คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ฑาหะแห่งราพณะ
ฑาหะแห่งราพณะ . . .
คุลิกาสองเม็ดนวลจากห่วงมหรรณพลึก ถูกวางประดับอยู่เหนือหัตถ์เทพบุตรหนึ่งนาย คราเมื่อกลับขึ้นจากห้วงลึกมหาสมุทรมาสู่ถ้ำศิลาเก็บรักษารัตนมณีล้ำค่าอันตั้งอยู่เบื้องหลังรัตนวิมาน วิมานที่ประทับของเหล่าเทพบุตรเทพธิดาแห่งมณีรัตน์ในโลกหล้า โดยมีพระเทวีสิริพัชรเป็นผู้ปกครอง
"ทรรศิกามิคิดว่าสองเราจะได้พบพานกัน"
ราตรีกาลนั้นคราที่ศาสตราจักรรอนตัดสรรพางค์ทรรศิกา ความเวทนาจึงประจักษ์ต่อเนตรรัศม์สุวรรณ ดวงจิตสุขไสวของพระธิดากุมภัณฑ์ครานั้นได้ลอยเลื่อนขึ้นจุติแดนสวรรค์ ประภพขึ้นเป็นรัมภาในบริวารพระเทวีสิริพัชร
ยามเมื่อรัศม์สุวรรณตามติดดวงอาภาของนางมา ทิพยกายาไร้รอยยักริ้วสิ่งอันแสดงให้รู้ชัดว่าใช่กุมภัณฑ์บัดนั้นจึงไร้สิ้น ความอิ่มพริ้มโศภินของทรรศิการวมไปถึงจิตงามมิคิดทิ้งคำสัตย์ จึงคล้ายว่าจักกระทบไปถึงจิตฤทัยรัศม์สุวรรณให้คลายทะนงศักดิ์ของตนลง
"รัศม์สุวรรณเราเห็นท่านกล่าวเช่นนี้บ่อยครั้งนักยามเมื่อพบทรรศิกา" หนึ่งสหัพย์สหายรับภาเคียงข้างทรรศิกากล่าววาจาขึ้นทักท้วง ด้วยมิว่าจะกี่ทิวาโลกาเวียน รัศม์สุวรรณก็มักแวะเวียนมายังรัตนวิมานเพื่อพบพักตร์ทรรศิกาอยู่ให้เนืองนิตย์
"เราให้เจ้า" รัศม์สุวรรณร่ายโอษฐ์แย้มยิ้มให้แก่อุไรพัชรา ก่อนจะกล่าววาจาพลางยื่นส่งคุลิกาเม็ดงามจากห้วงมหรรณพลึกส่งให้แก่ทรรศิกา ทว่าฝ่ายทรรศิกากลับเบือนบ่ายดวงพักตร์ตนหลีกหนี
"ทรรศิกาเมื่อไหร่เจ้าจะใจอ่อนให้แก่รัศม์สุวรรณบ้าง"
ตั้งแต่คราศาสตราจักรรอนร่างพระธิดากุมภัณฑ์ ครานั้นวาจาว่าวอนขออภัยต่อทรรศิกา รัศม์สุวรรณจึงมีมาให้นางในทุกคราที่พบพักตร์ ทั้งว่าวอนไปถึงพระกรรณพระเทวีขอให้ทรรศิกาได้มาปกครองฐรัตน์วิมานร่วมกัน แม้พระเทวีท่านจะยินยอมทว่าทรรศิกากลับมิติดตามไป ฝ่ายรัศม์สุวรรณจึงคอยเวียนแวะเข้าว่าวอนกล่าวขออภัยในสิ่งที่เคยกระทำผิดต่อทรรศิกาให้บ่อยครั้ง มากเสียกว่าเคยว่าวอนกล่าวเกี้ยวรักเทพธิดาพระองค์ใดบนแดนสวรรค์เสียอีก
"เราไม่ต้องการ เชิญท่านนำคุลิกาเข้าเก็บรักษาไว้ในถ้ำศิลาเถิดรัศม์สุวรรณ" นางกล่าวพลางละเนตรออกจากคุลิกางามอันวางประดับอยู่เหนือหัตถ์เทพบุตรเบื้องพักตร์
