คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : รักพลิคล็อค ล็อคคอรัก 2
แค่สิ่งน้อยนิด
ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาผมยังสะกดจิตสะกดใจตัวเองอยู่แหม็บๆ ว่าจะต้องไม่คิดถึงคนๆนั้นอีก
ถ้าไม่อยากเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ แต่พอจะตักข้าวเข้าปากแล้วเหลือบไปเห็นฟักในแกง
ผมก็ไปซะแล้ว
“แกงฟักนี่อร่อยมาก ขนาดกินติดกันมาห้าวันแล้วยังไม่เบื่อ”
คำชมที่ทำให้ผมอิ่มโดยไม่ต้องกินข้าวไปสามวัน
ถ้าไม่เห็นกับตาคงนึกภาพไม่ออกว่า แบรนดอน แม็คแกรน คนนั้น นั่งกินแกงฟัก น้ำพริกกะปิ
ไข่ชะอมกับข้าวก้อง ด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยจนคนทำแทบจุกความสุขตาย เป็นการกินอาหารที่ ผิดภาพพจน์และหลุดคอนเซ็ปไปหลายโยชน์ ถ้าไม่เห็นเองผมคงไม่เชื่อแน่ว่าแบรดจะคลั่งไคล้อาหารไทยขนาดนี้ โดยเฉพาะแกงเขียวหวานไก่ใส่ฟักหมดตลาด
ที่ไปที่มาของความรู้ใหม่นี้คือ
หลังจากหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายหน้าห้องแบรดผ่านไปได้สามวัน ผมก็ใจกล้าหน้าด้านบุกไปนั่งคอยถึงคอนโดอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้นำตัวไปเสนอเพราะรู้ว่าไม่เป็นที่ต้องการของตลาด
คราวนี้ไปแบบระห่ำน้อยกว่าเดิม โดยการชวนแบรดไปกินข้าวเย็นธรรมดา ไม่มีของหวานเป็นผมไหมจ๊ะอะไรทำนองนั้น ตอนถามก็เตรียมใจรอรับคำปฏิเสธไว้แล้วเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์
แต่ดันฟลุ๊คได้รับหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เหลือเป็นเซอร์ไพรสกลับ
ตอนที่แบรดตอบตกลง จะด้วยความสงสารหรือสมเพชอันนี้ไม่แน่ใจ
แต่แค่คำว่า ‘โอเค กำลังหิวพอดี’ ที่หลุดออกมาจากปากคนตรงหน้า ก็ทำให้ผมยืนเซ่อ
ลืมภาษาพ่อภาษาแม่ไปหลายนาที ไม่คิดว่าจะรับปากง่ายๆอย่างนี้
แล้วไม่เล่นตัวไม่พอ พูดจบยังออกเดินนำอีกต่างหาก เล่นเอาผมได้แต่เดินตามไปอย่างเซ่อๆ
งงๆอยู่ว่าตกลงใครชวนใครกันแน่วะ
แบรดเดินดุ่มๆเหมือนรู้สถานที่ ยิ่งทำให้งงเข้าไปใหญ่ว่ารู้ได้ไงว่ารถผมจอดตรงไหน แต่แล้วก็ไม่ต้องคิดให้เซ่อไปกว่านี้เพราะคนเดินนำ เลี้ยวเข้าร้านอาหารตรงข้ามคอนโด ไม่สนใจไอ้คนเดินตามอย่างผมที่หักเลี้ยวแทบไม่ทัน
การรวบรวมความกล้าครั้งที่สองในชีวิตเพื่อชวนผู้ชายกินข้าว จบลงที่ร้านข้าวแกงห่างจากสถานที่เอ่ยปากไม่เกินสามสิบเมตร ไอ้ที่นั่งคิดในเวลางานมาหลายวันว่าควรจะไปกินอะไร ที่ไหนเค้าถึงจะประทับใจเป็นอันพับเก็บแล้วเขวี้ยงทิ้งได้เลย ถึงว่าทำไมตกปากรับคำกันง่ายๆ
แต่เพราะไอ้ข้าวราดแกงมื้อนั้นนั่นเองที่ทำให้มีมื้อต่อๆมา เพราะระหว่างที่นั่งมองแบรดตักข้าวราดแกงไก่ไข่ดาวจานละยี่สิบห้าบาทกินเอากินเอา แถมยังเบิ้ลอีกจานเหมือนเดิมเด๊ะ
ทำให้ผมรู้ว่าหน้าฝรั่งหุ่นฝรั่งอย่างนี้กลับชอบอาหารไทยอย่างเอาเป็นเอาตาย เรียกได้ว่าเข้าขั้น
บ้าเลือด และระหว่างที่แบรดนั่งกิน และผมนั่งมอง ความคิดไม่เจียมตัวก็ก้าวกระโดดไปถึงขั้นอยากทำอย่างนี้ทุกวัน ถ้าเป็นไปได้ทุกมื้อยิ่งดี
ก็ได้แต่ฝันล่ะครับ
แต่แล้วฝันก็เป็นจริง!!
อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้น้องชายน้องสาวห้าคนที่บ้าน ที่มันกินล้างกินผลาญตั้งแต่เริ่มรู้จักข้าวสวย เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดเลยว่าไอ้การทำกับข้าวสามมื้อขนาดพิเศษให้ตัวเขมือบพวกนี้กินมันจะมีประโยชน์มากไปกว่าทำให้ตัวเขมือบเล็กเติบใหญ่เป็นไดโว่ มาตอนนี้รู้สึกขอบคุณน้องๆจนอยากกราบมันคนละสามที พอแบรดรู้ว่าผมเป็นพ่อครัวหัวป่าประจำบ้านถนัดการทำอาหารทุกชนิดที่มนุษย์กินได้โดยเฉพาะอาหารประจำชาติเรา ปาฏิหาริย์ฝันเป็นจริงก็เกิดขึ้นกับผมทันที ถึงไม่มีรถเข็นมาพร้อมคุณไตรภพกับบรีสจัมโบ้สองกล่องโตๆ แต่อาหารมื้อนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกหวยรางวัลแจ๊กพ็อต เพราะได้รับบัตรผ่านระดับวีไอพีให้ไปทำอาหารในห้องแบรดอน แม็คแกรน ฮิ้ว!!!!!!!!!!!!!!!!!
สงสัยใช่ไหมครับว่าทำไมแบรดของคุณๆถึงได้ใจง่ายเห็นแก่กินอย่างนี้ เรื่องนี้มันมีที่มา...
เนื่องจากหุ่นฝรั่งหน้าฝรั่งอย่างแบรดอน แม็คแกรน กลับคลั่งไคล้อาหารไท้ไทย อย่างแกงไก่ไข่มะตูม กระเพราหมู น้ำพริกกะปิอะไรเทือกนั้นอย่างไม่สามารถหาคำมาบรรยายได้ เรียกว่าที่ไหนได้ข่าวว่าอร่อยยังไงพี่แกตระเวนมาหมดแล้ว ตั้งแต่ภัตตาคารเรือนไม้ในโรงแรมห้าดาวยันเพิงข้างถนนริมฟุตบาท แล้วก็ดันไปติดใจรสชาติถึงทรวงแบบข้างถนนมากกว่าอีกต่างหาก
แต่ตามประสาคนดังระดับประเทศไอ้การไปไหนมาไหนเลยไม่สะดวกเท่าไหร่ จะไปนั่งหล่อ
ซดแกงส้ม ไข่ชะอมดมควันให้รถติดเล่นบ่อยๆมันก็กระไรอยู่ ที่จริงเจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นไรเลยเพราะไม่สนใจว่าใครจะมองยังไงขอแค่ได้กินของอร่อยเป็นพอ บอกแล้วครับว่าแบรดของคุณๆออกจะเห็นแก่กินมากกว่าความปลอดภัย ก็ขกกกกดสขนาดยอมให้ผมบุกถึงครัวแล้วนับประสาอะไรกับเรื่องภาพพจน์ แต่ทางผู้จัดการส่วนตัวลามไปถึงกรรมการบริษัทลงมติว่าไม่ได้!! เพราะมันผิดคอนเซ็ป ผิดภาพพจน์ เป็นนักร้อง เป็นนายแบบไม่ได้เป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง จะได้ไปนั่งตัวขาวตากแดดกินข้าวราดแกงอย่างเดียวสิบห้าสองอย่างยี่สิบแข่งกับวินปากซอย
