คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 02 พลาดพลั้ง
02
พลาดพลั้ง
แพนซี่เคยเป็นนักข่าวที่ออกเดินทางไปทั่วทุกภูมิภาค ทำสารคดีเกี่ยวกับโปเกม่อน ส่วนหนึ่งของความสุขคือเวลาในช่วงชีวิตของเธอที่ได้ออกเดินทางคลุกคลีและสัมผัสถึงธรรมชาติต่าง ๆ หลังจากนั้นจึงถ่ายทำ เก็บภาพความสุขเหล่านั้นมาแบ่งปันผู้คนที่ได้รับชมผ่านหน้าจอ
แพนซี่บอกได้เลยว่าการเป็นนักข่าวทำให้เธอมีความสุขพอ ๆ กับที่น้องสาวของเธอทำหน้าที่เป็นยิมลีดเดอร์ในภูมิภาคคาลอส
ได้พบผู้คนมากมายผ่านเลนส์ของกล้องที่ผู้ชมมองเห็นร่วมกัน หรือในตอนที่ผจญภัยลุ้นระทึกจนไม่มีเสี้ยววินาทีที่จะกดกล้องจับภาพเหล่านั้น แพนซี่มองผ่านเลนส์กล้องเป็นล้าน ๆ ครั้ง และทุกครั้งเธอมองเห็นความสัมพันธ์ของมนุษย์และโปเกม่อน
มันคือความรัก ความห่วงใย หรือสายสัมพันธ์ การพบเจอเรื่องราวต่าง ๆ จากทั่วทุกมุมโลกหล่อหลอมให้เธอเห็นถึงความสำคัญของสิ่งเหล่านั้น
แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธอมองเห็นรอยแตกร้าวบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างช้า ๆ
แพนซี่ไม่ใช่นักสืบ ไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลที่มีเครือข่ายหรือรู้อะไรมากนัก แต่หัวใจของเธอมักสั่นอย่างหวาดกลัวอยู่เสมอเมื่อเห็นข่าวความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์และโปเกม่อน มันเกิดขึ้นจากพื้นที่เล็ก ๆ จากนั้นจึงลามขึ้นเป็นพื้นที่ใหญ่ เกิดความเสียหาย และสร้างข่าวฉาวโด่งดัง
แพนซี่กลัว
และมันทำให้นึกถึงเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เคยเจอ
ทั้งที่รู้ว่าการขอให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่หายตัวไปมาช่วยแก้ไขเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเขลาก็ตาม เด็กผู้ชายที่ติดอยู่ในเฟรมที่เรียกว่าความทรงจำของแพนซี่
ซาโตชิ
เด็กผู้ชายที่ทำให้เธอรู้สึกดีใจและภาคภูมิใจเมื่อเขาสามารถคว้าชัยชนะมาได้ด้วยความพยายามที่ไม่ย่อท้อ ไม่ว่าจะในยิม ลีก หรือข่าวคราวนอกภูมิภาคที่กล่าวถึงแชมป์คนใหม่ของอโลล่า เธอส่งรูปไปหาวิโอล่าและบอกว่าเด็กคนนี้ทำได้ดีมากแค่ไหน
แพนซี่ภูมิใจในตัวซาโตชิเหมือนเป็นน้องชายคนหนึ่ง
จนกระทั่งเมื่อ 4 ปีก่อนข่าวคราวก็หายไปเหมือนถูกลบออกจากหน้ากระดาษ ความรู้สึกแย่และความคิดด้านลบเกาะกินเธอทีละน้อย หลังจากการยกเลิกการแข่งเวิร์ลแชมป์เปี้ยนชิปส์ครั้งที่ 2 เหมือนโลกทั้งใบตกอยู่ในห้วงลึกที่นิ่งและหยุดหมุนไปชั่วขณะ
เธอไม่รู้อะไรเลย
ไม่มีร่องรอย
ไม่มีอะไรเลย
แพนซี่ลูบขมับตัวเองเบา ๆ ขณะวางกล้องประกอบอาชีพไว้ม้านั่งข้างตัว ใบหน้าสวยขมวดคิ้ว เธอค้อมตัวเล็กน้อยขณะวางแขนไว้กับต้นขา แจ็กเกตสีขาวสะอาดถูกพับวางไว้บนหน้าตัก เสื้อเชิ้ตของเธอมีรอยยับเล็กน้อยเพราะความเร่งรีบ อาจดูไม่สุภาพและไม่เคารพสถานที่เท่าไหร่เมื่อตัวนักข่าวมืออาชีพเช่นเธอแต่งตัวไม่เรียบร้อยเข้ามาในพื้นที่หอประชุมกลาง
“ทำไมเวลาเครียดทีไรต้องนึกถึงเธอมาเป็นคนแรกด้วยล่ะเนี่ย”
เธอถอนหายใจ