"ไม่ว่าเจ้าจะกล่าววาจาเช่นไร ไม่ว่าเจ้าจะผลักไส ถึงอย่างไรเราก็จะคอยว่าวอนขออภัยต่อเจ้าเช่นนี้จนกว่าดวงฤทัยของเจ้าจะอ่อนลง"
"ถึงแม้ตัวเราจะสิ้นขัยวางวายลงอย่างนั้นน่ะหรือ" นัยน์เนตรเหลียวแลขึ้นสบพักตร์เทพบุตรนามรัศม์สุวรรณมั่น ด้วยรู้ว่าดวงจิตผู้ก่อเกิดนับหมื่นพันนั้น คงมิมีผู้ใดคิดวางวายตายตามเพียงเพราะด้วยคำสัตย์หรอกกระมัง
"แม้นตัวเจ้าจะสิ้นขัยวางวาย ตัวเรารัศม์สุวรรณก็จะขอติดตามไปให้พบพานเจ้าอีกครา จนกว่าคำว่าวอนจะสลักลงสู่กลางอุราให้เจ้ายอมฟังคำ" แววเนตรเข้มอันสบหยั่งเชิงเทพบุตรเบื้องหน้าพลันคลายลง ช่างผิดไปจากคาดทรรศิกานักวาจายึดมั่นจากเทพบุตรเช่นนั้นจะมินำพาให้สองดวงจิตข้องเกี่ยวกันไว้ด้วยคำมั่นหรอกหรือ ทั้งที่ทรรศิกามิคิดอยากจะพบพานรัศม์สุวรรณให้มากภพแล้วเช่นนี้
แต่แล้วทรรศิกาก็มิขอนิ่งฟังวาจาเพียงลมเช่นนั้นให้เนินนาน เมื่อรู้ว่าแววพักตร์ตนมิคงนิ่งแล้วเช่นนั้น นางจึงละพักตร์เบี่ยงกายาให้หลบพ้นจากรัศม์สุวรรณ พลางก้าวย่างออกให้ห่างจากเทพบุตรมาโดยเร็วไว ฝ่ายรัศม์สุวรรณก็จึงพากายตนเข้าสู่ถ้ำศิลาไปโดยมิลืมที่จะร่ายโอษฐ์ออกแย้มยิ้มชอบใจให้แก่ท่าทีทรรศิกา
"ช้าหน่อยเถิดทรรศิกา"
ทรรศิกาก้าวไวเสียจนอีกหนึ่งรัมภาผู้ติดตามมานั้นก้าวตามมิทัน อุไรพัชราจึงท้วงทักทรรศิกาให้หยุดยั้งตนไว้ก่อนที่จะคลาดกัน
"เจ้ารีบเร่งจากรัศม์สุวรรณมาเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะดวงฤทัยนั้นอ่อนไหวแล้วหรอกหรือ"
เมื่ออุไรพัชราก้าวเข้ามาหยัดยืนอยู่แนบข้างทรรศิกาได้ สหัพย์สหายจึงพลันกล่าวกระเซ้าทรรศิกาขึ้นหวังให้เสียท่าที
"ไม่มีทาง เทพบุตรเช่นนี้เราไม่หวังจะพบเจอ" แม้นสำเนียงเสียงทรรศิกาจะหนักแน่น ทว่าอุไรพัชราก็ยังร่ายโอษฐ์ออกกระหยิ่มยิ้มให้แก่ท่าทียึดมั่นในวาจานั้นของสหาย
แลมินานทันใดเสียงอสนีในโลกาก็กู่ก้องเปรี้ยงปร้างขึ้นอย่างผิดวิสัย นำพาให้สองนางสวรรค์พลันต้องเหลียวดวงพักตร์ตนลงพินิจแล
เพลานี้ที่โลกานั้นสะพรั่งบานไปด้วยมาลาพิษลามไปถึงรุกษะก็นับว่ามีมาก หยาดวรุณจากแดนไทวะก็มิอาจแปรเปลี่ยนให้มาลากลับคืนงามได้ ด้วยไร้ฤทธิ์บำรุงรักษ์พืชพันธุ์ หยาดวรุณจึงเหือดหายนานครั้งจะประโปรยลงสู่โลกา สายอสนีแรงหยั่งฟาดจึงนับว่าผิดวิสัยนักในเพลานี้
"พระพี่นาง!"
