ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตร์คำสาป CURSE Effect

    ลำดับตอนที่ #2 : chapter 1 คำบอกเล่าของหญิงสาว

    • อัปเดตล่าสุด 17 ต.ค. 61





    สิ่งที่เป็นไม่ได้ นั้นเเหละคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้



    ฮันนาเร่ เคอเฟลลิ่ง





    7 วันก่อน    

     






    อาณาจักรโกซัส ในเขตใจกลางเมืองบริเวณหอสมุดส่วนกลาง


              “พวกเจ้าเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับผู้นำทางในช่วงนี่รึเปล่า?”เด็กหนุ่มหันกลับไปมองเสียงตื่นเต้นของเพื่อนสนิท เป็นเสียงของเด็กผู้หญิงผมสีดำตาสีเเดงอายุน่าจะสิบเจ็ดสิบแปด ซึ่งกำลังเอ่ยปากถามเหล่าเพื่อนสนิทที่กำลังนั่งสำรวจแผนที่กันอยู่


              “ข้าไม่เคยได้ยินหรอก ว่าแต่เจ้าเถอะฮันน่าไปได้ยินเรื่องอะไรเเปลกๆมาอีกกันล่ะ? ไม่แน่อาจจะเเค่เรื่องนิทานของเด็กเเถวนี้ก็ได้...”เด็กหนุ่มหนึ่งในนั้นที่กำลังนั้งวาดแผนที่พูดขึ้นโดยที่สายตายังไม่ได้ละออกจากสิ่งที่ตัวเองกำลังทำเลยแม้แต่นิดเดียว มันทำให้ฮันน่ารู้สึกว่าตาขวาของเขามันเริ่มกะตุกพิกล


              “หุบปากซะเคิซ ก็เจ้าเอาแต่อุดอู้อยู่แต่ในหอสมุดส่วนกลางแบบนี่แล้วจะไปรู้เรื่องรู้ราวได้ยังไงกันล่ะ! เจ้านั้นแหละที่เอาแต่นั้งเขียนแผนที่งี่เง่าของเจ้าวี่ทั้งวันไม่ยอมออกไปสูดอากาศข้างนอกเลยเหอะ!”ฮันน่าพูดเสียงดังเเถมเหน็บแนมเคิซที่เอาแต่นั่งเขียนแผนที่ทั้งวี่ทั้งวันโดยไม่ออกไปไหนเลยแม้แต่ก้าวเดียว จนเคิซต้องเงยหน้าขึ้นมาทำตาขวางใส่ฮันน่าทันทีที่ได้ยินคำว่าแผนที่งี่เง่า


    ตอนนี้เหมือนมีเสียงสายฟ้าดัง เปี๊ย เปี๊ย ระหว่างทั้งสองคน


              “น่าๆทั้งสองคนอย่าทะเลาะกันเลยนา ว่าแต่เจ้า...ฮันน่าเจ้าไปได้ยินเรื่องผู้นำทางมาจากไหนล่ะ?”เคิซละสายตาจากฮันน่า แล้วหันไปมองเอเดน เด็กหนุ่มผมสีทองในตาสีทอง ที่ลุกขึ้นมาห้ามทัพ ก่อนสงครามนํ้าลายจะเริ่ม


              เอเดนก็หันไปกระซิบกระซาบอะไรซักอย่างกับฮันน่า เธอมีท่าทีฮึดฮัดเหมือนยังเคืองเคิซที่ไม่ค่อยเชื่อคำพูดตัวเท่าไหร่ เอเดนหันมายิ้มแห้งๆเหมือนตัวเองทำได้แค่แหละก่อนจะนั่งลงข้างๆเคิซ


              “ก็ไปรู้มาจาก......” ทันทีที่ฮันน่ากำลังเล่าแต่สายตาดันไปสดุดกับไอ้ก้อนเนื้อกลมๆที่กำลังนอนหลับอย่างเอาเป็นเอาตาย เธอเห็นดังนั้นจึงยกดาบที่เหน็บอยู่ข้างเอวขึ้นมา แล้วเคาะไปที่หัวของคนที่กำลังหลับอย่างจัง จนเจ้าคนที่กำลังอยู่สะดุ้งตื่นทันที


