ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สุดท้ายที่ฉันรอคือเธอใช่ไหม

    ลำดับตอนที่ #2 : เสียงตามสาย

    • อัปเดตล่าสุด 15 ม.ค. 50


    สุดท้ายที่ฉันรอคือเธอใช่ไหม

     

     

    ประพันธ์โดย หยาดเพชรแก้ว

     

     

    ตอนที่ ๒ เสียงตามสาย

     

    หลังจากผมหาอะไรใส่ท้องแก้หิวแล้ว กริชก็ชวนผมไปเดินสยามซึ่งเป็นแหล่ศูนย์รวมแฟชั่นและสาวสวยหนุ่มหล่อของกรุงเทพเมืองหลวงของประเทศไทยมาหลายต่อหลายรุ่นแล้ว ตั้งแต่รุ่นคุณเชษฐาพ่อของผม พ่อผมเคยเล่าให้ฟังว่าสมัย ที่ท่านยังเป็นนิสิตบัญชีจุฬา สาวๆมาแอบรักท่านเต็มไปหมด โดยที่ท่านไม่รู้ตัว  ทุกครั้งที่พ่อผมเล่าตอนที่ท่านเสน่ห์แรงมีสาวๆมาชอบท่านเยอะ หากแม่ผมได้ยิน เป็นเรื่องเลยครับ แม่จะหยุดกิจกรรมทุกอย่างโดยสิ้นเชิ้งแล้วหันมาทางพ่อ

     

    แล้วใครละที่ใส่กางเกงขาเดฟ เสื้อยืดรัดรูปสีขาว เดินหิ้วถุงตามฉันไปทั่วสยามแม่ผมท่านจะพูดด้วยอาการประหนึ่งจะฆ่าคุณเชษฐา พ่อผู้ให้กำเนิดผม ผมกลัวจะกำพร้าพ่อเลยต้องรีบเข้าไปห้ามทุกครั้ง

     

    คุณพ่อเล่าให้ผมฟังอีกว่าสมัยที่คุณพ่อกับคุณแม่ของผมจีบกันแฟขั่นสมัยนั้นเขานิยมกางเกงยีนต์ขาม้า ขาจะบานนิดๆหรือแบบเดฟกัน เสื้อก็ใส่แบบรัดๆ ใครใส่แบบหลวมๆจะเชยมากๆ   เมื่อผมนึกถึงแฟชั่นสยามสมัยคุณพ่อแล้วมองสยามในเวลานี้ที่ผมกำลังเดินอยู่ มันก็มีอะไรคล้ายๆกัน แฟขั้นเสื้อรัดรูป กางเกงที่ขาบานนิดๆ เรียกว่า เป็นวัฏจักรของแฟชั่น ที่พอนิยมกันสักพักก็มีแฟชั่นใหม่เข้ามา ทำให้แฟชั่นเดิมหมดความนิยมไปแต่พออีกสักสิบปีก็กลับมาใหม่   เป็นวัฏจักรแฟชั่นไป เช่นเสื้อรัดรูป กางเกงขาบาน เป็นต้น

     

    แม้แต่แฟชั่นสมัยคุณยายเองก็ยังย้อนกลับมาขายได้ครับ   ช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมาแถวบ้านผมมีคนเอาเสื้อคอกระเช้ามาขาย   วิธีการขายของเขาแทนจะบอกว่าขายเสื้อคอกระเช้า   แต่ตะโกนว่า สายเดี่ยว คุณยาย สร้างความสนใจให้กับคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ดีทีเดียว   เพราะช่วงนั้นเสื้อสายเดี่ยวของวัยรุ่นกำลังเป็นที่นิยมและมาแรงมาก   แถมยังมีคนอุดหนุนเขาพอสมควรเลยที่เดียว   ไอเดียการนำเสนอของยุคก่อนมาขายของเขาทำได้ดีที่เดียว

     

