คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Sadness
“ไหนบอกว่าเลิกกันแล้ว จะกลับมาทำไม”
“ไม่ได้จะมาคืนดี มาเก็บของ”
“เหอะ”
“งั้นก็เก็บของตัวเองไปให้หมดอย่าให้เหลือสักชิ้นนะ”
.
.
.
เหมือนผมจะคิดผิดที่บอกให้ “เขา” เก็บของตัวเองไปให้หมด นี่มันไม่ได้แค่เก็บของตัวเองแล้ว มันเรียกว่ายกเค้า ลืมไปได้ไงวะว่าของในห้องนี้ผมแทบไม่ได้มีส่วนร่วมในการเสียเงิน ขนาดยาสีฟันในห้องน้ำมันยังเอาไปอ่ะคิดดูคนเรา ดีที่คอนโดนี้ผมเป็นคนซื้อ ไม่งั้นคงเป็นผมที่โดนเฉดหัวออกไปนอนข้างทางแน่ เตียงก็ไม่มีคืนนี้ผมคงต้องนอนพื้น แต่ก่อนที่จะนอนได้ผมคงจะต้องลงไปซื้ออุปกรณ์อาบน้ำก่อน
ค่ำคืนอันแสนยาวนานได้ผ่านพ้นไป ช่างเป็นเช้าอันแสนสดใส ที่ไม่ใช่สำหรับผม ปวดหลังชะมัดยาด ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นเหลือเตียงทิ้งไว้ให้กันก็ยังดี เลิกกันยังไม่เจ็บเท่าเอาเตียงกับตุ๊กตาสุดที่รักของผมไป วันนี้แพลนทั้งหมดของผมเลยต้องยกให้กับการไปช็อปปิ้งซื้อข้าวของเครื่องใช้ให้มันกลับมาเต็มห้องเหมือนเดิม ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวอยู่นิดหน่อย จากนั้นจึงได้เวลาอันสมควรในการออกไปซื้อของ
และนี้ก็เป็นฤกษ์งานยามดี ขณะนี้เวลา 13.34 น. ผมก็ได้เดินทางมาถึงร้านขายเครื่องใช้ภายในบ้านใจกลางเมืองแล้ว สิ่งแรกที่จะซื้อก็คงเป็นสิ่งที่ทำให้ผมอดรนจนทนไม่ไหว หลังขดหลังแข็งทั้งคืน ไม่ต้องเดามันคือเตียงนอนนั่นเอง
“พี่ครับโซนที่ขายเตียงอยู่ตรงไหนหรอครับ” ผมถามพี่พนักงานสุดสวยที่ใกล้ที่สุดที่ผมหาได้ พี่เขาหันมาตอบด้วยความเต็มใจถึงแม้เขาจะค่อนข้างยุ่งอยู่กับการเช็คของนิดหน่อยก็เถอะ
“น้องเดินตรงไปนะคะ พอถึงโซนเครื่องใช้ไฟฟ้าให้น้องเลี้ยวขวา จะเจอกับโซนเครื่องครัวให้เลี้ยงขวาอีกทีจะเจอ โซนขายโคมไฟให้น้องเลี้ยวซ้าย ก็จะถึงโซนตกแต่งสวน พอน้องถึงโซนตกแต่งสวน ให้น้องมองหาโซนที่ขายกระถางต้นไม้ ให้น้องเดินตรงไป โซนห้องนอนก็จะอยู่เยี่ยงๆ กันแหละค่ะ”
พี่พนักงานสุดสวยคงไม่ได้แค่ยุ่งธรรมดาแล้วแหละ แต่เธอคงรีบด้วย ผมยังไม่ได้ทันขอบคุณ เธอก็เดินหายจากผมไปแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะพูดกับเธอมากกว่าคำว่าขอบคุณ คือเดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา ผมไม่ได้สมองปลาทองนะ แต่เท่าที่จับใจความได้คือโซนที่นอนอยู่ข้างกระถางต้นไม้ บ้าไปแล้ว พวกคุณคงไม่เอากระถางต้นไม้มาวางไปข้างเตียงกันใช่มั้ย หรือคนปกติเขาทำกันผมเริ่มไม่แน่ใจและ
ผมเดินตรงเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวามาเรื่อยๆ ตามที่พี่พนักงานบอก จนในที่สุดผมก็มาถึง โซนห้องนอนหรอ ป่าว มันคือโซนห้องน้ำ ใครจะไปจำได้ยาวขนาดนั้น ผมจึงได้เปลี่ยนแผนที่จะซื้อเตียงก่อนเป็น ซื้อผ้าม่านกันอาบน้ำใหม่ก็ได้วะไหนๆ ก็ไหนๆ และ ผมเดินเลือกไปเรื่อยๆ จนเจอกับลายและสีที่ผมพึงพอใจ อยากได้น้องมาประดับอ่างอาบน้ำ จึงได้หันหน้าไปขอความช่วยเหลือจากพี่พนักงาน
“พี่ครับผมต้องการผ้าม่านลายนี้อ่าครับ” ผมฉีกยิ้มที่ผมคิดว่าหล่อและน่ารักที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้กับพี่พนักงาน
“ต้องขอโทษด้วยนะครับผ้าม่านลายนี้หมดสต๊อก รบกวนคุณลูกค้า เลือกเป็นสินค้าตัวอื่นแทนนะครับ”
“งั้นถ้าเป็นลายจุดสีฟ้าหล่ะครับ”
“ต้องขออภัยจริงๆ นะครับคุณลูกค้าลายนั้นก็หมดเหมือนกันครับ”
“แล้วถ้าลายพื้นสีครีมหล่ะครับ”
“ลายนั้นก็หมดเหมือนกันครับ”
ผมมองหน้าที่ลำบากใจของพี่พนักงานที่พอผมถามถึงลายไหนลายนั้นก็หมดทุกแบบ พี่จะรู้มั้ยว่าผมลำบากใจมากกว่า โดนแฟนทิ้ง แล้วผ้าม่านยังหมดอีก ถ้าพี่ไม่มีของพี่ก็เก็บมันไปเถอะครับอย่ามาสร้างความเข้าใจผิดกันแบบนี้เลย ผมเสียใจ
“งั้นพี่เลือกมาให้ผมซักลายแล้วกัน เอาที่ยังไม่หมดหน่ะครับ”
หลังจากที่ผมได้ผ้าม่านมาแล้ว ก็ยังเหลือเตียงนอนและของใช้อื่นๆ อีกมากมายที่ผมยังไม่ได้ซื้อ ผมเดินตามทางมาเรื่อยๆ ในที่สุดผมก็เจอกับโซนที่รอคอย โซนกระถางต้นไม้ เหมือนสวรรค์เห็นความพยายามของผมจึงได้เมตตาให้ผมหาโซนเตียงนอนไม่เจอสักที
“พี่ครับกระถางสีขาวใบใหญ่ๆ นี่หมดรึเปล่าครับ” ผมต้องรีบพูดดักไว้ก่อน เพื่อกันความผิดหวังในกรณีที่ผมพูดว่าจะเอาใบนี้แต่มันหมด และพี่พนักงานจะได้ไม่ต้องหนักใจด้วย
“ใบนี้เหลือใบสุดท้ายแล้วครับ”
“งั้นเอาใบนี้เลยครับ” ช่างเพอร์เฟค ครั้งนี้ไม่หมดด้วย
หลังจากได้กระถางต้นไม้ใบใหม่ ผมก็ซื้อดินกับเมล็ดต้นไม้มาด้วย ผมเดินต่อไปเรื่อยๆ ผ่านโซนห้องครัว โซนห้องนั่งเล่น โซนอ่านหนังสือ โซนฟิตเนต ได้ของต่างๆ มาอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นตู้ใหม่ โต๊ะใหม่ ทีวีใหม่ โซฟาใหม่ จนในที่สุดผมก็เจอโซนห้องนอนที่ตามหามานาน เพิ่งรู้ว่าอยู่เยื้องไปกับกระถางต้นไม้นี่เอง คุ้นๆ เหมือนรู้มาตั้งนานแล้ว เอ๊ะหรือคิดไปเอง แต่ช่างมันเถอะ ไปเลือกเตียงดีกว่า