              “โอ้ย!! ใครกันบะ บะ อะ อาจนัก....ฮันน่า...” เจ้าอ้วนที่กำลังนอนหลับสบายเมื่อกี้หันซ้ายหันขวา มองหาต้นเหตุและกำลังตวาดออกไป ก็เงียบเสียงลงเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ คำพูดสุดท้ายพูดเบาจนราวกับเสียงอากาศเพราะเจ้าหมูมันน่าจะรู้แล้วว่าใครคือต้นเหตุ


              “....ใช่ข้าเอง เจ้าคิดว่านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว......กิล..ดัส….....เฮ้อ” ฮันน่าพูดเสียงเย็นใส่เจ้ากิลดัสพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


              ก่อนเธอเลื่อนเก้าอี้หัวโต๊ะออกแล้วนั่งลง “เอาเหอะ....ถึงไหนแล้วนะ อ้อ ข้าไปได้ยินมาจากพวกของลัทธิกางเขนเเดง เห็นบอกว่าทุกๆ สี่ร้อยสิบสี่ปี เมื่อเวลานั้นมาถึงเหล่าผู้นำทางจะออกมา เพื่อลวงเหล่าผู้ล่วงลับให้ไปอยู่ที่ๆควรจะอยู่ สัญญาณเเห่งคำสัญญาคือจุดเริ่มต้นของยุดสงคราม ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่” ฮันน่าพูดเเล้วยักไหล่มันอาจจะเป็นที่เคิซว่าก็ได้ ก็เเค่เรื่องงมงาย 


              เคิซไม่ได้คิดอะไรเพราะเขาเหมือนเคยได้เรื่องพวกนี้ผ่านๆหูมาบ้าง


              ฮันน่ามองดูหน้าแต่ระคนเหมือนจะรู้ว่ากำลังคิดอะไร เละอธิบายต่อ “ก็นะ ข้าแค่เล่าให้ฟังเฉยๆไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก...อ๊ะ...”ฮันน่าทำท่าทางเหมือนนึกอะไรออกแล้วลุกออกจากเก้าอี้ 


              เธอเดินไปยังโซนที่มีป้ายกำกับไว้ว่า '07841 ประวัติศาสตร์' ฮันน่าค้นอะไรไม่รู้อยู่พักใหญ่ๆเหมือนจะได้หนังสือเล่มแปลกๆ มาวางลงตรงหน้าพวกเคิซเสียงดัง ปึก! 


              “อ้อ! มีอีกเรื่องที่ข้ายังไม่ได้เล่า พวกเจ้ารู้จักเมืองผีรึเปล่า?


              ฮันน่าค่อยๆไล่สายตาไปทีล่ะคนเริ่มจากเคิซคนแรก เคิซทำท่าคิดพักนึงแล้วส่ายหัว เอเดนก็เหมือนกัน...

     

    “ในพวกเจ้าไม่มีใครรู้เลยหรอเนี่ย เฮ้อ”

     

    “อย่าเมินฉันสิยัยฮันน่า!

     

    “แกรู้รึไงกิลดัส...”

      

    “....ก็....ไม่อีกนั่นแหละ....”

     

    “...........................”

     

              ฮันน่าละสายตาเบื่อหน่ายออกจากกิลดิสและเริ่มเล่าต่อ “ข้าก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดนักหรอกนะ แต่ตอนเด็กๆข้าชอบเข้าไปอ่านหนังสือในห้องของพ่อข้า และข้าได้เห็นรูปภาพรูปนึงเข้า ไม่สิ เป็นสิบๆภาพเลยต่างหาก มันเป็นภาพเมืองที่มีแต่โครงกระดูกจะว่าเมืองก็คงจะไม่ถูก น่าจะเรียกว่าโบราณสถานถึงจะใช่ล่ะมั้ง งั้นเดี๋ยวข้าวาดให้ดูเอง” 


