คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เสียงตามสาย
สุดท้ายที่ฉันรอคือเธอใช่ไหม
ประพันธ์โดย หยาดเพชรแก้ว
ตอนที่ ๒ เสียงตามสาย
หลังจากผมหาอะไรใส่ท้องแก้หิวแล้ว กริชก็ชวนผมไปเดินสยามซึ่งเป็นแหล่ศูนย์รวมแฟชั่นและสาวสวยหนุ่มหล่อของกรุงเทพเมืองหลวงของประเทศไทยมาหลายต่อหลายรุ่นแล้ว ตั้งแต่รุ่นคุณเชษฐาพ่อของผม พ่อผมเคยเล่าให้ฟังว่าสมัย ที่ท่านยังเป็นนิสิตบัญชีจุฬา สาวๆมาแอบรักท่านเต็มไปหมด โดยที่ท่านไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่พ่อผมเล่าตอนที่ท่านเสน่ห์แรงมีสาวๆมาชอบท่านเยอะ หากแม่ผมได้ยิน เป็นเรื่องเลยครับ แม่จะหยุดกิจกรรมทุกอย่างโดยสิ้นเชิ้งแล้วหันมาทางพ่อ
“แล้วใครละที่ใส่กางเกงขาเดฟ เสื้อยืดรัดรูปสีขาว เดินหิ้วถุงตามฉันไปทั่วสยาม”แม่ผมท่านจะพูดด้วยอาการประหนึ่งจะฆ่าคุณเชษฐา พ่อผู้ให้กำเนิดผม ผมกลัวจะกำพร้าพ่อเลยต้องรีบเข้าไปห้ามทุกครั้ง
คุณพ่อเล่าให้ผมฟังอีกว่าสมัยที่คุณพ่อกับคุณแม่ของผมจีบกันแฟขั่นสมัยนั้นเขานิยมกางเกงยีนต์ขาม้า ขาจะบานนิดๆหรือแบบเดฟกัน เสื้อก็ใส่แบบรัดๆ ใครใส่แบบหลวมๆจะเชยมากๆ เมื่อผมนึกถึงแฟชั่นสยามสมัยคุณพ่อแล้วมองสยามในเวลานี้ที่ผมกำลังเดินอยู่ มันก็มีอะไรคล้ายๆกัน แฟขั้นเสื้อรัดรูป กางเกงที่ขาบานนิดๆ เรียกว่า เป็นวัฏจักรของแฟชั่น ที่พอนิยมกันสักพักก็มีแฟชั่นใหม่เข้ามา ทำให้แฟชั่นเดิมหมดความนิยมไปแต่พออีกสักสิบปีก็กลับมาใหม่ เป็นวัฏจักรแฟชั่นไป เช่นเสื้อรัดรูป กางเกงขาบาน เป็นต้น
แม้แต่แฟชั่นสมัยคุณยายเองก็ยังย้อนกลับมาขายได้ครับ ช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมาแถวบ้านผมมีคนเอาเสื้อคอกระเช้ามาขาย วิธีการขายของเขาแทนจะบอกว่าขายเสื้อคอกระเช้า แต่ตะโกนว่า “สายเดี่ยว คุณยาย” สร้างความสนใจให้กับคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ดีทีเดียว เพราะช่วงนั้นเสื้อสายเดี่ยวของวัยรุ่นกำลังเป็นที่นิยมและมาแรงมาก แถมยังมีคนอุดหนุนเขาพอสมควรเลยที่เดียว ไอเดียการนำเสนอของยุคก่อนมาขายของเขาทำได้ดีที่เดียว
ผมเดินเล่นแถวสยามจนเย็นก็แยกย้ายกับพวกกริชและนั่งรถเมล์กลับบ้านผม ตั้งแต่ผมเจอแจนที่รับน้อง เดินเล่นที่สยาม จนมาถึงบ้าน ผมก็ยังคงคิดถึงแต่ใบหน้าและรอยยิ้มของสาวนามว่าแจนตลอดเวลา แม้แต่เวลากินข้าวเย็น
“ละเมออะไรกันเวลากินข้าว” คุณแม่ของผมทักเมื่อเห็นผมเหมอลอยระว่างกินข้าวเย็น