แพนซี่ลูบหน้าตัวเองก่อนจะเงยศีรษะขึ้น ถึงแม้จะอยู่ภายในพื้นที่ของหอประชุมกลางแต่พื้นที่ที่เธออยู่คือบริเวณโถงทางเข้า
หอประชุมกลางจะแบ่งออกเป็น 3 พื้นที่และเขตยิบย่อยอื่น ๆ
ส่วนแรกคือส่วนใจกลางของพื้นที่และเป็นหัวใจหลัก เป็นพื้นที่สำหรับประชุมซึ่งบุคคลภายนอกที่ไม่ได้รับอนุญาตจะไม่สามารถเข้าไปข้างในได้
ส่วนที่สองคือห้องโถงทางเข้า หรือบริเวณที่เธอนั่งอยู่ ส่วนนี้จะเป็นทางเข้าที่คล้ายกับล็อบบี้ หากคุณมีบัตรอนุญาตหรือมีรายชื่อก็สามารถนั่งรอได้ ซึ่งส่วนห้องโถงนี้จะมีทั้งหมด 3 แห่งคนละที่ เพราะต้องเชื่อมกับทางเข้าทั้งสามทางจากหอประชุมกลาง
ส่วนที่สามคือบริเวณรอบนอกที่นักข่าวจะถูกกักไว้ด้านนอก ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาด้านใน
เพราะหอประชุมกลางเป็นสถานที่สำคัญ ทั้งยังรวบรวมบุคคลที่มีชื่อเสียง การรักษาความปลอดภัยจึงสำคัญ ตัวเธอที่มีใบรับรองจากด็อกเตอร์โอกิโดะยังไม่สามารถเข้าไปร่วมการประชุมได้เลยแม้แต่น้อย แต่ก็ขอขอบคุณด็อกเตอร์โอกิโดะที่ทำให้เธอได้มีโอกาสเข้ามาด้านใน ถึงข้อกำชับจริง ๆ จะเป็นการมาช่วยดูแลหลานชายที่รับช่วงต่ออย่าง โอกิโดะ ชิเงรุ ก็ตาม
แต่แพนซี่ถือว่ามันเป็นเรื่องดี
นักข่าวสาวทิ้งตัวเอนพิงกับม้านั่ง สอดสายตามองไปโดยรอบ ห้องโถงรับรองมีขนาดใหญ่ มีการตกแต่งที่เรียบหรูเหมือนกับล็อบบี้โรงแรมหรูที่เธอเคยเข้าไปพักตามโอกาส ทั้งม้านั่ง พรม หรือหลอดไฟระหย้าขนาดใหญ่เหนือหัวล้วนเป็นของแพงที่จับต้องไม่ได้ด้วยเงินเดือนนักข่าว
แต่ทำยังไงได้ตอนนี้ที่นี่ก็มีแค่เธอคนเดียว
นัยน์ตาเหนื่อยล้าจับมุมสายตาไปเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งถัดไปโดยข้างกันก่อนจะส่งเสียงหัวเราะขันกับตัวเอง
กับเด็กคนหนึ่งล่ะนะ
เอ๊ะ
เดี๋ยวนะ
“อ๊ะ นี่เธอ! นั่งตรงนี้นานแล้วเหรอ”
แพนซี่ส่งเสียงออกมาดังมากไปหน่อยจึงทำให้เสียงก้องสะท้อนไปทั่วทั้งห้องโถง ด้วยความเผลอตัวทำให้เธอตะครุบปากตัวเองเบา ๆ ก่อนจะถอนหายใจ โล่งอกที่พนักงานรักษาความปลอดภัยจะไม่ลากตัวเธอออกไปข้างนอกเสียก่อน
เด็กหนุ่มกดโทรศัพท์ต่อ
“ไม่ครับ มาเมื่อกี้”
“งั้นเหรอ”
แพนซี่อาจจะจบบทสนทนาเช่นนั้นหากว่าอีกฝ่ายไม่สวมเสื้อโค้ทของนักวิจัย ถึงแม้จะติดใจกับการใส่หมวกแก๊ปในที่ร่มเล็กน้อยแต่มันทำให้เธอคิดถึงเด็กผู้ชายในความทรงจำขึ้นมา มันอาจจะเป็นเหตุผลที่แพนซี่ไม่รู้สึกเกร็งที่จะพูดคุยต่อไป
“ฉันชื่อแพนซี่ เธอล่ะ”
“คุณแพนซี่มาทำข่าวเหรอครับ”
ตอบไม่ตรงคำถาม
“เห็นกล้องก็รู้แล้วสินะ แต่ที่นี่ช่วงนี้นักข่าวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปทำข่าวหรอก ฉันแค่มารอคนน่ะ”
“ผมก็เหมือนกัน”
แพนซี่ยกยิ้ม
เพราะน้ำเสียงหรือเส้นผมสีเข้มแบบนั้นที่ทำให้เธอคิดถึงซาโตชิขึ้นมา ถ้าอีกฝ่ายโตขึ้นมาจนถึงตอนนี้ส่วนสูงก็คงประมาณนี้เหมือนกัน ถึงท่าทางที่หันไปกดโทรศัพท์ไม่สนใจคู่สนทนาจะไม่นับว่าเป็นมารยาทเท่าไหร่แต่แพนซี่ถือว่าเพราะเป็นเด็กแล้วกัน
“รอด็อกเตอร์คนไหนล่ะ”
“ด็อกเตอร์ราแวนด์”
“...”
“รู้จักเหรอครับ จริง ๆ ก็เหมือนว่าเขาจะดังอยู่มากเลยล่ะ”
“ใช่ ดัง แต่ไม่ใช่เรื่องนั้นสิ!”