              ฮันน่ามีความสามารถด้านความจำดีถึงขั้นดีมากเลยล่ะ ขอแค่หล่อนได้เห็นสิ่งนั้นกับตา ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็จำได้เกือบหมด 


              ฮันน่าพูดพลางหันไปใช้ดาบสะกิดกิลดัสที่อยู่ข้างๆเป็นเชิงบอกว่าหยิมกระเป๋านั้นขึ้นมาให้ข้าซะเจ้าอ้วน’ กิลดัสทำหน้าเซ็งก่อนก้มลงไปหยิบกระเป๋าให้ฮันน่า

     

              เพราะกิลดัสนั้นค่อนข้างกลัวฮันน่ามาตั้งแต่ตอนเด็กแล้วเพราะโดนฮันน่าเเกล้งสาระพัด กิลดัสเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กๆเคยโดนฮันน่าเเกล้งโดยการถีบกิลดัสลงบึงกบจนเจ้าเป็นโรคกลัวกบจนขึ้นสมอง พอโตขึ้นเลยถูกฮันน่าจิกหัวใช้ยังกะทาส ก็เลยไม่กล้าจะขัดฮันน่าซักเท่าไหร่


              เคิซเท้าคางมองดูเพื่อนตัวเองแล้วส่ายหัวไปมา เอเดนเองก็ยักไหล่แล้วยิ้มแหะๆเหมือนทุกที “เฮ้....ฮันน่าตกลงเจ้าไปเอาหนังสือนี่มาทำไม” เคิซใช้มือข้างเดียวยันคางเอาไว้ ใช้มืออีกข้างชี้ไปที่หนังสือปกสีดำที่ฮันน่าเป็นคนไปหยิบมา


              “อ๋อ พวกเจ้าเปิดดูก่อนเลยก็ได้เดี๋ยวข้าอธิบายทีหลัง”ฮันน่าพูดไปพลางควานหาของในกระเป๋าสำภาระของตัวเองซักพักจึงหยิบสิ่งที่หน้าจะเป็นดินสอและกระดาษออกมา แล้วก็ขว้างกระเป๋าทิ้งโดยไม่สนของภายในเลยซักนิด จากนั้นก็ก้มหน้าก้มเขียนอะไรไม่รู้


              เคิซละสายตาจากฮันน่าแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาดู ปกหนังสือเขียนว่า ‘สงครามที่สาปสูญ’ เจ้าอ้วนกิลดัสที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็เดินมานั้งข้างๆเคิซ เพราะตัวเองดูไม่ถนัดเลยต้องย้ายที่นั้งและอีกหนึ่งเหตุผลคือเขากลัวฮันน่า


              ในปี 1303 เกิดความขัดเเย้งระหว่างห้าอาณาจักร เเทธาลัน เเอสติเซีย ปกาเลย์  โกซัส เเละไลฟ์เเลนด์ซึ่งเป็นอาณาจักรของพวกภูติเเห่งผืนป่ามนต์ตรา โดยเเรกเริ่มเดิมทีความขัดเเย้งมีเเค่เเทธาลันกับเเอสติเซีย พระราชาทั่งสองฝ่ายต่างก็เริ่มเบื่อหน่ายกับการทำสงคราม จึงส่งเจ้าหญิงเจ้าชายของอาณาจักรตนเองไปเเต่งงานเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักร เเต่ในระหว่างพิธีเเต่งงานเจ้าชายของอาณาจักรเเทธาลัน กับถูกกพวกไลฟ์เเลนด์ชิงตัวไป ในตอนนั้นพระราชาของเเทธาลันโกธรมากที่พวกเเอสติเซียล่ะหลวมในการคุ้มกัน ในเวลาต่อมาทางเเทธาลันได้ส่งคำเตือนสู่ไลฟ์เเลนด์ให้ส่งตัวเจ้าชายคืน ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดสงครามขึ้นได้ เเต่ทางไลฟ์กลับปฏิเสธคำเตือนของเเทธาลัน ว่าพวกตนไม่ได้ชิงตัวเจ้าชายมา เเละปฏิเสธอีกว่าพวกที่ไปทำลายพิธีเเต่งงานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาณาจักร......


