริ้มหลับอยู่ตรงหน้า

    “พี่อีทึก...ผมรักพี่นะ แล้วพี่รักผมบ้างรึเปล่า?” คังอินเอ่ยเสียงแผ่วเบาข้าง ๆ หู มีเพียงเสียงหายใจสม่ำเสมอของอีทึกเท่านั้นที่เป็นสิ่งตอบรับ ร่างสูงยิ้มให้กับตัวเองพลางส่าย แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป โดยไม่ลืมที่จะวางกระเป๋าและแฟ้มของอีทึกไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือของเจ้าตัวและล็อคประตูห้องให้อย่างเรียบร้อย 


    เวลา...เหลืออีกไม่มากแล้ว... 


    เหลืออีกไม่กี่สัปดาห์ อีทึกก็จะเรียนจบ 

    แต่เขาก็ยังไม่กล้าเอ่ยถามออกไปเสียที... 


    เวลา...ถึงตอนนั้นมันจะสายไปหรือเปล่า?

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ...พิธีจบการศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมปลายปี 3 โรงเรียนมัธยมซง ฮวาจิน...

    คังอินเดินอยู่ท่ามกลางกลุ่มนักเรียนทั้งรุ่นน้องและรุ่นเดียวกันที่เดินกันให้ขวักไขว่ เสียงพูดคุยกันอย่างออกรสดังอยู่ไม่ขาดสาย พอ ๆ กับเสียงการทำงานของกล้องถ่ายรูปและแสงแฟลชที่วูบวาบอยู่ตลอดเวลา ร่างสูงสอดส่ายสายตามองไปตามริมทางเดินปูอิฐบล็อกนอกอาคารที่เขากำลังเดินอยู่ แม้ในวันปกติมันจะดูกว้างขวาง รองรับนักเรียนที่เดินผ่านไปมาทั้งวันได้หลายร้อยคน หากแต่ในวันสำคัญเช่นนี้ แทบไม่มีพื้นที่ให้ก้าวเดินเลยแม้แต่น้อย ร่างสูงอดยิ้มไม่ได้เมื่อมองเห็นนักเรียนหญิงชั้นมัธยมต้นหลายคนพากันหิ้วถุงใส่ของขวัญที่พวกเธอเตรียมไว้ให้รุ่นพี่โดยเฉพาะ บางคนก็ถึงกับร้องไห้เอาจริง ๆ เมื่อยื่นของขวัญให้ จนผู้รับต้องรีบปลอบ รุ่นพี่ปี 3 หลายคนที่จับกลุ่มกันถ่ายรูปตามซุ้มประตูที่มีการจัดเตรียมไว้โดยเฉพาะ เป็นที่น่าสังเกตว่านักเรียนชั้นปีที่ 3 ที่มีชื่อเสียงหรือเป็นคนดังในโรงเรียนมักจะได้ของขวัญจากรุ่นน้องเยอะกว่าใคร ๆ


    ...และอีทึกเองก็เป็นหนึ่งในนั้น


    “คังอิน~ คังอิน พี่อยู่นี่!” เสียงใส ๆ เจื้อยแจ้วของอีทึกที่ดังมาจากกลุ่มห้องนักเรียนชั้นปีที่ 3 ห้อง 6-A ที่อยู่ชิดริมทางเดินฝั่งอาคารเรียน คังอินละสายตาจากซุ้มกุหลาบสวยสดที่อยู่ริมทาง อีทึกเดินแหวกกลุ่มเพื่อน ๆ และรุ่นน้องที่ยืนออกันอยู่เต็มหลังเส้นกั้น ซึ่งทางกรรมการนักเรียนจัดทำไว้โดยเฉพาะเพื่อเป็นการป้องกันไปในตัว การยื้อแย่งกันให้ของขวัญรุ่นพี่จากรุ่นน้อง ความพยายามที่จะไปยืนอยู่ข้างๆ รุ่นพี่ตัวเองชอบเพื่อนขอถ่ายรูป ความตั้งใจที่อยากจะสัมผัสหรือจับมือกับรุ่นพี่คนดัง นำมาซึ่งความวุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้น ไหนจะอาการบาดเจ็บจากการเบียดเสียดยื้อแย่งกันเช่นนั้นอีก นั่นทำให้ในปีนี้หน้าแถวของบรรดารุ่นพี่ชั้นปีที่ 3 ทุกห้องจึงต้องมีเส้นเชือกกั้นไว้บาง ๆ แต่หากว่ารุ่นพี่จะออกไปหารุ่นน้องเองก็ย่อมได้เช่นกัน เพราะก็เป็นเพียงแค่การป้องกันเท่านั้น ไม่ใช่กฎเกณฑ์ข้อบังคับอะไรนัก

    คงเป็นเพราะคังอินเอาแต่ยืนเหม่ออยู่ จู่ ๆ อีทึกที่วิ่งมาก็มายืนอยู่ข้าง ๆ ร่างสูงที่หันมาพอดีอดยิ้มไม่ได้เพราะที่บนเสื้อของอีทึกมีเครื่องประดับจำพวกเข็มกลัดและตุ๊กตา รวมทั้งป้ายข้อความจากรุ่นน้องประดับอยู่เต็ม รวมทั้งในอ้อมแขนของร่างบางก็ยังคงหอบของพะรุงพะรังจน 'ซอนเย' เลขาของกรรมการนักเรียนต้องรีบมารับของไปจากมือ ก่อนจะโค้งให้น้อย ๆ แล้วนำทางให้ทั้ง 2 เดินไปที่ซุ้มดอกลิลลี่สีขาวสะอาดตาที่ถูกจัดเป็นช่อรวมกับผ้าซาตินสีขาวบริสุทธิ์ ประดับด้วยโบว์สีเขียวอ่อนทำให้ซ้มที่แลดูเหมือนเป็นสีขาวกลืนกันไปหมดนั้นดูเด่นขึ้นมา ลิลลี่สีขาวนั้นเปรียบเสมือนดอกไม้ประจำตัวที่อีทึกชอบมากที่สุด ดังนั้นคังอินจึงไม่แปลกใจเลยว่า ซุ้มลิลลี่สีขาวนี้ต้องเป็นซุ้มที่คณะกรรมการนักเรียนจัดขึ้นเพื่ออีทึกโดยเฉพาะทีเดียว

    “มาถ่ายรูปกับพี่มาเร็ว” อีทึกยิ้มร่ากวักมือให้ร่างสูงที่เดินตามมาห่าง ๆ นั้นรีบเร่งฝีเท้า หากแต่ก็ไม่ทันใจจนเจ้าตัวต้องไปดึงมือคังอินให้มาเดินข้าง ๆ เสียเอง คังอินเอาแต่ก้มหน้าลงมองพื้นตลอดเพราะอดที่จะเขินอายกับสายตาที่มองมาไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะเดินกับอีทึก หากแต่เพียงเพราะตอนนี้ ทั้งเขาและอีทึกต่างก็ตกเป็นเป้าสายตาของบรรดานักเรียนทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องที่ยืนอยู่แถวนั้นไปเสียแล้ว ภาพของประธานนักเรียนร่างบางคนสวยที่เดินมาพร้อมกับร่างสูงที่เป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน ขนาบข้างด้วยเลขานุการและเหรัญญิกของคณะกรรมการนักเรียน ดูเป็นภาพที่น่าประหลาดใจและน่าชื่นชมไปพร้อมกัน

    “ช่วยเป็นตากล้องให้ชั้นหน่อยได้มั้ย ฮีชอล?” อีทึกร้องบอกฮีชอลที่กำลังยืนถ่ายรูปเก็บภาพบรรยากาศของงานอยู่แถวนั้นพอดี ร่างบางถือวิสาสะสอดแขนแขนเรียวเข้าไปควงแขนของคังอินไว้แน่น คังอินมองท่าทางที่แสนมั่นใจของอีทึกแล้วก็กลืนน้ำลาย รู้สึกถึงสายตาที่จิกมองมาของบรรดารุ่นน้องที่อยู่หลังเส้นกั้น ดูเหมือนว่าเขาจะกลายเป็นคนพิเศษของประธานนักเรียนในสายตาของนักเรียนโรงเรียนซง ฮวาจินไปแล้ว

    “เรื่องอะไรของชั้นล่ะ!” ฮีชอลที่หันมามองอีทึกแล้วก็ค้อนขวับ คนสวยกำลังจดจ่ออยู่กับการถ่ายภาพบรรยากาศงานอย่างไม่สนใจใคร มือเรียวสวยประคองกล้องกล้อง D-SLR รุ่น EOS 400 ของ Canon ราคาแพงระยับที่เจ้าตัวอุตส่าห์ซื้อมาเพื่อใช้ในงานนี้โดยเฉพาะ ฮีชอลเป็นสมาชิกชมรมถ่ายรูปด้วย ดังนั้นรูปสวย ๆ ที่ติดอยู่หน้าชมรมส่วนหนึ่งก็มาจากฝีมือของฮีชอลเช่นกัน

    “ฮีชอล...” อีทึกเรียกคนสวยเสียงต่ำ พร้อมกับท่าทางที่ดูเหมือนแข็งกร้าวขึ้นจนคังอินมองแบบงง ๆ ที่จู่ ๆ ฮีชอลก็รีบทิ้งหน้าที่กระวีกระวาดมาหาอีทึกทันที

    “ครับผม! ท่านประธาน เดี๋ยวนี้เลยครับ!” ฮีชอลร้องตะโกนมาแต่ไกลก่อนจะรีบวิ่งมายืนที่หน้าซุ้มดอกลิลลี่ที่อีทึกและคังอินยืนอยู่อย่างรวดเร็ว ด้วยกลัวว่าอีทึกจะฟิวส์ขาดขึ้นมาอีก หากแต่อีทึกที่มองเห็นฮีชอลยืนหน้าซีดกลับหัวเราะ

    “ฮ่าฮ่าฮ่า! ประธานอะไรกัน? หลังจากพรุ่งนี้แล้วทั้งชั้นทั้งนายก็จะพ้นตำแหน่งกรรมการนักเรียนแล้วนะ” อีทึกว่าพลางหัวเราะร่า การที่ได้แกล้งให้คนสวยวุ่นวายเล่นแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน อีทึกพอจะจับจุดได้แล้วว่าหากเขาทำท่าทางเหมือนจะโกรธขึ้นมาจริง ๆ ฮีชอลก็จะพินอบพิเทาทำตามที่เขาต้องการโดยไม่กล้าเถียงทันที แม้จะเป็นการแกล้งเล่น ๆ แต่อีทึกก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า เวลาทีเขาโกรธขึ้นมาจริง ๆ นั้นน่ากลัวขนาดไหน เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ยามที่อีทึกในอีกบุคลิกหนึ่งแสดงออกมานั้น พอกลับมาเป็นอีทึกบุคลิกที่เป็นนางฟ้าจริง ๆ กลับจำเหตุการณ์ไม่ได้เอาเสียอย่างนั้น

    ฮีชอลเห็นแบบนั้นก็รู้ว่าถูกประธานนักเรียนคนสวยแกล้งเข้าให้เสียแล้ว ร่างบางกัดฟันกรอดพลางยิ้มเย็น หาทางที่จะเอาคืนให้ได้ พลันก็สังเกตเห็นหน้าจอดิจิตอล LCD ที่โชว์ภาพของคังอินที่ยืนอยู่ห่างกับอีทึกมากขนาดนั้น แถมร่างสูงก็เอาแต่ก้มลงมองพื้นเสียด้วย ฮีชอลเหยียดยิ้มอย่างนึกสนุก


    “อีทึก ๆ ! อะไรติดอยู่ที่เสื้อคังอินแน่ะ!” ฮีชอลแสร้งทำหน้าตกใจ ชี้ไปที่คังอินที่ยืนไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ อีทึกเห็นแบบนั้นก็เบิกตากว้าง นางฟ้าประจำโรงเรียนรีบถลาเข้าไปหาคังอินทันที

    “ไหน ๆ ?” อีทึกร้องพลางใช้มือจับแขนของคังอินยกขึ้นพลิกไปมา ทั้งพยายามเดินดูรอบ ๆ ตัวของคังอินจนฮีชอลอดขำไม่ได้

    “จริงเหรอครับ?” คังอินเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะก้มลงมองดูเสื้อของตัวเองที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะมีอะไรติดอยู่ได้อย่างสงสัย ในขณะที่ร่างบางกำลังง่วนสาละวนอยู่ตรงแถวปกเสื้อของคังอิน ฮีชอลก็ร้องขึ้นเสียงดัง


    “ตรงนั้นไง คังอินก้มลงไปเร็ว!”


    “หา?” คังอินทำหน้างง ๆ แต่ก็ก้มลงไปมองตรงปกเสื้อของตนโดยดี ก็พอดีกับที่อีทึกเงยหน้าขึ้นมอง จมูกของทั้ง 2 คนจึงชนกันพอดิบพอดี ทั้งอีทึกและคังอินต่างชะงักไปทั้งคู่


    “อ๊ะ!”


    แชะ!