“เปล่าครับแม่” ผมตอบท่านไป
”เปล่าอะไรกันนั้นยังเค็มไม่พออีกหรอ “ แม่ผมพูดพร้อมมองไปที่มือข้างขวาชองผมซึ่งกำลังเทซอสหมดไปกว่าครึ่งขวด
เมื่อผมเริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังคิดถึงแต่แจนจนคนรอบข้างเริ่มรู้สึกที่อาการผิดแปลกไป
“ไม่มีอะไรครับ แค่คิดอะไรนิดหน่อย” นั้นคือคำตอบของผม และผมก็พยายามรวบรวมสติพักการคิดถึงสาวที่เพิ่งผมเจอมาเมื่อวันนี้ และตั้งหน้าตั้งตากินข้าว
หลังจากผมกินข้าวเย็นเสร็จก็ขึ้นไปบนห้องนอนของผม ใจผมยังคงกระวนกระวายและคิดถึงแจนอยู่ตลอด ด้วยความที่เป็นเด็กโรงเรียนชายล้วนมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ไม่รู้ว่าผมจะสานต่อความสัมพันธ์กับแจนอย่างไร ถึงแม้ว่าผมจะเคยไปเรียนพิเศษแถวสยามและเจอเคยสาวๆจากหลายโรงเรียน แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปจีบสักเท่าไรได้แต่นั่งมองยืนมองวาดฝันไปวันๆ ว่าสักวันกามเทพจะส่งให้ผมกับหญิงคนนั้นได้ทำความรู้จักโดยบังเอิญ แต่จนแล้วจนรอดเรียนจนจบเอ็นติดก็ยังไม่ได้รู้จักกันเลย เป็นหนึ่งในตำนานรักแสนเศร้าอีกตำนานแห่งสยาม
ผมเดินไปเดินมาในห้องนอนของผม คิดแต่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะเป็นการสานสัมพันธ์กับแจนให้เป็นไปได้ด้วยดี เสียงเท้าของผมเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆตามจิตใจที่ว้าวุ่นของผมดังจน
”ก้องลูก เดินสวนสนามหรอเบาหน่อยลูก เพดานจะหล่นมาทับหัวพ่อกับแม่อยู่แล้ว” เสียงพ่อผมพูดประชดผม ผมจึงต้องหยุดสวนสนามอย่างที่ท่านเตือนและนั่งลงบนเตียง อากาศในห้องค่อนข้างเย็นเพราะผมเปิดแอร์ แต่ทำไมนะจิตใจผมถึงได้ร้อนลุ่มไปหมด ไม่อาจอยู่นิ่งได้เลย
ผมเอนตัวลงไปนอนแต่หัวสมองของผมก็ยังคิดเรื่องเดิมๆ ปัญหาเดิมๆต่อไป
“ถ้าชอบน้องเขาต้องกล้าสิ อย่าอาย “ เสียงพี่กั๊มดังขึ้นมาในหัวของผม
“น้องอย่าลืมแลกเบอณืติดต่อกันนะครับ”
“ใช่แล้วโทรศัพท์”ผมตะโกนออกมาด้วยความดีใจ “พี่กั๊มให้เราติดต่อกับคนในกลุ่มได้ “ และแล้วผมก็คิดวิธีที่จะสานสัมพันธ์กับแจนได้แล้ว “ขอบคุณพี่กั๊มครับ ผมรักพี่” นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมได้รู้จักรุ่นพี่ที่ชื่อกั๊มแล้วผมรู้สึกชื่นชอบรุ่นพี่คนนี้
หลังจากผมคิดวิธีสานสัมพันธ์ออก ซึ่งวิธีนี้ผมต้องขอขอบคุณ การสื่อสารแห่งประเทศไทย เครื่อข่ายโทรคมนาคมและขาดไม่ได้สำหรับ อเล็กซานเดอร์ แกรแฮม เบลล์ ผู้คิดประดิษฐ์โทรศัพท์ ทำให้หนุ่มสาวผุ้มีโลกสีชมพูได้คุยกันเหมือนอยู่ใกล้กันแค่ปลายเส้นผม