ด้วยเหตุผลประหลาดๆตามประสาคนดังไม่ควรกินข้าวแกงเป็นคนธรรมดาของประธานบริษัท
ทำให้ฝันผมเป็นจริง ขอบคุณมากครับเฮีย
ไม่ต้องรอให้แบรดออกปากชวนซ้ำ วันถัดมาผมก็หิ้วผักหิ้วไก่ไปรออยู่หน้าคอนโดที่เดิมตั้งแต่ห้าโมงครึ่ง นั่งคิดเวลางานอยู่ทั้งวันว่าจะงัดจวักด้ามไหนมามัดผู้ชายให้อยู่หมัดดี
เลิกงานปั๊บผมก็ตรงดิ่งไปจ่ายตลาดแบบตัวลอยๆ แทบจะซื้อผักซื้อไก่เป็นทำนองเพลงโชว์ลูกคอให้แม่ค้าแตกตื่นแก้เบื่อ เมนูวันนี้คือแกงไก่ใส่ฟักหมดตลาด มะเขือยาวชุบไข่ทอดเหลืองน่ารับประทาน มะระยัดไส้ขมพอดีๆ ผัดกะหล่ำหมูหมักนุ่มเหนียวกำลังกิน ปลาลิ้นหมาทอด กรอบนอกนุ่มในกับน้ำจิ้มสูตรลิขสิทธิ์ แม่ฉ้อยไม่ต้องรำทะเลรำเอง และข้าวก้องหุงขึ้นหม้อเป็นสามารถ คิดไว้เป็นเรื่องเป็นราว
นั่งฮัมเพลงรออย่างไม่มีเบื่อตั้งแต่ห้าโมงครึ่ง
แต่ชีวิตมนุษย์ใช่จะราบลื่นเสมอไป
วันนั้นผมนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ตั้งแต่กระหล่ำสดจนกระหล่ำเหี่ยวคาถุง
ผลของการรอคอย
คนที่ผมตั้งตาคอยมาถึงคอนโดตอนสองทุ่ม
ข้างกายมีสาวลูกครึ่งที่เห็นหน้าบ่อยๆในทีวีหนีบมาหนึ่งคน จำได้คับคล้ายคับคลาว่าชื่อหล่อนเหมือนน้ำอัดลม มิรินด้า แฟนต้า อะไรซักอย่าง ไม่ต้องพยายามนึกให้ปวดหัวใจเพราะไม่ว่า
สาวหน้าสวยชื่อคล้ายยี่ห้อน้ำอัดลมคนนี้จะชื่อแฟนต้าน้ำเขียวหรือกระทิงแดงมันก็ไม่ต่างอะไรกัน
แค่เห็นมือขาวๆนั่นเกาะแขนคนข้างๆไม่ปล่อยก็ทำเอาผู้ชายหน้าไม่หล่อชื่อทะเลคนนี้สมอง
หยุดทำการไปชั่วขณะ
ผมนั่งนิ่งเหมือนโดนอะไรหนักๆกระแทกเข้าที่หัว ตาจ้องสองคนที่เดินเคียงกันด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก ถึงจะเคยเห็นตามคอลัมน์ซุบซิบซอกแซกว่ามีสาวมากหน้าหลายตาเป็นข่าวกับผู้ชายของผม มั่วเอาเอง แต่พอมาเห็นเอง เห็นเต็มๆตาแบบนี้ความรู้สึกมันผิดกันฟ้ากับเหว
ภาพที่แบรดก้มไปฟังคนข้างๆแล้วหัวเราะออกมาพร้อมกัน มันตอกย้ำให้ผมคิดถึงสิ่งที่ทำอยู่ขึ้นมาทันที
นี่ผมกำลังทำอะไร กำลังหวังอะไร
ความใกล้ชิดไปวันๆงั้นรึ ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นเพราะมันมากที่สุดเท่าที่ผมจะเข้าไปได้