"ทรรศิกา เจ้าหมายถึงกุมารีน้อยนางนั้นน่ะหรือ" เนตรอุไรพัชราแลลงมองเบื้องโลกาตามสหาย พลันได้เหลียวแลพบกับเด็กหญิงอายุราววัย ๒ ปี ถูกกระแสพระพายกรรโชกให้พรัดออกจากหัตถ์มารดา ซ้ำร้ายพระพายยังชักพาร่างกุมารีให้หลั่งไหลไปตามธารธาราเยือกเย็น
"ใช่" ทรรศิกากล่าวตอบสหายเคียงข้างทั้งชลนา พร้อมด้วยดวงเนตรที่ยังคงเหลียวแลกุมารีอย่างมิวาง
อดีตกาลครั้งเป็นกุมภัณฑ์ ความอบอุ่นรักใคร่ที่พระพี่นางเคยมอบให้นั้น ทรรศิกายังคงจดจำได้ดีมิเลือนราง แลช่างเจ็บปวดดวงฤทัยนักคราพระพี่นางก้าวย่างลงสู่ห้วงมหาชลาลัย ให้กระแสธาราซัดกระทบดวงจิตให้หลุดลอยออกจากวรกาย วางวายแลก่อเกิดสู่ชลจร คราเมื่อวางวายจากชลจรก็จึงได้ก่อเกิดสู่กุมารี ทว่ากรรมอันใดอีกจึงหวนพรากกุมารีให้จรจากธานีไป
"กรรมใคร กรรมเขาเจ้าอย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวเลยทรรศิกา"
"เจ้าจะให้เรามองดูพระพี่นางวางวายลงอีกครั้งเช่นนั้นน่ะหรือ" ถึงสองครั้งสองคราที่ทรรศิกาถูกห้ามปรามมิให้ลงยุ่งเกี่ยวต่อกรรมในโลกหล้า ภาพการล่วงลับดับตายของพระพี่นางจึงติดตรึงตาทรรศิกาอยู่มิลบเลือน
อสนีบาตฟาดเปรี้ยงปร้างทว่ากลับไร้หยาดวรุณประโปรย เหตุนั้นด้วยเพราะเบื้องโลกากำลังโกลาหลร่ายรำบาญกันอยู่ จากฝ่ายอสูรและมนุษย์เพียงวัยยุวาน เป็นไปเพียงเพราะการแย่งชิงมาลาสีครามขนาดเพ็จ ๕๑ ดอก เหตุทั้งหมดล้วนอยู่ในแววพระเนตรท้าวเทวราชทั้งสิ้น กระทั่งเป็นฝ่ายยุวานหนุ่มที่ดับสิ้นชีวีลง ดอกว่านอัมพุชลอันถูกกวนผสมกับธารอัคคีเพื่อใช้ในการบำรุงรักษ์พืชพิษ เมื่อวันเวลาในโลกาผันผ่านธรณีท่านจึงค่อยจำแนกแยกอณูสารแห่งดอกว่านสีครามให้งอกงามขึ้นใหม่ ทว่าแบ่งแยกไว้ทั่วทั้งโลกาเป็นมาลาขนาดเพ็จเล็กจ้อย
ครั้นเมื่อยุวานหนุ่มอดีตเทพบุตรแห่งวารีวางวาย ๕๑ มาลาจึงถูกท้าวสักกะท่านโอบอุ้มออกจากห่วงพระเวทบุรุษผู้เก็บสมขึ้นสู่หัตถ์พระองค์ยังภพสุราลัย
แต่มีหรือผู้เป็นใหญ่แห่งทานพจะยินยอม ร่างล่ำสันใหญ่โตเข้มตโมยังคงรุดทะยานขึ้นติดตามมาลามาถึงยังฆยานีย์
"ท้าวสักกะเทวราช" รอยโอษฐ์อสุราร่ายแย้มออกพึงพอคราสบพักตร์ท้าวท่านผู้เป็นใหญ่
"ราพณะ"
นานนักแล้วที่ราพณะมิเคยย่างกรายขึ้นเหยียบแดนไทวะเช่นนี้ ด้วยเพราะหลับใหลอยู่ใต้ธารอัคคีมานานนับกาลเพลา
"ประทานมาลาในหัตถ์พระองค์ให้แก่ข้าเถิด แล้วข้าจะบำรุงรักษ์ไว้ให้ดีเยี่ยงอย่างผกาพิษ!"