เตียงที่ผมต้องการ คือเตียงขนาดคิงไซส์ เอาแบบที่นอนกันได้ 5 คน ถึงแม้จะมีแค่ผมที่นอนคนเดียว ส่วนฟูกผมก็จะเลือกที่นิ่มที่สุด เอาให้นอนแล้วจมหายไปเลย
“พี่ครับ ผมขอเตียงที่ใหญ่ที่สุด แล้วก็นิ่มที่สุด ที่ที่นี่มีหน่อยครับ”
“งั้นคุณลูกเชิญทางนี้เลยนะครับ”
พี่พนักงานได้พาผมไปลองนอนบนเตียง บอกเลยว่าคือดี ใหญ่และนิ่มมาก นอนลงแล้วไปไม่อยากตื่นจริงๆ
หลังจากที่เคลียร์ค่าเสียหายและได้ให้พนักงานขนของมาส่งที่ห้องผมทั้งหมดแล้วนั้น ก็ได้เวลาจัดห้องสักที คืนนี้ผมจะได้ไม่ต้องนอนบนพื้นอีกต่อไป แต่ในระหว่างที่ผมกำลังจัดข้าวของอยู่นั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นผมรีบเดินไปดูว่าใครที่โทรมา ก็ปรากฏชื่อเพื่อนสนิทของผมเอง
~ครืด ครืด~
“ว่าไงมึง” ผมรับโทรศัพท์สายของลุกซ์เพื่อนเลิฟ ที่โทรมาได้จังหวะพอดี
“เป็นไงมั้งวะ”
“จะให้กูเป็นไรหล่ะ”
“ก็ป่าวกูถามเฉยๆ แล้วนี่มึงทำไรอยู่”
“มึงโทรมาก็ดีแล้วมาช่วยจัดห้องหน่อย”
“จัดห้องมึงอ่านะ เออได้ๆ เดี๋ยวกูไป กินไรป่ะ”
“ไม่อ่ะกินมาแล้ว”
“งั้นเดี๋ยวกูชวนไอริวไปด้วยแล้วกัน จัดห้องรอไปก่อน”
“เออๆ ไม่ต้องรีบค่อยๆ ขับรถ แค่นี้แหละมึง”
ที่ผมพึ่งวางสายไปเป็นเพื่อนสนิทของผมเอง ชื่อลุกซ์ ส่วนคนที่ลุกซ์ชวนมาด้วยก็เป็นเพื่อนในแก๊งเดียวกันชื่อริว อันที่จริงกลุ่มผมยังมีเพื่อนมีคนหนึ่งชื่อเค แต่ตอนนี้มันไปเที่ยวซัมเมอร์ต่างประเทศ เลยเหลือพวกผมแค่สามคน ผมรู้จักกับพวกมันตั้งแต่เรียนม.ปลาย เรียกได้ว่าผ่านทุกข์ผ่านสุขกันมาเยอะ
ไม่นานเกินรอเพื่อนสุดที่เลิฟก็มาตามคำขอ ริวกับลุกซ์เดินเข้ามาพลางสำรวจไปรอบๆ ห้องของผม มองนู้นมองนี้จนผมต้องเดินตามไปดูว่ามันจะสนใจอะไรของที่ผมซื้อมาขนาดนี้
“มึงสงสัยไรป่ะเนี้ย มองจนกล่องแพคของทะลุแล้วมั้ง”
“นี่มันเหี้ยไรเนี้ยเฟย มึงซื้อของมาหมดนี้เลยอ่ะนะ” มาถึงก็เริ่มบ่นเลยครับ เพื่อนประเสริฐจริง มันก็ถามแปลกๆ ผมก็บอกอยู่ว่าจัดห้อง
“ก็มีแต่กูเนี้ยแหละที่ซื้อ มึงจะให้ใครมาซื้อให้กู” ผมตอบกลับไป ดูมันไม่ได้จะสนใจคำตอบผมเท่าไหร่ หันไปดูนู้น จับนี่ ของที่ผมซื้อมาต่อ แล้วมันก็นั่งแหมะอยู่ข้างๆ กล่องตู้อ่านหนังสือ พร้อมทำหน้าสงสัย มันมีอะไรแปลกตรงไหนวะ
“เฟยนี่กูถามจริง มึงซื้อของมาประชดแฟนมึงรึไง” คราวนี้เป็นริวที่ถามมั้ง ผมหันไปมองหน้ามัน ริวแม่งโคตรทำหน้ากดดันเลยวะ