ไม่มีวันจะมากไปกว่านี้ พยายามให้ตายก็ไม่มีทางที่จะเข้าไปในความรู้สึกอย่างนั้นของแบรดได้ ไม่มีทางทำให้ตาสีเงินคู่นั้นมองมาที่ผมเหมือนเวลาที่เค้ามองผู้หญิงคนนี้หรืออีกหลายๆคนที่ถูกใจ ไม่ว่าจะพยายามยังไง ผมก็ยังเป็นผม ผู้ชาย ที่เป็นได้มากที่สุดแค่เพื่อน
แบรดเดินเข้าลิฟต์ไปโดยไม่เห็นว่ามีใครยืนหน้าสลดหดเหี่ยวอยู่ตรงนี้ ไม่แปลกเพราะผมอยู่ใน
มุมอับแถมความมืดมนมันคงยิ่งทำให้ตรงนี้เป็นโซนทมึนเข้าไปใหญ่
และแล้วประตูลิฟต์ก็เลื่อนปิดพร้อมกับสูบพลังชีวิตนายทะเลไปด้วยกึ่งหนึ่ง
ผมเดินออกจากคอนโดด้วยอาการที่ผิดกับขามาลิบลับ ตอนมานี่แทบเขย่งก้าวกระโดดประกอบการฮึมฮัมลูกคอ แต่ตอนนี้ต้องลากขาเหมือนหมาป่วย
ผมยกมือหนักๆขึ้นเปิดกระโปรงหลังรถ วางของที่หิ้วอยู่ลงไปด้วยความเศร้าในชีวิต
ของสดมากมายที่ขนซื้อมาต้องเป็นหมันซะงั้น ทำกินเองคนเดียวคงกินได้เป็นอาทิตย์
ไข่ในถุงนี่ เอาไปไว้หน้ารถดีกว่าจะได้ไม่แตกเหมือนใจเรา เฮ้อ
แต่ไข่สิบใบเกือบไม่รอดไปถึงอพาร์ทเมนท์ เพราะเสียงที่ดังขึ้นข้างตัวเล่นเอาผมเกือบปล่อยของในมือพร้อมกรี๊ด
“ทะเล?”
ผมหันขวับไปตามเสียงคุ้นหูทั้งยามหลับยามตื่น ในมือกำถุงไข่แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
คนที่ผมมองส่งเข้าลิฟต์ไปเมื่อครู่ ตอนนี้ยืนอยู่ตรงหน้า
แบรดมองมาด้วยสีหน้าสงสัยพร้อมเลื่อนสายตามาที่ไข่ในมือผม
กว่าจะรู้ว่าทำอะไรลงไปผมก็หันกลับไปโยนถุงไข่ใส่หลังรถแล้วกระแทกฝากระโปรงปิดด้วยเวลาไม่ถึงสองวินาที
เกิดความเงียบขึ้นอึดใจ
ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่อยากให้เค้าเห็นสิ่งที่ตั้งใจไว้
“เอ่อผม พอดีผ่านมาเลยแวะมาหา ” พูดจบก็แทบจะเอาหัวโขกกระโปรงรถคันข้างๆ
พูดออกไปได้ยังไงวะ แม้แต่เด็กห้าขวบยังรู้เลยว่าเอ็งตั้งใจมาไม่ใช่พอดีผ่านมา
“แวะมาตั้งแต่ห้าโมงครึ่งจนป่านนี้? ทำไมไม่บอกก่อนว่าจะมา” เสียงที่ได้ยินออกจะดุๆ
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณลำบากใจ”
“ไม่ได้ลำบากใจ แต่ถ้าบอกก่อนจะได้กลับมาเร็วกว่านี้หรือถ้าไม่ว่างยังไงนายจะได้ไม่ต้องรอ”
“ ครับ” แค่คำว่าไม่ลำบากใจ ก็ทำให้หัวใจน้อยๆของผมกลายเป็นถุงลม โป่งพองขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วเมื่อกี้ทำไมไม่เรียก ถ้ารปภ.ไม่โทรไปบอกฉันคงไม่รู้ว่านายมา” เสียงยังดุไม่เลิก