"เหล่าทานพท่านรุมฉีกทึ้งร่างอติชาตบุตรจากเรา"
เทพบุตรแห่งกระแสวารีนามศิราธารเมื่อออกโอษฐ์รับคำท้าวเทวราชว่าจักลงสถิตโลกาตามรวมรวบดอกว่าน ดวงอาภาวิญญาณจึงลอยล่องลงประภพเกิดสู่พระโอรสแห่งท้าวฆโนทัยผู้ปกครองอนันตธารา อดีตกาลเป็นภาราเคยรุ่งเรือง ทว่าหลังสิ้นอัคนิรุทรลามโลกาชาวประชาไพร่ฟ้าต่างพากันอพยพหาย เพื่อหาแหล่งมีอาหารให้พอประทังชีวีเอาไว้ แลส่วนใหญ่ก็มุ่งสู่นครอันเลื่องลือในผลเกษตรกรรมคือตจสารนคร
"หึ คราตัวข้าวิงวอนร้องขอต่อท่านให้ละโทษนางอย่าได้พรากรักจากดวงฤทัย"
"ไยท่านไม่ละเว้น!" หนึ่งแววเนตรสงบสบสงัดต่อหนึ่งนัยนารุ่มร้อนดั่งเพลิงแผด
"รัตน์ธรานางกระทำผิด"
"ท่านจึงพรากนางไปจากดวงฤทัยข้า"
นานกาลผ่านมาคราราพณะก่อสงคราม เหตุด้วยก่อเกิดขึ้นมาจากดวงฤทัยอันบอบช้ำที่ต้องสูญเสียงนางสวรรค์ผู้เป็นที่รักไปด้วยกฎสุราลัย เมื่อมาลาที่เทพธิดารัตน์ธราบำรุงรักษ์กลับกลายผิด ทวยเทวาจึงให้ทัณฑ์นางลงประภพแดนมนุสสภูมิ ราพณะเมื่อแลเห็นดวงอาภาวิญญาณเทพธิดาล่องลอยลงจากถิ่นเทวภูมิ บัดนั้นความโศกากำสรวลจึงแปรเปลี่ยนรุ่มร้ายโกรธาเบื้องสุราลัยจนเป็นฝ่าย$ก่อสงคราม สุดท้ายจึงเป็นฝ่ายตนเองที่พ่ายให้แก่ฝ่ายสวรรค์ ถูกสองเทวะตีตอกฝังร่างลงใต้ธารเพลิงมานานนับพันปี
มาบัดนี้เมื่อลื่มเนตรฟื้นคืนกลับ ไฟโกรธาแต่กาลก่อนก็จึงได้โชติช่วงขึ้นมาอีกครั้ง คิดหึกเหิมต่อกรกับทวยเทวา คิดทำลายมาลาอันมิได้บันดาลเกิดมาจากนางอันเป็นที่รัก หวังกำจัดให้มันหมดสิ้น
ยามสองเนตรสบถึงท้าวเทวราชเบื้องพักตร์ ความหวั่นเกรงกลับมิได้ก่อเกิดต่อราพณะเลยสักนิด หัตถ์อสุรายังคงยกขึ้นร่ายเวทเสกถึงช่อผกาครามอันลอยประดับอยู่เหนือพระหัตถ์ท้าวเทวราช หวังจักให้ได้เศษเสี้ยวดอกว่านนั้นหวนกลับคืนสู่ตน ทว่ากลับมิเป็นผลเมื่อมาลาเหล่านั้นยังคงตรึงนิ่งอยู่เหนือหัตถ์องค์อมรินทร์มิเคลื่อนไหว
"ได้! หากว่าข้าไม่ได้ดอกว่านอัมพุชลวิมาลาทั่วฆยานีย์ก็ต้องโรยราลงด้วยฑาหะข้า!"
