คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตอนจบ
ที่เมืองมิวนิค เวลานั้นปรากฏว่ามีนักการเมืองรวมกลุ่มขึ้นเป็นกลุ่มๆไม่น้อยกว่า 12 กลุ่ม แต่ละกลุ่มก็มีความคิดเห็นไปแต่ละอย่าง แต่ก็มีอยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งมีความคิดเห็นในการต่อต้านรัฐบาลนั้นอย่างรุนแรง ทั้งๆที่กลุ่มนี้มีสมาชิกอยู่เพียงไม่กี่คน ซึ่งรวมตัว อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่มาสมัครเป็นคนสุดท้ายด้วยแล้ว ก็มีอยู่เพียง 7 คนเท่านั้น สมาชิกทั้ง 7 คนของกลุ่มนี้จะนัดพบประชุมกันในร้ายขายเหล้า ในเขตที่พักคนงานเป็นประจำ เพราะเหตุที่แต่ละคนล้วนแต่เป็นกรรมกรทั้งนั้น ยกเว้น ฮิตเลอร์คนเดียวเพราะก่อนที่ฮิตเลอร์จะเข้ามาร่วมกับพรรค์นี้ เขาเองเป็นผู้ที่กองทัพฝ่ายปกครองและปราบปรามพวกคิดร้าย เป็นผู้ส่งเขาเข้ามาสอดแนมความเคลื่อนไหวของพวกเหล่านี้ แต่แล้วเขาเองกลับมานิยมชมชอบในแนวความคิดของกลุ่มกรรมกรแห่งเยอรมนี(Geaman Labour Party)นี้เข้าอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อเข้ามาอยู่ในกลุ่มกรรมกรแห่งเยอรมนี ซึ่งนับว่าเป็นกลุ่มเล็กๆกลุ่มนี้แล้ว ฮิตเลอร์เองกลับกลายเป็นคนสำคัญของกลุ่มไป จนถึงกับลาออกจากอาชีพทหาร มาดำเนินการเป็นหัวหน้ากลุ่มเสียเอง โดยเหตุที่ว่า เมื่อเขาออกโรงแสดงปาฐกถาชักจูงให้คนฟังเกิดเลื่อมใสเข้ามาสมัครร่วมอยู่ในกลุ่มของเขามากขึ้นทุกที ซึ่งแท้จริงแล้ว ฮิตเลอร์ไม่ใช่นักปาฐกถามาก่อนด้วยซ้ำ แต่เห็นจะเป็นด้วยบุคลิกลักษณะ และท่าทางในการพูดของเขาเข้มแข็งเด็ดขาดแบบทหาร เขาจึงทำให้ผู้ฟังส่วนมากพากันเลื่อมใส และพากันมาสมัคนเป็นสมาชิกพรรคกันมากทุกที ฮิตเลอร์ประสงค์จะใช้ชื่อของพรรค์ มีความหมายครอบคลุมไปในชนทุกชั้น ไม่เฉพาะแต่กรรมกรอย่างเดียว ในขณะนั้นเยอรมนีกำลังอยู่ในความไม่สงบ เหตุด้วยการเงินตกต่ำลงมาก รัฐบาลเองก็อยู่ในฐานะที่ต้องขอยืมเงินจากประชาชนแล้วออกพันธบัตรทดแทน ซึ่งยังไม่แน่ว่า พันธบัตรนั้นจะเป็นที่เชื่อถือได้หรือไม่ เหตุนี้ ประชาชนจึงเกิดความเสื่อมนิยมรัฐบาลลงทันที แม้รัฐบาลเยอรมนีจะได้ขอกู้เงินจากธนาคารของอเมริกามาช่วยกู้สถานการณ์ และพัฒนาประเทศ แต่ก็ไม่เพียงพอ ทั้งปรากฏว่า คนใหญ่คนโตในวงการราชการบางคนมีการกอบโกย และโกงกินเงินของประชาชนอยู่ด้วย ความเกลียดชังในรัฐบาลชุดนี้ของประชาชน จึงเกิดขึ้นทุกที