    “รูปเด็ดส่งท้ายของประธานนักเรียนโรงเรียนมัธยมซง ฮวาจินกับผู้รักษาประตูมือหนึ่ง...ตั้งชื่อแบบนี้ดีมั้ยนะ?” ฮีชอลว่าพลางยิ้มมุมปาก คนสวยก้มลงมองที่หน้าจอดิจิตอล LCD ที่โชว์ภาพอีทึกกับคังอินอยู่บนนั้น มองดูเผิน ๆ ก็ราวกับว่าทั้ง 2 กำลังจะจูบกันจริง ๆ ต้องขอบคุณนิ้วชี้ข้างขวาที่กดชัตเตอร์ได้ว่องไว พอ ๆ กับความเร็วของชัตเตอร์ที่ตอบสนองความต้องการได้อย่างทันท่วงที เอาเป็นว่า คิม ฮีชอลคนนี้แก้แค้นอีทึกคืนได้อย่างสมใจอยาก

    “ฮีชอล! อีกแล้วนะ!” อีทึกร้องโวยวาย ตอนนี้ประธานนักเรียนคนสวยมีเลือดฝาดฉีดขึ้นเต็มหน้าจนแทบจะลามไปถึงหู รู้ตัวแล้วว่าตัวเองโดนฮีชอลแกล้งกลับ แต่เหมือนว่ารองประธานนักเรียนคนสวยที่เล่นแรงไปนิดจะยักไหล่ทำเหมือนไม่สนใจท่าทีนั้น คนสวยแอบหัวเราะคิกเมื่อเห็นสายตาของบรรดานักเรียนหญิงรุ่นน้องที่เผอิญมองเห็นฉากนั้นเข้าพอดีหน้าแดงกันเป็นแถบ ๆ ก่อนจะรีบเดินหลบฉากไปทางอื่น ส่วนคังอินนั้น ฮีชอลคิดว่าหากเอาเทอร์โมมิเตอร์มาวัดแล้ว อุณหภูมิบนใบหน้าของร่างสูงคงร้อนจนควันขึ้นเลยทีเดียว

    “ฮิฮิฮิ ชั้นไปก่อนละนะ ไม่อยากอยู่แถวนี้นาน ๆ รู้สึกว่ามันจะร้อนเหมือนไฟรักสุมทรวง!” ฮีชอลพูดตัดบทก่อนจะอาศัยจังหวะนั้นรีบชิ่งไปทางอื่นทันที ก่อนที่จะโดนอีทึกเขวี้ยงของใส่ ประธานนักเรียนคนสวยหอบหายใจ ทั้งโกรธทั้งโมโหทั้งเขินอายที่จู่ ๆ ฮีชอลก็แกล้งเขาแบบนั้น

    “เดี๋ยวเหอะ!” อีทึกร้องตะโกนไล่หลังฮีชอล เจ้าหญิงคนสวยที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนหยุดยืนนิ่ง ก่อนจะหันหน้ามาแลบลิ้นใส่ แล้วหันหลังวิ่งต่อไป อีทึกได้แต่กัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ ร่างบางหันมาทางคังอินที่เอาแต่ยืนนิ่งตั้งแต่เมื่อครู่แล้วด้วยความเข้าใจว่าร่างสูงจะโกรธที่โดนฮีชอลหยอกเล่นเสียแรงแบบนั้น


    “คังอินอย่าไปใส่ใจเลยนะ”


    “อ่า...ครับ” คังอินได้แต่ตอบแบบงึมงำในลำคอ ความรู้สึกเมื่อครู่ยังติดอยู่ที่ปลายจมูก ภาพใบหน้าของอีทึกที่ใกล้ชิดเสียขนาดนั้น จนมองเห็นดวงตากลมโตของอีทึกที่เบิกกว้างมองอย่างฉงน พอ ๆ กับแพขนตางามระยับที่อยู่ตรงหน้าจนแทบจะนับขนตาทุกเส้นได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมเป็นนางฟ้าปาร์ค จองซูนั้นล้วนเพอร์เฟ็คต์ ร่างสูงส่ายหน้าแรง ๆ ไล่ภาพนั้นออกไปจากหัวก่อนจะรีบตัดบทเมื่อมองเห็นข้าวของที่วางกองอยู่เต็มบนพื้น


    “เอ่อ...ว่าแต่ ของของพี่อีทึกเยอะมากเลยนะครับ”


    “อื้ม! พี่ก็ว่าอย่างนั้นแหละ จากใครต่อใครหลายคนเลย บางคนพี่ก็ไม่รู้จักเค้าด้วยซ้ำน่ะ” อีทึกตอบพลางยิ้มหวาน สายตาก้มลงมองของขวัญที่ได้รับจากบรรดารุ่นน้องทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่มอบให้เขา มีทั้งตุ๊กตาน่ารัก ๆ ที่อัดแน่นอยู่เต็มในถุง ช่อดอกไม้ที่วางเรียงกันอยู่เต็มกล่องกระดาษ รวมทั้งของกระจุกกระจิกน่ารัก และจดหมายสีหวานที่วางอยู่ในกล่องกระดาษอีกใบ

    “อ่า...ครับ” คังอินไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เพราะก็มองเห็นคำตอบอยู่ตรงหน้าแล้ว อีทึกได้รับของขวัญมากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความนิยมในตัวของประธานนักเรียนคนสวย ร่างสูงได้แต่มองของขวัญตาปริบ ๆ พอมองเห็นเค้าลางของความวุ่นวายได้ราง ๆ เมื่อถึงเวลาที่อีทึกจะต้องกลับหอ ของขวัญมากมายแบบนี้ไม่รู้ว่านางฟ้าคนสวยจะสามารถหอบกลับไปได้ทั้งหมดหรือไม่ หากแต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ต้องมีตัวแทนกรรมการนักเรียนคนใดคนหนึ่งที่รับอาสาขับรถไปส่งอีทึกถึงที่หอแน่หลังจากงาน Committee Night ในค่ำคืนนี้ ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่คณะกรรมการนักเรียนของโรงเรียนมัธยมซง ฮวาจินจะจัดขึ้นทุกปีเพื่อเป็นการส่งท้ายอำลาตำแหน่งของพวกเขานั่นเอง

    “เสียดาย...พี่ไม่รู้จักชื่อพวกเค้าตั้งหลายคน บางคนพี่ก็แทบไม่ได้ขอบคุณเลย ทั้ง ๆ ที่ของพวกนี้เค้าอุตส่าห์ซื้อให้พี่” อีทึกทอดสายตามองของขวัญเหล่านี้พลางบ่นอุบอย่างเสียดาย ของขวัญบางชิ้นก็ถูกห่อถุง ผูกโบว์ประดับอย่างสวยงาม มีการ์ดบอกที่มาของผู้ให้เรียบร้อย พร้อมข้อความที่ส่งถึงเขาอย่างน่ารัก หากแต่ของบางชิ้นที่เป็นของเล็ก ๆ ก็กลับไม่มีข้อความใด ๆ ที่จะบอกถึงตัวตนของผู้ให้ได้อย่างชัดเจน รุ่นน้องบางคนเพียงแค่เข้ามามอบของให้อีทึกแล้วเจ้าตัวก็รีบวิ่งหนีไปทันทีโดยที่อีทึกไม่ทันได้เอ่ยขอบคุณเสียด้วยซ้ำ บางคนก็เป็นคนที่เขาไม่รู้จักชื่อเลยเสียด้วยซ้ำ แม้ของบางชิ้นจะดูเหมือนไม่มีราคาอะไรเลย เมื่อเทียบกับฐานะของอีทึกที่สามารถซื้อได้ทุกอย่างที่ต้องการ หากแต่ของทุกชิ้นที่ได้รับมาต่างก็มีคุณค่าทางจิตใจสำหรับเขามากมาย ซึ่งไม่สามารถตีมูลค่าเป็นเม็ดเงินได้เลย คิดมาถึงตรงนี้แล้วอีทึกก็จ้องมองร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาคาดหวัง

    “แล้ว...คังอิน ไม่มีของขวัญให้พี่เหรอ?” อีทึกมองคังอินด้วยสายตาเหมือนรอคอยคำตอบ ไม่ใช่ว่าต้องการจะได้ของขวัญที่มีค่า มีราคาจากร่างสูงตรงหน้าหรอก ต่อให้เป็นของทำมือ ไม่มีค่างวดใด ๆ เขาก็ยินดีจะรับ ขอเพียงเป็นของที่คังอินตั้งใจมอบให้เขาเท่านั้นเอง เพราะคังอินเป็นรุ่นน้องที่เขาสนิทมากที่สุด เขาเองก็หวังอยู่ลึก ๆ เหมือนกันว่าคังอินน่าจะมีของขวัญมอบให้เขาบ้าง อย่างน้อยก็เป็นการระลึกถึงความผูกพันที่ทั้งคู่สนิทสนมอยู่ร่วมโรงเรียนเดียวกันมาถึง 2 ปีเต็ม

    “มี...มีสิครับ พี่อีทึกรอผมแป๊บเดียวนะ” คังอินรีบตอบพร้อมกับหันหลังวิ่งกลับไปยังอาคารเรียนทันที อีทึกได้แต่มองตามอย่างงง ๆ


    “อื้ม ๆ!”


    ไม่นานนักคังอินก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมาพร้อมกับตุ๊กตาหมีเท็ดดี้แบร์ตัวใหญ่ ในมือถือดอกลิลลี่สีขาวจัดเป็นช่อที่เขาเตรียมไว้มอบให้อีทึกโดยเฉพาะ เมื่อมาถึงตรงหน้าของร่างบาง คังอินก็ยื่นตุ๊กตาหมีให้ อีทึกรับไว้แล้วก้มลงมอง


    “นี่มัน...หมีขาว?”


    “ครับ” คังอินตอบได้เพียงแค่นั้นเพราะรู้สึกหายใจไม่ทัน เขาต้องวิ่งขึ้นไปจนถึงชั้น 3 ของอาคารเพราะเขาเป็นคนเอาตุ๊กตาตัวใหญ่นี้ขึ้นไปซ่อนไว้ตั้งแต่เมื่อคืนวาน ด้วยเกรงว่าพอถึงวันงานจริง ๆ รุ่งเช้าที่เขาจะต้องมาโรงเรียนกับอีทึก เจ้าตัวจะเห็นของขวัญชิ้นใหญ่นี้เสียก่อน อีทึกอุ้มตุ๊กตาชูขึ้นสูงก่อนจะหมุนไปรอบ ๆ สีหน้าของอีทึกตอนนี้เริงร่าราวกับนางฟ้าที่กำลังเต้นระบำลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้า คังอินถึงกับเคลิบเคลิ้มมองภาพนั้นอยู่นาน 2 นาน เพียงแต่จู่ ๆก็รู้สึกถึงขนอ่อนนุ่มที่ระอยู่บริเวณแก้มของตัวเอง หันกลับไปมองอีกทีก็เห็นอีทึกยืนยิ้มแป้น นางฟ้าคนสวยใช้มือจับแขนของตุ๊กตาให้แตะลงไปบนแก้มของคังอินนั่นเอง

    “หน้าเหมือนคังอินเลย” อีทึกว่าพลางหัวเราะคิก ยิ่งทำเอาคังอินทำหน้าเหรอหรามากขึ้นเท่าไหร่ ร่างบางก็ยิ่งคิดว่าเหมือนกับเจ้าตุ๊กตาเท็ดดี้แบร์สีขาวที่อยู่ในมือจริง ๆ “แต่ก็ดีแล้วนะ พี่จะได้นึกถึงคังอินไง” นางฟ้าประจำโรงเรียนโอบกอดตุ๊กตาเท็ดดี้แบร์สีขาวไว้แนบอก รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมอาฟเตอร์เชฟอ่อน ๆ ที่ร่างสูงใช้เป็นประจำ คงเป็นเพราะเมื่อครู่ตอนที่วิ่งมา คังอินคงกอดตุ๊กตาตัวนี้ไว้แน่นด้วยกระมัง


    “อ่า...ครับ” คังอินเอ่ยออกไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่านี้


    อีทึกลูบหัวตุ๊กตาเบา ๆ ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นถามร่างสูงอีกครั้ง


    “จริงสิ มันมีชื่อรึเปล่า?”


    “เอ่อ...ยังครับ”


    “งั้น...ใช้นี่ละกัน” อีทึกว่าพลางเอื้อมมือไปดึงริบบิ้นผูกผมสีหวานที่ผูกอยู่ตรงหางม้าของตัวเองออก ก่อนจะก้มลงทาบทับริบบิ้นรอบคอของตุ๊กตาเท็ดดี้แบร์สีขาวตัวนั้น หากแต่เพราะตุ๊กตาขนาดใหญ่กว่ามาก ริบบิ้นจึงไม่สามารถพันทบได้รอบ อีทึกจึงตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายมาผูกริบบิ้นเป็นโบว์ที่ข้อมือของตุ๊กตาแทน “พี่เป็นคนผูกโบว์ให้ตุ๊กตาคนแรก วันนี้ก็ถือเป็นวันเกิดของตุ๊กตา พี่ก็มีสิทธิ์ตั้งชื่อล่ะนะ” อีทึกพูดพลางก็ผูกโบว์ให้ตุ๊กตาหมีอย่างตั้งใจ โดยที่สายตาไม่ได้ละไปจากมือของตัวเองเลยแม้แต่น้อย พอดึงเส้นริบบิ้นออกเป็นโบว์ตกแต่งจนเรียบร้อย ร่างบางก็ยื่นผลงานที่สำเร็จของตัวเองให้คังอินดู


    “ให้มันชื่อ 'คังทึก' ดีมั้ย?” อีทึกเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้ม คังอินทำหน้างุนงง


    “ก็ชื่อของพี่กับคังอินมารวมกันไง เจ้าหมีตัวนี้จะได้ทั้งแข็งแกร่งแล้วก็พิเศษด้วย พี่จะได้รู้สึกเหมือนมีคังอินอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลาไง” อีทึกพูดพลางก้มลงมองตุ๊กตาหมีในอ้อมแขนอย่างรักใคร่


    คำพูดและท่าทีนั้นของอีทึกทำเอาคังอินใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ร่างบางพูดออกมา เป็นเพียงคำพูดที่เกิดขึ้นเพียงเพราะความคิดชั่ววูบที่ไม่ได้มีอะไรเกินเลยมากไปกว่าคำว่ารุ่นพี่กับรุ่นน้องหรือเป็นคำพูดที่เจ้าตัวพูดออกมาจากหัวใจกันแน่ ร่างสูงอดคิดไปไม่ได้ว่า หากคำพูดนั้นที่อีทึกพูดออกมา เป็นคำพูดที่ออกมาจากหัวใจจริง ๆ เป็นคำพูดของคนที่มีความรู้สึกแบบเดียวกับเขาจริง ๆ เขาจะดีใจแค่ไหน

    “พี่อีทึกครับ” คังอินกำหมัดแน่น ตัดสินใจที่จะเอ่ยคำคำนั้นออกไปอีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่รู้สึกประหม่าอยู่ไม่ใช่น้อย และไม่ได้เตรียมตัวที่จะรับสถานการณ์เช่นนี้อีกครั้ง หลังจากในคืนนั้นที่เขาให้อีทึกขี่หลังแล้วเดินกลับไปส่งที่หอ ร่างสูงก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะบอกความในใจกับประธานนักเรียนคนสวยอีกเลย หากแต่ว่าตอนนี้บรรยากาศก็เหมือนเป็นใจ ด้วยสังเกตจากจำนวนนักเรียนที่เริ่มบางตาลงกว่าช่วงเช้า เพราะบรรดานักเรียนชั้นมัธยมต้นต่างก็เข้าเรียนกันตามปกติ ยังคงมีนักเรียนมัธยมปลายบางส่วนที่ยังคงยืนพูดคุยกับรุ่นพี่ตามซุ้มของแต่ละห้องอยู่ประปราย


    “ว่าไงคังอิน” อีทึกยิ้มหวาน สายตาของร่างบางที่ยืนอยู่ตรงหน้าจดจ้องมาที่เขานิ่ง จนคังอินต้องรีบหลบสายตาวูบ ร่างสูงก้มหน้าลงมองพื้น ถอนหายใจก่อนระรวบรวมคำพูดอีกครั้งหนึ่ง


    “คือ...”