เมื่อช่อดอกว่านมิเลื่อนลอยหลุดจากหัตถ์ท้าวทวาราช ราพณะจึงละเวทเพียงปลายหัตถ์ตนลงไว้ หยั่งเนตรสบนัยนาท้าวสักกะท่านมั่นขึงขัง พร้อมทั้งแผ่ฑาหะออกจากวรกายเยี่ยงรัศมีจากดวงสุริยา ฑาหะร้ายค่อย ๆ ขจรออกถ้วนทั่วฆยานีย์วิมาน จวบจนทวยเทวาทั้งเทพธิดานั้นจำต้องเร่งรุดนำทิพยกายาอ่อนเยี่ยงกลีบบงกชหลบหลีกหนี
ฑาหะแผ่ขจรออกไกลจากฆยานีย์วิมานส่องสว่างสาดต้องถึงฉวีวรรณสองรัมภา ผู้ประทับตนอยู่เบื้องหน้าถ้ำศิลาเก็บรักษ์ทรัพย์มณีอันห่างออกมามิไกลนัก
"เกิดอะไรขึ้นที่วิมานฆยานีย์กัน" ความโศกโศกาที่มีต่อกุมารีน้อยพลันเลื่อนมลาย ด้วยฑาหะเร้าให้ทรรศิกาเหลียวดวงพักตร์กลับหลังแลดูรัศมีร้อนนั้นด้วยความฉงน
"เราก็เพิ่งจะแลเห็นเช่นเจ้า" อุไรพัชราว่าตอบ ทว่าท่าทีฉงนอยากจะรู้เห็นของทั้งสองกลับไปต้องต่อแววเนตรหนึ่งเทพธิดา พระนางผู้ที่เพิ่งจะกลับออกมาจากถ้ำเก็บรักษ์ทรัพย์มณี รูปโอษฐ์งามเทพธิดาเบื้องหลังจึงร่ายออกแย้มพรายให้แก่ฑาหะที่ก่อเกิดขึ้นบนสุราลัย ราวมีสิ่งคิดอยู่ภายในฤทัยให้สราญพึงพอ
"เจ้าอยากจะรู้อยากจะเห็นหรือทรรศิกา"
"เทพธิดาพิมพ์มณี"
"หากว่าเจ้าอยากจะรู้อยากจะเห็นเราจะพาเจ้าไปรู้ไปเห็นเอง" กล่าวคำวจีแล้วจบจึงมิรอถ้อยตอบใดจากอีกฝ่าย เทพธิดาพิมพ์มณีก็เอื่อมหัตถ์ออกคว้ากรทรรศิกาพลันทันใด แล้วจึงดึงรั้งให้กายนางตามไปให้เข้าใกล้ฑาหะนั้น หวังเข้าให้ใกล้มากอย่างทรรศิกานางอยากจะรู้เห็น
"เทพธิดาพิมพ์มณีท่านโปรดหยุดการกระทำเช่นนั้นลงเถิด"
"อุไรพัชราเจ้านั้นแหละหยุด ในเมื่อทรรศิกานางอยากรู้อยากเห็นเทพธิดาพิมพ์มณีของเราก็นำทางให้แล้วอย่างไรเล่า" อุไรพัชราไหวกายตนเร่งติดตามห้ามปรามไปมิทันไร สองนางสวรรค์บริวารเทพธิดาพิมพ์มณีก็เข้าขวางห้ามเอาไว้ ด้วยดึงรั้งจับร่างมิให้ตามติดไปขวางขัดการกระทำ
"พชิรา นิลวรรณ อยู่ห่างถึงเพียงนี้ฑาหะยังร้อนร้าย หากให้ทรรศิกานางเข้าใกล้ ทิพยกายานางต้องทานทนมิไหวเป็นแน่" อุไรพัชราว่าทั้งร้อนรน
"เช่นนั้นแหละดี องค์รัศม์สุวรรณจะได้แลพระเนตรสนพระทัยแต่เพียงเทพธิดาพิมพ์มณี"
"ดวงจิตของพวกเจ้ามืดดำถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน" อุไรพัชราสบมองสองสหายเคยร่วมเคียงเป็นบริวารแห่งพระเทวีสิริพัชรอย่างมิเข้าใจ
"ช้าก่อนเถิดเพคะ ทรรศิการ้อนเหลือเกิน"
สองเท้าทรรศิกาก้าวย่างตามเทพธิดามามิหยุดยั้ง หัตถ์นางก็ทั้งดึงทั้งแกะพระหัตถ์เทพธิดาพิมพ์มณีให้คลายออกปล่อยกร แลแม้วาจาจะพลางว่าวอนขอให้ปล่อยตน ทว่าก็มิเป็นผลเมื่อเทพธิดายังคงมุ่งพากายทรรศิกาก้าวเข้าหาฑาหะอย่างมิมีเห็นใจ
"เทพธิดาพิมพ์มณีเพคะ...ได้โปรดเถิด"
"ยักษ์เช่นเจ้าน่ะหรือ รัศม์สุวรรณกลับใส่ใจเหลียวแล!"
"พระนางกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเพคะ" สองเท้าเทพธิดายั้งหยุดเมื่อทรรศิกากล่าวความขึ้นถามราวใสซื่อ
"ครั้งคราก่อนรัศม์สุวรรณมักเวียนเว้าวอนพร่ำคำรักต่อเรามิเว้นว่าง แต่พอยักษ์เช่นเจ้าขึ้นสู่สวรรค์...รัศม์สุวรรณกลับหันไปใส่ใจเหลียวแล เนื่องด้วยสิ่งดีเด่นอะไรในตัวเจ้าเรายังแลมิเห็นเลย!" ความหนักหน่วงในดวงฤทัยถูกก่นกล่าวออกเป็นวาจา ทั้งแววเนตรโกรธาระคนไปด้วยโศกาที่มีอยู่ภายใน แต่แล้วนั้นใช่ความผิดทรรศิกาอย่างไรกัน ในเมื่อเป็นที่ดวงฤทัยรัศม์สุวรรณที่แปรผันเปลี่ยนไป
เทพบุตรแห่งรัตนมณีนามรัศม์สุวรรณแม้นจักชมชอบในความงามเหล่านางสวรรค์ หรือแม้นมักจะเที่ยวเวียนเกี้ยวกล่าวรักต่อเทพธิดาพิมพ์มณีให้บ่อยครั้ง แต่นางเหล่านั้นก็แลเห็นเป็นเพียงสิ่งหยอกเย้ามิน่าชมชอบสมสง่าอย่างเทพบุตรพระองค์อื่น
"แล้วทรรศิกาผิดอย่างไรกันเพคะ" ฑาหะแผ่ต้องถึงทิพยกายานำพาให้ทรรศิกาลูบไล้หัตถ์ปัดเป่ารัศมีร้อนให้ผ่อนอ่อนจากวรกาย
"ผิดที่เจ้าขึ้นสู่สุราลัยมาได้เพียงมินาน รัศม์สุวรรณก็ให้คำมั่นจักติดตามแม้นสิ้นขัย แต่กับข้าสักหนึ่งคำมั่นกลับยังมิเคยได้รับมัน!"
"ทรรศิกาก็ยังแลมิเห็นความผิดของตนเอง" น้ำเสียงสั่นนำวาจาอย่างมิเข้าใจ ผิดที่สองดวงฤทัยมิต้องกันแล้วด้วยเหตุไฉนจึงหันโทษให้แก่ทรรศิกา
"หากดวงจิตของเจ้าดับสลาย รัศม์สุวรรณจะติดตามเจ้าให้พบพานจริงหรือไม่! เรานั้นอยากจะล่วงรู้เสียเหลือเกิน" แววเนตรคมเข้มสบข่มนางบริวารพระเทวีสิริพัชร ทั้งกระหึ่มวาจาออกแน่นหนัก สายอสนีก็แวบวาบเปรี้ยงปร้างมิหยุดยั้งระคนฑาหะร้อนรายรอบนั้น ยิ่งเร้าให้ดวงจิตทรรศิกาประหวั่นกระวนกระวาย
"พระทัยเย็นก่อนเถิดเพคะ หากอยู่ตรงนี้ให้นานทิพยกายาเราสองคงจักดับสิ้นลงพร้อมกัน" ทรรศิกาว่าพลางเหลียวพักตร์สู่ทิศที่ตั้งวิมานฆยานีย์ พิมพ์มณีก็เช่นเดียวกันแลตามนางรัมภาไป รัศมีฑาหะนั้นยิ่งพิศดูก็คล้ายจะยิ่งแผ่ขจรออกร้อนแรงนักแล้ว
ทว่าท่าทีหวาดหวั่นต่อฑาหะกลับมิมีปรากฎบนดวงพักตร์พริ้มเพรา ซ้ำคำวาจายังว่าออกขลังเสียยิ่งกว่าเก่าเร้าทรรศิกาให้ตรับฟังไว้สลักใส่ดวงจิต
"หากว่ารัศม์สุวรรณจักติดตามเจ้าให้พบพานจริง เราก็จักขอตามติดขวางขัดสองเจ้ามิให้พบรักถักทอดวงฤทัย"