    ผมเดินเล่นแถวสยามจนเย็นก็แยกย้ายกับพวกกริชและนั่งรถเมล์กลับบ้านผม   ตั้งแต่ผมเจอแจนที่รับน้อง   เดินเล่นที่สยาม   จนมาถึงบ้าน   ผมก็ยังคงคิดถึงแต่ใบหน้าและรอยยิ้มของสาวนามว่าแจนตลอดเวลา  แม้แต่เวลากินข้าวเย็น

     

    ละเมออะไรกันเวลากินข้าว  คุณแม่ของผมทักเมื่อเห็นผมเหมอลอยระว่างกินข้าวเย็น

    เปล่าครับแม่  ผมตอบท่านไป

    เปล่าอะไรกันนั้นยังเค็มไม่พออีกหรอ   แม่ผมพูดพร้อมมองไปที่มือข้างขวาชองผมซึ่งกำลังเทซอสหมดไปกว่าครึ่งขวด

     

    เมื่อผมเริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังคิดถึงแต่แจนจนคนรอบข้างเริ่มรู้สึกที่อาการผิดแปลกไป

    ไม่มีอะไรครับ แค่คิดอะไรนิดหน่อย  นั้นคือคำตอบของผม และผมก็พยายามรวบรวมสติพักการคิดถึงสาวที่เพิ่งผมเจอมาเมื่อวันนี้ และตั้งหน้าตั้งตากินข้าว

     

    หลังจากผมกินข้าวเย็นเสร็จก็ขึ้นไปบนห้องนอนของผม   ใจผมยังคงกระวนกระวายและคิดถึงแจนอยู่ตลอด   ด้วยความที่เป็นเด็กโรงเรียนชายล้วนมาตั้งแต่เด็ก    ทำให้ไม่รู้ว่าผมจะสานต่อความสัมพันธ์กับแจนอย่างไร   ถึงแม้ว่าผมจะเคยไปเรียนพิเศษแถวสยามและเจอเคยสาวๆจากหลายโรงเรียน   แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปจีบสักเท่าไรได้แต่นั่งมองยืนมองวาดฝันไปวันๆ ว่าสักวันกามเทพจะส่งให้ผมกับหญิงคนนั้นได้ทำความรู้จักโดยบังเอิญ  แต่จนแล้วจนรอดเรียนจนจบเอ็นติดก็ยังไม่ได้รู้จักกันเลย   เป็นหนึ่งในตำนานรักแสนเศร้าอีกตำนานแห่งสยาม

     

    ผมเดินไปเดินมาในห้องนอนของผม   คิดแต่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะเป็นการสานสัมพันธ์กับแจนให้เป็นไปได้ด้วยดี   เสียงเท้าของผมเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆตามจิตใจที่ว้าวุ่นของผมดังจน

     

    ก้องลูก เดินสวนสนามหรอเบาหน่อยลูก เพดานจะหล่นมาทับหัวพ่อกับแม่อยู่แล้วเสียงพ่อผมพูดประชดผม   ผมจึงต้องหยุดสวนสนามอย่างที่ท่านเตือนและนั่งลงบนเตียง   อากาศในห้องค่อนข้างเย็นเพราะผมเปิดแอร์   แต่ทำไมนะจิตใจผมถึงได้ร้อนลุ่มไปหมด  ไม่อาจอยู่นิ่งได้เลย  

     

    ผมเอนตัวลงไปนอนแต่หัวสมองของผมก็ยังคิดเรื่องเดิมๆ ปัญหาเดิมๆต่อไป

    ถ้าชอบน้องเขาต้องกล้าสิ อย่าอาย   เสียงพี่กั๊มดังขึ้นมาในหัวของผม

    น้องอย่าลืมแลกเบอณืติดต่อกันนะครับ 

    ใช่แล้วโทรศัพท์ผมตะโกนออกมาด้วยความดีใจ พี่กั๊มให้เราติดต่อกับคนในกลุ่มได้  และแล้วผมก็คิดวิธีที่จะสานสัมพันธ์กับแจนได้แล้ว  ขอบคุณพี่กั๊มครับ ผมรักพี่ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมได้รู้จักรุ่นพี่ที่ชื่อกั๊มแล้วผมรู้สึกชื่นชอบรุ่นพี่คนนี้

     