    “อีทึก! มัวทำอะไรอยู่ แทฮยอนประกาศเรียกนักเรียนเข้าหอประชุมแล้วนะ!” เสียงตะโกนลั่นดังมาจากเบื้องหลังของอีทึกจนประธานนักเรียนคนสวยรีบหันไปมองอย่างตกใจ นั่นทำเอาคำพูดที่คังอินต้องการจะบอกอีทึกนั้นถูกกลืนหายลงไปในลำคออีกจนได้ ร่างสูงชะเง้อหน้ามองตามเยงนั้นก็เห็นร่างบางของรองประธานนักเรียน คิม ฮีชอล วิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล ในมือของเจ้าหญิงคนสวยประจำโรงเรียนถือแฟ้มหุ้มปกหนังสีดำสนิทไว้แนบอก คำพูดของฮีชอลนั้นทำเอาคังอินนึกขึ้นได้

    “อ๊ะ! จริงด้วย เดี๋ยวชั้นต้องขึ้นพูดบนเวทีนี่นา! ตายล่ะยังไม่ได้ซ้อมคำกล่าวบนเวทีเลย” อีทึกร้องขึ้น จริง ๆ แล้วเมื่อครู่นี้เขาก็พอได้ยินเสียงประกาศออกไมค์ของโรงเรียนอยู่บ้าง แต่ก็จับใจความสำคัญอะไรไม่ได้เลย เพราะเขาเองก็มัวแต่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่รุ่นน้องร่างสูงกำลังจะพูดอยู่ตลอด น้ำเสียงของอีทึกคล้ายกับจะตอกย้ำความรู้สึกในใจให้มากขึ้นไปอีกว่าตัวเองนั้นไร้ความรับผิดชอบต่อหน้าที่มากแค่ไหน ฮีชอลได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้า รางบางเดินจ้ำรวดเดียวก็มาถึงตัวของประธานนักเรียนคนสวย

    “ช่างเถอะ! คำกล่าวที่ซอนเยร่างให้น่ะ อ่านแป๊บเดียวก็จำได้แล้วล่ะ รีบ ๆ ตามชั้นมานะ!” ฮีชอลยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจนัก เขาเองก็ไม่ได้คิดจะกล่าวโทษอะไรอีทึกแม้แต่น้อย จะว่าความปากไวของตัวเองเป็นเหตุเองก็คงได้ เพราะตัวเขาเองก็รู้ว่าอีทึกคิดมากแค่ไหนยามที่ตัวเองปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง แม้จะเป็นเพียงแค่จุดเล็กน้อยก็ตาม สายตาคมของฮีชอลเหลือบมองเห็นตุ๊กตาเท็ดดี้แบร์สีขาวตัวใหญ่ที่อีทึกกอดไว้แนบอก สลับมองไปยังร่างสูงที่เอาแต่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่นั้น เขาเองก็พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ฮีชอลจึงหย่อนนาฬิกาต่อเวลาไว้ให้เล็กน้อย ก่อนจะวิ่งกลับไปยังทางเดิมที่เขาวิ่งมาเมื่อครู่

    “อื้ม! ” อีทึกตะโกนไล่หลัง ก่อนที่ประธานนักเรียนคนสวยจะเดินไปที่โต๊ะวางของ วางตุ๊กตาหมีเท็ดดี้แบร์สีขาวบนโต๊ะอย่างเสียดาย แล้วเริ่มปลดเข็มกลัดสีสดรวมทั้งข้าวของจุกจิกที่แขวนติดอยู่บนเสื้อนอกของตัวเองออก จริง ๆในหอประชุมนั้นอนุญาตให้สามารถนำของที่รุนน้องมอบให้เข้าไปได้ แต่ตัวเขาเองนั้นจำเป็นต้องขึ้นเวทีเพื่อกล่าวรายงานต่อผู้อำนวยการโรงเรียนในฐานะประธานนักเรียนโรงเรียนมัธยมซง ฮวาจินเพื่อกล่าวปิดงาน ดังนั้นเพื่อความเรียบร้อยในฐานะกรรมการนักเรียนแล้ว จะต้องไม่มีข้าวของใด ๆ แม้สักชิ้นนำติดตัวเข้าไปเลย

    “คังอิน พี่ขอตัวก่อนนะ ขอโทษด้วยจริง ๆ ไว้เสร็จงานนี้นายต้องพูดต่อให้จบนะ” อีทึกโค้งให้ร่างสูงที่ยืนอยู่น้อย ๆ ด้วยคำขอโทษจากใจจริง ทั้งยังไม่ลืมกำชับเรื่องที่คังอินพูดค้างอยู่เมื่อครู่ด้วย

    นี่คือความมีน้ำใจและความเอาใจใส่อย่างหนึ่งของอีทึก ที่เจ้าตัวมักแสดงออกมาบ่อย ๆ อีทึกเป็นคนที่ใส่ใจความรู้สึกคนอื่นอยู่เสมอ คังอินรู้ดีเช่นนั้น ถึงแม้หากเจ้าตัวจะไม่ได้เป็นประธานนักเรียนก็ตาม สิ่งนั้นมาจากความรู้สึกจากใจจริงของเจ้าตัว มากกว่าที่จะพึงแสดงออกมาเพราะตำแหน่งหน้าที่ หรือความรับผิดชอบใด ๆ ที่วางอยู่บนบ่าที่เจ้าตัวแบกรับภาระไว้

    “อ่า...ครับ” คังอินพยักหน้าให้อย่างเข้าใจ แม้จะรู้สึกเสียดายอยู่บ้างว่า ในที่สุดแล้ว ทั้ง ๆ ที่เขามีโอกาสที่จะสามารถพูดออกไปได้อีก แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเก็บมันเอาไว้ในใจอีกครั้งหนึ่ง แต่ตัวเขาเองก็ไม่อยากรั้งให้อีทึกต้องอยู่กับเขานานนัก ในเมื่อเจ้าตัวเองก็มีภาระและหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบ อีทึกยิ้มกว้างให้ ร่างบางที่กำลังทำท่าจะวิ่งไปทางหอประชุมเมื่อครู่อดหันหลังกลับมามองไม่ได้ สังเกตเห็นคังอินก้มหน้านิ่งทำท่าหมือนหดหู่เสียเต็มประดาแบบนั้นก็ส่ายหน้าช้า ๆ

    “คังอิน” อีทึกเรียกชื่อคังอินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ครั้นพอเห็นคังอินเงยหน้าขึ้นมอง ร่างบางก็ยิ้มให้อีกครั้งหนึ่ง รอยยิ้มที่หวานเสียจนเห็นลักยิ้มเป็นรอยบุ๋มบนแก้ม ทำให้อีทึกดูราวกับนางฟ้าที่กำลังแย้มยิ้มให้


    “พี่รักนายมากเลยนะ รู้มั้ย?”

    อีทึกบอกก่อนจะหันหลังวิ่งออกไปทางหอประชุม เหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำหอมหวานละมุนจาง ๆ และคำพูดที่ฟังดูเหมือนให้ความหวังของเจ้าตัวนั้นยังคงสะท้อนก้องไปมาในหัว คังอินเดินไปที่ม้านั่งข้าง ๆ โต๊ะวางของ หย่อนตัวลงนั่ง ก่อนที่ร่างสูงจะเหลือบไปเห็นตุ๊กตาหมีสีขาวที่เขามอบให้อีทึกวางอยู่บนนั้น ที่รู้ว่าเป็นของตัวเองก็เพราะริบบิ้นสีฟ้าอ่อนที่ผูกเป็นโบว์อย่างสวยงามบนข้อมือของตุ๊กตา ซึ่งอีทึกบรรจงผูกด้วยความตั้งใจนั่นเอง คังอินหยิบตุ๊กตาหมีขึ้นมากอดไว้แน่น รับรู้ได้ถึงไออุ่นจากร่างบางที่กอดมันไว้เมื่อครู่


    “ครับ...ผมรู้”


    ผมรู้ครับ...พี่อีทึก

    รู้ว่าคำพูดที่พี่พูดออกมานั้น...มันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น
    แม้จะเป็นคำ ๆ เดียวกับที่ผมต้องการบอก...แต่มันก็ไม่ใช่ความหมายเดียวกัน...

    พี่อีทึก...ผมยังมีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่กัน?

    -------------------------------------------------------------------------------------

    ร่างบางของฮีชอลวิ่งออกมาจากหอประชุมอย่างกะทันหัน หลังจากที่ส่งอีทึกขึ้นไปบนเวทีได้แล้ว เจ้าหญิงคนสวยบ่นกระปอดกระแปดว่าอีทึกมาสายทำให้เขาต้องคอยรับหน้ากับครูอาจารย์ผู้ใหญ่หลายคน ทั้งต้องคอยคิดหาคำแก้ตัวด้วยว่าเพราะเหตุใด ฮีชอลไม่ลืมที่จะกระเซ้าแหย่เรื่องคังอินกับอีทึกที่เขาเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่จนโดนอีทึกทำเสียงเขียวดุใส่ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้คังอินต้องการพูดอะไรกับอีทึก ถึงแม้ว่าเจ้าตัวเองที่เป็นคนรับฟังจะยังไม่รู้เรื่องรู้ราวใด ๆ ก็ตาม แต่เป็นเพราะหน้าที่ เขาจึงจำต้องขัดจังหวะขั้นช่วงเวลานั้นไว้ก่อน หากคังอินมีความตั้งใจจริงล่ะก็ ร่างสูงคงต้องหาโอกาสบอกอีทึกอีกครั้งได้แน่ จะว่าไปแล้วก็ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งของฮีชอลที่ได้แกล้งคนทั้ง 2 เล่นเหมือนกัน หากแต่ว่าตอนนี้ ฮีชอลกำลังหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง

    “อยู่ที่ไหนกันนะ!” ฮีชอลเอ่ยเสียงขุ่น สายตาก้มลงมองบนพื้นทางเดินเพื่อหาของสำคัญอย่างหนึ่งที่เขาทำตกไว้ ระหว่างทางที่เขาวิ่งไปหาอีทึกมันคงจะหล่นลงจากกระเป๋ากางเกงโดยที่เขาไม่รู้ตัวเป็นแน่...


    ของสำคัญสิ่งนั้นที่เรียกว่า...พัดแบบจีนที่ฮันคยองเป็นคนซื้อให้


    ร่างบางอดที่จะโทษตัวเองในใจไม่ได้ว่าเป็นเพราะความสะเพร่าของเขาเองที่ไม่เก็บมันเอาไว้ให้ดี ทั้ง ๆ ที่เป็นของสำคัญที่สุดแท้ ๆ เขากลับทำมันหายเสียได้ จริง ๆ แล้วมันดูเป็นเรื่องเล็กน้อยเสียจริงหากเขาได้บอกใครต่อใครว่า การที่รองประธานนักเรียน คิม ฮีชอล วิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากหอประชุมกลางคัน ทั้ง ๆ ที่พิธีกำลังจะเริ่มอยู่รอมร่อ เป็นเพราะว่าเขาทำพัดประจำตัวหล่นหาย ใช่ ถ้าหากมันป็นพัดธรรมดา ๆ ที่ใคร ๆ ก็หาซื้อได้ล่ะก็นะ ฮีชอลทรุดลงนั่งตรงทางเดินทางเดินข้างแปลงดอกไม้โดยไม่ใส่ใจว่ากางเกงนักเรียนของตัวเองจะเปื้อนแต่อย่างใด หากเป็นเวลาปกติแล้ว เจ้าตัวคงต้องบ่นกระปอดกระแปดเป็นแน่หากมีอะไรมาเลอะชุดของตัวเองเพียงนิด


    ไม่เจอ...ไม่เจอจริง ๆ ด้วย...

    ทำยังไงดี...ของที่ฮันคยองอุตส่าห์ซื้อให้ เขาหามันไม่เจอจริง ๆ


    หยดน้ำใส ๆ ร่วงผล็อยลงบนพื้นอิฐบล็อกที่ปูอยู่บนทางเดินจนแลเห็นเป็นด่างดวง ฮีชอลทำหน้าเบ้ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาของตัวเองที่หลั่งไหลออกมาไม่หยุด ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อยากจะร้องไห้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อยากทำตัวเป็นคนขี้แยเลย กับอีแค่ของหายแค่นี้ทำไมเขาจะต้องร้องไห้ด้วย ทำไมกัน...


    ทำไมกัน?

    ทั้ง ๆ ที่มันก็เป็นเพียงแค่พัดแบบพับได้ของจีนที่ตามร้านขายของที่ระลึกต่างก็มีขายอยู่เกลื่อน
    จะหาซื้อเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...

    ทำไมกัน?

    ทั้ง ๆ ที่ลวดลายที่วาดอยู่บนผืนผ้านั้นก็เป็นลวดลายธรรมดา ๆ ที่ถึงแม้จะดูสวยงามในยามแรกเห็น
    แต่มันก็เป็นลวดลายปกติที่ช่างฝีมือนั้นก็วาดอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ได้พิเศษอะไรเลย...

    ทำไมกัน?

    ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ของที่พิเศษ วิเศษวิโสอะไรที่ราคาแพง ที่มีเพียงชิ้นเดียวบนโลก คนอย่าง คิม ฮีชอล จะหาพัดแบบนี้อีกเท่าไหร่ก็ได้ ขอแค่เอ่ยปากเท่านั้น...


    ไม่ใช่เลย...

    มันเป็นของเพียงชิ้นเดียวบนโลกต่างหาก

    ของพิเศษที่มีอยู่เพียงชิ้นเดียว...เพราะมันคือสิ่งที่ฮันคยองมอบให้คิม ฮีชอล



    “ทำไมมานั่งอยู่คนเดียวตรงนี้ล่ะ? ไม่เข้าไปนั่งในหอประชุมกับคนอื่นเหรอ?”