แพนซี่อยากจะเข้าไปเขย่าคอเด็กคนนี้แรง ๆ แล้วถามว่าด็อกเตอร์คนนั้นชื่อราแวนด์จริง ๆ ชื่อคล้าย หรือแค่พูดผิดกันแน่ แต่ดูจากท่าทางก็ไม่ใช่ท่าทางของเด็กที่เที่ยวแกล้งคนไปทั่วเธอจึงนิ่งเงียบ
ด็อกเตอร์ราแวนด์เป็นด็อกเตอร์ที่มีความสามารถขนาดที่ว่าลีกเคยเชิญเขาเข้ามาทำงานในโครงการภายใต้อำนาจกลาง แต่จู่ ๆ เพราะเหตุผลภายใน งานวิจัยก็ถูกยุบไปและด็อกเตอร์ราแวนด์ก็หายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ตลอดมา
ข่าวใหญ่
แพนซี่หันข้างไปหาเด็กหนุ่ม วางแขนข้างหนึ่งไว้บนที่พิงม้านั่ง
“เธอเป็นผู้ช่วยนักวิจัยของด็อกเตอร์ราแวนด์สินะ”
นิ้วมือที่กำลังกดแป้นพิมพ์นิ่งไปชั่วขณะคล้ายกำลังครุ่นคิด
“เปล่าครับ ผมเป็นเด็กถือกระเป๋า”
“อะไรล่ะนั่น”
แพนซี่หัวเราะเบา ๆ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าถือขนาดเล็กบนตักของอีกฝ่าย ก่อนจะส่งเสียงถามอะไรออกไปก็มีประกาศออกมาผ่านทางลำโพงที่เหนือหัว เธอเงยหน้า เสียงนั้นได้ยินไม่ชัดมากนักเพราะเสียงตามสายที่ขาด ๆ หาย ๆ ซึ่งดูเหมือนลำโพงฝั่งนี้จะทำงานไม่ปกติ
จับเค้าได้ว่ามีคนลืมของไว้ที่ประตูทางเหนือ
“คุณแพนซี่”
ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ละสายตาออกมา เด็กหนุ่มที่เคยนั่งบนม้านั่งก็ลุกขึ้น หันมาทางเธอ ตอนนั้นเธอถึงงุนงงและไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่ฉุกคิดถึงความเหมือนที่มากเกินไประหว่างคนสองคนในความคิด ทั้งเส้นผมสีเข้ม นัยน์ตาสีน้ำตาลสีน้ำตาลที่คุ้นเคย รอยที่ข้างแก้มฝาด หรือเพราะสมองเธอไม่เคยคิดในแง่บวกกับตัวเองเลยสักครั้งเลย
แพนซี่เชื่อว่าไม่มีทางจะใช่เขา หรือเป็นเรื่องจริง
“ซาโตชิคุง?”
“ผมจะฝากกระเป๋าใบนี้ไปให้ด็อกเตอร์โอกิโดะ” ใบหน้าอ่อนเยาว์ทำหน้าเซ็งชั่วครู่ “ผมหมายถึง ให้ใครก็ได้ระหว่างคนใหม่กับคนเก่า”
“เดี๋ยว เดี๋ยวนะ นี่เธอ”
แพนซี่ลุกพรวดขึ้นจากม้านั่ง ใบหน้าสวยปรากฏรอยเหงื่อพราวตามโครงหน้า
“จะรับฝากไหมครับ”
“เธอหายไปนานมากเลยนะ หรือวันดีคืนดีเธออยากจะมานั่งข้าง ๆ ก็ทำเลยเหรอ ไม่สิ เดี๋ยวนะ”
ซาโตชิเลิกคิ้วด้วยความสงสัย ในมือยื่นกระเป๋าใบเล็กส่งมาให้อีกฝ่ายค้างเติงกลางอากาศ
แพนซี่ปวดหัว เธอขมวดคิ้ว บีบขมับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะยื่นมือไปรับกระเป๋านั้นมาให้สมใจเด็กหนุ่มที่ปั่นหัวเธอเมื่อครู่จนไม่เหลือชิ้นดี มันเป็นกระเป๋าหนังธรรมดาที่หาซื้อได้ทั่วไปและของภายในก็เบามากจนแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่างของน้ำหนักเดิมของกระเป๋า
“เธอพลาดงานแต่งฉันแล้วยังกล้าหลอกกันอีกนะ”
แพนซี่ยังคงขมวดคิ้ว แต่น้ำเสียงและรอยยิ้มนั้นล้วนเปี่ยมไปด้วยความยินดี
ซาโตชิยิ้ม
“ผมหลอกคุณแพนซี่ตอนไหน”
“โอ๊ย เจ้าเด็กนี่”
แพนซี่โอดครวญ สิ้นคำจะว่าเจ้าเด็กคนนี้จริง ๆ เธอมองไปที่กระเป๋าในมือก่อนจะเอ่ยปากถาม
“จะไปหาด็อกเตอร์โอกิโดะหน่อยไหม เขาก็เป็นห่วงเธอเหมือนกันนะ”