ดวงพักตร์แต้มแต่งด้วยหยาดชลนาประจักษ์ชัดแก่เนตรทรรศิกา เร้าเรียกชลนาให้คลอเคล้าออกตามความวิปโยคเบื้องหน้า ก่อนที่ทุกสิ่งอย่างจะเลือนรางดับหายไป
ฑาหะร้อนเยี่ยงเพลิงประลัยแผ่ขจรออกกว้างไกลคร่าหลากดวงชีวีผู้ประทับแดนสวรรค์ รวมไปถึงสองนางสวรรค์ที่หยัดกายาอยู่ท่ามกลางรัศมีฑาหะ สองทิพยกายาเลื่อนรางกลายสู่ดวงอาภาสุกสว่าง ล่องลอยวาดไสวเคลื่อนคล้อยลงจากแดนไทวะ ลงประภพตามบุญญาหนุนนำให้อุบัติบันดาลสู่ภพมนุสสภูมิ
ครั้นเมื่อไอฑาหะอ่อนกำลงหวนย้อนกลับสู่กายราพณะ ยามแสงแสดเยี่ยงแสงดวงทิวาเลื่อนรางลงคงจักได้พบกับหมู่กุสุมาโรยราเหี่ยวแห้ง
แต่ทว่ากลับมิได้เป็นไปเช่นใจอสุราวาดหวัง
มาลาสุราลัยนับหมื่นพันดอกยังคงชูช่อขึ้นเบ่งบาน ไร้แม้รอยแต้มแผดจากไอฑาหะแห่งอสูร ด้วยเพราะหมู่เมฆาอันเป็นที่ตั้งฆยานีย์นั้นเย็นฉ่ำ คอยบำรุงรักษ์มาลาให้คงสะพรั่งไว้ได้ดังเดิม
เมื่อทุกสิ่งอย่างเบื้องพักตร์ราพณะยังคงอยู่สมบูรณ์รวมด้วยทิพยกายาท้าวเทวราช บาทใหญ่อสูรจึงยกย่ำลงกระทบผืนวิมานจนสนั่นหวั่นไหวด้วยโทสะ ทวยเทวารัมภาต่างโอนเอนกายากันไปตามแรงสนั่นนั้นเว้นเพียงแต่ท้าวสักกะท่านที่หยัดยืนอยู่ไว้มั่นอย่างองอาจ รวมถึงช่อดอกว่านสีครามในหัตถ์ก็มิอาจจะขยับไหวหลุดร่วงลง
"แม้นเพลานี้ข้าจะแตะต้องท่านมิได้ แต่พืชพรรณทั่วทั้งโลกาที่ท่านมิอาจบำรุงให้ฟื้นคืนกลับได้ ข้าจะใช้ล้างนามท้าวเทวราชด้วยความเสื่อมศรัทธาจากเหล่านรชน!"
เนตรแดงก่ำด้วยเพลิงโทสะอาจกล้าสบพระพักตร์ท้าวสักกะมั่น คำรนถ้อยวาจาออกก้องดังถึงกรรณผู้เป็นใหญ่ ขลังขึ้นท่ามกลางกระแสโพยมานป่วนปั่นวุ่นวายด้วยสายอสนีบาต แล้วจึงได้หวนตนกลับคืนสู่ถิ่นที่กบดาน ณ เบื้องใต้กระแสธารอัคคี
เมื่ออสุราเบื้องพักตร์ยอมถอยตนลงจากภพไทวะ ช่อดอกว่านลอยประดับเหนือพระหัตถ์จึงกุมเก็บเข้าสู่ห้วงพระเวทท้าวท่าน สองวงเนตรเลื่อมพรายพระองค์ก็พลางทอดลงผ่านหมอกเมฆินทร์แลถึงร่างบุรุษอันไร้ดวงจิตดับสิ้นจมกองรุธีระ ช่างน่าเวทนานัก วัยเยาว์เคยถูกบิดาผลักไสซ้ำร้ายคิดทำประโยชน์ให้โลกากลับถูกอสุรามันรุมทึ้งดึงเนื้อหนัง