    หลังจากผมคิดวิธีสานสัมพันธ์ออก   ซึ่งวิธีนี้ผมต้องขอขอบคุณ   การสื่อสารแห่งประเทศไทย   เครื่อข่ายโทรคมนาคมและขาดไม่ได้สำหรับ อเล็กซานเดอร์ แกรแฮม เบลล์   ผู้คิดประดิษฐ์โทรศัพท์ ทำให้หนุ่มสาวผุ้มีโลกสีชมพูได้คุยกันเหมือนอยู่ใกล้กันแค่ปลายเส้นผม

     

    ว่าแล้วผมไม่รอช้าหยิบโทรศัพท์คู่ใจกดเบอร์ของแจน ((  ผ่านลมหนาว จะกี่คราวก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีใครให้ใจอุ่นอยากจะหา คนที่ทำให้ใจสมดุลย์ แต่ไม่เคยสมหวังสักที)))   เพลงลมหนาวซะด้วย อย่างกับรู้ว่าผมเกิดหน้าหนาว   หรือสวรรค์จะส่งเธอมาเป็นคู่เราจริงๆ

     

    ผมรอสายด้วยใจระทึก ตื่นเต้นไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง  เสียงเพลงลมหนาว ของ ทีฟอทีน ยังคงดังต่อเนื่อง หรือว่าแจนนอนไปแล้ว   แต่นี้เพิ่งสองทุ่มเอง อะไรจะเป็นเด็กอนามัยขนาดนั้น   ผมรอสายไปก็คิดไปต่างๆนานาตามภาษาคนไม่เคยจีบผู้หญิง

     

    และแล้วก็รอสายของผมก็ไม่เป็นผล   ไม่มีคนรับสาย   ผมวางโทรศัพท์ไว้บนหัวเตียง   แล้วเอนตัวลงนอน ด้วยอาการที่เซ็งสุดๆ   คิดไปต่างๆนานาถึงสาเหตุที่ทำให้แจนไม่ได้รับโทรศัพท์ผม    และพาลคิดไปถึงว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เข้าข้างไปกันใหญ่    สุดท้ายผมก็ได้สติคิดไปทำไมพรุ่งนี้ค่อยโทรไปใหม่ก็ได้ 

     

    หลังจากคิดได้ผมก็ลุกออกจากเตียงกะว่าจะลงไปดูทีวี หาอะไรกินเล่น   ขณะที่ผมจะบิดลูกบิดเพื่อเปิดประตูออกไปจากห้อง เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น    ใจผมเต้นแรง ตื่นเต้น  แจนโทรกลับมา ผมคิด

     

    ผมไม่รอช้า รีบวิ่งไปรับโทรศัพท์กดรับโดยไม่ได้ดูชื่อคนโทรมา

     

    สวัสดีครับแจน   ผมทักไป

    อะไรว่ะแกเป็นเอามาก นึกถึงแต่ผู้หญิง  ที่แท้เป็นอ้ายกริชโทรมา

    เฮ้ย ก้องไปเที่ยวกัน วันนี้พวกเพื่อนๆเรานัดเที่ยว ฉลองการเข้ามหาวิทยาลัยได้  กริชชวนผม

    เออดีว่ะ กำลังเซ็งๆ ไปขอพ่อก่อนนะโว๊ย  ผมตอบรับคำชวนของกริช

    เจอกันที่ร้านเดิมนะ อย่าช้า ให้ว่องๆ  กริชย้ำเตือนผม

     

    ผมวางโทรศัพท์และเปิดประตูลงไปขออนุญาติคุณพ่อของผม   จริงจะขอเงินเป็นขวัญถุงสักหน่อยตามภาษาเด็กหนุ่มที่ยังหาเงินใช้เองไม่ได้   เมื่อผมเดินออกจากห้องกำลังเดินลงบันไดเสียงโทรศัพท์ ของผมก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง  อ้ายกริช จะโทรมาอะไรกันอีก ผมบ่นไปพร้อมเดินลงไปหาคุณพ่อ คิดว่าคงโทรมาเร่งตามเคย ไว้ขออนุญาติคุณเชษฐาเสร็จ ขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว จะออกแล้วค่อยโทรกลับ ว่าแล้วผมก็เดินลงไปหาคุณพ่อผม