ด็อกเตอร์โอกิโดะก็เป็นหนึ่งในคนที่เธอรู้ว่าเขาคอยเกื้อหนุนและดูแลซาโตชิเหมือนหลานชายอีกคนเลยก็ว่าได้ แต่ท่าทางของซาโตชิที่ได้ยินคำถามก็นิ่งเงียบไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ค่อย ๆ เลือนหายไปจากใบหน้าอ่อนเยาว์ทำให้เธอสงสัย ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูไม่น่าจะใช่ปัญหาแท้ ๆ
แพนซี่ประมวลผลคำพูดในหัวเพียงชั่วครู่เท่านั้น
“ถ้าเธอ–”
“ส่งให้ถึงมือของเขาทีครับ”
ซาโตชิตัดประโยค นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองเธอด้วยท่าทางนิ่งงันเหมือนความเงียบที่เต็มไปด้วยความอึดอัดที่แพนซี่คุ้นเคย ในโลกของผู้ใหญ่เธอคิดว่าความอึดอัดแบบนี้มันน่ารังเกียจเมื่อเกิดมาจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น แต่เธอไม่ใช่ผู้ปกครองหรือพ่อแม่
แพนซี่อาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวของซาโตชิมีความสัมพันธ์หรือรู้จักกับด็อกเตอร์ราแวนด์ได้ยังไง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมอีกฝ่ายถึงจงใจให้เธอเป็นคนที่เจอกับเขา บางทีเธออาจจะไม่รู้อะไรเลยก็ได้
“คุณแพนซี่”
ซาโตชิเอ่ยต่อ
“มันนอกเหนือหน้าที่ของผมไปแล้ว แต่ว่าช่วยบอกกับด็อกเตอร์โอกิโดะ”
ซาโตชิเงียบไปครู่นึงราวกับกำลังนึกสิ่งที่เหมาะสมมากที่สุด สูดลมหายใจช้า ๆ
“ช่วยบอกให้เขาอยู่เฉย ๆ จนกว่าทุกอย่างจะเงียบลงด้วยเถอะครับ”
แพนซี่ไม่เข้าใจว่าการอยู่เฉย ๆ ที่อีกฝ่ายกล่าวถึงหมายถึงเรื่องอะไรกันแน่ สิ่งเดียวที่เธอรู้สึกตัวคือการเก็บกระเป๋าใบนั้นไว้ที่เบาะด้านข้างคนขับ แพนซี่ยืนรออยู่ที่ตัวรถ ในมือของเธอถือโทรศัพท์บนหน้าจอปรากฏเป็นเบอร์ของหลานชายด็อกเตอร์โอกิโดะตามที่ได้ถูกไหว้วานเอาไว้
และอีกอย่างคือการนำกระเป๋าใบนี้ส่งไปให้ถึงมือของด็อกเตอร์ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม
“ผมขอโทษที่ไม่ได้พูดคำนี้ในวันพิเศษของคุณ แต่ยินดีกับการแต่งงานด้วยนะครับคุณแพนซี่”
“กว่าจะมานะแชมป์”
อัลลิซเอ่ยปากแขวะคนที่เปิดประตูรถออกเป็นคนสุดท้าย ซาโตชิไหวไหล่ขณะเขยิบตัวเข้าไปในด้านในโดยไม่คัดค้านเมื่อเห็นเด็กหนุ่มนักวิทยาศาสตร์เปลี่ยนที่นั่งมานั่งเบาะหลังด้วยกันกับเขา
“ปกติเธอจะทำงานเร็วกว่านี้นี่นะ”
เสียงของด็อกเตอร์ราแวนด์ดังมาจากด้านหน้า ตอนนี้ที่นั่งคนขับรถเต่าเก่าคร่ำครึเป็นหน้าที่ของคนที่เลือกรถมาเองกับมือ ด้านข้างคนขับที่เคยเป็นที่นั่งของอัลลิซบัดนี้คนเป็นพี่สาวอย่างลิลก็ครอบครองไปโดยปริยาย ไม่แปลกใจว่าทำไมสุดท้ายซาโตชิกับอัลลิซจะต้องมานั่งเบียดกันที่เบาะหลังอย่างจำยอม
เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปดึงบานประตูรถให้ปิดลงก่อนจะตามมาด้วยเสียงสตาร์ทรถ
“ฉันเป็นห่วงเธอแทบแย่ คิดไม่ตกเลยนะกับการที่ต้องให้พวกเธอแยกกันไปทำ”
“ด็อกเตอร์เป็นคนสั่งเองนะคะ ไหนใครบอกว่าแค่มารับกันนะ”
“ฉันเชื่อใจพวกเธอหรอกนะ”