              เคิซขี้เกียจอ่านเพราะเขาพึ่งอ่านได้ไม่ถึงครึ่งก็เริ่มปวดหัวกับหนังสือประวัติศาสตร์ 

       

              เคิซค่อยๆละสายตาออกจากหนังสือก่อนจะหันไปมองทางฮันน่า ที่กำลังนั่งทำอะไรไม่รู้ อยู่ตั้งนานสองนาน 

              เคิซเป็นพวกเก็บตัว ถึงได้ชอบเข้ามาอ่านหนังสือพวกนี้ในหอสมุดสวนกลางจนเกือบหมดทุกเล่ม แต่แปลกเพราะเขาไม่เคยเห็นหนังสือที่ฮันน่าหยิบมาเลยซักครั้ง น่าเป็นเล่มใหม่ล่ะมั้ง

         

         “.........ช่วย..ข้า..”


             เสียงประหลาดดังก้องอยู่ในโซนประสาทของเคิซ จนต้องลุกขึ้นมองหาต้นเสียง “พวกเจ้ายินอะไรรึเปล่า?” เคิซหันไปถามเสียงตื่น เอเดนกิลดัสและฮันน่าที่กำลังก้มหน้าก้มทำอะไรซักอย่างจึงหันมามองเคิซ เพราะคำถามเเปลก


              เอเดนทำหน้างงก่อนจะตอบคำถามเคิซ “ได้ยินอะไรของเจ้าเคิซ พวกข้าไม่เห็นได้ยินอะไรเลย?


            “ใช่แล้วล่ะ ที่นี่เงียบจะตายชัก ถ้าหากเจ้าได้ยินเเล้วทำไมพวกข้าจะไม่ได้ยินกันล่ะ” กิลดัสเสริม


              “ข้าอาจจะแค่หูแว่วไปเองก็ได้...” เคิซถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่าง เขาอาจจะเเค่เหนื่อยจากการนั่งเขียนเเผนที่มาสองวันติดก็ได้ ตอนนี่พวกเขากกำลังนั่งอยู่ชั้นบนสุดของหอสมุดส่วนกลางบริเวณแถวริมหน้าต่าง เลยมองเห็นข้างนอกได้ค่อนข้างไกล เห็นดวงอาทิตย์ยามเย็นที่กำลังลับขอบฟ้า


              เขามองนกน้อยที่บินมาเกาะบริเวณขอบหน้าต่างต่างพาร้องจิ๊บๆน่ารักไม่ขาดปาก แต่จู่ๆนกเหล่าก็ต่างพากันบินหนีไปคนล่ะทิศล่ะทาง เพราะเสียงจากฝั่งตรงข้ามของเคิซ 


              ก็ไม่ใช่เสียงใครที่ไหนหรอก เเต่เป็นเสียงแหกปากของยัยฮันน่านั้นเอง


              “เย้!!! ในที่สุดก็เสร็จซักที!!” ทั้งเคิซ เอเดนและกิลดัสต่างยกมืออุดหูแทบไม่ทัน เพราะเสียงของฮันน่าแสบแก้วหูมาก 


               ฮันน่าทำเป็นไม่สนท่าทีรำคาญของทั้งสามคนก่อนจะมองแผ่นกระดาษในมือตัวเอง แล้วยิ้มออกมา ฮันน่าลุกขึ้นแล้วเดินมาวางกระดาษที่ตัวเองเพิ่งวาดเสร็จให้พวกเคิซดู

              เขามองภาพที่ฮันน่าวาเเล้วหันไปมองนอกหน้าต่างตามเดิม “นี่เจ้าวาดภาพอะไร” คนที่เอ่ยปากถามคนเเรกไม่ใช่เคิซแต่เป็นกิลดัสที่นั้งอยู่ข้างๆ