    เสียงแปลกปลอมของใครบางคนที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ฮีชอลรีบเช็ดน้ำตาของตัวเองบนแก้มออกอย่างลวก ๆ แม้เจ้าตัวจะรู้สึกเสียใจแค่ไหน แต่ศักดิ์ศรีย่อมต้องมาก่อน จะให้ใครมารู้มาเห็นเข้าได้อย่างไรว่า รองประธานนักเรียนคิมฮีชอล ผู้เป็นดั่งเจ้าหญิง ผู้เป็นดั่งนางพญาที่เข้มแข็งอยู่ตลอดเวลานั้นมานั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในที่แบบนี้
    “ชั้นก็อยากเข้าไปนั่งนะ ถ้าไม่ติดว่าทำของหายน่ะ” ฮีชอลปรับเสียงพูดให้เป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง เจ้าตัวถอนหายใจพลางเชิดหน้า รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำเรื่องไร้สาระอยู่ที่มานั่งพูดคุยต่อปากต่อคำกับคนแปลกหน้าแบบนี้ แต่ร่างบางก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้หันไปมองอยู่ดี

    “เป็นของสำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” น้ำเสียงของคนคนนั้นฟังไม่ออกว่ากำลังเห็นใจหรือกำลังเยาะเย้ยเขากันแน่ เป็นเสียงนุ่มทุ้มที่ฟังดูแล้วคุ้นหูอย่างประหลาด แต่สำเนียงกลับแปร่ง ๆ ไม่ชัดเจนนักเหมือนคนพูดไม่รู้ว่าตัวเองเลือกใช้คำที่เหมาะสมหรือไม่ ฮีชอลยักไหล่

    “อื้ม...สำคัญมาก สำคัญมากจริง ๆ ถ้าหายไปจริง ๆ ล่ะก็...ชั้นคงต้องบ้าแน่!” ฮีชอลพูดอย่างเสียไม่ได้ คนสวยกอดอกไว้หลวม ๆ รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังทำตัวไร้สาระมากขึ้นทุกที ๆ ทำไมเขาต้องมาพูดเรื่องสำคัญแบบนี้กับคนที่เขาไม่รู้จักด้วยนะ

    “มันเป็นพัด...ใช่หรือเปล่า?” คนที่อยู่ข้างหลังฮีชอลเอ่ยถามขึ้น เจ้าหญิงคนสวยรู้สึกว่าคนคนนั้นกำลังก้าวเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ จนทำเอาเจ้าตัวรู้สึกขัดใจ ให้ตายสิ ถ้าคนที่มาเห็นเขากำลังตกอยู่ในสภาพนี้เป็นพวกรุ่นน้องที่ออกมาเดินเพ่นพ่านนอกห้องเรียนโดยไม่ยอมไปเรียนหนังสือแล้วล่ะก็ เขาจะยื่นเรื่องเข้าฝ่ายงานแนะแนวของโรงเรียน
    ให้โดนภาคทัณฑ์เลยคอยดู

    “ก็ใช่น่ะสิ!” ฮีชอลตอบ รู้สึกหงุดหงิดขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเพราะอุปทานไปเองหรือเปล่า เขารู้สึกเหมือนว่าคนที่กำลังยืนอยู่ด้านหลังเขาหัวเราะเบา ๆ

    “มันเป็นพัดที่ถูกส่งมาจากประเทศจีนใช่หรือเปล่า?” คนคนนั้นยังคงถามคำถามกับฮีชอลอีกครั้งจนฮีชอลรู้สึกจี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง ทำไมเขาต้องมาคอยถามคำตอบคำกับคนคนนี้ด้วย แน่จริงก็พูดมาทีเดียวเลยดีกว่า ไม่ต้องอ้อมค้อมอยู่แบบนี้


    “ใช่...อ๊ะ!” ฮีชอลพูดออกไปได้แค่นั้นเจ้าตัวก็ต้องอุทาน เมื่อนึกขึ้นได้ถึงคำถามที่ทำให้เขาต้องตอบออกไปเมื่อครู่


    “ทำไมนายรู้...นายรู้ได้ยังไง?”


    ฮีชอลขมวดคิ้วอย่างสงสัย เรื่องที่เขาได้รับพัดจากฮันคยองนั้นเป็นเรื่องที่รู้กันเฉพาะในคณะกรรมการนักเรียนเท่านั้น ไม่มีนักเรียนคนใดที่จะรู้เรื่องนี้ได้เลย อย่างน้อย ๆ แม้ว่าจะเคยเห็นว่าเขามีพัดที่ใช้อยู่เป็นของประจำตัวก็ตาม มันก็ไม่ใช่จะเป็นของที่พิเศษแตกต่างจากพัดแบบจีนที่มีขายตามย่านไชน่าทาวน์แต่อย่างใด แล้วฮีชอลก็รู้สึกถึงสิ่งที่สะกิดใจตัวเองมาตลอด

    แม้จะเป็นวันพิธีจบการศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมปลายปี 3 หากแต่ก็ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอนของชั้นมัธยมต้น เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่จะมีนักเรียนรุ่นน้องออกมาเดินเพ่นพ่านในช่วงเวลานี้ หรือ ถ้าจะบอกว่าเป็นบุคคลภายนอก ก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้อย่างเด็ดขาด บุคคลนอกโรงเรียนจะมารู้เรื่องราวของเขาได้อย่างไร และ ทางโรงเรียนก็มีการตรวจตราคนที่เข้าออกโรงเรียนอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว โดยเฉพาะงานพิธีสำคัญแบบนี้ ฮีชอลหายใจติดขัด น้ำตาที่จางหายไปร่วงหล่นลงมาอีกรอบ พร้อม ๆ กับรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้า


    ทำไมเขาไม่รู้สึกตั้งแต่แรกนะ...ในเมื่อคนคนนี้น่ะ...พูดภาษาเกาหลีเสียงแปร่งออกอย่างนั้น


    “พี่ฮัน!”


    “พี่กลับมาแล้ว...ฮีชอล” 

    ฮันคยองหรือฮันเกิงยิ้มให้กับคนตรงหน้า ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าจากเด็กนักเรียนชั้นปี 1 ธรรมดา ๆ ที่คอยวิ่งตามเขาอยู่ไม่ห่างในตอนนั้น บัดนี้ คิม ฮีชอล จะกลายเป็นเจ้าหญิงผู้งามสง่าได้ขนาดนี้ ใบหน้านั้นแม้จะเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา แต่ก็ไม่สามารถบดบังความงดงามของฮีชอลได้เลย ดวงตากลมโตที่ปรือฉ่ำไปด้วยน้ำตา แพขนตางอนงามที่ถูกหยดน้ำตาเกาะราวกับประดับด้วยเกล็ดเพชร รวมทั้งเรือนร่างบอบบางที่วิ่งเขามาสวมกอดเขาอย่างตื้นตัน ทำเอาฮันคยองอดที่จะเอื้อมมือไปกอดตอบไม่ได้

    “พี่ฮัน...พี่กลับมาแล้วจริง ๆ!” ฮีชอลร้องไห้ฟูมฟายเสียยกใหญ่ยิ่งกว่าเดิม ร่างบางกอดร่างสูงตรงหน้าไว้แน่นราวกับกลัวว่าคนตรงหน้าจะหายไปอีก เมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นจากร่างตรงหน้า ทำให้ฮีชอลรู้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปเลยจริง ๆ ร่างบางเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายคนจีนที่เขาปลื้มนักปลื้มหนา และรอคอยวันที่จะได้พบกันมาตลอด ฮันคยองดูคล้ายจะสูงขึ้นกว่าครั้งแรกที่พบกันเล็กน้อย ทั้งผมสีน้ำตาลทองที่เคยยาวประบ่า ตอนนี้ก็ถูกซอยให้สั้นลงแล้วย้อมเป็นสีไลท์บราวน์แทน หากแต่แววตาที่มองเขาอย่างเอ็นดูนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจากเมื่อครั้งนั้น

    “อื้ม...พี่กลับมาแล้วล่ะ ไม่ต้องร้องน่ะ ฮีชอล” ฮันคยองตอบราวกับจะยืนยันอีกครั้ง ร่างสูงลูบผมฮีชอลเบา ๆ ปลอบให้คนตรงหน้าหยุดร้องไห้ แต่ฮีชอลกลับสะอื้นหนักขึ้นไปอีก

    สำหรับฮันคยองคงไม่รู้หรอกว่า เขารอวันที่จะได้พบกับฮันคยองมานานแค่ไหน เวลาของคนมาถึงกับเวลาของคนที่รอคอย มันไม่เท่ากันเลยจริง ๆ ฮันคยองจะรู้บ้างไหมว่า เขาต้องอดทนมาตลอด ต้องแสร้งทำ ฝืนทนทำตัวเป็นคนที่เข้มแข็งต่อหน้าคนอื่น ต้องสร้างเกราะป้องกันตัวเองขึ้นมาแค่ไหนให้เพื่อให้ฟันฝ่าอุปสรรคในแต่ละวันไปได้ ฮันคยองจะรู้บ้างไหมว่า ทุก ๆ วันที่ผ่านไปนั้นช่างทรมานและปวดร้าวแค่ไหน ยามที่ต้องเดินผ่านที่ที่พบกับฮันคยอง ที่ที่เคยพูดคุยกับฮันคยองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งมันไม่มีอีกแล้วในโรงเรียนมัธยมซง ฮวาจิน นับตั้งแต่วันที่ฮันคยองจากไป...

    แล้วฮันคยองจะรู้บ้างไหมว่า...ตำแหน่งรองประธานนักเรียนที่แสนน่าภาคภูมิใจนั้น มันเจ็บปวดแค่ไหนที่เขาได้รับเลือกให้มารับตำแหน่งนี้ต่อจากฮันคยอง น่าเจ็บปวดแค่ไหนที่ได้นั่งทำงานในห้องคณะกรรมการนักเรียนที่ฮันคยองเคยอยู่ ได้นั่งที่โต๊ะประจำตำแหน่งที่ฮันคยองเคยใช้งานมา ทุก ๆ อย่างที่รุมล้อมไปด้วยภาพความทรงจำระหว่างเขาและฮันคยองยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดจนต้องสร้างเกราะป้องกันขึ้น เหมือนกับกุหลาบงามที่ต้องมีหนาม ซึ่งก็เพื่อป้องกันกลีบดอกบอบบางที่บอบช้ำได้ง่ายต่างหาก แต่ทุก ๆ อย่างมันก็จบลงแล้ว สิ้นสุดลงกันทีกับการรอคอยอย่างเจ็บปวดและทรมานมาตลอดของฮีชอล...


    เพียงแค่ฮันคยองกลับมาเท่านั้น ก็เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างที่สวยงามบนโลกใบนี้มากองอยู่ตรงหน้า

    เขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้วจริง ๆ ...


    “พี่ฮัน...ขอโทษ...ฮีชอลทำพัดที่พี่ฮันให้หายไป...” ฮีชอลตอบทั้ง ๆ ที่สะอื้นไห้ แต่เจ้าหญิงคนสวยก็พยายามที่จะปาดน้ำตาที่น่ารำคาญนี้ออก ฮันคยองได้ยินคำพูดนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน ฮีชอลยังคงเป็นเด็ก ๆ เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ที่เจ้าตัวร้องไห้ก็คงเพราะเกรงว่าเขาจะว่าเอานั่นเอง

    “ไม่เป็นไรหรอก...ฮีชอล ของมันไม่ได้มีค่ามีราคามากมายขนาดนั้น พี่ไม่โกรธหรอก” ฮันคยองตอบพร้อมกับยิ้มให้ แต่ฮีชอลก็ส่ายหน้าไปมา

    “ไม่...ไม่ใช่นะ มัน...มีค่ามากเลย เพราะพี่ฮันซื้อให้ฮีชอล...เพราะเป็นของที่พี่ฮันซื้อให้” ฮีชอลเถียงกลับ รู้สึกว่าหน้าตัวเองเริ่มขึ้นสีเลือดฝาดน้อย ๆ ฮันคยองจะเข้าใจความหมายของมันหรือเปล่า แม้มันจะเป็นของที่เจ้าตัวบอกเองว่าไม่มีราคาค่างวดอะไร แม้มันจะเป็นของที่ธรรมดาหาซื้อได้ดาดดื่นทั่วไปอยู่แล้วในเมืองจีน ซึ่งฮันคยองเองที่ส่งพัดมาให้ก็คงไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งมากไปกว่านั้น แต่สำหรับฮีชอลแล้ว ถือเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่า เพราะเป็นของที่ฮันคยองซื้อให้เขา เพราะเป็นของที่เขาได้รับจากคนที่เขารักมาตลอด มันจึงมีค่ามากมายยิ่งกว่าเพชรหลายกะรัตเสียอีก


    ฮันคยองมองเด็กตรงหน้าที่ทำตัวดื้อรั้นไม่ยอมฟังอะไรก็ส่ายหน้า ฮีชอลที่ไม่รู้ตัวยังไงก็ยังคงไม่รู้ตัวอยู่อย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองมีงานยุ่งแทบตายแต่กลับต้องปลีกเวลามาที่โรงเรียนมัธยมซง ฮวาจินในวันพิธีจบการศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมปลายปี 3 แค่กลับมากล่าวในฐานะตัวแทนนักเรียนที่จบไปแล้ว เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาเลย ในเมื่อคนที่ต้องขึ้นกล่าวบนเวที ก็คือประธานนักเรียนในรุ่นของเขา แต่ที่เขาจำเป็นต้องกลับมาที่นี่ ก็เพราะว่ามีสิ่งที่ติดค้างอยู่ สิ่งที่เขาลืมทิ้งเอาไว้ให้ต้องรอคอยเขาอยู่นาน...


    เขาจะไม่ทิ้งฮีชอลไว้คนเดียวอีกแล้ว...