ว่าแล้วผมไม่รอช้าหยิบโทรศัพท์คู่ใจกดเบอร์ของแจน (( ผ่านลมหนาว จะกี่คราวก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีใครให้ใจอุ่นอยากจะหา คนที่ทำให้ใจสมดุลย์ แต่ไม่เคยสมหวังสักที))) เพลงลมหนาวซะด้วย อย่างกับรู้ว่าผมเกิดหน้าหนาว หรือสวรรค์จะส่งเธอมาเป็นคู่เราจริงๆ
ผมรอสายด้วยใจระทึก ตื่นเต้นไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เสียงเพลงลมหนาว ของ ทีฟอทีน ยังคงดังต่อเนื่อง หรือว่าแจนนอนไปแล้ว แต่นี้เพิ่งสองทุ่มเอง อะไรจะเป็นเด็กอนามัยขนาดนั้น ผมรอสายไปก็คิดไปต่างๆนานาตามภาษาคนไม่เคยจีบผู้หญิง
และแล้วก็รอสายของผมก็ไม่เป็นผล ไม่มีคนรับสาย ผมวางโทรศัพท์ไว้บนหัวเตียง แล้วเอนตัวลงนอน ด้วยอาการที่เซ็งสุดๆ คิดไปต่างๆนานาถึงสาเหตุที่ทำให้แจนไม่ได้รับโทรศัพท์ผม และพาลคิดไปถึงว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เข้าข้างไปกันใหญ่ สุดท้ายผมก็ได้สติคิดไปทำไมพรุ่งนี้ค่อยโทรไปใหม่ก็ได้
หลังจากคิดได้ผมก็ลุกออกจากเตียงกะว่าจะลงไปดูทีวี หาอะไรกินเล่น ขณะที่ผมจะบิดลูกบิดเพื่อเปิดประตูออกไปจากห้อง เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ใจผมเต้นแรง ตื่นเต้น “แจนโทรกลับมา” ผมคิด
ผมไม่รอช้า รีบวิ่งไปรับโทรศัพท์กดรับโดยไม่ได้ดูชื่อคนโทรมา
“สวัสดีครับแจน “ ผมทักไป
“อะไรว่ะแกเป็นเอามาก นึกถึงแต่ผู้หญิง” ที่แท้เป็นอ้ายกริชโทรมา
“เฮ้ย ก้องไปเที่ยวกัน วันนี้พวกเพื่อนๆเรานัดเที่ยว ฉลองการเข้ามหาวิทยาลัยได้ “ กริชชวนผม
“เออดีว่ะ กำลังเซ็งๆ ไปขอพ่อก่อนนะโว๊ย” ผมตอบรับคำชวนของกริช
“เจอกันที่ร้านเดิมนะ อย่าช้า ให้ว่องๆ” กริชย้ำเตือนผม
ผมวางโทรศัพท์และเปิดประตูลงไปขออนุญาติคุณพ่อของผม จริงจะขอเงินเป็นขวัญถุงสักหน่อยตามภาษาเด็กหนุ่มที่ยังหาเงินใช้เองไม่ได้ เมื่อผมเดินออกจากห้องกำลังเดินลงบันไดเสียงโทรศัพท์ ของผมก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง “อ้ายกริช จะโทรมาอะไรกันอีก “ผมบ่นไปพร้อมเดินลงไปหาคุณพ่อ คิดว่าคงโทรมาเร่งตามเคย ไว้ขออนุญาติคุณเชษฐาเสร็จ ขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว จะออกแล้วค่อยโทรกลับ ว่าแล้วผมก็เดินลงไปหาคุณพ่อผม
“คุณพ่อครับผมขออนุญาติไปเที่ยวกับเพื่อนครับ “ ผมกล่าวขออนุญาติคุณเชษฐา