              “ถ้าพวกเจ้าอยากรู้...ก็ลองเปิดหนังสือไปที่หน้าเก้าสิเก้าดูสิ...” ฮันน่าพูดเสียงราบเรียบไม่เหมือนเมื่อกี้ที่ทำตัวยังกะเด็กที่ได้ของที่ถูกใจยังไงยังงั้นเลย กิลดัสหันไปเรียกเอเดนมาดูภาพที่ฮันน่าเป็นคนวาดว่าหล่อนวาดอะไรของหล่อน


              เคิซไม่ค่อยสนใจภาพที่ฮันน่าวาดเท่าไหร่ เลยเปิดไปที่หน้าเก้าสิบเก้าสิบอย่างที่ฮันน่าบอก แต่พอเปิดมาแล้วมันก็ยังเหมือนกับทุกๆหน้าที่มีเเต่ตัวหยังสือเต็มไปหมด


              อ่านไปได้ซักพัก จึงเลื่อนสายตาไปที่ภาพของฮันน่าเเละสายตาของเคิซก็สดุดเข้ากับอะไรบางอย่างในหน้านั้นกับภาพของฮันน่า “อะไรของเจ้าฮันน่าไม่เห็นมี อะไร......หืม...เดี๋ยวก่อนนะ เอเดนเอาภาพนั้นาดูหน่อย!” เอเดนทำหน้างงเล็กน้อยแต่ไม่ได้ทักท้วงอะไร เลยส่งภาพที่ฮันน่าวาดขึ้นมาให้เคิซดู ก่อนจะขยับเข้ามาดูใกล้ๆ


              เคิซรับภาพจากเอเดนแล้วเอาภาพนั้นมาเทียบกันชัดๆแล้วพึมพำอะไรซักอย่าง “ใช่จริงๆด้วย...” เคิซมองดูภาพวาดของฮันน่าสลับกับภาพในหนังสือไปมา 


              ซึ่งภาพในหนังสือนั้นเป็นภาพของมหานครที่เคยรุ่งเรืองในอดีตที่มีชื่อว่า ธอลิน ซึ่งสัญลักษณ์ของเมืองแห่งนี้คือรูปปั้นอัศวินที่ถือดาบขนาดมหึมาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เพราะเมืองนี่ขึ้นชื่อเรื่องการทำสงคราม ยิ่งวันเวลาผ่านพ้นไปมหานครแห่งธอลินยิ่งรุ่งเรืองเเละมีอำนาจมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม 


              แต่แล้วอยู่มาวันนึงเพราะสาเหตุอะไรบางอย่าง มหานครที่เคยรุ่งเรืองในอดีตกับล้มสลายภายในคืนเดียวโดยที่ไม่มีใครรู้ ก่อนที่ทั้งอาณาจักรจะหายสาบสูญไปเมื่อประมาณหนึ่งร้อยปีที่แล้ว เเละไม่มีใครเคยพบมหานครเเห่งเศษซากของเมืองนั้นอีกเลยนั้นอีกเลย....


              แต่ภาพของฮันน่าเป็นภาพโบราณสถานที่มีแต่โครงกระดูก สภาพโดยรอบเหมือนกับผ่านสงครามครั้งใหญ่มาหมาดๆ ทั้งดาบที่แตกหัก โล่ขวานที่ปักอยู่เต็มพื้น และกองกระดูกนับพันที่ก่อนทับถมกันอยู่ตามพื้นถนน

     

              แต่ที่เตะตาเคิซมาที่น่าจะเป็นรูปปั้นของอัศวินขนาดมหึมาที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ใจกลางโบราณสถานนั้น แม้มันจะทรุดโทรมลงไปมากแต่ก็ยังพอดูออกว่ามันเป็นรูปปั้นอัศวินของนครธอลิน