ราแวนด์พูดพร้อมกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ตามประสาอย่างทุกครั้ง และพวกเขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปนอกเสียจากการถอนหายใจ
ภายนอกของด็อกเตอร์ราแวนด์ที่คนอื่นมองเห็นเป็นยังไงพวกเขาไม่รู้เลยแม้แต่น้อย แต่ลิลเคยพูดอยู่เสมอว่าลึก ๆ แล้วราแวนด์ก็เป็นคนที่จริงจัง ยุติธรรม ขณะเดียวกันเขาก็รักครอบครัวและเป็นคนอบอุ่นมากเช่นกัน แต่เชื่อเถอะว่าบางครั้งพวกเขาก็อ่านความคิดของเขาไม่ออกเลยจริง ๆ
ลิลเปิดโน้ตบุ้กบนตัก กดปลายนิ้วลงกับแป้นพิมพ์คนเดียวเงียบ ๆ สักครู่ ดวงตาคู่สวยปราดมองข้อความสลับกับหน้าจอที่ขยับไปมาเหมือนภาพเคลื่อนไหว
“เป็นยังไงบ้าง”
ด็อกเตอร์ราแวนด์ถามขณะที่สายตาจับจ้องไปยังถนนเบื้องหน้า
“หมายถึงเรื่องไหนเหรอคะ” ลิลถามขณะทำหน้านิ่งเรียบ อัลลิซไหวไหล่กับเหตุการณ์ตรงหน้าที่เริ่มปะทุเหมือนพ่อกับลูกสาวทะเลาะกันไม่มีผิด
“เธอคงไม่ได้โกรธที่ฉันให้ซาโตชิออกไปข้างนอกเองหรอกนะ”
คนอายุมากที่สุดเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งและใจเย็นในเวลาเดียวกันเหมือนกับกำลังคุยกับลูกสาวอยู่จริง ๆ ยังไงยังงั้น
ท่าทางดังกล่าวทำให้เด็กสาวคนเดียวภายในทีมหันไปมองก่อนจะถอนหายใจ เธอหันกลับมาที่หน้าจอต่อแล้วพิมพ์หาบางอย่างภายในแหล่งหาข้อมูล ราแวนด์ชำเลืองมอง เขาเข้าใจว่าเด็กคนนี้นิสัยเป็นอย่างไรและเธอมีเหตุผลเสมอในการจัดการปัญหาหรืออารมณ์
หน้าที่ของราแวนด์คือไม่เซ้าซี้จนทำลายความเชื่อใจเด็กของตัวเอง
“เปล่าค่ะ ลิลเข้าใจ การที่จะทำให้จับหางพวกนั้นให้ได้ง่ายก็ต้องให้ซาโตชิออกไป ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปกับนักข่าวแพนซี่”
อัลลิซยืดตัว
“นี่คุณให้ซาโตชิไปเจอนักข่าวคนนั้นเหรอครับ”
ด็อกเตอร์ราแวนด์นึกขบขัน เด็กพวกนี้จะอายุบรรลุนิติภาวะอยู่รอมร่อแต่ยังมีบางส่วนที่คล้ายกับเด็กไม่มีผิด ครั้นเขามองไปยังกระจกที่สะท้อนไปยังเบาะหลังเป้าสนทนาคนที่ว่าก็หลับไปเรียบร้อยเสียแล้ว
“เชื่อเถอะว่าเขาทำได้ ซาโตชิไม่ได้ใจอ่อนขนาดทำให้ทุกอย่างพังเพราะเรื่องง่าย ๆ หรอก”
ราแวนด์กระซิบ
เพราะเชื่อสุดหัวใจมากกว่าใคร ๆ
ราแวนด์รู้ว่าแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่การค้ำจุนหัวใจให้ก้าวเดินต่อไปได้ของเด็กคนนั้นหมายถึงอะไรหรือสิ่งไหน ราแวนด์จึงเชื่อด้วยทั้งหัวใจที่มีทั้งหมด
ลิลกับอัลลิซนิ่งเงียบฟังก่อนที่สองพี่น้องจะถอนหายใจด้วยความจำยอมในความมั่นใจบางอย่างในสายตามุ่งมั่นของด็อกเตอร์ราแวนด์ พวกเขารู้ว่าสถานการณ์แบบนี้ต่อให้พูดอะไรออกไปก็ไม่เข้าหูหรือไม่สามารถเปลี่ยนผู้ใหญ่คนนี้ได้แต่ในขณะเดียวกันเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาจึงนับถือและเชื่อใจมากกว่าใคร ๆ
ลิลพับโน้ตบุ้กลงไปดังเดิม เธอเท้าคางมองไปยังถนนเบื้องหน้า อัลลิซหยิบโดนัทขึ้นมาเงียบ ๆ ก่อนจะนำเข้าปาก