     

    คุณพ่อครับผมขออนุญาติไปเที่ยวกับเพื่อนครับ   ผมกล่าวขออนุญาติคุณเชษฐา

    ไปเที่ยวอะไรดึกดื่น  แม่ผมส่งเสียงดุมา   เมื่อรู้ว่าผมจะขอออกไปเที่ยว

    โธ่แม่ครับ ก็นี่เพื่อนจัดฉลองที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่ได้เที่ยวแบบไร้สาะสักหน่อย  ผมเถียงแม่

    นั้นสิแม่   ลูกมันเข้ามหาวิทยาลัยแล้วปล่อยๆมันบาง  พ่อผมกล่าวเข้าข้างผม

    ก็เหมือนสมัยเราแหละที่รัก พอเข้ามหาวิทยาลัยได้  ก็อยากมีอิสระ  ปล่อยๆมันไปบ้างเถอะ  พ่อมผมให้เหตุผลสนับสนุนผม

    ฉันเข้าใจ   แต่ที่บ่นก็เพราะว่าไม่ว่าลูกเราไม่ว่าจะโตขึ้นเพียงอ้ายคนเป็นแม่ก็ยังอดห่วงไม่ได้หรอก   แม่ผมบอก

    ที่ห่วงไม่ได้เพียงแต่แม่นะ   พ่อก็เป็นห่วงเหมือนกัน   แต่เราควรปล่อยลูกไปผจญโลกบ้างให้เรียนรู้  วันหลังมันเจอปัญหาอะไรมันจะได้ผ่านไปได้   อีกอย่างถ้าหน้าที่หลักคือการเรียนของมันไม่เสีย   มันยังรับผิดชอบได้มันอยากทำอะไรก็ปล่อยมันไปเถอะ   ขอให้ไม่ผิดกฏหมาย.ก็พอ   นี่แหละครับพ่อผมบทจะมีเหตุผลก็มีซะแม่ผมเถียงไม่ออก   สุดท้ายแม่ผมก็ต้องยอมให้ผมออกไปเที่ยว   นอกจากนั้นพ่อผมยังให้เงินผม พร้อมกำชับว่า

    ระวังตัวนะลูก  

     

    หลังจากผมได้ขออนุญาติคุณพ่อกับคุณแม่ผมแล้ว   ผมก็รีบขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมที่จะออกไปท่องราตรี    แน่นอนก่อนผมออกจากห้อง   ผมเดินไปหยิบมือถือที่ตรงหัวเตียง   ขณะที่กำลังกำลังหยิบ  ผมสังเกตว่ามีคนโทรมาmissed call   ผมคิดว่าเป็นอ้ายกริชโทรมาเร่งผม   แต่เพื่อความไม่ประมาทผมกดดูเบอร์ที่โทรมา เฮ้ย ..แจนนี่หว่า

     

    ผมตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นและตกตะลึ่งที่แจนโทรกลับมา   จริงก็ไม่น่าจะดีใจมากเพราะผมโทรไปหาเธอแต่เธอไม่ได้รับ   พอเธอเห็นผมโทรก็เลยโทรกลับ   แต่ในช่วงนั้นผมเพิ่งผ่านพ้นชีวิตม.ปลาย โรงเรียนชายล้วนมา   การพบเพื่อนต่างเพศนับเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับหนุ่มขี้อายอย่างผม   และยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่เมื่อแจนโทรกลับมา   ซึ่งผมยังไม่เคยได้รับการตอบรับอย่างนี้กับเพศตรงข้ามมาก่อนเลย   ก็บ้านผมวัยใกล้กันก็มีแต่ผู้ชาย   ไปเรียนพิเศษเจอสาวก็จริง   แต่ก็แต่มองไม่ได้ทำอะไรมากไปมองและมอง

     

    เมื่อแจนโทรกลับมาจึงทำให้ผมตื่นเต้นทำตัวไม่ถูก ใจสั่นๆ   แต่ก็ใจสู้   เอาว่ะ ว่าแล้วผมก็โทรกลับไปหาแจน   ((((ผ่านลมหนาว   จะกี่คราวก็ยังเหมือนเดิม   ไม่มีใครให้ใจอุ่นอยากจะหา   คนที่ทำให้ใจสมดุลย์   แต่ไม่เคยสมหวังสักที....)))