แต่ฮิตเลอร์ก็ยังไม่มีโอกาส จะหาทางปฏิวัติคณะรัฐบาลนี้ได้ จนกระทั่งภายหลังเขาได้รับการทาบทามจากนายทุนผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง ให้เขาหาทางทำลายสหพันธ์กรรมกรซึ่งมีส่วนร่วมจัดตั้งขึ้นนี้ได้ เขาจะได้รับตำแหน่งในวงการราชการโดยการสนับสนุนของเขา ฮิตเลอร์ตกลงยอมรับ ทั้งที่รู้ว่าเป็นวิธีการขัดกับหลักการของเขา แต่ก็ยอมทำ เพราะหวังจะเข้าไปมีอำนาจในวงการราชการ ในที่สุดฮิตเลอร์ก็เข้าไปมีอำนาจในวงการราชการ ร่วมกับคณะรัฐบาลชุดเดียวกันนี้ ฮิตเลอร์เริ่มมีอำนาจขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1933 ประธานาธิบดีไฮเดนเบอร์กของเยอรมนี ในขณะนั้นแต่งตั้งให้เขาเป็น นายกรัฐมนตรีของเยอรมนี ฮิตเลอร์ทรยศต่อพรรคกรรมกรของเขาเอง เพียงเพื่อจะแสวงหาทางของความเป็นใหญ่ให้แก่ตนเอง แล้วก็ได้ดังใจคิดสมหวัง แต่ฮิตเลอร์ก็ฉลาดพอดู เขายังคงรักษาความเป็นพรรคนาซีของเขาไว้อยู่เรื่อยๆ เขาทำให้พรรคนาซีของเขาอยู่ได้โดยไม่ต้องแตกฉานกันไป เพราะเขาหวังว่าจะให้พรรคนาซีของเขาได้เข้ามามีบทบาท และเสียงสนับสนุนเขาในโอกาสเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาคราวต่อไป ขณะเดียวกัน เขาก็วางแผนทำลายพรรคคอมมิวนิสต์ให้ย่อยยับลง โดยวิธีป้อนความผิดให้แก่พรรคคอมมิวนิสต์ และหาทางจับกุมพวกคอมมิวนิสต์ในเยอรทนีมาขังไว้ในคุกร่วมพันคน ฮิตเลอร์ดำเนินแผนการของตนเองต่อไปอยู่เรื่อยๆ พอถึงเดือนสิงหาคมในปี ค.ศ. 1934 จอมพลไฮเดนเบอร์กประธานาธิบดีถึงแก่กรรมลง ฮิตเลอร์ก็รวบเอาตำแหน่งประธานาธิบดีเข้ามาเป็นตำแหน่งของตน รวมทั้งตำแหน่งรัฐมนตรีของประเทศอีกด้วย เพราะฮิตเลอร์ไม่ยอมให้มีตำแหน่งรัฐมนตรีของประเทศอีกต่อไป และตำแหน่งที่ตนครองอยู่นี้ ก็เปลี่ยนเรียกเสียใหม่ว่า เดอร์ ฟูเรอห์ (Der Fuhrer) ซึ่งมีความหมายว่า ผู้นำของประเทศ
คราวนี้เอง ที่ฮิตเลอร์ได้แสดงอำนาจบาตรใหญ่อย่างเต็มที่ ฮิตเลอร์ทำให้คนทั้งประเทศต้องตกอยู่ในอำนาจของตนแบบว่า “ ท่านผู้นำจะไปทางไหน เราจะตามไปด้วย ” ใครจะคิดว่า อดีตสิบโทกองทัพบก ลูกชายช่างเย็บรองเท้า และมีเชื้อชาติชาวออสเตรีย จะได้กลายเป็นจอมเผด็จการผู้ยิ่งใหญ่แห่งเยอรมนีในศตวรรษที่ 19 แผนการครองอำนาจยิ่งใหญ่ของฮิตเลอร์คือ การกวาดล้าง พวกที่คิดเป็นปรปักษ์ต่อตน ฮิตเลอร์สั่งยุบพรรคการเมืองทุกพรรคหมดสิ้น หาทางบีบให้สหพันธ์กรรมกรสลายตัวไป แล้วยึดเงินสหพันธ์มาไว้ทั้งหมด สั่งเพิ่มเวลาทำงานให้มากชั่วโมงขึ้น สำหรับกรรมกร แต่ไม่มีการเพิ่มแรงงานขึ้น สั่งปิดหนังสือพิมพ์ที่เป็นฝ่ายค้านทุกฉบับ การสถานีวิทยุทุกแห่ง คงให้แต่ของรัฐฝ่ายเดียว