              เคิซครุ่นคิดอยู่ซักพักก่อนจะพูดสิ่งที่ตนกำลังพอจะนึกได้นั้นออกไป “ข้าเดาว่าภาพที่เจ้าวาดน่ะ น่าจะ....เป็นเมืองธอลินสินะ แต่ว่า...ทำไมเจ้าถึงรู้ว่าเมืองเป็นสภาพแบบนี้ มันน่าจะหายสาบสูญไปตั้งหลายร้อยปีแล้วหนิ?” เคิซเงยขึ้นถามฮันน่าที่กำลังอยู่นั่งกอดอกอยู่ฝั่งตรงข้าม หล่อนไม่ได้ตอบแต่ลุกขึ้นมาหยิบเอากระดาษในมือเคิซและหนังสือขึ้นไป แล้ววางมันลงที่กลางโต๊ะก่อนที่หล่อนจะเริ่มอธิบาย


              “...ข้าไม่เคยเห็นหรอก แต่นี่น่ะข้าเห็นในห้องของพ่อข้า มันไม่ได้มีเเค่ภาพเดียวหรอกเเต่มันมีเป็นสิบๆเลยต่างหากล่ะ แต่ระภาพก็จะแตกต่างกันออกไป ไม่สิแค่มุมมองของภาพที่แตกต่าง ก็อย่างที่เจ้าเห็น ภาพในหนังสือน่ะมันเป็นตรงบริเวณในตัวเมืองใช่มั้ย แต่ภาพของข้าน่ะมันเหมือนภาพจากมุมสูงมากกว่า แต่มันมีจุดที่ข้าสงสัยอยู่จุดหนึ่ง พวกเจ้าลองดูนี่สิ...” 


              ฮันน่าอธิบายก่อน จะใช้นิ้วลากไปตรงที่รูปปั้นอัศววิน พวกเคิซก็เลยมองตามนิ้วนั้นที่ชี้ไปตรงบริเวณรูปปั้นซึ่งสัญญาลักษณ์ของธอลิน แต่เท่าที่ดูมันก็ไม่น่ามีอะไรน่าสงสัยหนิเคิซคิดอย่างนั้น


              ดูฮันน่าน่าจะดูออกว่าเคิซคิดอะไร เลยชี้ไปตรงบริเวณใบหน้าของรูปปั้น เอเดนมองดูอยู่พักหนึ่งแล้วเริ่มมองเห็นจุดสังเกต “นี่.....ฮันน่า ทำไมรูปปั้นที่เธอวาดมันถึงเงยหน้าล่ะ ก็รูปในหนังสือมันก้มหน้าไม่ใช่หรอ?” เอเดนเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยปากถามทันที ฮันน่ายกยิ้มนิดๆที่มุมปากก่อนจะตอบคำถามของเอเดน


              “เรื่องนี่ข้าก็พึ่งสังเกตเห็นเมื่อประมาณสองสามวันที่แล้วเองแหละ ตอนนั้นข้าเข้ามาหาหนังสือเกี่ยวกับพวกกับวิธีแก้พวกมนต์ดำน่ะ พอเดินอยู่ดีๆหนังเล่มนี้มันก็หล่นลงมาจากชั้นหนังสือ เลยเดินไปหยิบขึ้นมาอ่านดู เพราะไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี่มาก่อนล่ะมั้งนะถึงได้สนใจ เปิดไปเปิดมาข้าก็ไปสดุดตากับภาพๆหนึ่งเข้า ซึ่งก็คือภาพๆนี่แหละ” 


              ฮันน่าชี้ไปที่ภาพมหานครธอรินที่อยู่ตรงกลางหน้ากระดาษ ก่อนจะเริ่มอธิบายต่อ “....ทีแรกข้าก็ไม่แน่ใจหรอก ว่ามันใช่ที่เดียวกันรึเปล่าก็เลยไม่ได้สนใจอะไร จนลืมซะสนิท ข้าก็พึ่งนึกนึกขึ้นได้ก็ตอนเล่าเรื่องพวกผู้นำทางนั้นอะนะ”


              พวกเคิซนั่งคุยกันเรื่องมหานครธอลินกันต่ออีกซักพัก แล้วฮันน่าก็ขอตัวออกไปเพราะดูเหมือนว่าจะนัดวางแผนการอะไรซักอย่างกับอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งต้องทำงานร่วมกัน