     

    ฮัลโหลค่ะ  ในที่สุดหลังจากฟังรินโทนก็มีเสียงผุ้หญิงรับสายนั้นคือแจนนั้นเอง   หัวใจผมเต้นแรงขึ้น   ความดีใจแพร่ไปทั่วกายผม  

    ฮัลโหลค่ะ นั้นใช่ก้องหรือเปล่าค่ะ  เธอถามย้ำ

    ชะ..ใช่ครับผมก้องครับ  ผมตอบไปด้วยเสียงสั่นๆ

    ก้องมีอะไรหรอ  แจนถามมาตามสาย

    เออ...คือว่า..คือว่า  ผมยังหาเหตุผลที่จะคุยกับเธอไม่ได้ ลืมไปเลยว่าจะคุยอะไร  ผมคิดในใจ

    ก้อง..ก้อง ..มีอะไรจะคุยกับแจนหรอ  แจนถามผมหลังจากที่ผมอึงไปพอสมควร

    เออ ...คือว่า ผมจำไม่ได้ว่า พี่กั๊ม เขาสั่งให้เตรียมอะไรบ้าง  ผมนึกอะไรไม่ออกจนในที่สุดก็ต้องใช้มุขสิ้นคิดแบบนี้ตลอดจนต้องขอยืมชื่อรุ่นพี่สุดแสบ   ไหนๆวันนี้พี่กั๊มก็แกล้งผมจนไม่รู้เอาหน้าไปไว้ไหนขอยืมชื่อมาใช้บางแกคงไม่ว่าอะไร

    ออ ..พี่เขาสั่งให้เตรียมเอกสารมาให้ครบ แต่งกายตามที่พี่เขาบอกค่ะ แล้วก็พี่เขาขอให้มาตรงเวลาวันที่ปฐมนิเทศแจนบอกผม

    เออ..ครับ   ผมตอบรับแจน แล้วก็เงียบไปอีก   ที่เงียบไปผมเพราะไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาเป็นเรื่องคุยกับแจนอีก

    ก้อง  ในความเงียบแจนได้พูดขึ้นอีกครั้ง   ซึ่งผมคิดว่าเธอคงจะพูดตัดบทเพื่อจะวางสาย   เพราะเธอคงเบื่อที่ผมไม่มีอะไรจะพูด   ใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ๋ม โอกาสของผมกำลังจะหมด โอกาสอันน้อยนิด คิดสิๆ ว่าจะคุยอะไรต่อ ก่อนที่เธอจะวางสาย ผมคิดในใจ

    ก้อง ..ยังเจ็บอยู่หรือเปล่าค่ะ  ผมตะลึ่งกับสิ่งเธอพูดออกมา   ผมไม่นึกว่าเฮจะห่วงผม

    เออ..หายดีแล้วครับ   ผมตอบเธอไปอย่างงงๆปนความดีใจ

    พี่กั๊มนี่ขี้เล่นดีนะ   แต่พี่เขาก็เล่นแรงจริงๆ   แจนเริ่มบทสนทนาเหมือนกับรู้ว่าผมอยากจะคุยกับเธอแต่ไม่มีเรื่องคุย

    ครับ..ผมก็ว่ายังงัน...พี่กั๊มเล่นซะผมอายไปเลย  บทสนทนาของผมกับแจนเริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้น

