ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Flowers in Your Garden | VKOOK

    ลำดับตอนที่ #2 : 1

    • อัปเดตล่าสุด 10 ส.ค. 61


          


    1





              เรื่องราวของเจ้าชายทั้งสองเริ่มขึ้นที่สวนดอกไม้ 



              ตอนที่เสียงฝีเท้าซุกซนวิ่งไปมารบกวนการนอนหลับของคนในศาลาไม้ทรงแปดเหลี่ยมที่ตั้งอยู่ใจกลางสวน 



              แสงแดดของฤดูร้อนแผดเผา เด็กชายวัย 11 ปีที่หนีมานอนอ่านหนังสือเล่มโปรดใต้ร่มเงาปรือตาขึ้นเมื่อถูกสะกิดให้ออกจากความฝันด้วยเสียงนั้น มือสีแทนหยิบหนังสือที่กางทับอย่างหนักอึ้งออกจากใบหน้าด้วยความรำคาญ มองเลขจำนวนหน้าที่เป็นสีหมึกเจือจางจากเครื่องพิมพ์ดีดแล้วก็ถอนหายใจที่ตัวเองอ่านไปไม่ถึงไหนสักที 



              เรียวคิ้วขมวดเมื่อได้ยินเสียงเดิมที่ระคายหูอีกครั้ง หนังสือถูกทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยวเมื่อเจ้าของของมันพยายามมองหาต้นเสียงโดยการก้าวออกมาจากที่พักผ่อน ตาคมสอดส่องไปทั่วบริเวณหมายจะหาตัวโจรขโมยดอกไม้ให้พบและจับมาลงโทษอย่างทุกครั้ง 





              ตอนนั้นเองที่เจ้าชายคิมแทฮยองได้พบกับความรักชั่วชีวิตของเขา 





              ใครสักคนเคยบอกกับเขาว่าคนเรามักจะจำอะไรที่เป็นครั้งแรกได้ดีและเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง 



              เขาไม่เคยลืมแมลงและผีเสื้อที่บินว่อน 



              ไม่เคยลืมหยาดเหงื่อเม็ดเล็กบนหน้าผากมน 



              ดอกไม้ที่ถูกเด็ดทิ้งอย่างเรี่ยราดราวกับสิ่งไร้ค่า 



              ดวงตากลมโตที่ฉายความตกใจราวกับกระต่ายที่ตื่นกลัว 



              และความอ่อนโยนที่ละลายน้ำแข็งในหัวใจของเขาไปจนสิ้น 







              แทฮยองไม่รู้จะทำอย่างไรกับคนตรงหน้า 



              เด็กเล็กที่หอบดอกไม้ของเขาไว้ในอ้อมอกแน่น มีน้ำตาเล็ดที่หางตาเป็นลางร้ายว่าจะไหลอาบแก้ม ยิ่งเขาเดินเข้าไปใกล้ ร่างเล็กก็ยิ่งถอยห่างและยิ่งหวงแหนดอกไม้ช่อนั้นราวกับกลัวว่าจะโดนแย่งของเล่น เขาไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใครแต่ดูจากเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าซาตินชั้นดีกับเข็มกลัดพลอยสีฟ้าเม็ดโตแล้วคงไม่ใช่ลูกชาวบ้านธรรมดาอย่างแน่นอน 



              บางอย่างบอกให้แทฮยองไล่เด็กชายออกไปเพื่อตัดปัญหาทิ้ง 



              "ที่นี่ไม่ใช่ที่เล่น ถ้ายังไม่อยากถูกลงโทษก็รีบหนีไปซะ" 



              "ฮื่อ" 



              ไม่ได้ผล เด็กตัวเล็กยืนตัวแข็งอยู่กับที่ ส่งเสียงงุ้งงิ้งฟังไม่ได้ความ อาจจะเพราะว่ากลัวจนก้าวไม่ออกหรือไม่ก็ดื้อรั้นเอาแต่ใจ แทฮยองเดาไม่ถูก 



              "องค์ชายเล็ก!" 