    “ไม่เป็นไรหรอกฮีชอล...พัดอันนั้นน่ะ พี่เอาไว้ให้แค่ดูต่างหน้าเท่านั้น...แต่ของที่พี่จะให้ฮีชอลจริง ๆ น่ะ มันต้องมีค่ามากยิ่งกว่านั้นนะ”


    ฮันคยองยิ้มให้ก่อนจะล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง สิ่งที่ถูกหยิบขึ้นมานั้นเป็นกล่องสี่เหลี่ยมหุ้มกำมะหยี่สีแดง ฮีชอลเมื่อเห็นแบบนั้นก็ชะงักกึกไปทันที ยิ่งเมื่อกล่องถูกเปิดออก เจ้าหญิงคนสวยก็ต้องยกมือขึ้นปิดปาก ด้วยว่าภายในกล่องนั้นเป็นแหวนเพชรน้ำงามซึ่งเปล่งประกายล้อแสงแดดจนเป็นประกาย แล้วสิ่งที่ฮีชอลไม่คาดคิด เมื่อจู่ ๆ ฮันคยองก็เดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะหยิบแหวนขึ้นบรรจงสวมลงไปบนนิ้วนางข้างซ้ายของฮีชอลก่อนจะยกมือของเจ้าหญิงคนสวยขึ้นจรดริมฝีปาก

    “พะ...พี่ฮัน” ฮีชอลเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกัก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันรวดเร็วเกินไปจนทำเอาเขาอดตกใจไม่ได้ มือที่สั่นน้อย ๆ นั้นถูกฮันคยองกุมเอาไว้แน่น


    “ฮีชอล...ไปเมืองจีนกับพี่นะ พี่จะไม่ทิ้งฮีชอลไว้คนเดียวอีกแล้ว”


    คำพูดที่เป็นเหมือนคำมั่นสัญญา และแหวนเพชรบนนิ้วมือข้างซ้ายที่ราวกับเป็นเครื่องหมายหลักประกันในคำพูดนั้น ฮีชอลยิ้มออกมาทั้งน้ำตา


    “ตกลง...พี่ฮัน”


    ฮันคยองยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะดึงตัวฮีชอลเข้ามากอดแนบอก ร่างบางไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด ทั้ง 2 สวมกอดกันแนบแน่นท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดโชยมา พร้อม ๆ กับเสียงเพลงของชมรมดนตรีจากหอประชุมที่แว่วดังอยู่ไม่ไกล...

    -------------------------------------------------------------------------------------

    หน้าหอพัก

    คังอินยืนอยู่หน้าหอพัก พร้อม ๆ กับกลุ่มเพื่อน ๆ ที่มาส่งเขาที่นั่งอยู่บนรถคันหรูสีดำสนิท หลังจากที่ทั้งหมดพากันไปเที่ยวดื่มกินกันจนดึก ตามประสาแก๊งค์เพื่อนฝูงหลังจากที่เลิกเรียนวันนี้ แน่นอนว่าอายุของพวกเขายังไม่สามารถเข้าเที่ยวคลับ เที่ยวผับ บาร์ ได้เหมือนพวกผู้ใหญ่ แต่สำหรับกลุ่มพวกเขาแล้วย่อมไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด เพราะในกลุ่มแล้ว เป็นที่รู้กันดีว่าหากผู้นำเที่ยวของกลุ่มคือ ลี ฮยอกแจ แล้วล่ะก็ ไม่มีคลับไหนที่จะไม่ยอมให้พวกเขาเข้าเป็นแน่ ด้วยว่าตระกูลลีนั้นเป็นหุ้นส่วนของคลับดัง ๆ มากมายในย่านธุรกิจ อีกทั้งตัวของฮยอกแจเองนั้นก็ยังเป็นนักเต้นมือฉกาจที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ดังนั้นคลับไหนที่ฮยอกแจเข้าไปวาดลวดลาย ในคืนนั้นก็จะมีคนเข้าไปชมมากมายเช่นกัน ถือเป็นการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจอย่างหนึ่ง โดยที่ไม่ต้องจำกัดอายุของพวกเขาในการเข้าอีกต่อไป

    “แล้วเจอกันพรุ่งนะเว้ย! คังอิน!” ชินดงตะโกนร้องบอกมาจากที่นั่งของคนขับ ซึ่งเขาเป็นเพียงคนเดียวในกลุ่มนอกจากคังอิน ที่ยังครองสติได้ดีกว่าคนอื่น ๆที่นั่งอยู่ภายในรถ ไม่ใช่ว่าเขาเองไม่อยากกินหรอก หากแต่ว่าถ้าเขาดื่มเยอะไปแล้วล่ะก็ จะไม่มีใครเป็นคนขับรถพาบรรดาเพื่อน ๆ ที่เมามายอยู่กลับบ้านกันน่ะสิ

    ด้านหลังสุด เยซอง ที่ยึดพื้นที่ไว้คนเดียว นอนเหยียดยาวอยู่บนเบาะหลังสุดที่เป็นพื้นที่เก็บของหลังรถ คนแก้มป่องที่ตอนนี้แก้มขึ้นสีระเรื่อนั้นน็อคคาโต๊ะไปตั้งแต่คังอินเริ่มรินแก้วที่ 2 ให้ รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองคออ่อนแต่ก็ยังอดไม่ได้อยู่ดี ถัดมาเป็นซองมินที่คนตัวเล็กนั่งหลับสบาย ๆ อยู่ชิดหน้าต่างริมสุดอยู่คนเดียว แต่ที่น่าหนักใจคืออีก 2 คนที่นั่งหลับเบียดกันอยู่ข้างๆ นั่นต่างหาก ซีวอนที่เป็นเจ้าของรถนั้นบัดนี้กลับหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว โดยที่เจ้าตัวใช้ตักของคิบอมหนุนแทนหมอน ส่วนคิบอมก็นอนเอาหัวพิงกับกระจกรถตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว พอรถแล่นตกหลุมที หัวของคิบอมก็โขกกับกระจกดังป่อก แต่เจ้าตัวก็ไม่ยักตื่น ชินดงถอนหายใจเฮือก โชคดีแล้วที่ไม่ตื่นเพราะถ้าตื่นขึ้นมาเห็นว่าคนที่นอนหนุนตักตัวเองอยู่เป็นใคร มีหวังพ่อเจ้าประคุณถีบซีวอนกระเด็นไปติดประตูอีกด้านแน่ เห็นภาพแบบนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแล้วจะไม่ให้ใครคิดได้อย่างไรกันว่า 2 คนนี้มีลับลมคมใน แต่ขืนพูดไปตายลูกเดียว เขายังรักชีวิตมากกว่าที่จะมาโดนฆ่าตายเพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ส่วนฮยอกแจ เจ้าตัวค้างที่คลับของญาติสนิทเรียบร้อยแล้ว

    คังอินผงกศีรษะเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในหอ เมื่อขึ้นบันไดไปจนถึงห้องของตัวเองนั้น ก็พบว่าข้างๆ ห้องนั้นเอง อีทึกกำลงยืนอยู่ที่หน้าประตู ร่างบางกำลังจดจ่ออยู่กับการล็อคกุญแจห้อง ซึ่งคังอินเห็นเป็นเรื่องที่ผิดแปลกสำหรับอีทึก ผู้ซึ่งไม่เคยล็อคกุญแจห้องตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียวยามออกจากห้อง แล้วยังเป็นเวลาดึกดื่นป่านนี้อีก ร่างสูงได้แต่สงสัยตงิด ๆว่าอีทึกกำลังจะออกไปไหนกันแน่


    “อ้าว! คังอิน” อีทึกที่รู้สึกตัวหันมายิ้มทักทายให้กับร่างสูงที่ยืนอยู่หน้าห้อง ร่างบางที่ล็อคกุญแจเสร็จเรียบร้อยพอดีหยิบลูกกุญแจห้องใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวหนาที่สวมอยู่ พวงกุญแจที่กระทบกันส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งกังวาน เพราะความเงียบของหอ

    “พี่อีทึก...กระเป๋า?” คังอินร้องถาม สะดุดตากับกระเป๋าเดินทางใบย่อมที่วางอยู่หน้าประตูห้อง แทบเท้าของอีทึกผู้เป็นเจ้าของ ร่างบางก้มลงมองตามสายตาของร่างสูงก่อนจะนึกขึ้นได้

    “อ๋อ! ใช่แล้วล่ะ พี่ยังไม่ได้บอกคังอินเลย พ่อแม่พี่โทรศัพท์เรียกตัวให้พี่ขึ้นไปที่โซลด่วนเลย” อีทึกอธิบายพลางยิ้มร่า ต่างจากคังอินที่ตกใจจนเสียจนแทบช็อค ร่างสูงแทบทำกุญแจไขห้องของตัวเองหล่นลงพื้นเมื่อได้ยินคำ ๆ นั้นออกจากปากของอีทึก หากแต่เจ้าตัวที่ไม่ทันสังเกตก็ยังคงพูดต่อไปเสียงเจื้อยแจ้ว

    “ก็คงไม่พ้นเรื่องธุรกิจนั่นแหละ เฮ้อ...พี่ยังไม่ทันตั้งตัวเลย แต่ก็ดีเหมือนกัน พี่จะได้ติดต่อเรื่องมหาวิทยาลัยที่โน่นไปด้วยเลย” อีทึกพูดจบก็ยิ้มให้คังอินอีกครั้งหนึ่ง คังอินเดินถอยหลังไปพิงประตูห้องตัวเองไว้ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองแทบไม่มีเรี่ยวแรงยืน

    “งั้นเหรอครับ” คังอินเอ่ยออกมาได้แค่นั้นจริง ๆ เพราะยังคงรู้สึกช็อคกับเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่ไม่หาย ทั้ง ๆ ที่วันนี้ถ้าเขารู้ก่อนเสียตั้งแต่ทีแรก เขาเองจะไม่ยอมออกไปเที่ยวกลางคืนที่ไหนเด็ดขาด ถ้าเขารู้ตั้งแต่แรก เขาจะ...


    เขาจะทำอะไร?


    นั่นน่ะสิ เขาจะทำอะไรได้ ในเมื่อคนที่ตัดสินใจจะไปจากที่นี่ก็คืออีทึก เขาเองก็ไม่ใช่คนที่สลักสำคัญขนาดที่จะมาเหนี่ยวรั้งนางฟ้าไว้ได้ ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็ทำใจเอาไว้อยู่แล้วว่าไม่นานวันนี้ต้องมาถึงจนได้


    ...วันที่นางฟ้าจะโบยบินจากเขาไป


    “คังอิน!” อีทึกร้องเรียกร่างสูงที่จู่ ๆก็เงียบลงไปอย่างสังเกตได้ พอจะเข้าใจว่าคังอินคกจะตกใจมากเช่นกันที่จู่ ๆ เขาก็จะไปจากที่นี่ ทั้งยังเป็นช่วงเวลาดึกดื่นเช่นนี้ สำหรับตัวเขาเองแล้วก็เรียกได้ว่าแทบไม่ทันได้เตรียมใจเลยด้วยซ้ำ เพราะเพียงแค่ได้รับโทรศัพท์จากครอบครัวที่โทรมาหาเขาอย่างเร่งด่วนเรื่องกิจการที่เขาต้องรับหน้าที่ดูแล ซึ่งเขาเองก็สัญญาเอาไว้ว่า หลังจากที่เรียนจบมัธยมปลายแล้วจะยอมทำตามที่พ่อแม่ต้องการทุกอย่าง เพื่อเป็นการตอบแทนหลังจากที่เขาได้ทำตามใจตัวเองทุกอย่างเช่นกันตั้งแต่เกิดมาจนสิ้นสุดที่มัธยมปลาย ไม่ว่าทั้ง 2 ต้องการให้เขารับหน้าที่ใดในเครือบริษัทที่ตระกูลปาร์คเป็นเจ้าของ เขาก็พร้อมแล้วที่จะต้องก้าวเข้าสู่สมรภูมิแห่งธุรกิจไปพร้อม ๆ กับการเริ่มต้นชีวิตในมหาวิทยาลัยใหม่ในสังคมใหม่เช่นกัน

    “พี่อีทึก...จะไปจริง ๆ หรือครับ?” คังอินพยายามเค้นเสียงเอ่ยถามออกมา ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็คิดว่า เขาแทบจะไม่มีเสียงพูดแล้วด้วยซ้ำ เหมือนทุก ๆสิ่งทุก ๆอย่างกำลังพังทลายลงตรงหน้า เหมือนกับว่าเขาจะไม่สามารถยืนอยู่ได้อีกต่อไปถ้าหากว่าไม่เอนร่างพิงประตูเอาไว้

    “อื้ม...เดี๋ยวรถก็คงมารับแล้วล่ะ” อีทึกตอบเสียงค่อย สายตาของนางฟ้าคนสวยก้มลงมองบนพื้นที่มีกระเป๋า 2 ใบใหญ่วางอยู่ ไม่รู้ว่าทำไม เพียงแต่ตอนนี้ เขารู้สึกหนักใจเสียจนไม่กล้าที่จะสบตาคังอินเลย เขาไม่เคยทำร้ายจิตใจคังอินมาก่อน เขารู้ดีในเรื่องนี้เพราะเขาเองก็พยายามมาตลอดที่จะทำตัวไม่ให้ร่างสูงต้องลำบากใจ แต่เป็นเพราะเขาไม่เคยทำให้คังอินต้องหนักใจหรือเปล่า ครั้งนี้...จึงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เขาจะทำให้คังอินต้องลำบากใจเพราะเขา

    “แล้ว...พี่จะกลับมาที่นี่อีกมั้ย?” คังอินเอ่ยถามเสียงแผ่วแทบไม่มีเสียงเล็ดรอด หากแต่อีทึกก็จับความหมายได้ทึกคำที่ร่างสูงเอื้อนเอ่ย เมื่อร่างบางเงยหน้าขึ้นมอง ก็สบตากับคังอินที่ทอดสายตามองเขาอย่างรอคอยคำตอบ อีทึกเม้มปากแน่น ไม่อยากจะตอบคำถามคำนี้เลยจริง ๆเพราะเกรงจะยิ่งสร้างความลำบากใจให้กับร่างสูงอีก แต่เพราะสายตาที่คาดคั้นรอคำตอบนั้นทำให้อีทึกต้องกัดฟันพูดออกไป

    “อา...พี่ให้สัญญากับคังอินไม่ได้” อีทึกตอบเสียงค่อย รู้สึกเหมือนบางสิ่งบางอย่างในใจของตนเองพังทลายลงจนรู้สึกเจ็บปวด แบบที่เขาไม่มีวันเข้าใจได้เลยว่ามันคืออะไร ร่างบางถอนหายใจยาว ๆ เสียทีหนึ่งเหมือนเป็นการเรียกความมั่นใจให้กับตัวเอง “พี่ไม่รู้เหมือนกันว่ากว่าพี่จะติดต่อเรื่องมหาวิทยาลัยที่โน่น กว่าจะจัดการธุระของพ่อแม่พี่ลงตัวน่ะต้องใช้เวลาแค่ไหน”