“ไปเที่ยวอะไรดึกดื่น” แม่ผมส่งเสียงดุมา เมื่อรู้ว่าผมจะขอออกไปเที่ยว
“โธ่แม่ครับ ก็นี่เพื่อนจัดฉลองที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่ได้เที่ยวแบบไร้สาะสักหน่อย” ผมเถียงแม่
“นั้นสิแม่ ลูกมันเข้ามหาวิทยาลัยแล้วปล่อยๆมันบาง” พ่อผมกล่าวเข้าข้างผม
“ก็เหมือนสมัยเราแหละที่รัก พอเข้ามหาวิทยาลัยได้ ก็อยากมีอิสระ ปล่อยๆมันไปบ้างเถอะ “ พ่อมผมให้เหตุผลสนับสนุนผม
“ฉันเข้าใจ แต่ที่บ่นก็เพราะว่าไม่ว่าลูกเราไม่ว่าจะโตขึ้นเพียงอ้ายคนเป็นแม่ก็ยังอดห่วงไม่ได้หรอก “ แม่ผมบอก
“ที่ห่วงไม่ได้เพียงแต่แม่นะ พ่อก็เป็นห่วงเหมือนกัน แต่เราควรปล่อยลูกไปผจญโลกบ้างให้เรียนรู้ วันหลังมันเจอปัญหาอะไรมันจะได้ผ่านไปได้ อีกอย่างถ้าหน้าที่หลักคือการเรียนของมันไม่เสีย มันยังรับผิดชอบได้มันอยากทำอะไรก็ปล่อยมันไปเถอะ ขอให้ไม่ผิดกฏหมาย.ก็พอ “ นี่แหละครับพ่อผมบทจะมีเหตุผลก็มีซะแม่ผมเถียงไม่ออก สุดท้ายแม่ผมก็ต้องยอมให้ผมออกไปเที่ยว นอกจากนั้นพ่อผมยังให้เงินผม พร้อมกำชับว่า
”ระวังตัวนะลูก “
หลังจากผมได้ขออนุญาติคุณพ่อกับคุณแม่ผมแล้ว ผมก็รีบขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมที่จะออกไปท่องราตรี แน่นอนก่อนผมออกจากห้อง ผมเดินไปหยิบมือถือที่ตรงหัวเตียง ขณะที่กำลังกำลังหยิบ ผมสังเกตว่ามีคนโทรมาmissed call ผมคิดว่าเป็นอ้ายกริชโทรมาเร่งผม แต่เพื่อความไม่ประมาทผมกดดูเบอร์ที่โทรมา “เฮ้ย ..แจนนี่หว่า”
ผมตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นและตกตะลึ่งที่แจนโทรกลับมา จริงก็ไม่น่าจะดีใจมากเพราะผมโทรไปหาเธอแต่เธอไม่ได้รับ พอเธอเห็นผมโทรก็เลยโทรกลับ แต่ในช่วงนั้นผมเพิ่งผ่านพ้นชีวิตม.ปลาย โรงเรียนชายล้วนมา การพบเพื่อนต่างเพศนับเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับหนุ่มขี้อายอย่างผม และยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่เมื่อแจนโทรกลับมา ซึ่งผมยังไม่เคยได้รับการตอบรับอย่างนี้กับเพศตรงข้ามมาก่อนเลย ก็บ้านผมวัยใกล้กันก็มีแต่ผู้ชาย ไปเรียนพิเศษเจอสาวก็จริง แต่ก็แต่มองไม่ได้ทำอะไรมากไปมองและมอง
เมื่อแจนโทรกลับมาจึงทำให้ผมตื่นเต้นทำตัวไม่ถูก ใจสั่นๆ แต่ก็ใจสู้ ”เอาว่ะ” ว่าแล้วผมก็โทรกลับไปหาแจน ((((ผ่านลมหนาว จะกี่คราวก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีใครให้ใจอุ่นอยากจะหา คนที่ทำให้ใจสมดุลย์ แต่ไม่เคยสมหวังสักที....)))