    ตอนนั้นผมเห็นแจนขำผมด้วย  ผมคุยต่อทันที

    ก็มันอดขำไม่ได้นี่ ...พี่กั๊มแกล้งก้องจนก้องอายขนาดนั้น แจนพูด

    แต่แจนว่าสนุกดีนะ   ท่าทางชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยคงมีเรื่องสนุกๆเยอะนะ   มีให้เรียนรู้มากด้วย  แจนพูดอย่างกับคนที่ไม่ค่อยได้เจออะไรเท่าไรเป็นการมองโลกในแง่ดี   ผมคุยกับแจนใช้เวลาหลายชม.มาก แจนเธอมาจากโรงเรียนหญิงล้วน   เป็นเด็กดีตลอด   พ่อแม่ค่อนข้างหวง

     

    นอกจากนี้เธอยังเล่นขิ้ม   เธอชอบเรื่องดนตรี   แนวเพลงที่ชอบฟังได้ทุกรูปแบบ   แต่ที่ชอบจริงๆแนว ของพี่บอย โกสิยพงษ์   ซึ่งชอบเหมือนผมอีกแล้ว  แต่เธอไม่ชอบเล่นกีฬา   เราก็ต่างคุยกันหลายเรื่อง   ถึงเรื่องเพลง หนัง   ตลอดจนชีวิตสมัยม.ปลายของแต่ละคนและอื่นมากมาย   เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับที่หลายๆคนมักพูดว่า   เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็ว   แต่เวลาเวลาแห่งความทุกข์นั้นแสนเนิ่นนานดูท่าจะจริง   ผมกะว่าเมื่อคุยแจนเสร็จก็จะออกไปหาพวกอ้ายกริชที่ร้านประจำแถวทองหล่อ   แต่เมื่อหันมาดูนาฬิกาอีกที่จะตีหนึ่งแล้ว   พร้อมสังเกตเห็น missed call สิบกว่า missed call   แน่นอนไม่ใช่ใครอื่นอ้ายกริช โทรตามแบบกระหน่ำเลยที่เดียว

     

    ถูกพวกมันด่าแน่ๆเลย   ผมคิดในใจ แต่ก็ช่างมันเถอะ   ค่อยแก้ตัวกับพวกมันที่หลังก็แล้วกัน   ในเมื่อไปตอนนี้ก็เจอพวกมันประนาม   แก้ตัวที่หลังก็ถูกประนามอีก   งันก่อนถูกรุมประนามก็ขอมีความสุขก่อนแล้วกันนะ

     

    เมื่อผมคิดได้ดังนี้ผมก็คุยกับแจนต่อไปอีกสักพัก   แล้วผมก็ได้ยินเสียงพ่อของแจนบอกให้แจนนอนได้แล้วเพราะมันดึกมากแล้ว   เป็นอันว่าเวลาแห่งความสุขของผมเป็นอันต้องจบลง

     

    พ่อว่าแจนแล้ว ไปนอนก่อนนะ  แจนบอกผม

    ครับแจน   วันหลังผมโทรมาคุยกับแจนอย่างนี้ได้อีกไหมครับ ผมถามอย่างหนุ่มไร้เดียงสา

    ได้สิ   ก็ก้องเป็นเพื่อนแจนนี่โทรมาคุยได้เสมอ  คำตอบของแจนทำให้งงไม่รู้ว่าจะดีหรือเสียใจกับคำว่าเพือ่นนี่ดี   แต่อย่างน้อย มันก็น่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี

    คืนนี้หลับฝันดีนะครับแจน  ผมบอกแจน

    เช่นกันก้อง หลับฝันดีนะ  แจนตอบมา   แล้วเราทั้งคู่ก็วางสาย

    แล้วผมก็ลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและล้มตัวนอน   คิดถึงบทสนทนาทางโทรศัพท์ที่ผ่านไปมะกี้นี่เอง   ไม่ว่าจะยังไงผมก็ดีใจที่ได้คุยกับแจน   มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก   ผมคิดไปจนหลับไปคืนนี้ความฝันที่ว่าดีคงไม่เท่ากับความจริงที่ช่างมีความสุขเช่นนี้ได้   ไม่รู้ว่าวันต่อไปความสุขแบบนี้ยังคงอยู่อีกไหมแล้วมันจะก้าวไปในทางใด   สำหรับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ผมจะเจอใครอีกไหมนะ   จะสนุกขนาดไหน ไม่มีใครรู้ได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×