    “อ่า...ครับ” คังอินเอ่ยตอบออกมาได้เพียงแค่นั้นเอง เพราะเขาไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบ หรือเป็นเพราะเขาเองก็ไม่สามารถหาคำตอบที่ดีกว่านี้ได้กันแน่ ในหัวสมองนั้นขาวโพลนไปหมดจนแทบนึกคำพูดใด ๆไม่ออก มีแต่คำพูดของอีทึกที่บอกว่าตัวเองกำลังจะไปนั้นวิ่งวนซ้ำไปซ้ำมาราวกับเปิดเทป คังอินแค่นยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเพดาน เพราะหากขืนเขายังก้มหน้าแบบนี้อยู่ต่อไป ไม่ช้าไม่นานน้ำตาที่เอ่อคลออยู่นั้นคงจะร่วงหล่นลงมาเป็นแน่

    “เสียดายจริง ๆ เลยนะ เวลาที่พี่ได้อยู่ที่นี่น่ะ เหมือนกับว่ามันเพิ่งผ่านไปไม่นานเอง” อีทึกยังคงพูดต่อไป ทั้ง ๆที่ใจจริงตัวเองก็รู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน เพราะเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำอย่างไร หรือไม่ก็คงเป็นเพราะในสถานการณ์นี้ สิ่งที่ดีที่สุดเขาจะทำได้ก็คือ การที่เขาพูดต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่หยุดเด็ดขาด เพราะถ้าเขาหยุดพูดเมื่อไหร่ ความคิดเรื่องการจากลาที่จะเกิดขึ้นภายในไม่มีกี่นาทีข้างหน้านี้จะแวบเข้ามาทักทายในสมองอีก แล้วเขาเองก็จะยิ่งเจ็บปวด

    “พี่ดีใจมากนะที่ได้รู้จักกับคังอิน ถึงพี่จะเป็นรุ่นพี่ของคังอิน แต่พี่ก็รู้สึกว่าพี่สนิทกับคังอินมากที่สุดเลย คังอินคอยดูแลแล้วก็อยู่เคียงข้างพี่มาตลอด...คังอินเป็นคนดีมากนะ” อีทึกพูดจบก็ยิ้มน้อย ๆให้กับคังอิน ดูเป็นยิ้มที่เศร้าที่สุดที่เจ้าตัวเคยยิ้มให้คังอิน และเป็นครั้งแรกที่อีทึกต้องพยายามแค่นยิ้มต่อหน้าคังอิน ทั้ง ๆที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่มีวันใดเลยที่ร่างบางจะอยู่กับคังอินแล้วปราศจากรอยยิ้ม

    “พี่อีทึกก็เหมือนกัน ผมก็...ดีใจที่ได้รู้จักพี่อีทึกครับ อ่า...” คังอินที่พยายามพูดออกมาทั้ง ๆที่ยืนแหงนหน้านั้น ยากลำบากเหลือเกินที่จะพยายามพูดเหมือนยินดีต่อหน้าร่างบางที่กำลังจะจากไปทั้ง ๆ ที่กำลังเจ็บปวดเสียแทบขาดใจ เมื่อเขากลับมามองหน้าอีทึกอีกครั้งหนึ่งก็รู้สึกถึงน้ำอุ่น ๆ ที่ไหลรินจากหางตาจนต้องรีบก้มหน้าก้มตาเช็ดออก ด้วยเกรงว่าร่างบางตรงหน้าจะมองเห็น หากแต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ในสายตาของอีทึกตลอด ร่างบางทอดถอนใจ พยายามยิ้มให้คนตรงหน้าอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่รู้สึกว่า พอเห็นร่างสูงตรงหน้าร้องไห้ เขาเองก็แทบอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ไปด้วย ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันหนักอึ้งไปหมดแล้วสำหรับเขาในตอนนี้

    “อย่าทำหน้าเหมือนเด็กขี้แยแบบนั้นสิ ต่อไปนายต้องเป็นประธานนักเรียนแทนพี่แล้วนะ...รู้มั้ย?” อีทึกแกล้งพูดแซวร่างสูงตรงหน้า ทั้ง ๆที่เขารู้ว่าในสถานการณ์แบบนี้แล้ว มันไม่ตลกเลยสักนิดเดียว แต่ทั้ง ๆ ที่รู้อย่างนั้น เขาก็ยังอยากจะพูด ด้วยว่าไม่ต้องการให้คังอินต้องรู้สึกเขินอายที่จู่ ๆเจ้าตัวก็ร้องไห้ต่อหน้าเขาเกินไปนัก

    “ฮะฮะฮะ อย่าล้อผมเล่นสิครับ นอกจากผมก็ยังมีซีวอน มีคิบอม มีเยซอง...ยังมี...อีกตั้งหลายคน” คังอินนับรายชื่อเพื่อน ๆพลางหัวเราะทั้งน้ำตา ร่างสูงพยายามปาดมันออกซ้ำ ๆ ทั้งที่ดวงตาบอบช้ำจนแดงก่ำ หากแต่ในตอนนี้ อีทึกเองก็ยังไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว จนเขาเองรู้สึกอายอยู่เหมือนกันที่ตัวเองที่ดูเหมือนเข้มแข็งมาตลอดนั้น ต้องมาร้องไห้เหมือนเด็ก ๆ ต่อหน้าคนที่เขาไม่อยากให้เห็นน้ำตามากที่สุด คงเป็นเพราะความเป็นผู้ใหญ่ของอีทึกที่มีมากกว่า เจ้าตัวจึงยังคงไม่ร้องไห้ต่อหน้าเขา หรือไม่ก็อีกนัยหนึ่ง คืออีทึกเองไม่ได้มีความรู้สึกใด ๆ กับเขาเลย

    “ใครจะรู้ล่ะ แต่พี่เชื่อนะว่านายต้องได้รับตำแหน่งนั้นน่ะ!” อีทึกว่าพลางยิ้มกว้าง รู้สึกเหมือนว่าตอนนี้บรรยากาศจะเริ่มดีขึ้นมาทีละน้อย คังอินยกแขนขึ้นปาดน้ำตาอีกครั้ง คราบน้ำตาก็หายไปหมดจากคลองจักษุ ร่างสูงพยายามยิ้มให้อีทึกเช่นกัน แม้ว่ามันจะยากเย็นสักแค่ไหนก็ตาม


    “ผมก็หวังแบบนั้นแหละครับ”


    เอี๊ยด!


    เสียงจอดของรถที่ดังขึ้นหน้าหอพักยามดึกดื่นเช่นนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ทางพ่อและแม่ของอีทึกส่งคนมารับตัวเขาไปที่สนามบินแล้ว อีทึกถอนหายใจก่อนจะพยายามยิ้มให้คังอินอีกครั้ง

    “รถมาแล้วล่ะ คังอิน” อีทึกพูดโดยไม่มองหน้าคังอินเลย ร่างบางก้มลงหยิบกระเป๋าใบหนึ่งขึ้นสะพายบนไหล่ ส่วนอีกใบหนึ่งที่เป็นกระเป๋าแบบล้อลากนั้น เจ้าตัวก็ดึงที่จับให้ยาวออกมาพออที่จะลากได้ถนัด ครั้นเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย อีทึกก็หันกลับมามองคังอินอีกครั้ง ทำใจลำบากเช่นกันที่จะพยายามมองหน้าของร่างสูงที่ตอนนี้หยุดร้องไห้ไปแล้วโดยที่ไม่ร้องไห้

    “อ่ะ! จริงสิคังอิน เมื่อวันพิธีจบการศึกษาน่ะ นายมีอะไรจะบอกพี่เหรอ?” อีทึกนึกถึงตอนทั่งอินพยายามจะบอกกับเขาในวันพิธีจบการศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมปลายปี 3 ขึ้นมาได้ คงเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับคังอินที่ต้องการจะบอกเขา อีทึกคิดเช่นนั้น เพราะเจ้าตัวคล้ายจะรู้สึกว่าคังอินพยายามที่จะบอกเขาหลายครั้งแล้ว แต่จนแล้วจนรอด ร่างสูงก็ไม่มีโอกาสที่จะเอื้อนเอ่ยมันออกมาให้เขาได้ยินเสียที คังอินเม้มปากแน่นก่อนจะพูดออกมาช้า ๆ


    “คือ...ผม...”


    เธอจะมีใจหรือเปล่า? 

    มันคือความจริงที่ชั้นอยากรู้ เก็บอยู่ในใจแต่ไม่อยากถาม... 

    กลัวรับมันไม่ไหว...
     


    “เอ่อ...โชคดีนะครับ” คังอินตัดสินใจเปลี่ยนคำพูดขึ้นมากะทันหัน แม้จะเห็นว่าอีทึกเบิกตากว้างก่อนจะเอียงคอมองเขาอย่างงุนงงก็ตาม ถึงแม้ว่าร่างบางจะให้โอกาสเขาพูด แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะพูดออกไปต่อหน้าอีทึก แต่เขาเองก็ไม่ต้องการให้ร่างบางลำบากใจมากไปกว่านี้อีก การที่อีทึกจะจากไปนั้น ไม่นานเจ้าตัวก็ย่อมต้องได้เจอกับสังคมดี ๆ เจอเพื่อนดี ๆ และคงได้เจอคนดีที่รักอีทึก พอ ๆ กับที่เขารัก เขาไม่ต้องการที่จะใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำของตัวเองเป็นการเหนี่ยวรั้งอีทึกเอาไว้กับตัวเอง เพราะถ้าทำแบบนั้นก็เท่ากับว่าเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด อีทึกกำลังจะไปพบกับสิ่งดี ๆข้างหน้า ถึงแม้ว่าเขาจะเจ็บปวด ถึงแม้ว่าเขาจะต้องทุกข์ทรมานแค่ไหนที่ไม่ได้พูดออกไป ก็ยังดีกว่าที่เขาจะต้องเห็นว่าร่างบางเองก็คงจะต้องหนักใจไม่แพ้กันถ้าหากได้ฟังคำนั้น สู้ให้เขาเจ็บปวดคนเดียว ยังดีเสียกว่าที่จะต้องให้อีทึกต้องเจ็บปวดด้วย


    นางฟ้า...ผมอยากเห็นรอยยิ้มของคุณ ผมอยากให้คุณมีความสุข

    นอกจาก 2 สิ่งนี้แล้ว ผมก็ไม่ต้องการสิ่งใด ๆ อีกต่อไป

    แม้ว่าผมจะเจ็บปวด...ผมก็จะทนให้ได้

    แม้ว่าผมจะร้องไห้...ผมก็จะขออวยพรให้คุณมีความสุข


    “อื้ม! นายก็เหมือนกันนะคังอิน” อีทึกบอกเมื่อได้ฟังคำตอบของคังอิน แม้จะคิดว่ามันไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลเท่าไหร่นักกับคำที่คังอินบอกเขา กับท่าทางที่ดูเหมือนว่าต้องใช้ความพยายามมากมายกว่าที่ร่างสูงจะพูดออกมาได้ หรือไม่คังอินก็คงมีอะไรบางอย่างจะบอกเขาจริง ๆ แต่ถ้าสุดท้ายแล้ว ร่างสูงไม่ต้องการบอกเขา เขาเองก็จะไม่คาดคั้นอีกต่อไป

    “จริงสิ คังอิน” ร่างบางเอ่ยขึ้นเมื่อเจ้าตัวลากกระเป๋าลงบันไดไปได้ไม่กี่ขั้น คังอินที่ยืนอยู่ด้านบนนั้นยิ้มให้อย่างรอคอยคำตอบเช่นกัน อีทึกเห็นแบบนั้นก็ยิ้มสุดริมฝีปาก เป็นรอยยิ้มจากใจจริงครั้งสุดท้ายของนางฟ้าปาร์ค จองซู ที่มอบให้กับผู้พิทักษ์ คิม ยองอุน พร้อม ๆ กับคำพูดปิดท้ายการจากลานั้น 


    “อย่าลืมนะ...ไม่ว่านางฟ้าจะไปอยู่ที่ไหน ถึงยังไงนางฟ้าคนนี้ก็ยังเป็นของผู้พิทักษ์อยู่ดี” อีทึกร้องบอกก่อนที่เจ้าตัวจะเดินลากกระเป๋าลงบันไดไป โดยไม่ยอมหันกลับมามองอีกเลย...


    วินาทีนั้นเองที่หยดน้ำใส ๆ ก็ร่วงหล่นจากดวงตาของนางฟ้า อีทึกปล่อยให้มันไหลออกมาเงียบ ๆ โดยไม่คิดจะปาดมันทิ้ง ร่างบางยิ้มออกมาได้นิดหนึ่ง 


    ในที่สุด...เขาก็ต้องเสียน้ำตาให้คังอินจริง ๆ


    คล้อยหลังอีทึกเดินหายลับไปไม่นาน คังอินก็ทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงที่จะยืนอยู่ได้อีกต่อไป น้ำตาที่หายไปนั้นเริ่มกลับมาอีกครั้งหนึ่ง จนในที่สุดแล้วสายตาก็พร่ามัวจนแทบมองอะไรไม่เห็นเพราะม่านน้ำตาที่บดบัง ร่างสูงก้มลงซบหน้ากับท่อนแขนร้องไห้อย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่เหลือความเข้มแข็งให้เห็นอีกต่อไป


    ลาก่อนครับ...พี่อีทึก

    แต่ไม่ว่าจะยังไง...นางฟ้าจะยังคงอยู่ในใจของผู้พิทักษ์ตลอดไป


    ...ผมสัญญา

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    1 ปีผ่านไป...