“ฮัลโหลค่ะ” ในที่สุดหลังจากฟังรินโทนก็มีเสียงผุ้หญิงรับสายนั้นคือแจนนั้นเอง หัวใจผมเต้นแรงขึ้น ความดีใจแพร่ไปทั่วกายผม
”ฮัลโหลค่ะ นั้นใช่ก้องหรือเปล่าค่ะ“ เธอถามย้ำ
“ชะ..ใช่ครับผมก้องครับ” ผมตอบไปด้วยเสียงสั่นๆ
“ก้องมีอะไรหรอ” แจนถามมาตามสาย
“เออ...คือว่า..คือว่า” ผมยังหาเหตุผลที่จะคุยกับเธอไม่ได้ “ลืมไปเลยว่าจะคุยอะไร “ ผมคิดในใจ
”ก้อง..ก้อง ..มีอะไรจะคุยกับแจนหรอ” แจนถามผมหลังจากที่ผมอึงไปพอสมควร
“เออ ...คือว่า ผมจำไม่ได้ว่า พี่กั๊ม เขาสั่งให้เตรียมอะไรบ้าง” ผมนึกอะไรไม่ออกจนในที่สุดก็ต้องใช้มุขสิ้นคิดแบบนี้ตลอดจนต้องขอยืมชื่อรุ่นพี่สุดแสบ ไหนๆวันนี้พี่กั๊มก็แกล้งผมจนไม่รู้เอาหน้าไปไว้ไหนขอยืมชื่อมาใช้บางแกคงไม่ว่าอะไร
“ออ ..พี่เขาสั่งให้เตรียมเอกสารมาให้ครบ แต่งกายตามที่พี่เขาบอกค่ะ แล้วก็พี่เขาขอให้มาตรงเวลาวันที่ปฐมนิเทศ“แจนบอกผม
“เออ..ครับ “ ผมตอบรับแจน แล้วก็เงียบไปอีก ที่เงียบไปผมเพราะไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาเป็นเรื่องคุยกับแจนอีก
“ก้อง” ในความเงียบแจนได้พูดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งผมคิดว่าเธอคงจะพูดตัดบทเพื่อจะวางสาย เพราะเธอคงเบื่อที่ผมไม่มีอะไรจะพูด ใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ๋ม “โอกาสของผมกำลังจะหมด โอกาสอันน้อยนิด คิดสิๆ ว่าจะคุยอะไรต่อ ก่อนที่เธอจะวางสาย “ ผมคิดในใจ
ก้อง ..ยังเจ็บอยู่หรือเปล่าค่ะ” ผมตะลึ่งกับสิ่งเธอพูดออกมา ผมไม่นึกว่าเฮจะห่วงผม
“เออ..หายดีแล้วครับ “ ผมตอบเธอไปอย่างงงๆปนความดีใจ
“พี่กั๊มนี่ขี้เล่นดีนะ แต่พี่เขาก็เล่นแรงจริงๆ “ แจนเริ่มบทสนทนาเหมือนกับรู้ว่าผมอยากจะคุยกับเธอแต่ไม่มีเรื่องคุย
“ครับ..ผมก็ว่ายังงัน...พี่กั๊มเล่นซะผมอายไปเลย” บทสนทนาของผมกับแจนเริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้น
“ตอนนั้นผมเห็นแจนขำผมด้วย” ผมคุยต่อทันที
”ก็มันอดขำไม่ได้นี่ ...พี่กั๊มแกล้งก้องจนก้องอายขนาดนั้น“ แจนพูด
”แต่แจนว่าสนุกดีนะ ท่าทางชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยคงมีเรื่องสนุกๆเยอะนะ มีให้เรียนรู้มากด้วย” แจนพูดอย่างกับคนที่ไม่ค่อยได้เจออะไรเท่าไรเป็นการมองโลกในแง่ดี ผมคุยกับแจนใช้เวลาหลายชม.มาก แจนเธอมาจากโรงเรียนหญิงล้วน เป็นเด็กดีตลอด พ่อแม่ค่อนข้างหวง