ในยุคที่ฮิตเลอร์สำแดงอำนาจนี้เอง ที่ปรากฏว่า นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ ศิลปิน รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ที่ความคิดเห็นขัดแย้ง และไม่สามารถจะคล้อยตามในนโยบายของฮิตเลอร์ได้ก็พากันลี้ภัยออกนอกประเทศ พวกที่หนีไปไม่รอด และถูกฮิตเลอร์สงสัยว่าจะเป็นฝ่ายตรงข้าม ก็สั่งจับไปคุมขังไม่ก็ประหารชีวิตเสียจำนวนมากมาย นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่หรือคนสำคัญในกระบวนการนักเรียนหรือนักการเมืองที่เป็นพวกยิว หรือพรรคสังคมนิยม พรรคคอมมิวนิสต์ ต้องถูกจับไปขังไว้ในค่ายกักกันอย่างทรมานถึงขนาดเป็นบ้าสติฟั่นเฟือน หรือไม่ก็ป่วยเจ็บตายนับจำนวนเป็นแสนกว่าคนก็ว่าได้ ฮิตเลอร์ทำการครั้งนี้อย่างที่เรียกว่าประสงค์จะตัดไฟแต่ต้นลมต่างๆ ที่ฮิตเลอร์เกรงว่าจะเป็นภัยแก่ตัว และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงจิตใจอันเหี้ยมโหดของเขา บุคคลแต่ละบุคคลที่ทำงานอยู่ภายใต้อาณัติของเขา จึงต้องมีใจหฤโหดตามไปด้วย แม้แต่เพื่อนสนิทซึ่งเป็นพรรคนาซีด้วยกันกับฮิตเลอร์มาก่อน ถ้าเพียงแต่สงสัยว่าจะคิดไม่ซื่อ ฮิตเลอร์ก็สั่งประหารหรือฆ่าเสียจนนับไม่ถ้วน
ครั้งหนึ่ง นายพลไลเซอร์ อดีตนายทหารที่เคยเป็นผู้บังคับบัญชาของเขา และเป็นนายพลทหารเยอรมันที่ทุกคนเคารพรักกันมาก แม้เมื่อปลดเกษียณอายุเพราะชราแล้ว แต่ฮิตเลอร์ก็ยังสั่งให้ทหารไปฆ่าเสีย ทั้งนายพลและภรรยาถึงบ้าน ด้วยเพียงสงสัยว่านายพลจะปฏิวัติ
ในปี ค.ศ. 1937 ฮิตเลอร์ก็ได้ทำความสัมพันธ์กับมุสโสลินี ผู้นำของอิตาลี ซึ่งในขณะนั้น มุสโสลินีกำลังก่อตั้งพรรคฟาสซิสม์ขึ้น ฮิตเลอร์ยังได้ส่งกองทหารเยอรมัน ไปช่วยพวกฟาสซิสม์ในสเปน ทำสงครามกลางเมืองจนได้รับชัยชนะอีกด้วย ฮิตเลอร์ทำงานครั้งนี้ ได้ล่วงล้ำไปถึงการกดขี่พวกฟาสซิสม์ไปด้วย โดยไม่เฉลียวใจว่า พวกฟาสซิสม์ยังเป็นพวกที่เคร่งศาสนาอยู่ แต่ฮิตเลอร์เป็นบุคคลที่ไม่เคารพศาสนา กลับใช้โบสถ์เป็นที่ฝึกยุทธวิธีในการรบแก่เยาวชน ซึ่งทำให้พวกฟาสซิสม์ส่วนใหญ่ไม่สู้จะพอใจนัก แต่อาศัยที่ผู้นำประเทศต่อผู้นำยังเป็นมิตรกันอยู่พวกฟาสซิสม์จึงไม่กล้าขัดคำสั่งของฮิตเลอร์
ต่อมา ประเทศออสเตรียได้ส่งสารมาขอเป็นพันธมิตรด้วย โดยประสงค์จะไม่ให้ฮิตเลอร์รุกราน ฮิตเลอร์ยินยอมลงนามในสารฉบับนั้น แต่อีกหนึ่งเดือนต่อมา ฮิตเลอร์ก็ส่งกองทัพเข้าไปบุกยึดเอาประเทศออสเตรีย เข้ามาเป็นเมืองขึ้นของตนเองอีกอย่างง่ายดาย