    โรงเรียนมัธยมซง ฮวาจิน ห้องกรรมการนักเรียน


    “รุ่นพี่คังอินครับ เซ็นเอกสารกองนี้เสร็จก็เรียบร้อยแล้วล่ะครับ” เด็กชายร่างสูงโปร่งยื่นเอกสารให้คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอยู่ตรงหน้าซึ่งทำหน้าที่ตำแหน่งสูงสุดของคณะกรรมการนักเรียน ร่างสูงที่กำลังง่วนอยู่กับเอกสารการประชุมจึงเงยหน้าขึ้นมอง ครั้นเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใครก็ยิ้มให้แล้วพยักหน้า

    “อืม...ขอบใจมากนะ คยูฮยอน” คังอินเอ่ยกับรุ่นน้องที่ยืนอยู่ตรงหน้า 'โจ คยูฮยอน' เด็กชายร่างสูงโปร่งที่เป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลายปี 1 ซึ่งรับหน้าที่เป็นเลขานุการของกรรมการนักเรียนก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะยิ้มให้เขาเช่นกัน แม้จะดูเหมือนว่าตั้งใจแล้วก็ตาม แต่รอยยิ้มแสยะแปลก ๆ ของเจ้าตัวก็ยังคงเป็นนิสัยที่แก้ไม่หายอยู่ดี

    ยังไม่ทันจะเอื้อนเอ่ยอะไรอีก ประตูห้องประธานนักเรียนก็ถูกเปิดออก ตามมาด้วยใบหน้าพริ้มเพราของคนตัวเล็กร่างอวบที่โผล่ลอดเข้ามา

    “คยู!”

    “อ๊ะ! พี่ซองมิน” คยูฮยอนหันไปทักทายรุ่นพี่ ซองมินยิ้มหวานให้อย่างน่ารัก เจ้าตัวที่รับหน้าที่ในตำแหน่งคณะกรรมการนักเรียนเช่นกัน โบกมือทักทายคยูฮยอนเล็กน้อยก่อนจะส่งสายตามาทักทายคังอินที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเช่นกัน

    “แน่ะ! คุณชายโจ วันนี้มีคนมารับนายแล้วนั่น” คังอินอดที่จะร้องแซวคนตรงหน้าไม่ได้ เป็นที่รู้กันอยู่ในกลุ่มคณะกรรมการนักเรียนว่าคยูฮยอนและซองมินกำลังคบหาดูใจกันอยู่ แม้คนตัวเล็กจะโดนเพื่อน ๆ ในกลุ่มแซวอยู่บ่อย ๆ ว่าเจ้าตัวริอ่านเลี้ยงต้อยเด็ก ซึ่งตัวหลักที่เริ่มต้นเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ใครเลย เยซองนั่นเองที่เป็นตัวตั้งตัวตี แม้เจ้าตัวจะโดนคนตัวเล็กว่ากลับเข้าให้เรื่องเรียววุคก็ตาม หากแต่ความหน้าด้านของเยซองนั้นคงมีมากกว่า ไม่อย่างนั้นแล้ว คังอินคงไม่เห็นซองมินที่เดินหน้าแดงก่ำกระแทกส้นเท้าปึงปังเข้ามาในห้องกรรมการนักเรียนเพราะเถียงเยซองแพ้หรอก

    “อา...ต้องขอโทษด้วยนะครับ” คยูฮยอนโค้งให้คังอินเล็กน้อยเป็นเชิงขออนุญาต คังอินสังเกตได้ว่า ร่างสูงโปร่งที่มักเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งพอ ๆ กับคิบอมนั้นหน้าเริ่มขึ้นสีเลือดฝาดเล็กน้อย

    “ไม่เป็นไรหรอก นายกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวที่เหลือชั้นจัดการเอง” คังอินบอกอย่างรู้ทัน ก่อนที่จะมองไปยังซองมินที่จ้องมาที่เขาเขม็ง แน่ล่ะ ถ้าเขาไม่ยอมปล่อยตัวคยูฮยอนไปล่ะก็ วันรุ่งขึ้นคงต้องโดนซองมินปั้นปึ่งใส่ทั้งวันแน่ ดีไม่ดีเจ้าตัวคงไม่ยอมทำงานให้เขาด้วยซ้ำเพื่อเป็นการทำโทษ ซึ่งเขาเองก็เคยโดนมาแล้ว เรียกว่าวุ่นวายเอาทั้งวันเลยทีเดียว เพราะอย่างนั้นแล้ว เขาจึงไม่กล้าเสี่ยงที่จะขัดใจซองมินอีกเป็นครั้งที่ 2

    “ขอบคุณมากนะครับ” คยูฮยอนร้องบอกก่อนจะโค้งให้เขาอีกครั้งหนึ่งแล้วรีบเดินไปหาซองมินที่หน้าประตู ก่อนที่ทั้ง 2 คนจะเดินกลับบ้านไปพร้อมกัน คังอินสังเกตเห็นรอยยิ้มที่คยูฮยอนมอบให้ซองมินแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะเป็นรอยยิ้มที่ดูจริงใจออกมาจากใจจริง มากกว่ารอยยิ้มแสยะที่เจ้าตัวชอบทำบ่อย ๆ เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ๆ ร่างสูงรู้สึกแปลกใจมากกว่าว่าเด็กที่ทำตัวเยือกเย็นแบบคยูฮยอนจะรู้จักยิ้มแบบนั้นเป็น


    คังอินได้รับเลือกเป็นประธานนักเรียนจริง ๆ สมดังที่อีทึกว่าไว้ โดยคะแนนนั้นห่างกับซีวอนเพียงเฉียดฉิว ซึ่งทำให้ซีวอนนั้นกลายเป็นรองประธานนักเรียนแทน ซึ่งพอซีวอนร้องบอกว่าเสียดายนั้น เจ้าตัวก็โดนคิบอมแขวะเข้าให้ทันทีว่า ถ้าหากประธานนักเรียนคือซีวอนแล้วล่ะก็ มีหวังโรงเรียนซง ฮวาจินต้องล่มจมเพราะความปากร้ายของท่านประธานเป็นแน่ ทำเอาคนที่ปากร้ายพอกันนั้นโดนเขกหัวเข้าให้ทีหนึ่งเป็นรางวัล ทำเอาทุก ๆ คนฮาครืน แม้ว่าทั้ง 2 คนจะถูกสงสัยในความสัมพันธ์แค่ไหนก็ตาม พอใคร ๆ ถามทีไร ทั้งซีวอนและคิบอมก็จะบอกว่าเขาทั้งคู่เป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น ยืนยันได้จากที่คิบอมนั้นกลับบ้านกับดงแฮทุกวัน แต่ถึงกระนั้นทุกคนก็ยังไม่ยอมปักใจเชื่อ นอกจากตำแหน่งเลขานุการที่เป็นของคยูฮยอน นักเรียนรุ่นน้องแล้ว ตำแหน่งเหรัญญิกก็คือซองมินนั่นเอง ส่วนตำแหน่งปฏิคมและประชาสัมพันธ์นั้นเป็นของนักเรียนหญิงรุ่นน้องชั้นมัธยมปลายปี 2 ทั้ง 2คน


    .
    .
    .


    หลังจากจัดการกับเอกสารทุกกองและตรวจความเรียบร้อยของงานเสร็จสิ้น คังอินก็คว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องกรรมการนักเรียนเพื่อจะกลับยังที่หอเดิมอีกครั้ง เพราะวันนี้มีงานน้อยเขาจึงเคลียร์งานเสร็จเร็วกว่าปกติและทันได้เห็นแสงตะวันสุดท้ายที่ลับขอบฟ้า ก่อนที่หมู่ดาวน้อยใหญ่จะขึ้นมาแทนที่ มองเห็นนักเรียนที่กลับบ้านพร้อม ๆ กันหลายคนนั้น ร่างสูงก็อดจะนึกถึงเรื่องราวของตัวเองไม่ได้

    ผ่านไป 1 ปีแล้วหลังจากที่อีทึกเรียนจบ ซึ่งก็เป็น 1 ปีที่ผ่านไปอย่างอ้างว้างและทรมานยิ่งในความรู้สึกของคังอิน อีทึกไม่ติดต่อกลับมาอีกเลยหลังจากวันนั้นและเขาเองก็ไม่สามารถติดต่อกลับได้เช่นกัน เพราะเมื่อโทรศัพท์ติดต่อกลับไปครั้งใด เสียงปลายสายที่ดังขึ้นก็บ่งบอกว่า หมายเลขของอีทึกนั้นยกเลิกการใช้งานไปแล้ว คังอินถอนหายใจเฮือกใหญ่


    นางฟ้า...ป่านนี้คุณจะเป็นยังไงบ้าง?


    ร่างสูงเดินมาจนถึงหอพักของตัวเอง คังอินทักทายกับเด็กร่วมหอที่เดินออกมาด้านหน้าเพื่อซื้อเสบียงเข้าไปตุนไว้ยามดึก ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปจนถึงห้องของตัวเอง ระหว่างที่ไขกุญแจ เจ้าตัวอดที่จะมองไปยังห้องข้าง ๆ ไม่ได้ ห้องพักที่เป็นห้องเดียวกันกับที่อีทึกเคยอาศัยอยูก่อนหน้านี้ ตอนนี้ได้ถูกจับจองโดยเด็กนักเรียนชั้นมัธยมต้นที่เขาไม่รู้จัก เมื่อปิดประตูห้อง คังอินถอดเสื้ออสูทฟอร์มกรรมการนักเรียนออกพาดบนเก้าอี้ก่อนจะเหวี่ยงกระเป๋านักเรียนลงบนเตียง กำลังคิดว่าจะอาบน้ำก่อนหรือจะโทรศัพท์หาเยซองเพื่อตกลงเรื่องสถานที่ที่นัดกันในกลุ่มเพื่อน ๆ คืนนี้ดี ก็พอดีกับที่เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเสียก่อน ร่างสูงจ้องมองหน้าจอดิจิตอลก็ขมวดคิ้วเพราะเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก ก่อนจะกดรับสายแล้วกรอกเสียงทักทายลงไป


    “ฮัลโหล”


    “ฮัลโหล...ขอสายคิม ยองอุนครับ” เสียงใส ๆ น่าฟังที่ไหลมาจากปลายสายทำเอาคังอินขมวดคิ้ว ก่อนจะพลิกมือถือขึ้นดูเบอร์อีกครั้งหนึ่ง ก็ยังคงป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคยอยู่ดี แต่จากเสียงปลายสายนั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวต้องรู้จักเขาดีเป็นแน่ ซ้ำน้ำเสียงยังฟังดูคุ้นหูอย่างประหลาด

    “ยองอุนพูดสายอยู่ครับ” คังอินตอบกลับไปด้วยเสียงเนือย ๆ รู้สึกเหมือนจะได้ยินคนปลายสายหัวเราะคิกคักอยู่แว่ว ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะรวบรวมคำพูดแล้วพูดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง


    “คังอิน!”


    “เห?” คังอินเอียงคออย่างงุนงง เรียกชื่อเขาถูกก็ว่าแปลกแล้ว นี่คนปลายสายยังเรียกเขาว่าคังอินอีก นั่นแปลว่าต้องเป็นคนที่รู้จักกันดีพอสมควร เพราะชื่อคังอินนั้นหากไม่สนิทกันจริง ๆ หรือรู้จักกันเป็นการส่วนตัวแล้วจริง ๆ ร่างสูงมักไม่ค่อยอนุญาตให้ใครเรียกนัก

    “พี่คิดถึงนายจังเลย...” ประโยคถัดมาที่คนปลายสายพูดยิ่งทำให้คังอินงงหนักเข้าไปอีก แต่ครั้นเมื่อสมองประมวลทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้แล้ว คังอินก็เบิกตากว้างอย่างตกใจ มือสั่นจนแทบจะทำมือถือหล่นเมื่อในใจกระหวัดนึกไปถึงเจ้าของน้ำเสียงที่น่าฟังนี้...


    คนที่เรียนจบไปเมื่อปีก่อน...

    คนที่ห่างหายไปโดยไม่ติดต่อกลับมาเลย...

    คนที่เขารักมากที่สุด...แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังรัก...


    ...นางฟ้าไร้ปีกที่ชื่อ ‘ปาร์ค จองซู’

    “พี่...พี่อีทึก!” คังอินตะโกนลั่นใส่มือถืออย่างลืมตัว ร่างสูงทั้งตกใจระคนดีใจปนเปผสมกันไปหมดจนต้องรีบเดินไปนั่งที่เตียง ไม่อย่างนั้นแล้วเขาอาจจะทำมือถือตกลงบนพื้นเมื่อไหร่ก็ได้ด้วยมือที่สั่นเทานี้ เสียงหัวเราะคิกคักแว่วมาจากปลายสายอีกครั้ง


    “อะไร นี่นายตกใจเหรอ?”