“แต่ถ้าเรื่องที่คุณถามว่าเป็นยังไงบ้างหมายถึงเรื่องนั้นด้วยหรือเปล่าครับ มันต้องเริ่มเคลื่อนไหวเร็ว ๆ นี้แน่” เสียงของเด็กหนุ่มอู้อี้เต็มไปด้วยขนมโดนัทในปาก แม้จะถูกคนเป็นพี่สาวปรามว่าให้เคี้ยวก่อนพูดก็ตาม
อัลลิซเลียน้ำตาลที่ปลายนิ้ว
ปกติเจ้าตัวไม่ค่อยเปิดหัวข้อบทสนทนาหรือชอบเป็นคนที่ต้องเริ่มพูดเท่าไหร่นัก เพราะเรื่องเดียวที่จะทำให้อัลลิซคล้อยตามได้ก็มีแค่ไม่กี่เรื่อง หรือเจ้าตัวก็แค่ขี้เกียจมากเกินไปเท่านั้นเอง
นัยน์ตาสีชาดภายใต้เลนส์แว่นเฉื่อยชาเหมือนท่าทางปกติของเจ้าไม่มีผิด
“สัญชาตญาณเหรอ” ราแวนด์ถาม
“ด็อกเตอร์คิดว่าใครที่มีพรสวรรค์แล้วก็สันนิษฐานได้อย่างแม่นยำมาตลอดกันครับ” อัลลิซอวดอ้างด้วยความถือตัวอยู่ลึก ๆ
“ไม่นานจะต้องมีประกาศขึ้นมาแน่ ๆ งานแข่งเพื่อหาแชมป์เปี้ยนที่แข็งแกร่งที่สุด”
“กลับมาแล้วครับปู่”
“ยินดีต้อนรับกลับชิเงรุ อ้าว คุณแพนซี่ ขอบคุณมากเลย”
ชิเงรุมองปู่ของตนที่เดินออกมารับ มองอีกฝ่ายที่เดินมาตบบ่าแล้วหันไปทักทายนักข่าวสาว
ด็อกเตอร์โอกิโดะที่ใครต่างรู้จักตอนนี้แก่ตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะมีความกระตือรือร้นไม่ต่างจากเดิมมากนัก แต่ด้วยร่างกายที่เดินทางผ่านเวลามาอย่างยาวนานทำให้สุขภาพเริ่มแย่ลงจนไม่สามารถทำงานได้อย่างที่ใจต้องการอีกแล้ว ตำแหน่งด็อกเตอร์โอกิโดะจึงตกมาที่ชิเงรุอย่างช่วยไม่ได้
ชิเงรุเดินมาที่โต๊ะกลาง แก้วกาแฟใบประจำของเขาเติมกาแฟยี่ห้อโปรดเอาไว้จนเต็ม ควันสีอ่อนลอยเหนือตัวแก้วแสดงให้เห็นว่าพึ่งจะถูกชงรอเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้นี่เอง
“ดีใจที่เห็นด็อกเตอร์สุขภาพแข็งแรงนะคะ”
แพนซี่ยิ้มก่อนจะยื่นกระเป๋าใบเล็กมาตรงหน้าปู่โอกิโดะ ชิเงรุเลิกคิ้วช้า ๆ เมื่อเห็นท่าทางดังกล่าว เดิมทีเขาเห็นกระเป๋าใบนั้นบนเบาะรถข้างคนขับ มันเป็นกระเป๋าหนังที่หาซื้อได้ทั่วไปจนชินตาแถมยังดูมีของข้างในไม่มาก เขาจึงคิดว่าอาจจะเป็นพวกเครื่องสำอางหรือใส่พวกครีมกันแดดอะไรจำพวกนั้นมากกว่า
แต่ท่าทางของแพนซี่ทำให้เขารู้ว่าตัวเองคิดผิด
“นี่คือ?”
“ฉันไปเจอซาโตชิมาค่ะ เขาฝากมาให้พวกคุณ ให้บนรถคงจะไม่ดีเท่าไหร่เลยคิดว่าเอามาให้ด้วยตัวเองดีกว่าน่ะค่ะ”
“ครับ?”
ชิเงรุส่งเสียงออกมา
“ตอนไหนที่คุณ”
“ตอนรออยู่ที่ห้องโถงค่ะ”
แพนซี่ตอบอย่างรวดเร็ว เธอไม่มีเจตนาจะโกหกหรือปิดบังอะไรใด ๆ ในน้ำเสียงหรือสายตา
ด็อกเตอร์โอกิโดะมีท่าทางตกใจไม่ต่างกันแต่ก็เก็บอาการได้เป็นอย่างดีก่อนจะหันมามองหลานชายที่ทำตัวไม่ถูก เพราะเป็นเพื่อนสมัยเด็กแล้วก็เป็นคู่แข่งทั้งเป็นเพื่อนในเวลาเดียวกัน คงจะทำให้หวั่นวิตกได้ไม่น้อย
ชิเงรุกระดกแก้วกาแฟรวดเร็วแล้วหันมาหาแพนซี่
“ผมขอดูหน่อยครับ”
ทั้งสามคนเดินไปที่โต๊ะกลาง แพนซี่เป็นคนที่วางกระเป๋าลงอย่างเบามือ ถึงแม้ตัวกระเป๋าจะเบามากเมื่อเทียบกับของด้านในแต่เธอก็พยายามเต็มที่ที่จะไม่ทำมันเสียหายไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม ส่วนชิเงรุเป็นคนที่หยิบกระเป๋าขึ้นมาต่อแล้วรูดซิปกระเป๋าออกเพื่อเช็กของด้านใน