"ธรรมวิสานท่านโปรดจงนำพาดวงจิตศิราธาร...ให้ลงประภพสู่โอรสท้าวฆโนทัยอีกครั้งเถิด" พระกระแสวาจาเพียงบางเบายามกล่าวถ้อย แต่ทว่ากลับล่องลอยออกขลังดังจนถึงกรรณหนึ่งเทวะ องค์เทพแห่งสรรพชีวีนามธรรมวิสานจึงได้เร่งทะยานทิพยอาภาตนลงจากชั้นวิมาน วาดเวียนนำทางดวงจิตผู้เกี่ยวพันกับวารีให้เลื่อนลอยตาม...ไปสู่การจุติขึ้นอีกครา
อสนีบาตแวบวาบแซมในหมอกปโยธร ช่างผิดจากวิสัยในโลกาอันเป็นไป นำพาให้ท้าวฆโนทัยผู้ปกครองอนันตธาราจำต้องพาตัวตนออกทอดพระเนตรแลดูเบื้องนภา ยิ่งหวนให้ฤทัยคะนึงหาพระโอรสผู้หายไปจากอ้อมอก มิรู้ว่าเพลานี้จักเป็นเช่นไร ไพร่พลหลากนายออกติดตามหาไปมากเสียเท่าไหร่ ก็มิเคยได้หวนกลับมากล่าวทูลความ หากว่าโอรสตนยังคงมีชีวีอยู่ก็คงจะเติบโตขึ้นเป็นบุรุษรูปพักตร์งามสง่า
แต่หากวางวายตายจากบิดามารดาก็ขอให้กุมาราหวนกลับคืนมาสู่ตน ประภพเป็นโอรสแห่งอนันตธาราอีกครา
...แลตัวข้าฆโนทัยจะให้คำสัตย์สัญญา...ว่าจะเลี้ยงดูบุตรผู้หวนกลับคืนมาให้ดียิ่งอย่างที่มิเคยได้กระทำ...
สิ้นคำมั่นที่ท้าวแห่งอนันตธาราท่านว่ากล่าว สายอสนีในเมฆาจึงเรียงร้อยกันฟาดสลักคำมั่นนั้นลงสู่ธรณี ตามมาด้วยนางบริวารที่เร่งรี่เชิญเสด็จองค์เหนือหัวเข้าภายใน เนื่องด้วยบัดนี้พระมเหสีทรงมีพระอาเจียน
จวบจนเมื่อเวลาผันผ่านไปสามทิวาวัน หมอหลวงท่านจึงบอกชัดว่าเพลานี้พระมเหสีกำลังมีพระครรภ์ นับว่าเป็นข่าวดีต่ออนันตธารานัก แลมิว่าบุตรที่จะออกมาเปิดเนตรแลดูโลกาจะเป็นหญิงหรือชาย ท้าวฆโนทัยก็พร้อมที่จะเลี้ยงดูให้ดียิ่ง เพื่อลบล้างวาจากล่าวพลักไสไล่พระโอรสพระองค์ก่อนให้จากไป จนบัดนี้ก็ไร้แม้แววจะได้หวนกลับพบพักตร์กัน
เมื่อเวลาผ่านไปนานถึงสามทิวาเวียนในโลกา ทว่าเบื้องบนภพไทวะเวลากลับคล้ายว่าจักผ่านไปมินาน ความวิปโยคยังคงกรุ่นอยู่ทั่วภพสวรรค์ แลมิอาจจะเทียบเทียมความกำสรดในดวงจิตรัศม์สุวรรณได้เลย เทพบุตรเอาแต่ประทับตนเงียบงันอยู่ภายในฐรัตน์วิเวก มิแม้แต่จะเอื้อนเอ่ยความโศกศัลย์ใด ทอดเนตรแลมองเพียงแต่เม็ดคุลิกาสุกไสวเยี่ยงดวงไฟประทีปอยู่เช่นนั้น มิยอมคลายระทมลงปล่อยให้ทิพยกายาค่อย ๆ เลือนราง
จวบจนหวนนึกถึงคำมั่นที่เคยว่าไว้แก่ทรรศิกา ครานั้นทิพยกายาเทวาจึงรางเลือนกลายสู่ดวงอาภา ส่องสกาววาดเวียนวนรอบคุลิกา แล้วจึงลอยล่องลงจากวิมานแก้วไปสู่ภพโลกา
เพื่อพบพานนาง
ความคิดเห็น