“ก็ ผมไม่ได้มีธุระสำคัญอะไร แล้วคุณก็มีเพื่อนมาด้วยเลย ” ผมพยายามพูดเรื่อยๆเหมือนไม่คิดอะไร แต่คิ้วที่เริ่มขมวดของคนตรงหน้าทำให้รู้สึกอึดอัด
“นายมาทำอะไรกันแน่บอกมาซะดีๆ ถ้าไม่มีธุระจะรออยู่ตั้งหลายชั่วโมงทำไม”
“ไม่มีอะไรจริงๆแค่ ”
“แค่ซื้อไข่มาฝาก?” เสียงเข้มดักคอขึ้นก่อนที่ผมจะหาเรื่องมาสตอร์เบอรรี่ได้ทัน
“!! ”
“ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม ฉันก็เหมือนกัน”
ผมมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อหู แล้วก็แทบไม่เชื่อสายตาที่เห็นเค้ายิ้มให้แบบนั้น
“เลทไปหน่อยแต่ทะเลคงทำอาหารให้กินได้ใช่ไหม”
ระยะเวลา ระยะทาง
และตั้งแต่อาหารมื้อแรกในห้องแบรดตอนสามทุ่มมื้อนั้น ผมก็ได้บัตรผ่าน รับรองอาหารสะอาดรสชาติอร่อยจากเจ้าของห้อง อนุญาตให้ฝันเป็นจริงมีมื้อเย็นด้วยกันเรื่อยมา
เวลาสามเดือนกับสิบวัน หรือร้อยสามวัน ร้อยสามมื้อนั่น ผมรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน
เช้าตื่นมาทำงานด้วยพลังกายพลังใจเต็มเปี่ยม พอตกเย็นก็ไปจ่ายตลาดแล้วตรงไปคอนโดแบรด
ทำอาหารไว้รอแฟนฉันกลับบ้าน อยากเรียกอย่างนั้นแต่คงลามปามเกินไป
พอแบรดกลับมา สองเราก็กินข้าวเย็นฝีมือผม ระหว่างมื้อก็คุยเรื่อยเปื่อย เช่นว่าวันนี้แบรดทำอะไรบ้าง ผมเจอลูกค้าน่าปวดหัวอีกแล้ว เรื่องดินฟ้าอากาศ ตลอดจนสถานการณ์บ้านเมือง หลังมื้อก็มีดูหนังกันบ้างถ้าเป็นวันหยุด จากนั้นผมก็ขับรถกลับอพาร์ทเมนท์แบบไม่ต้องเหยียบคันเร่ง เหมือนรถลอยได้เอง
ดูท่าเสน่ห์ปลายจวักผมจะกระแทกปากแบรดอย่างแรง เพราะร้อยสามมื้อนั่นไม่มีวันไหนที่
เจ้าของห้องจะพลาด ถึงขนาดยอมให้การ์ดสำรองผมไว้เพื่อเข้ามาทำอาหารในวันที่กลับดึกโดยเฉพาะ แรกๆผมจะหอบหมูหอบไก่พร้อมผักสดไปรอที่ล็อบบี้คอนโดตอนห้าโมงครึ่งแปะของทุกวัน แบรดกลับมา ถึงได้เข้าไปถอดเสื้อผ้าคาดผ้ากันเปื้อน ม่ายช่าย... เสื้อผ้ายังอยู่ครบแค่เข้าไปทำหน้าที่พ่อครัวเฉยๆ แต่พอเข้าเดือนที่สองคนที่ผมรอเริ่มงานยุ่งเพราะต้องอัดเสียงจนเย็นย่ำติดๆกัน ประกอบกับแบรดคงเห็นว่าผมไม่ได้น่ากลัวหรือมีอาการทางจิตอย่างที่พบกันครั้งแรก