กองกำลังที่ฮิตเลอร์สะสมในเวลานั้น อาจจะเรียกได้ว่า เป็นกองทัพมหึมากองหนึ่งก็ว่าได้ เพราะฮิตเลอร์มุ่งหน้าแต่จะสร้างกำลังแก่กองทหารของเยอรมนีเต็มที่ รายได้ของรัฐแทบทุกหน่วย ต้องตกมาเป็นเครื่องบำรุงกองทัพ ฮิตเลอร์สร้างอาวุธยุทธภัณฑ์ขึ้นเป็นการใหญ่ จนกระทั่งข่าวการสร้างกำลังทางรบของฮิตเลอร์ แว่วไปยังประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส ประเทศทั้งสองจึงมีสาส์นเตือนมายังฮิตเลอร์ เป็นเชิงเตือนวิงวอนมิให้ฮิตเลอร์ก่อสงครามโลกหรืบุกรุกประเทศที่เล็กกว่า เช่นอย่างประเทศเชโกสโลวักเกียซึ่งเป็นประเทศเล็กๆในเวลานั้น ต้องคอยหวาดผวา เพราะข่าวเรื่องฮิตเลอร์บุกประเทศออสเตรียมาแล้ว ทางเชโกสโลวักเกีย จึงขอร้องให้อังกฤษกับฝรั่งเศสช่วยไปเจรจากับฮิตเลอร์ เป็นเชิงป้องกันไว้ก่อน หรือเป็นทำนองขอร้องให้อังกฤษกับฝรั่งเศสช่วยคุ้มครองให้ด้วย
ได้มีการเจรจากันที่เมืองมิวนิค โดยประเทศทั้ง 3 คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส และ เชโลสโลวักเกีย ได้ส่งผู้นำทั้ง 3 ไป เจรจากับฮิตเลอร์ ฮิตเลอร์กับขอให้เชโกสโลวักเกียแบ่งดินแดนตอนเหนือของเชโกสโลวักเกียให้กับเขา โดยอ้างว่าดินแดนตอนนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเยอรมันส่วนมาก เขาต้องการจะรวมเยอรมันให้เป็นแผ่นดินเดียวกัน ซึ่งถ้าหากเชโกสโลวักเกียยอมยกให้ ฮิตเลอร์จะไม่ใช้อำนาจทางทหารเข้าไปยึด ข้อต่อรองนี้เชโกสโลวักเกีย ต้องยอมยกให้ฮิตเลอร์โดยดี ทั้งนี้เพื่อหวังจะหลีกเลี่ยงสงคราม และการรุกรานของฮิตเลอร์นั่นเอง ใครจะคาดคิดว่า แม้ฮิตเลอร์จะได้ดินแดนตอนเหนือที่ตนต้องการแล้วก็ตาม ฮิตเลอร์ก็ยังอยากได้ประเทศเชโกสโลวักเกียทั้งประเทศ มาไว้ในครอบครองเองอีกด้วย เพราะต่อมาฮิตเลอร์ก็กรีฑาทัพบุกเข้ายึดเชโกสโลวักเกียมาไว้ในกำมือของตนอีกทั้งประเทศ ฮิตเลอร์ทำการอุกอาจเป็นครั้งที่ 2 ภายหลังจากที่ยึดออสเตรียมาแล้วหยกๆ ยังมาเล่นเอาเชโกสโลวักเกียไปอีก ทำให้ประเทศมหาอำนาจในขณะนั้น ได้แต่มองการกระทำของฮิตเลอร์อย่างงุนงง ส่วนประเทศที่ไม่ทันคิดว่าเยอรมนีจะทำการอุกอาจถึงขนาดนี้ ก็พากันร้อนตัว ถึงกับเร่งลงมือสะสมอาวุธยุทธภัณฑ์และกองกำลังกันอย่างเร่งรีบ เพื่อเตรียมไว้รับมือฮิตเลอร์ เพราะไม่แน่ว่าประเทศตนจะถูกฮิตเลอร์บุกเข้ามาเมื่อไร การก็เป็นไปดังที่คาดหมายเมื่อ ต่อมา ฮิตเลอร์ก็บุกเข้ายึดเอาโปแลนด์เสียอีกประเทศหนึ่ง เล่ากันว่า ก่อนจะยึดโปแลนด์ ฮิตเลอร์ยังมีสารไปหยั่งเชิงรัสเซียเสียด้วยว่า เขาจะยึดโปแลนด์ ถ้าหากมีการต่อสู้กันขึ้นก็ขออย่าให้รัสเซียเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยนะ รัสเซียตอบตกลง ฮิตเลอร์ก็บุกเข้ายึดโปแลนด์ทันที ฮิตเลอร์ทำการบุกโปแลนด์ครั้งนี้ ด้วยแผนการที่เขาประกาศให้รู้โดยทั่วกันว่า พวกเยอรมันของเขาที่อาศัยอยู่ในโปแลนด์ถูกกดขี่บังคับมาก เขาจึงต้องเข้าทำการยึดเพื่อปกครองแทนเสียเอง คราวนี้ฮิตเลอร์ใจดีต่อรัสเซียโดยขนาดแบ่งเนื้อที่ของโปแลนด์ให้รัสเซียครึ่งหนึ่ง ฐานที่รัสเซียไม่เข้ายุ่งด้วยตามสัญญา