              "พ่อจิน!" เด็กแสบที่ถูกมองอย่างคาดโทษวิ่งดุ๊กดิ๊กไปหาผู้ใหญ่ที่ปรากฏตัวตรงหน้าประตูสวน 



              "ต้องขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงด้วยนะครับ องค์ชายใหญ่" ชายหนุ่มเดินมาโค้งคำนับให้เขาและพูดขอขมาอย่างลนลาน ในขณะที่เจ้าตัวดีแอบอยู่ด้านหลังขาเรียวยาวและโผล่หน้ามาเล็กน้อยเพื่อแอบดูเขา 



              แทฮยองรู้สึกคุ้นเคยกับชายคนนี้ ใช้เวลาไม่นานในการขุดคุ้ยความทรงจำก็นึกออก 



              องครักษ์คนสนิทของพระราชาแห่งแคว้นวิงส์ คิมซอกจิน 



              เขารำลึกถึงงานฉลองครั้งยิ่งใหญ่ที่วิงส์และสปริงเดย์ผูกพันธไมตรีและรวมเป็นปึกแผ่นเดียวกันหลังจากที่สงครามอันยาวนานจบลง ตอนที่เขานั่งเบื่อเพราะงานเต้นรำไม่เคยเป็นที่จรรโลงใจสำหรับเขา ซอกจินเป็นคนมาเล่นกับเขาจนวันรุ่งขึ้นเขาก็งอแงยกใหญ่ไม่ยอมให้อีกฝ่ายกลับแคว้น 



              ภาพความทรงจำในวันวานทำให้อดที่จะยิ้มไม่ได้ 



              แต่นั่นก็ผ่านมาหกปีแล้ว 



              เป็นเวลาเดียวกันที่มีข่าวอันน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับเจ้าชายอีกองค์ที่ได้ลืมตาดูโลก ทำให้แผ่นดินใหญ่ที่ถูกปกครองโดยสองราชวงศ์มีเจ้าชายสององค์ 



              และเป็นที่มาของสมญานามองค์ชายใหญ่กับองค์ชายเล็ก 



              แทฮยองเคยใฝ่ฝันอยากมีน้องชาย อย่างไรก็ดีเขาต้องยอมรับความรู้สึกผิดหวังเมื่อรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เขาทิ้งความเหงาไว้กับสวนดอกไม้และหนังสือเสมอยามที่ต้องการฆ่าเวลาและยามที่ไม่มีใครฟังเรื่องเล่าของเขา 





              แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อเขาได้พบกับจอนจองกุก 

              คนที่ทำให้เขาถวิลหาความรู้สึกอยากมีเพื่อนและคนที่อยากปกป้องในเวลาเดียวกัน 





              "จองกุก" 



              "อย่ามาเรียกเราแบบนั้นนะ!" เท้าเล็ก ๆ ของเจ้าชายตัวน้อยกระทืบย่ำอยู่กับที่แสดงอาการไม่พอใจ แก้มยุ้ยพองลมป่องจนคนมองอยากจะเอาเข็มจิ้มให้แตก 



              "ทำไมล่ะครับ? ชื่อออกจะเพราะ" องค์ชายใหญ่ผู้ถูกปลุกความสงสัยย่อตัวลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับเด็กอายุหกขวบ 



              "มันออกเสียงเหมือนซุปถั่ว! ใคร ๆ ก็ล้อเรา" 



              แทฮยองเงยหน้ามองซอกจินราวกับขอความช่วยเหลือแต่ได้แค่รอยยิ้มแหย ๆ กลับมา 



              "กุกกี้?" 



              "โธ่เอ๊ย ไม่มีความคิดที่มันสร้างสรรค์กว่านี้แล้วเหรอ" 



              "โอเค ไม่เอากุกกี้..." 