เลยเกิดความไว้ใจระดับหนึ่งยอมให้การ์ดสำรองผมไว้สำหรับกรณีที่เค้าต้องทำงานดึก และวันที่แบรดจะกลับดึกมากๆผมก็จะทำกับข้าวทิ้งไว้ให้ ส่วนตัวเองขอพึ่งอาการถุงที่ตลาดแถวที่พักเป็นพอ แต่จะมีไม่บ่อยนักเพราะผมจะอึด อึดมาก
ผมจะรอจนกว่าจะน่าเกลียดถึงจะยอมพลาดอาหารมื้อนั้นๆ แล้วกลับอพาร์ทเมนท์ตัวเอง
ความสัมพันธ์ที่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรนอกจากเพื่อนกิน ดำเนินผ่านวันผ่านคืนไปโดยดีจนเข้าเดือนที่สาม ยี่สิบสองวันสุดท้ายก่อนสวรรค์ล่มเป็นช่วงที่ผมคิดมากยิ่งกว่าตอนคำนวณค่าการหักเหแสงที่ตกกระทบอยู่ในข้อสอบฟิสิกส์เอ็นท์สะท้าน
สาเหตุมันเพราะผมคนเดียวล้วนๆ เพราะความไม่รู้จักพอของตัวเอง
แบรดเป็นคนง่ายๆผิดกับภาพที่เห็น เข้ากับคนง่ายแสนง่าย ขนาดกับผมที่รู้จักกันแบบแปลกประหลาดอย่างนั้นก็ยังไม่รังเกียจ ให้ความสนิทสนมในระดับที่เรียกได้ว่าผู้ชายปกติที่เป็นเพื่อนกันพึงมี ทุกเย็นถ้ากลับมาเร็วแบรดจะเข้ามาเป็นลูกมือ ช่วยหยิบนู่นหยิบนี่ตลอดเวลาเหมือนเด็กฝึกงาน วันไหนหยุดก็ไปจ่ายตลาดเอง ซึ่งวันนั้นจะได้ของทะลักตู้เย็นจนเก็บเป็นสต็อกได้ตลอดอาทิตย์ ไม่ต้องจ่ายตลาดไปอีกหลายวันเพราะแม่ค้าแม่ยกทั้งหลายพากันลดแหลกแจกแถม ถึงขนาดแย่งกันให้ฟรีๆ เพื่อแลกกับคำขอบคุณแบบขำๆพร้อมรอยยิ้มขี้เล่นจากคนที่หิ้วทั้งผักทั้งเนื้อเต็มสองมือ อย่าว่าแต่แม่ค้าตลาดเลย ผู้ชายอย่างผมเองถ้าได้เห็นรอยยิ้มนั่นก็ยอมหมดแหละครับ ให้ทำอะไรว่ามาเลย เฮ้อ
แบรดคบผมแบบสนิทใจ ขาวสะอาด
แต่ผมนี่สิ ไม่มีซักวันที่จะคบแบรดด้วยความคิดสะอาดอย่างนั้น
ไม่มีวันไหนที่ผมมองหน้าคนที่นั่งกินข้าวตรงข้ามด้วยความรู้สึกของเพื่อนแบบที่ควรจะเป็น
ยิ่งใกล้ชิด ยิ่งถลำลงไปกับสิ่งที่อยู่ในใจจนถอนตัวไม่ขึ้น...
ทุกครั้งที่นั่งข้างกันบนโซฟาเวลาดูหนัง แค่อุณหภูมิที่ส่งผ่านจากคนข้างๆก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะจมน้ำ ทรมานกับสิ่งที่ไม่มีทางได้มาจนความตั้งใจที่คิดไว้แต่แรกเริ่มสั่นคลอนและพังทลาย
ลงในที่สุด
3 ธันวาคม เป็นวันที่ผมคงไม่ลืมไปอีกนาน ไม่มีทางลืมแน่ๆ...