ในขณะนี้ ฮิตเลอร์มีกำลังเป็นปึกแผ่นหนาแน่นเพิ่มขึ้น และยิ่งจะคึกคะนองใจเมื่อสามารถตียึดประเทศดังกล่าวมาได้อย่างง่ายดาย ฮิตเลอร์จึงเริ่มวางแผนที่จะยึดประเทศต่อไป และประเทศที่ฮิตเลอร์หมายตาไว้คือ เดนมาร์ก และ นอร์เวย์ พอข่าวการเคลื่อนไหวของฮิตเลอร์เริ่มขึ้น อังกฤษกับฝรั่งเศสก็นิ่งดูดายไม่ไหว สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเริ่มประทุขึ้น ใน ค.ศ. 1938 นี้เอง อังกฤษยกกองทัพเรือเข้าสกัดการรุกของเยอรมัน และฝรั่งเศสก็เคลื่อนกองทัพเข้าประชิดพรมแดน ด้านติดกับเยอรมนีพร้อมกัน แต่ฮิตเลอร์มีแผนการณ์ที่เตรียมไว้รับและรุกอยู่แล้วไว้ดีกว่า และกำลังสำคัญของฮิตเลอร์ในขณะนั้นก็ได้แก่ เรือดำน้ำ และเครื่องบินซึ่งฮิตเลอร์ได้ซุ่มสร้างไว้อย่างเต็มที่ ทัพเรืออังกฤษจึงตกเป็นฝ่ายปราชัยเสียหายอย่างหนัก ทางด้านฝรั่งเศส ซึ่งยกพลไปประชิดทางบกด้านพรมแดนนั้น กลับเสียท่าให้ฮิตเลอร์ยกกองทัพผ่านฮอลแลนด์ และเบลเยี่ยม เข้ายึดฝรั่งเศสได้ ในที่สุดฝรั่งเศสก็เป็นฝ่ายแพ้สงคราม
ขณะที่ฮิตเลอร์ออกสงครามนั้น ฮิตเลอร์มีแผนการที่จะบุกรัสเซียอยู่ด้วยเหมือนกัน ส่วนอังกฤษนั้น ถึงหากจะยังตีไม่สำเร็จ และอยู่ในระหว่างสงคราม ฮิตเลอร์ก็ตัดสินใจบุกรัสเซีย ซึ่งนับว่าเป็นแผนการที่ฮิตเลอร์วางผิดพลาดก็ได้ เพราะในปี ค.ศ. 1941 ญี่ปุ่นซึ่งพลอยออกโลดแล่นเข้ามาสู่สงคราม โดยเข้าเป็นฝ่านร่วมรบกับเยอมันนั้น ชะล่าใจและคิดจะตัดกำลังทางด้านสหรัฐอเมริกาที่อาจจะออกมาช่วยอังกฤษกับฝรั่งเศส ญี่ปุ่นจึงส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดทำลายฐานทัพที่ อ่าว เพิร์ล ฮาร์เบอร์ ของสหรัฐ ฯ ให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก เป็นเหตุให้อเมริกาตั้งตนเป็นกลางอยู่ไม่ได้ ต้องตัดสินใจเข้าร่วมอังกฤษต่อต้านเยอรมนีกับญี่ปุ่น และสงครามโลกครั้งนี้เอง ที่ดวงชะตาได้กำหนดเส้นตายไว้ให้แก้ฮิตเลอร์ จอมเผด็จการของเยอรมันผู้โหดเหี้ยมต้องดับลง
เยอรมนีกับญี่ปุ่นซึ่งเป็นที่รู้กันว่าแพ้สงครามอย่างสิ้นเชิง ส่วนฮิตเลอร์นั้น ตามกระแสะข่าวกล่าวว่า เขาได้ยิงตัวตายเสียก่อนจะถูกจับกุม และบางกระแสะก็ว่า เขาถูกขว้างใส่ด้วยระเบิดในที่ประชุมที่กรุงเบอร์ลิน แต่ฮิตเลอร์จะสูญไปจากโลกนี้จริงหรือไม่ จนบัดนี้ ยังไม่มีผู้ใดได้พบศพหรือซากร่างของเขาเลย.......
credit : รํฐบุรุษโลก (บุญทรง สราวุฒิ)
ความคิดเห็น