“ไม่ได้ประชด ก็มันแม่งเล่นขนของออกไปหมดห้อง กูเลยต้องซื้อใหม่ดิ แล้วอีกอย่างมึงต้องเรียกให้ถูกด้วยว่าอดีตแฟน”
“แต่นี่มึงไม่คิดว่ามึงซื้อมาเยอะไปหน่อยเหรอวะ อีกนิดจะไม่มีที่เดินแล้วนะ” ลุกซ์ที่ยังนั่งอยู่ที่พื้นพูดแทรกขึ้นมา ผมว่าของที่ผมซื้อมามันก็ไม่ได้เยอะอะไรขนาดนั้นนะ ของมันต้องใช้ทุกอย่างเหอะ ทีตอนพวกมันซื้อของนู่นนี่ผมยังไม่ห้ามเลย ออกจะเชียร์ให้พวกมันซื้อด้วยซ้ำ
“ก็ห้องมันโล่ง กูกะไม่ถูกว่าจะซื้ออะไรมาเท่าไหร่” ผมกะไม่ถูกจริงๆ นะ พูดด้วยความสัจจริง ก็อย่างที่บอกอันนู้นก็ต้องใช้ อันนี้ก็ต้องใช้ ไปๆ มาก็เป็นอย่างที่เห็น
“กูหล่ะเหนื่อยใจกับมึงจริงๆ แล้วนี่มึงอ่ะยังไง ที่บอกพวกกูว่าโสดแล้ว”
“ก็ไม่ไง โสดก็คือโสด” ผมหันไปพูดหน้าตายกับพวกมัน เรื่องที่ผมโสดก็มีแต่มันสองคนที่รู้ ส่วนไอเคอ่ะนะไปเที่ยวแต่ละทีเหมือนมันหลุดไปอีกโลกนึง ติดต่อไม่ได้ ไลน์ก็ไม่อ่าน ถ้ามันเกิดไปเป็นอะไรที่นู่นนะ บอกเลยพวกผมรู้อีกทีก็คงเป็นวันเผามันอ่ะ
“เอาดีๆ ทำไมปุ๊บปั๊บงี้วะ” เป็นริวที่ถามย้ำขึ้นมาอีก ผมก็แกล้งไม่สนใจพวกมัน ทำเป็นจัดของนู่นนี่ต่อไป จนริวกับลุกซ์คงเริ่มทนไม่ไหวเลยจ้องซะผมทำอะไรไม่ถูกเลยต้องหันกลับไป
“มึงจะจ้องกูอีกนานมั้ยเนี้ย มีอะไร”
“ที่พวกกูถามเมื่อกี้ไง มันยังไง”
“ก็ไม่ไง อยู่ดีๆ มันคงเบื่อมั้ง ก็เลยเลิกกัน” ผมพูดไปตามจริง ลุกซ์กับริวทำหน้าดูไม่ค่อยจะเชื่อผมเท่าไหร่ ผมเลยยักไหล่กวนตีนพวกมันไปทีหนึ่ง
“มันเบื่อมึง แล้วมึงอ่ะ มึงอยากเลิกกับมันจริงๆ หรอ”
“เฟยมึงมีอะไรก็บอกพวกกูได้นะ ระบายออกมาคงดีกว่าเก็บไว้คนเดียว” ผมให้ไปมองสีหน้าจริงจังของริวที่ไม่เห็นมานานแล้ว ลุกซ์ก็ทำหน้าจริงจังเหมือนกันทั้งๆ ที่ปกติมันเป็นคนขี้เล่น
“ไม่ได้มีอะไร ก็อย่างที่บอก ไปต่อไม่ได้ก็เลยจบ”
“แล้วมึงโอเครึไง”
“โอเคดิ สบายจะตาย อยู่คนเดียวก็ดี สงบดี” ผมตอบโดยไม่ได้หันไปมองหน้าริว แต่หันหน้าไปทางระเบียงเพื่อมองดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าไปแสงสว่างที่กำลังค่อยๆ จางหายก็ถูกแทนที่ด้วยความมืดมิด ผมคิดว่าผมโอเคนะ ผมเลิกกับมันมาสองอาทิตย์แล้ว แต่ที่ริวกับลุกซ์พึ่งถามผมเพราะผมเพิ่งจะบอกพวกมันไปเมื่อวาน
“มึงไม่เคยเป็นแบบนี้นะเฟย”