              เขาพยายามนึกหาชื่อเล่นที่เหมาะสม ในขณะนั้นจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์พอที่จะนำมาตั้งเป็นชื่อเรียกได้ก็มีแต่เนตรอันมีเสน่ห์ชวนมองตั้งแต่แรกพบ 



              เขาควรจะเรียกคนที่มีดวงตาส่องประกายความบริสุทธิ์เช่นนี้ว่าอย่างไร? ดวงตาโตและใสราวกับลูกกวางยากจะหาที่เปรียบแบบนี้ 



              "ตาหวาน



              "สิ้นคิดชะมัด" ถึงจะพูดแบบนั้นแต่รอยยิ้มกว้างที่เปื้อนใบหน้าน่ารักบ่งบอกสิ่งที่ตรงกันข้าม คนฟังแทนที่จะโกรธกลับยิ้มตามไปด้วย 



              แน่ใจได้เลยว่าหลังจากนั้นองค์ชายเล็กจะไปเล่าให้ใครต่อใครฟังถึงชื่อใหม่ของเขาและเขาโปรดปรานมันมากแค่ไหน 



              มือที่ใหญ่กว่าเขย่ามือนุ่มนิ่มของเด็กน้อย 



              "ยินดีที่ได้รู้จัก" 



              จุดเริ่มต้นของมิตรภาพที่ออกดอกของทั้งคู่ นัยน์ตาคู่งามซ่อนความดีใจในการได้เพื่อนใหม่แทบจะไม่อยู่ 



              จองกุกรู้ชื่อของเขาและเรียกเขาว่าฮยองงี่เหตุผลแค่ว่าแทฮยองงี่ยาวเกินไป 



              นับตั้งแต่นั้นเขาก็เป็นฮยองงี่ของตาหวานเพราะจองกุกตัดสินใจให้เป็นแบบนั้น 







              "ฮยองงี่ปลูกดอกไม้พวกนี้เองเหรอ?" 



              "ใช่แล้วล่ะ" 



              "ทุกดอกเลยเหรอ?" 



              "ทุกดอกเลย" 



              จากพื้นที่ที่เคยเป็นดินโล่ง ๆ อยู่ด้านหลังปราสาทเขารังสรรค์มันจนกลายเป็นสถานที่ที่มีดอกไม้ที่สวยที่สุดในสปริงเดย์ สถานที่ที่ใคร ๆ ก็ลือกันว่าเปรียบเสมือนสวรรค์บนดิน 



              สวนดอกไม้คือความภาคภูมิใจของแทฮยอง 



              "รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าเด็ดดอกไม้ทิ้งอีกนะครับ ถ้าไม่ใช่ตาหวานพี่ลงโทษหนักไปแล้วรู้มั้ย" คนโตกว่าสอนเด็กที่ไม่รู้ประสีประสา ส่งมือไปลูบผมนุ่มของคนน้องที่ก้มหน้างุดด้วยความรู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด 



              "ก็-ก็ท่านลุงให้มาเล่นในนี้ได้ ตาหวานก็นึกว่าคนสวนเป็นคนปลูก" 



              "จะใครปลูกก็ไม่ควรเด็ดทิ้งขว้างเพราะดอกไม้ทุกดอกมีค่า" 



              "ขอโทษครับ" มือเล็กขย้ำกางเกงขาสั้นเหนือเข่าจนยับยู่ 



              "ไม่เป็นไรแล้ว ไปเก็บต่อเถอะ" 



              สีหน้าเศร้าสร้อยเปลี่ยนเป็นยินดีปรีดาในทันทีจนปรับอารมณ์ตามไม่ทัน แทฮยองส่ายหน้ามองตามหลังจองกุกที่วิ่งไปอีกฟาก 



              "ว่าแต่พวกเจ้ามีกิจอันใดถึงได้มาที่นี่" องค์ชายใหญ่หันไปถามองครักษ์ที่ยังคงยืนอยู่ข้าง ๆ 



              "องค์ชายทราบเกี่ยวกับข้อตกลงที่ทั้งสองแคว้นตั้งไว้หรือเปล่าครับ?" 