นัยน์ตาสีเขียวหรี่ลง พิจารณาก่อนจะเอ่ยปากเรียก
“ปู่ครับ มาดูนี่หน่อย”
ด็อกเตอร์โอกิโดะเดินเข้าไปหาหลานชาย แต่ดูท่าจะไม่ดีเท่าไหร่ ชิเงรุเห็นดังนั้นจึงหยิบของด้านในออกมาวางไว้บนโต๊ะให้สังเกตได้โดยง่าย
“คีย์การ์ด"
“คุณแพนซี่เคยเห็นเหรอครับ”
ด็อกเตอร์โอกิโดะถาม
“เปล่าค่ะ แต่มันก็..” แพนซี่จับคางคล้ายกับครุ่นคิด ใบหน้าสวยติดฉงนก่อนที่เธอจะไหวไหล่และส่ายหน้าปฏิเสธ
คีย์การ์ดสีขาวสะอาดเหลือบทอง มันไม่มีตัวอักษรอื่นใดนอกจากตัวอักษรสีดำยึกยือจากลายมือคนเขียนบนคีย์การ์ดด้านหลังว่า FREE ข้างกันกับคีย์การ์ดเป็นแฟรชไดร์ฟสีดำอันใหม่เอี่ยมที่ไม่มีอะไรเขียนกำกับ ถ้าเอาตามความรู้สึกโดยตรงชิเงรุไม่อยากจะเสียบมันกับคอมของตัวเองเท่าไหร่ ถ้าหากว่ามันเป็นไวรัสของใครบางคนที่ต้องการหรือมีจุดประสงค์คลุมเครือ
ชิเงรุเหลือบมองแพนซี่
แต่เธอดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่โกหก
ถ้าเป็นแบบนั้นก็ต้องเป็นที่คนที่เอาของมาให้
ซาโตชิ
“หมอนั่นสบายดีไหมครับ”
แพนซี่สะดุ้ง มองไปยังเด็กหนุ่มที่ได้ขึ้นชื่อว่าเพื่อนสนิทสมัยเด็กของซาโตชิ เธอถอนหายใจ
“สบายดีค่ะ”
“งั้นเรามาดูแฟรชไดร์ฟนี่กันเถอะครับ” ชิเงรุควงแฟรชไดร์ฟที่ว่าขึ้นมาอย่างมั่นใจ
ด็อกเตอร์โอกิโดะที่หายไปจากบริเวณโต๊ะเมื่อไหร่ไม่รู้กลับมาพร้อมกับโน้ตบุ้กขนาดพกพา เขาวางมันไว้บนโต๊ะราวกับรู้ใจหลานชายว่ายังไงก็ต้องเปิดแฟรชไดร์ฟขึ้นมาอย่างแน่นอน ซึ่งชิเงรุทำเป็นไม่สนใจรอยยิ้มกริ่มภาคภูมิใจในตัวหลานชายราวกับเขาเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ เหมือนแต่ก่อน ในสายตาปู่เขาก็ดูเป็นเด็กไปเสียทุกอย่าง
“ถ้าเป็นไวรัสขึ้นมาล่ะก็” ชิเงรุพึมพำขณะเสียบแฟรชไดร์ฟลงกับตัวเครื่อง “ฉันจะหานายแล้วไปต่อยหน้าซะ”
ดูเหมือนจะไม่เป็นดั่งหวังเมื่อด้านในตัวเก็บข้อมูลเป็นคลิปวิดิโอเกือบ 20 คลิป หรือจะมากกว่าด้วยซ้ำ
เมื่อเปิดคลิปจะเป็นคลิปเกี่ยวกับเรื่องโปเกม่อนที่กำลังอาละวาดอยู่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งคลิปจากข่าวที่ถูกสั่งจากภายในที่ถูกลบออกไปแล้ว คลิปจากกล้องวงจรปิด คลิปที่ประชาชนบริเวณใกล้เคียงเป็นคนบันทึกเอาไว้ ทั้งจากที่เดียวกันแต่คนละมุมหรือคนละเวลาก็ตาม
“นี่เป็นคลิปที่เกิดขึ้นในคาลอส” ชิเงรุชี้ไปที่หน้าปกคลิปขวาสุดก่อนจะกดเข้าไปดู ซึ่งเป็นเรื่องจริงและแพนซี่จำสถานที่ได้แม่นทีเดียว
“เธอรู้ด้วยเหรอ”
ด็อกเตอร์โอกิโดะมองผ่านด้านหลังของหลานชาย เมื่อเห็นคลิปเขาก็ทำชวนหวาดเสียวขึ้นมาทันตา มันเป็นเหตุการณ์ที่ถูกกำชับอย่างถูกต้องแล้วที่ห้ามเผยแพร่ภาพไปสู่สาธารณะ
“เป็นคลิปที่เคยเห็นน่ะครับ”
ชิเงรุนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“ด็อกเตอร์ราแวนด์เปิดในห้องประชุม”
“เขาเข้าร่วมการประชุมด้วยเหรอ?”