“เป็นแบบไหนกูก็ปกติดีทุกอย่าง” ผมยังกินข้าวได้ ไปดูหนังคนเดียวได้ เดินช็อปปิ้งได้ ทำอะไรต่างๆ ได้เหมือนปกติ ก็แค่เลิกกับแฟนเอง วันนี้ผมก็ยังไปซื้อของมาห้องคนเดียวได้เลย มันก็ปกติดีทุกอย่างหนิ ทำไมพวกมันถึงคิดว่าไม่ปกติ อยู่ห้องคนเดียวผมก็ทำได้
“จะต้องให้กูบอกอีกหรอว่าตอนนี้มึงไม่ปกติยังไง”
“เฟย มึงกำลังเสียศูนย์” ผมหันกลับมามองหน้าริวพร้อมกับทำหน้าไม่เข้าใจ ผมเนี้ยนะเสียศูนย์ พวกมันคิดกันไปเองมากกว่า ก่อนหน้านั้นเป็นยังไงผมว่าผมก็ยังเป็นเหมือนเดิมนะ
“เฟยมึงรู้มั้ยว่าถ้ามึงเจ็บพวกกูก็เจ็บ มึงไม่ต้องเก็บความรู้สึกไว้หรอก มึงคิดว่าพวกกูไม่รู้รึไงว่ามึงพยายามทำตัวให้ปกติเพื่อไม่ให้พวกกูเป็นห่วง”
“พวกกูรู้จักกับมึงมาตั้งนานแล้วนะ มึงคิดว่าแค่นี้กูดูไม่ออกหรือไง”
ผมมองหน้าพวกมันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เป็นพวกมันที่คิดถูก ฮ่าๆ ผมพยายามแล้ว พยายามที่จะเป็นปกติ อยู่คนเดียวให้ได้ให้ทุกคนเห็นว่าผมก็ไม่ได้แยแสกับการเลิกกันซักเท่าไหร่ แต่มันคงปิดไม่มิดจริงๆ ความรู้สึกเจ็บปวดของผม
“มึงจะให้กูทำไงวะ อยู่ดีๆ ก็โดนบอกเลิก กูตั้งตัวไม่ทัน สัญญาณมันมีแค่แป้บเดียวเอง พวกมึงรู้มั้ยกูรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว” ผมพูดไปพลางสั่งให้เสียงตัวเองไม่สั่น และพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
“ถึงบอกให้มึงบอกพวกกูไง ขอแค่มึงบอก”
คุณเคยเป็นมั้ยเวลาที่เศร้าๆ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะร้องไห้แต่พอมีคนมาปลอม น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้มันก็ไหลออกมาเอง ผมมองพวกมันด้วยน้ำตา เป็นริวที่ลุกขึ้นมากอดปลอบผม ส่วนลุกซ์ก็ลูบหัวพร้อมกับพูดว่าไม่เป็นไรไปเรื่อยๆ
“กูไม่รู้ว่ากูผิดอะไร” ผมพูดน้ำเสียงอู้อี้ ผมไม่รู้จริงๆ นะว่าผมผิดอะไร ทุกอย่างมันดูปกติทุกอย่าง จนวันที่เลิกกันผมช็อกมากน้ำตาซักหยด หรือถ้อยคำสักคำที่จะรั้งเขาไว้ผมยังพูดไม่ออกเลย มันเหมือนนักมวยที่ขึ้นชก แล้วโดนน็อคตื่นขึ้นมาอีกทีก็กลายเป็นคนแพ้ไปแล้ว
“ถ้าแผลมันยังเจ็บอยู่ก็ยังไม่ต้องเล่า พวกกูยังอยู่ข้างๆ มึงเสมอ”
ผมมองหน้าริว หลังจากที่ริวพูดจบผมก็ร้องไห้โฮอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ข้างในมานาน มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่รู้ว่าผมผิดอะไร ทำไมผมถึงต้องโดนทิ้งให้อยู่ข้างหลัง มองเขาเดินจากไป
“ร้องไห้ครั้งนี้ให้พอ ครั้งหน้าจะได้ไม่ต้องร้องอีก”
ความคิดเห็น