              รัชทายาทของวิงส์และสปริงเดย์จะต้องแต่งงานกันเพื่อรวมสองวงศ์ตระกูลให้เป็นหนึ่งเดียว เขาเคยได้ยินมาว่าอย่างนั้น ถึงมันจะเกี่ยวข้องกับเขาโดยตรงแต่มันเป็นเรื่องของอนาคตที่ยังยาวไกลเกินกว่าที่เด็กอย่างเขาจะสนใจ 



              ถ้านั่นเป็นความจริง จองกุกก็คือคนที่ควรจะได้เป็นคู่หมั้นของเขา 



              "เนื่องจากรัชทายาททั้งสองเป็นผู้ชายและไม่มีท่าทีว่าองค์ราชินีจะให้กำเนิดพระธิดาออกมาอีก องค์ราชาจึงมาขอยกเลิกข้อสัญญาและทำการขอแลกแหวนหมั้นคืนครับ" 



              แทฮยองมองเด็กที่กำลังเก็บดอกไม้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม 



              ณ เวลานั้นเขาไม่รู้เลยว่าในอนาคตเขาจะเสียดายรอยยิ้มแสนสดใสนั้นมากแค่ไหน 



              "เข้าใจแล้ว" 



              แสงแดดของฤดูร้อนยังคงแผดเผา 



              เขาควรไปหาหนังสือเล่มใหม่อ่านสักหน่อย








              "ฮยองงี่!" 



              เสียงเล็กดังขึ้นใกล้ ๆ แทฮยองเบนสายตาจากกระดาษสีเหลืองอ่อนเก่า ๆ ไปหาคนที่ยืนข้างโซฟา คลี่ยิ้มเอ็นดูให้คนที่ดึงความสนใจของเขา 



              "ว่าไง" 



              "คือว่า...ตาหวานมีของจะไถ่โทษ" 



              "ไถ่โทษ? เรื่องดอกไม้น่ะเหรอ?" 



              เด็กน้อยพยักหน้ารับ เท้าข้างหนึ่งเขี่ยพื้นไปมา ก่อนจะเผยให้เห็นสิ่งที่ตัวเองถือซ่อนไว้ข้างหลังแต่แทฮยองก็เห็นมันก่อนหน้านั้นแล้วเพราะคนตัวเล็กบังไม่มิด 



              "ตาหวานไม่อยากให้ดอกไม้ที่ฮยองงี่ปลูกเสียเปล่าเลยไปเก็บดอกไม้ที่พื้นมาด้วย" 



              กลิ่นของมงกุฎดอกไม้ที่ตาหวานร้อยลอยคละคลุ้ง สมบัติอีกชิ้นที่เขาจะเก็บไว้ในห้องนอนจวบจนวันที่มันแห้งเหี่ยวและตายไป 



              "ตอนแรกตาหวานว่าจะทำของตัวเองอันเดียวแต่ตาหวานอยากขอโทษฮยองงี่ก็เลยทำมาอีกอัน" 



              เหตุผลที่จองกุกเก็บดอกไม้ไปตั้งมากมาย 



              "ฮยองงี่หายโกรธตาหวานแล้วนะ?" 



              ใครจะไปโกรธเด็กน่ารักขนาดนี้ลงกัน 



              "หายแล้วล่ะ" 



              รอยยิ้มแห่งความดีใจของจองกุกค่อย ๆ หุบลง เกิดเป็นความกังวลของแทฮยองขึ้นมาแทน 



              "ทำไมทำหน้าแบบนั้น?" 



              "เรื่องจริงหรือเปล่าที่ฮยองงี่ลงโทษทุกคนที่ขโมยดอกไม้ในสวน" ก่อนที่แทฮยองจะได้ถามไถ่ว่าใครกันที่ปากโป้ง เด็กตัวน้อยก็ตอบคำถามนั้นแล้ว 



              "ตอนที่ตาหวานหอบดอกไม้ไปหาท่านแม่ ท่านลุงบอกว่าฮยองงี่หวงดอกไม้ในสวนมากและสั่งเฆี่ยนตีทุกคนที่มาขโมย ท่านลุงงงว่าฮยองงี่ปล่อยให้ตาหวานเก็บดอกไม้มาเยอะแยะได้ยังไง" 



              "ก็คนพวกนั้นสมควรโดนแล้วนี้" คนพี่พูดอย่างไม่เห็นความผิดของตัวเองในขณะที่คนน้องคิดแตกต่างออกไป 



              "ฮยองงี่นิสัยไม่ดี" 



              "ว่าไงนะ..." 