นอกจากนี้เธอยังเล่นขิ้ม เธอชอบเรื่องดนตรี แนวเพลงที่ชอบฟังได้ทุกรูปแบบ แต่ที่ชอบจริงๆแนว ของพี่บอย โกสิยพงษ์ ซึ่งชอบเหมือนผมอีกแล้ว แต่เธอไม่ชอบเล่นกีฬา เราก็ต่างคุยกันหลายเรื่อง ถึงเรื่องเพลง หนัง ตลอดจนชีวิตสมัยม.ปลายของแต่ละคนและอื่นมากมาย เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับที่หลายๆคนมักพูดว่า เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่เวลาเวลาแห่งความทุกข์นั้นแสนเนิ่นนานดูท่าจะจริง ผมกะว่าเมื่อคุยแจนเสร็จก็จะออกไปหาพวกอ้ายกริชที่ร้านประจำแถวทองหล่อ แต่เมื่อหันมาดูนาฬิกาอีกที่จะตีหนึ่งแล้ว พร้อมสังเกตเห็น missed call สิบกว่า missed call แน่นอนไม่ใช่ใครอื่นอ้ายกริช โทรตามแบบกระหน่ำเลยที่เดียว
“ถูกพวกมันด่าแน่ๆเลย “ ผมคิดในใจ แต่ก็ช่างมันเถอะ ค่อยแก้ตัวกับพวกมันที่หลังก็แล้วกัน ในเมื่อไปตอนนี้ก็เจอพวกมันประนาม แก้ตัวที่หลังก็ถูกประนามอีก งันก่อนถูกรุมประนามก็ขอมีความสุขก่อนแล้วกันนะ
เมื่อผมคิดได้ดังนี้ผมก็คุยกับแจนต่อไปอีกสักพัก แล้วผมก็ได้ยินเสียงพ่อของแจนบอกให้แจนนอนได้แล้วเพราะมันดึกมากแล้ว เป็นอันว่าเวลาแห่งความสุขของผมเป็นอันต้องจบลง
“พ่อว่าแจนแล้ว ไปนอนก่อนนะ” แจนบอกผม
“ครับแจน วันหลังผมโทรมาคุยกับแจนอย่างนี้ได้อีกไหมครับ” ผมถามอย่างหนุ่มไร้เดียงสา
”ได้สิ ก็ก้องเป็นเพื่อนแจนนี่โทรมาคุยได้เสมอ” คำตอบของแจนทำให้งงไม่รู้ว่าจะดีหรือเสียใจกับคำว่าเพือ่นนี่ดี แต่อย่างน้อย มันก็น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี
“คืนนี้หลับฝันดีนะครับแจน” ผมบอกแจน
”เช่นกันก้อง หลับฝันดีนะ” แจนตอบมา แล้วเราทั้งคู่ก็วางสาย
แล้วผมก็ลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและล้มตัวนอน คิดถึงบทสนทนาทางโทรศัพท์ที่ผ่านไปมะกี้นี่เอง ไม่ว่าจะยังไงผมก็ดีใจที่ได้คุยกับแจน มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ผมคิดไปจนหลับไปคืนนี้ความฝันที่ว่าดีคงไม่เท่ากับความจริงที่ช่างมีความสุขเช่นนี้ได้ ไม่รู้ว่าวันต่อไปความสุขแบบนี้ยังคงอยู่อีกไหมแล้วมันจะก้าวไปในทางใด สำหรับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ผมจะเจอใครอีกไหมนะ จะสนุกขนาดไหน ไม่มีใครรู้ได้
ความคิดเห็น