เช้าวันนั้นผมตื่นมาด้วยอาการปกติ ไม่มีลางบอกเหตุให้รู้ล่วงหน้าว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงหัวใจที่ทำงาน
อย่างขยันขันแข็งมาตลอดยี่สิบห้าปีจะมีอันต้องหยุดชะงักเพราะภาพๆเดียว
เช้าวันนั้นก็เหมือนปกติ ผมไปถึงที่ทำงานเป็นคนแรกๆ เข้าห้องสภากาแฟ ชงกาแฟหอมกรุ่นขึ้นจิบก่อนเริ่มวันใหม่ด้วยความคิดที่เลยไปถึงรายการอาหารมื้อเย็นของผมกับแบรด
แต่แล้วเสียงกรี๊ดกร๊าดที่ดังร่วมมากับเสียงบ่นกันเป็นหมีกินผึ้งจากสาวๆเพื่อนร่วมงานทำให้ผมหัน ไปมอง สิ่งที่หนึ่งในพวกเธอถืออยู่คือหนังสือพิมพ์ฉบับเช้า ชื่อของคนในข่าวที่แว่วเข้าหูทำให้ขาผมก้าวเข้าไปร่วมวงด้วยทันที
ภาพครึ่งหน้าหนังสือพิมพ์ คอลัมน์ซุบซิบซอกแซกดาราที่เปิดหราอยู่ตรงหน้าเล่นเอาตะลึงไปชั่วขณะ ด้วยอาการเลื่อนลอยแต่สายตายังไล่ตามเนื้อข่าวๆไปอย่างไม่ลดละ จากแค่ตะลึงเลยกลายเป็นนิ่งและเมื่ออ่านมาถึงบรรทัดสุดท้ายผมรู้สึกว่าหัวใจตัวเองหายไปที่ไหนซักแห่ง
เพราะมันนิ่งเหมือนหยุดเต้นไปซะอย่างนั้น
ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก
บรรยากาศสลัว แสงไฟมัวๆของคอนเสิร์ตนักร้องต่างประเทศชื่อดัง ผู้คนมากมายในภาพบอกได้ถึงบรรยากาศของงาน แต่ถึงจะมีคนอยู่มากมายแค่ไหนเขาก็ยังเป็นเขา
ภาพที่เรียงติดกันสี่ภาพ ครึ่งหน้าหนังสือพิมพ์มองออกว่าเป็นภาพแอบถ่าย เพราะทั้งสองคนที่ตกเป็นเป้ามือดีดูจะไม่รู้ตัวเลยว่ามีบุคคลที่สามเล็งกล้องเก็บภาพสวีททุกอิริยาบถไว้ให้เป็นที่ระลึก
แบรดดรอน แม็คแกรน ดูโดดเด่นท่ามกลางผู้คนมากมายแม้จะใส่แค่เสื้อยืดสีเข้มกับยีนส์ซีดๆติดตัว
ข้างกายก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นางแบบสาวที่กำลังฮ็อตมีข่าวอยู่ไม่ขาด
อาการก้มลงฟังเสียงกระซิบอย่างเป็นกันเอง
แขนเรียวขาวยกขึ้นโอบเอวอีกฝ่ายก่อนหันไปหาทั้งตัว
คนตัวสูงแข็งแรงเงยหน้าหัวเราะเหมือนได้ยินอะไรตลกจากปากบางที่คลอเคลียอยู่ข้างหู
ตบท้ายด้วยภาพสุดท้ายที่ไม่ต้องมีคำบรรยายอะไรอีก เพราะภาพมันสื่อทุกอย่างได้ชัดเจนเหลือเกิน
เจ้าของแขนเรียวเขย่งปลายเท้า หน้าคมเข้มของคนตัวสูงก้มลง บรรจบกัน ปากต่อปาก
ตาผมจ้องภาพสี่ภาพที่อยู่ตรงหน้า ใช่ มันเป็นภาพนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหว
แต่ในหัวผมนี่ กลายเป็นอนิเมชั่นไปแล้ว ภาพสี่ภาพต่อกันเป็นเรื่องราวเล่นซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ
ผมมองภาพสุดท้ายอีกครั้ง แม้จะรู้สึกเหมือนมีอะไรแหลมๆพุ่งเข้าปักฉึกที่อกข้างซ้ายแต่ก็ไม่สามารถละสายตาได้ ผมมองภาพนั้นอยู่นาน มองเหมือนจะให้สิ่งตรงหน้าย้ำกับตัวเองว่านี่แหละความจริง