              "คนขี้งกเป็นคนนิสัยไม่ดี" 



              ใบหน้าบึ้งตึงตัดพ้อ มันทำให้คนเริ่มครุ่นคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นถูกต้องแล้วจริง ๆ หรือเปล่า 



              "ฮยองงี่มีดอกไม้ตั้งเยอะแยะ ให้คนอื่นไปบ้างจะเป็นไร" 



              "ดอกไม้พวกนั้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของพี่ จะให้คนอื่นมามักง่ายขโมยไปเฉย ๆ สร้างผลประโยชน์ให้ตัวเองงั้นเหรอ?" 



              "คนขโมยก็เพราะเขาขาดแคลน ถ้าเรามีเหลือเฟือก็ควรจะแบ่งปัน ฮยองงี่ไม่ดีใจเหรอที่ดอกไม้ของฮยองงี่ช่วยเหลือผู้คนได้น่ะ" 



              ถ้อยคำที่ไม่น่าออกมาจากปากของเด็กอายุหกขวบทำให้แทฮยองหมดคำพูดเสียเอง เหตุหนึ่งเพราะเขาเพิ่งจะตระหนักถึงความจริงที่ว่าเขาเป็นคนไม่มีจิตใจที่กว้างขวางพอที่จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อย่างที่จองกุกว่า 



              แทฮยองไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีจนกระทั่งจองกุกเดินเข้ามาทำให้เขาเป็นคนที่ดีกว่าเดิม 







              หลังจากที่ทั้งสองราชวงศ์นั่งพร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหารตัวยาวและรับประทานดินเนอร์ด้วยกันแล้ว แทฮยองก็กลับไปที่ห้องสมุดเพื่อจมตัวเองลงในเรื่องราวที่กำลังน่าตื่นเต้นต่อ 



              แต่ยังไม่ทันที่จะได้ค้นพบว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครหลัก เสียงของเด็กที่เขาได้ยินมาเกือบจะทั้งวันก็ดังขึ้นอีกครั้ง เด็กขี้อายไม่ยอมพูดยอมจาในตอนแรกบัดนี้เหลือเพียงคนช่างพูดกับประตูหัวใจที่ถูกเปิดออกของเขา 



              "ชอบอ่านหนังสือเหรอ?" 



              "อื้อ ชอบ" แทฮยองยิ้มให้กับตัวเอง 



              เขาไม่มีอะไรอย่างอื่นจะทำต่างหาก 



              "ตาหวานเจอหนังสือที่ฮยองงี่ลืมไว้ในศาลาด้วยแหละ" หนังสือเล่มหนาที่ว่าถูกยกขึ้นมาเปิดพลิกหนาไปมาในมือน้อย ๆ 



              "เอาไปอ่านสิ พี่ให้" 



              "อ่านไม่ออกง่ะ" 



              สุดท้ายหนังสือที่แทฮยองกำลังติดงอมแงมก็ต้องถูกวางลง สองเจ้าชายที่มีมงกุฎดอกไม้วางอยู่รอบศีรษะนั่งอ่านหนังสือเล่มเดียวกันโดยที่เด็กตัวเล็กนั่งบนตักเด็กตัวใหญ่กว่า เสียงที่ยังไม่แตกหนุ่มอ่านตัวอักษรตั้งแต่บนกระดาษหน้าแรกของหนังสือ ไม่แคร์ว่าตัวเองจะเคยอ่านมันไปแล้ว แม้ว่าเขาจะชื่นชอบหนังสือเล่มนี้เพราะหลงใหลในภาษาอันประณีตของผู้เขียน เขากลับอ่านมันไปได้แค่หนึ่งในสามของเนื้อหาทั้งหมดเพราะมันทำให้เขาหลับทุกทีในขณะอ่าน 



              และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เขาคนเดียวที่เป็นแบบนั้นเพราะจู่ ๆ ร่างเล็กก็คอพับ ไม่มีเสียงขานรับเมื่อถูกเรียก อาจจะเพราะอาหารมื้อเย็นที่หนักท้องด้วยหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ แทฮยองจับให้อีกฝ่ายเอาหัวนอนพิงเขา เกรงว่าน้องจะเมื่อยหากปล่อยให้อยู่ในท่านั้นนาน ๆ 



              หนังสือเล่มโปรดถูกทิ้งไว้ให้โดดเดี่ยวอีกครั้ง เขาตั้งใจแล้วว่าจะอ่านมันด้วยกันกับจองกุกเท่านั้น ก่อนจะหยิบหนังสืออีกเล่มขึ้นมาอ่านต่อจนกว่าจะถึงเวลาเข้านอน มีเด็กตัวน้อยวิ่งเล่นในแดนความฝันอย่างมีความสุขอยู่ในอ้อมแขนของเขา







              เจ้าชายในชุดบรรทมติดนิสัยมองสวนของเขาจากทางหน้าต่างบานใหญ่ก่อนเข้านอน เขาชอบมองดอกไม้ที่กำลังหลับใหลภายใต้แสงจันทร์เพราะมันทำให้เกิดความสงบสุขในจิตใจ 



              แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียว 



              รูปร่างและเงาของใครบางคนกำลังขยับในความมืด ไม่ใช่เรื่องแปลกที่แทฮยองจะพบเห็นโจรในยามวิกาล ที่เขาชอบยืนมองสวนดอกไม้อยู่นานสองนานก็เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยและเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบบุกรุกเข้ามาขโมยของของเขา 



              ชั่ววินาทีเดียวที่เจ้าชายกำลังคิดจะไปบอกให้ทหารรักษาความปลอดภัยจับตัวคนร้าย ก็เกิดมีความขัดแย้งกับตัวเองเมื่อหวนนึกถึงคำสัญญาที่เขามีให้กับเด็กที่นอนหลับสบายบนตักของเขาจนขาเป็นตะคริว



              'ฮยองงี่สัญญากับตาหวานนะว่าจะไม่ลงโทษคนที่มาขโมยดอกไม้อีก' 



              ริมฝีปากหนากระตุกยิ้ม 



              เด็กโง่



              มงกุฎดอกไม้ที่ห้อยอยู่ข้างผนังมองเขาอย่างเศร้าโศก 



              สัมผัสที่นิ้วก้อยของเขาโดนเกี่ยวในตอนนั้นยังคงติดค้างอยู่ที่ผิวหนัง 



              เขาพ่ายแพ้แล้ว พ่ายแพ้ต่อคนที่ชื่อจอนจองกุก



              ถ้าเขายอมให้ตาหวานเก็บดอกไม้ได้ เขาก็น่าจะยอมให้คนอื่นทำได้เหมือนกัน 



              ถ้าสวนดอกไม้ของเขาจะกลายเป็นสถานที่ช่วยเหลือผู้คนที่ยากไร้ มันก็เป็นเรื่องดี 



              องค์ชายใหญ่หันหลังให้กับหน้าต่างและเดินจากไปด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้า ในคืนนั้นแทฮยองได้กลายเป็นเจ้าชายผู้มีความเมตตากรุณาอย่างที่เจ้าชายคนหนึ่งควรจะเป็น



              ด้วยสัญญาที่เขาไม่จำเป็นต้องรักษาเสียด้วยซ้ำ





              จองกุกจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองเป็นเหมือนดั่งแสงตะวัน 

              ที่ส่องลงมาบนหัวใจที่มืดมิดของเขา 








    เรื่องนี้เรื่อยๆนะ คือพักจากความกามมาอ่านอะไรแบบนี้บ้างเถอะ นรกจะกินกบาล555555
    เราไม่หวังอะไรกับเม้นแล้วเพราะรู้ว่ามันไม่น่าตื่นเต้น แต่เรื่องนี้ไม่ยาวมากน่าจะมี 5-6 ตอน

    #ficsmeraldovk

     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×