    “พี่อีทึก พี่เป็นยังไงบ้าง ทำไมพี่ไม่ติดต่อกลับมาเลยล่ะครับ ผมโทรศัพท์ไปก็ติดต่อไม่ได้ แล้วที่มหาวิทยาลัยเป็นยังไงบ้าง แล้วเอ่อ...” คังอินละล่ำละลักถามคำถามไปรวดเดียว เพราะไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดของตัวเองได้อย่างไร รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาดีใจมากเหลือเกินที่ได้คุยกับอีทึกอีกครั้งหนึ่ง

    “คังอิน...ค่อย ๆ พูด ไม่ต้องรีบก็ได้ พี่มีเวลาคุยกับนายทั้งคืนแหละ” อีทึกว่าพลางหัวเราะพลาง นางฟ้าคนสวยอดยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงที่เหมือนกับตื่นเต้นตกใจเสียเต็มประดาของคังอิน ทำเอาอยากเห็นหน้าของร่างสูงที่อยู่ปลายสายเช่นกัน นี่ถ้าจู่ ๆเขาไปปรากฏตัวต่อหน้า คังอินจะตกใจมากขนาดไหนกัน

    “พี่อีทึก...พี่หายไปไหนมา? ทำไมผมติดต่อพี่ไม่ได้เลย?” คังอินเอ่ยเหมือนตัดพ้อ หลังจากที่ตั้งสติได้ สิ่งแรกที่เขานึกถึงก็คือการที่อีทึกขาดการติดต่อไปนานมาก โดยที่เจ้าตัวนั้นไม่ได้ติดต่อกลับมาเลยและเขาก็ติดต่อกลับไปไม่ได้เช่นกันดังที่ว่าไว้

    “อา...พี่ขอโทษนะ พอดีพอไปถึงที่โน่นพ่อแม่พี่ก็ให้พี่เปลี่ยนมือถือเครื่องใหม่เลย แถมยังต้องติดต่อเรื่องการค้าส่งออกกับต่างประเทศด้วย พี่ก็เลยต้องบินไปเมืองนอกบ่อย ๆ แถมยังต้องเรียนไปด้วยอีก แต่พี่ก็ว่ามันก็โอเคนะ อืม...ก็เพราะพี่ยุ่ง ๆ ด้วย พี่ก็เลยไม่มีเวลาปลีกตัวไปหาเพื่อนเก่าๆ สมัยตอนอยู่ที่ซง ฮวาจินเลย พี่ก็ว่าจะโทรหาคังอินหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่มีเวลาซะที นี่ก็โชคดีนะที่คังอินยังใช้บอร์เดิมอยู่ ไม่งั้นคงฟาล์วแย่ แล้วนี่นายสบายดีเหรอ?” อีทึกอธิบายเสียยืดยาว แม้มันจะดูเหมือนเป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น แต่มันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

    ที่โซลนั้นการแข่งขันทางธุรกิจมากมายและหนักหนาสากรรจ์พอ ๆ กับสนามรบ หากว่าเขาวอกแวกไปกับเรื่องอื่นแม้เพียงนิด ธุรกิจของตระกูลปาร์คที่พ่อแม่เขาปูทางไว้ให้คงเป็นอันต้องล่มจมแน่ อีทึกใช้เวลาทั้งหมดที่กรุงโซลตั้งใจศึกษาเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อ พร้อมกันนั้นก็เป็นตัวแทนของพ่อแม่ในการไปติดต่อเจรจาธุรกิจการค้าที่ต่างประเทศอีกด้วย อายุนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยสำหรับแวดวงธุรกิจในต่างประเทศ ด้วยว่าความสามารถต่างหากที่เป็นสิ่งที่ผู้เจรจาติดต่อคาดหวัง ซึ่งเป็นสิ่งที่อีทึกปฏิบัติได้ดีมาตลอดโดยไม่ขาดตกบกพร่องและเป็นที่ยอมรับของผู้ร่วมหุ้นใหญ่ ๆ ทั้งหลาย บุคลิกยามเอาจริงเอาจังกับงานของเขานั้นยังคงใช้ได้ดีเสมอ แม้ว่าจะเรียนจบมัธยมแล้วก็ตาม


    “ครับ...พี่อีทึก ผมได้เป็นประธานนักเรียนแล้วนะ!” คังอินร้องบอกร่างบางปลายสายกลับไป ไม่ได้คิดโกรธอะไรอีทึกเลยแม้เพียงนิดเดียว การรอคอย ความทุข์ทรมานทั้งหมดที่ได้รับนั้น มันมลายหายไปหมดแล้ว นับจากที่เขารู้ว่าผู้ที่พูดคุยอยู่อีกด้านหนึ่งของปลายสายคืออีทึก

    “จริงเหรอ? เห็นมั้ย! พี่บอกแล้วว่าพี่มองคนไม่ผิด” อีทึกหัวเราะร่า ทำเอาคังอินอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้ นางฟ้ายังไงก็ยังคงเป็นนางฟ้าที่ร่าเริงเสมอ เขาดีใจที่อีทึกมีความสุขกับการใช้ชีวิตที่นั่น แม้ว่าตัวเขาเองจะเจ็บปวดก็ตาม แต่ความสุขและเสียงหัวเราะของนางฟ้าก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขเช่นกัน


    “พี่อีทึกครับ...ผม เอ่อ...ทุกคนที่นี่คิดถึงพี่อีทึกนะครับ”


    “พี่ก็คิดถึงทุก ๆ คนเหมือนกัน อา...ไม่ได้กลับมาซะนานที่โรงเรียนจะเป็นยังไงบ้างนะ?” อีทึกว่าพลางนึกถึงอดีตที่โรงเรียนมัธยมซง ฮวาจิน เพื่อน ๆ ทั้งหมดที่จบรุ่นเดียวกันต่างก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางเดินของตน โดยเฉพาะฮีชอล เพื่อนสนิทที่สุดของเขานั้น หลังจากที่เรียนจบชั้นมัธยมปลาย เจ้าตัวก็เดินทางไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยในประเทศจีนพร้อม ๆ กับฮันคยอง เมื่อไม่นานมานี้ ฮีชอลก็ส่งภาพถ่ายที่เจ้าตัวถ่ายคู่กับฮันคยองที่บ้านของฮันคยองในประเทศจีนมาให้อิจฉาเล่น แม้จะเหมือนไม่ตั้งใจ แต่อีทึกก็สังเกตเห็นประกายแวววับของแหวนเพชรที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของฮีชอลอยู่ดี เขาก็เลยได้แต่โทรศัพท์สวดส่งกลับไปว่าหากแต่งงานเมื่อไหร่ ก็อย่าลืมบินมาฮันนีมูนที่เกาหลีด้วยแล้วกัน เพราะเขาคงไม่ว่างพอที่จะแวะไปหาที่จีนเป็นแน่ เล่นเอาฮีชอลถึงกับหัวเราะร่วน

    “ไม่ได้กลับมานาน...อ๊ะ! พี่อีทึกกลับมาแล้วเหรอครับ?” คังอินขมวดคิ้วก่อนจะร้องขึ้นอย่างตกใจจนอีทึกต้องรีบปราม

    “ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้...คังอิน พี่กำลังขับรถไปหานายอยู่นี่ไง ตอนนี้นายพักอยู่ที่หอเหมือนเดิมใช่มั้ย?” อีทึกที่กำลังขับรถอยู่นั้นเอ่ยขึ้นกับคนที่ปลายสาย มือประคองพวงมาลัยรถขับไปตามถนนสายใหญ่อย่างชำนาญ ต้องขอบคุณการไปช่วยพ่อแม่ทำธุรกิจที่โซล เพราะก่อนหน้านี้อีทึกขับรถไม่เป็นเอาเสียเลย แค่จะขับวนอยู่ในตัวเมืองแคบ ๆ เจ้าตัวก็ขับเสยรถชาวบ้านที่จอดอยู่ ชนโน่นชนนี่ไปตลอดทางจนต้องจ่ายค่าเสียหายอยู่มากโข แต่พอต้องติดต่อเจรจาธุรกิจมากขึ้นอีทึกก็ขับรถได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดแล้วก็สามารถขับได้อย่างชำนาญโดยไม่มีเรื่องให้ต้องปวดหัวอีก


    “อา...ครับ”


    “นี่! คังอินรู้มั้ย? วันนี้พี่ก็เอาเจ้าหมีคังทึกมาด้วยล่ะ มันคงคิดถึงคังอินแย่เลย พี่พกมันไปไหนมาไหนตลอดเวลาเลยนะ” อีทึกหมายถึงตุ๊กตาหมีเท็ดดี้แบร์ตัวใหญ่ที่คังอินมอบให้เขาในวันพิธีจบการศึกษาชั้นมัธยมปลาย ซึ่งตลอดเวลาที่อยู่ที่โซล นอกจากเวลาที่ต้องไปเจรจาธุรกิจสำคัญจริง ๆ อีทึกก็จะพกมันไปไหนมาไหนด้วยตลอด โดยเจ้าหมีขาวตัวใหญ่จะจับจองที่นั่งคู่คนขับเสมอ ซึ่งเจ้าหมีตัวนี้เองที่อีทึกเป็นคนยัดใส่กระเป๋าตอนวันเดินทาง โดยลงทุนรื้อเอาเสื้อเสื้อผ้าออกเหลือเพียงแค่กระเป๋าเดียวเท่านั้น เพราะเขาให้เหตุผลกับตัวเองว่า เสื้อผ้านั้นไปถึงที่โซลแล้วจะซื้อหาเอาเท่าไหร่ เมื่อไหร่ก็ได้ แต่กับตุ๊กตาหมีตัวสำคัญ ไม่สามรถหาซื้อจากที่ไหนได้อีกแล้ว


    “งั้นเหรอครับ?” คังอินถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มออกมา รู้สึกดีใจเหมือนกันที่อีทึกเองเห็นว่าของที่เขาให้สำคัญมากขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่ฐานะของอีทึกเองจะซื้อตุ๊กตาหมีแบบที่เขาให้อีกกี่ตัวก็ได้ แต่น้ำเสียงของคังอินที่อีทึกได้ยินนั้น ร่างบางเข้าใจไปว่าคังอินหัวเราะที่เขาทำแบบนี้


    “จริง ๆ นะ!” อีทึกย้ำเสียงกระเง้ากระงอดใส่โทรศัพท์ คังอินหัวเราะก่อนจะพูดตอบกลับไป


    “ผมไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อซะหน่อยนี่ครับ”


    “อา...คังอิน ตอนนี้พี่มาถึงหน้าหอพักแล้วล่ะ นายเห็นพี่มั้ย?” อีทึกพูดพลางดึงเบรกมือก่อนที่จะเปิดประตูรถออกมา ร่างบางที่คุยโทรศัพท์อยู่เงยหน้าขึ้นไปยังหน้าต่างชั้น 3 ของหอพัก ซึ่งเขาจำได้ว่าคังอินเคยพักอยู่ที่ห้องนั้น ไม่แน่เหมือนกันว่าร่างสูงจะยังคงพักอยู่ที่ห้องเดิมหรือเปล่า

    “เห็นแล้วครับ...พี่อีทึก” คังอินที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างเอ่ยขึ้น ก่อนจะแหวกผ้าม่านออกไปอีกเพื่อให้มองเห็นได้ถนัดขึ้น สายตาจ้องมองลงไปเบื้องล่างที่มีรถเก๋งคันหรูสีบรอนซ์เงินจอดอยู่ โดยมีร่างบางที่กำลังทำท่าเหมือนพูดคุยโทรศัพท์อยู่นั้นยืนอยู่ข้าง ๆ อีทึกดูเปลี่ยนไปไม่มากท่าไหร่ในสายตาของคังอิน การที่ไปอยู่ที่โซลนั้นขับให้ผิวของอีทึกขาวเนียนขึ้นกว่าเดิมมาก คงเป็นเพราะการที่เจ้าตัวเอาแต่วิ่งวุ่นทำงาน ไม่ก็ขับรถตลอด ร่างกายจึงแทบไม่ได้โดนแสงแดดเลย ทั้งยังดูผอมบางลงกว่าเดิมมาก เพราะเจ้าตัวคงกรำแต่งานหนักแทบไม่ได้พักผ่อน ผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยาวขึ้นมากนั้นถูกซอยระใบหน้าแล้วมัดเป็นหางม้ายาวปล่อยมาด้านหน้าทำให้ดูสวยหวานขึ้น คังอินเผลอยิ้มออกมา

    “รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวพี่จะขึ้นไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” อีทึกเอ่ยขึ้นก่อนจะรีบก้าวฉับ ๆ เข้ามาที่ตัวอาคารอย่างเร่งรีบ จนคังอินมองไม่เห็นเจาตัวอีก ร่างสูงจึงปิดม่านหน้าต่างแล้วเดินกลับมานั่งที่เตียงอีกครั้งหนึ่ง ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในใจนั้นย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสครั้งนี้ผ่านไปอีกแล้ว ความห่างไกลมันทรมาน คังอินรับรู้ได้เช่นนั้น และการรอคอยโดยที่ไม่มีจุดหมาย โดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คนคนนั้นจะกลับมาก็ทรมานมากเช่นกัน ร่างสูงกระชับโทรศัพท์ในมือแน่น


    ถึงเวลาที่เขาจะต้องพูดมันออกไปเสียที...


    “พี่อีทึกครับ”


    “ว่าไงคังอิน?” อีทึกร้องตอบเสียงใส ตอนนี้ร่างบางกำลังเดินขึ้นมาทางบันไดของหอพัก หลังจากที่ก้มศีรษะทักทายคุณป้าเจ้าของหออย่างคุ้นเคย ซึ่งเธอก็มองมาที่อีทึกอย่างจำได้เช่นกัน ซึ่งตลอดทางเดินที่อีทึกเดินผ่านนั้น บรรดารุ่นน้องที่เห็นนางฟ้าคนสวยและจำได้ว่าเป็นอีทึกนั้น ต่างก็เหลียวมองตามกันเป็นทิวแถว ด้วยว่าความสวยของอีทึกนั้นมากขึ้นเสียจนสะกดสายตาแทบทุกคู่ หากแต่ร่างบางที่แทบไม่ได้สนใจอะไรรอบข้างเลยนั้นก้าวยาว ๆ เพียงไม่เท่าไหร่ อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงห้องของคังอินแล้ว


    “ผม...ขอถามอะไรบางอย่างกับพี่ได้มั้ยครับ?”


    “อื้ม! ได้สิ”


    อีทึกยังคงเป็นคนเดิมที่ให้โอกาสเขาอยู่เสมอ ไม่ต่างจากตอนที่ร่างบางให้โอกาสเขาพูดในวันพิธีจบการศึกษา หากแต่ในตอนนั้นเขาก็ไม่ยอมพูดออกไปเสียที จนเมื่ออีทึกต้องย้ายไปอยู่ที่กรุงโซล นั่นทำให้เขารับรู้ได้ว่ามันทรมานแค่ไหน


    เขาจะไม่มีวันปล่อยนางฟ้าไปอีกเป็นครั้งที่ 2


    “คือ...”


    เธอจะมีใจหรือเปล่า? 

    มันคือความจริงที่ชั้นอยากรู้ เก็บอยู่ในใจแต่ไม่อยากถาม... 

    กลัวรับมันไม่ไหว...



    ได้ยินเสียงเคาะประตูเบา ๆ เป็นจังหวะที่หน้าห้อง คังอินกลั้นใจพูดคำ ๆ นั้นที่ค้างคาอยู่ในใจของตนออกไป...



    ไม่รู้ว่าอีทึกจะเข้าใจมันบ้างหรือเปล่า...

    ไม่รู้ว่าอีทึกจะตอบกลับมาว่าอย่างไร...

    และไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเขาและอีทึกจะเป็นเช่นไรต่อไป...


    แต่อีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้...เขาก็คงได้รับรู้มัน ผ่านปากของคนที่ยืนอยู่หลังประตูบานนี้เป็นแน่



    “พี่อีทึกครับ...ผมรักพี่นะ รักมาตลอด จนถึงตอนนี้ผมก็ยังรัก แล้วพี่...รักผมบ้างรึเปล่า?”


    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    >>>END

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×