คำตอบของชายชราถูกตอบด้วยการสั่นหัวยอมรับอย่างตรงไปตรงมาของชิเงรุ
ท่าทางของแพนซี่เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินข่าวใหม่อย่างการที่คลิปในแฟรชไดร์ฟนี้เคยถูกเปิดในการประชุม ในขณะเดียวกันที่ชิเงรุพบกับด็อกเตอร์ราแวนด์ ตัวเธอเองก็พบกับซาโตชิโดยได้รับฝากเอามาให้ด็อกเตอร์โอกิโดะ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดไปหน้าค้นหาสักครู่ท่ามกลางความสงสัยของด็อกเตอร์ผู้เชี่ยวชาญทั้งสอง
“ฉันเจอซาโตชิเพราะเขาบอกว่ามารอด็อกเตอร์ราแวนด์ค่ะ คิดว่าต้องมีอะไรที่เชื่อมถึงกันแน่นอน”
ด็อกเตอร์โอกิโดะจับคางคล้ายกับครุ่นคิด
ชิเงรุมองท่าทางกระสับกระส่ายของปู่ตนแต่ก็ทำเพียงหรี่ตามองด้วยความสงสัย ราแวนด์เป็นด็อกเตอร์ที่มีช่วงระยะการทำงานใกล้เคียงในยุคของด็อกเตอร์โอกิโดะที่ใคร ๆ ต่างก็เริ่มรู้จักมากขึ้น จึงน่าจะพอรู้จักกันหรืออาจจะเคยติดต่อกันมาด้วยซ้ำไป
“งั้น FREE บนคีย์การ์ดคงเป็นที่นี่แหละค่ะ”
แพนซี่วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะให้คนที่เหลือสามารถมองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น บนหน้าจอโทรศัพท์ปรากฏเป็นตำแหน่งหมู่เกาะขนาดย่อยทางตะวันออกของภูมิภาคโฮเอ็น มันแทบจะอยู่แถบระหว่างเส้นกึ่งภูมิภาคและห่างไกลจากชายฝั่งความเจริญพอควร
“เขากำลังเชิญเราไปที่ฟรีไอน์แลนด์” ชิเงรุสรุป
แพนซี่มองหน้าจอที่กำลังฉายคลิปก่อนจะเม้มปาก
“แต่ว่าความต้องการของซาโตชิคุงอาจจะไม่ใช่แบบนั้นก็ได้นะคะ”
“หมายความว่ายังไงครับ?”
แพนซี่ยังจำคำพูดของซาโตชิได้แม่น ถึงแม้จะไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ของการเชื้อเชิญที่แสนตรงไปตรงมาเช่นนี้แต่กลับเอ่ยปากขอร้องไม่ให้มาข้องเกี่ยวด้วย บางทีของมันอาจจะเกี่ยวข้องไปถึงปรากฏการณ์ที่ทำให้ทั้งทวีปสั่นสะท้านนี่ก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะสอดมือเข้าไปร่วมด้วย
“ขอร้องให้อยู่เฉย ๆ จนกว่าเรื่องจะจบลง”
ชิเงรุเงียบ
เขารู้ว่านั่นต้องเป็นคำพูดที่เพื่อนเก่าฝากเอาไว้
“ด็อกเตอร์ราแวนด์เป็นคนดีและตรงไปตรงมามากเลยล่ะ”
เสียงของชายชราทำให้ทั้งสองคนเงียบ หันไปมองด็อกเตอร์โอกิโดะที่กำลังหยิบคีย์การ์ดขึ้นมาพลิกไปพลิกมาราวกับพินิจ คีย์การ์ดสีสะอาดสะท้อนเล่นกับแสงไฟแต่จุดจับสายตาของด็อกเตอร์โอกิโดะกลับห่างไกลออกไปเหมือนกับนึกหวนถึงอดีตที่ชิเงรุชอบเห็นบ่อย ๆ
“ปกติราแวนด์จะเข้ามาคุยด้วยความสุภาพ เป็นผู้ชายที่สุขุม เป็นผู้นำที่ดีพอจะยินดีรับฟังข้อโต้แย้งของทุกคนเสมอ ผู้ชายที่เถรตรงแบบนั้นไม่เคยทำอะไรยุ่งยากแบบนี้เลยสักครั้ง”
“งั้นครั้งนี้เขาคงทำเรื่องยุ่งยากเป็นแล้วล่ะปู่”
ชิเงรุขัดช่วงเวลานึกถึงเรื่องเก่าของปู่ตัวเองทันที เขาอาจจะไม่รู้จักด็อกเตอร์ราแวนด์อะไรนั่นมากพอ แต่ชิเงรุรู้จักซาโตชิมากพอกับที่หมอนั่นรู้จักเขาเช่นกัน
การห้ามไม่ให้ยุ่งก็คือการเตรียมตัวรับผลที่จะตามมา เพราะยังไงคนอย่าง โอกิโดะ ชิเงรุ ก็ไม่มีทางถอย
“ถ้าอยากรู้ว่าทำไมคงต้องไปถามกับเจ้าตัว”
ชิเงรุพูดขณะเดินไปยังเก้าอี้ที่ตนพาดเสื้อทิ้งเอาไว้
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากระเป๋าเสื้อเลื่อนหน้าจอท่ามกลางสายตาสองคู่ที่จับจ้องมาด้วยความสงสัย ก่อนที่ชิเงรุจะยกยิ้มพอใจเมื่อเอาโทรศัพท์แนบลงที่ข้างหู ปลายสายคงเป็นใครที่ทำให้ด็อกเตอร์ไฟแรงคนนี้อารมณ์ดีได้ในพริบตา
นัยน์ตาสีเขียวหันมาสบกับนักข่าวสาวสลับกับชายชราผู้มีศักดิ์เป็นปู่ที่เคารพรัก
“ผมจะหาเพื่อนไปที่ฟรีไอน์แลนด์ เราจะไปหาความจริงด้วยกัน หรือถ้าหาก..”
“ถ้าหมอนั่นอยู่ที่เกาะนั่นก็จะได้ลากคอกลับบ้านมาด้วยกันสักที”
ความคิดเห็น