              แถมไม่วายลากคอกิลดัสออกไปช่วยงานอีกด้วย ดูเหมือนหมอนั่นจะลืมเรื่องประชุมซะสนิทเลยโดนบ่นชุดใหญ่ไปตลอดทางเลยทีเดียว 


              เอเดนเองก็ต้องออกไปเตรียมสมุนไพรสำหรับการเดินทางเลยขอตัวออกไปเตรียมวัตถุดิบสุดท้ายก็เหลือแค่เคิซที่ยังนั่งเขียนแผนที่ต่อจนเสร็จ


              เคิซลุกขึ้นบิดขี้เกียจซักสองสามท่าเพื่อคลายอาการเมื่อยล้าของร่างกาย แล้วเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อสูดรับอากาศข้างนอกที่ไม่ได้รับมาตั้งหลายวัน 


              เขาพึ่งรู้สึกตัวว่านั่งทำงานจนท้องฟ้าถูกฉาบไปด้วยเเสดอมคึ่มแล้ว ก่อนจะหันมาเก็บของที่ตัวเองขนออกมาจากกระเป๋า “เฮ้อ....เหนื่อยโคตร ก็นะงานเสร็จไปได้ด้วยดีก็ไม่น่ามีอะไรแล้วล่ะ ฮ้าวววว หืม?” 


              เคิซเหลือบไปเห็นหนังสือที่ฮันน่าหยิบออกมา ในหน้าสุดท้ายมันกระดาษสอดไว้ในหนังสือ เคิซดึงออกมาคลี่ดูจึงเห็นเเผนที่ขนาดย่อมของเมืองที่พวกตนเองอยู่ มีลอยขีดด้วยหมึงสีเเดงไปมามากมาย เเละก็มีรูปๆหนึ่งติดเอาไว้


              มันเป็นรูปตะเกียงเก่าๆที่ทำมาจากเหล็ก มีลูกเเก้วขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง เคิซอ่านรายละเอียดคล่าวๆที่เเนบมากับรูปภาพ ซึ่งเเทบไม่มีอะไร เพราะมีเขียนอยู่เเค่ว่า


             “ถ้าเจ้ามองเห็นกระดาษเเผ่นนี้ ชะตากรรมของเจ้าจะเปลี่ยนไปตลอดกาล...” เคิซมองดูคำสุดท้ายที่ค่อยๆปรากฏออกมาทีระตัวเเละมันก็เขียนว่า ‘เคิซ’


             “สงสัยยัยฮันน่าเเกล้งข้าอีกเเน่ หึ ไม่ได้ผลหรอกเเผนตื้นๆ”เด็กหนุ่มยืนอ่านเเผนที่ไปฮัมเพลงไปด้วยอย่างอารมณ์ดี เเล้วเก็บแผนที่ที่วาดเสร็จลงในกระเป๋า พร้อมอันที่กำลังยืนนั้นลงไปด้วย


    เคิซเก็บของต่ออีกซักพักจึงเดินเอาหนังสือเล่มนั้นไปเก็บไว้ในโซนของมัน เพราะเขาไม่รู้ว่าฮันน่าไปหยิมมาจากตรงไหนกันเเน่ เลยสอดๆเอาไว้แถวนั้น แล้วเคิซก็เดินลงไปชั้นล่างเเละออกจากหอสมุดไป

     

     

     







              ภายในความมืดมิดของหอสมุด หนังสือที่เด็กหนุ่มสอดเอาไว้ค่อยๆเกิดรอยไหม้สีเขียว และค่อยๆเริ่มรุกลามไปเรื่อยจนหนังสือเล่มนั้นหายไปในที่สุด...











    SWAZ




    และแล้วก็จบไปกับตอนที่หนึ่ง รู้สึกว่าฮันน่าจะมีบทเยอะกว่าพระเอก(?)เราซะอีก


    555555+


    ไว้โอกาสหน้าจะมาเขียนต่ออีกน้า บ้ายยยยยย


    #เเก้รอบที่ล้านเเปด 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×