ความรู้สึกที่ตามมาหลังอาการใจหายไปกับอากาศคือหัวใจปวดหนึบๆอย่างไม่อาจต้านทานได้
แต่ความรู้สึกที่พุ่งแรงแซงทางโค้งขึ้นมาแบบล้นทะลักคือ ความหึงหวง
น่าขำถึงแม้จะหัวเราะไม่ออก
นี่ผมหึงอะไร หวงอะไร
ผมมีสิทธ์อะไรรึ ไม่เลย ไม่มีสิทธ์แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ
ความคิดที่วาบเข้าหัวแค่เสี้ยววินาทีทำให้รู้ว่าเรื่องมันไปไกลเกินซะแล้ว ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ไหวแน่ ไอ้ที่เคยคิดว่าแค่ได้อยู่ใกล้ๆโดยไม่โดนรังเกียจก็พอแล้วนั่นคงเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ถ้าปล่อยให้เวลาผ่านไปมากกว่านี้ผมคงได้บ้าเข้าจริงๆซักวัน
ก่อนที่ผมจะตีหัวแบรดแล้วขังไว้กับห้อง หรือถือปืนไปยิงกราดสาวน้อยสาวใหญ่ที่ห้อมล้อม
แบรดอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน เอาเป็นว่า
หยุดแค่นี้คงดีกว่า
ผมเริ่มถอยออกมาจากสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนั้น ยี่สิบวันก่อนทุกอย่างจะจบผมยังไปทำอาหารที่ห้อง
แบรดเหมือนเคย เหมือนไม่มีอะไรผ่านสายตาให้เจ็บช้ำ แต่แทนที่จะไปเวลาเจ้าของห้องอยู่และทำอาหารด้วยกันกินด้วยกันอย่างเคย ผมกลับไปเวลาที่แน่ใจว่าแบรดไม่อยู่ ทำอาหารไว้แล้วรีบกลับก่อนเจ้าของห้องจะกลับมา ทิ้งโน้ตไว้บอกว่ามีงานด่วนบ้าง มีเรื่องต้องทำบ้าง
มันก็ผ่านไปด้วยดีจนเข้าอาทิตย์ที่สอง โน้ตบทโต๊ะกระจกข้างครัวมีเบอร์โทรของแบรดพร้อมข้อความสั้นๆเขียนไว้ว่าให้ผมโทรหา ถึงจะไปๆมาๆอยู่สามเดือนกว่าแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้เบอร์มือถือของแบรด และแน่นอนเค้าไม่รู้เบอร์ผมเช่นกัน
ผมเก็บเบอร์ที่เคยอยากได้ใจจะขาดเข้ากระเป๋าแล้วลงมือทำอาหาร จากนั้นกลับอพาร์ทเมนท์
ผ่านไปสองวัน มีโน้ตจากแบรดอีกแผ่นบอกให้ผมทิ้งเบอร์มือถือไว้เพราะวันก่อนผมไม่ได้โทรไปตามที่บอก คราวนี้ก็เหมือนกันผมเขียนบอกไว้แทนว่ามือถือหาย
หลังจากนั้นผมยังทำเหมือนเดิม อาหารพร้อมโน้ตหนึ่งแผ่น งานค้าง งานด่วน
มันผ่านไปจนวันที่สิบเจ็ด โน้ตครั้งสุดท้ายจากแบรดบอกให้ผมทิ้งเบอร์ไว้อีกครั้ง
แต่ผมก็ยังยืนยันเหมือนเดิม แน่วแน่หนักแน่นดังหินผา...
ผลที่ได้คืออาหารที่ไม่ได้รับการแตะต้อง
วันถัดมาอาหารที่ผมทำไว้เมื่อวานยังอยู่ที่เดิมไม่มีแม้แต่การเปิดฝาออกดู ไม่เป็นไร
ผมกวาดของในจานลงถังขยะและทำของใหม่อีกครั้ง เป็นอย่างนี้อยู่หนึ่งอาทิตย์
อาหารที่ไม่มีคนกิน และโน้ตที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป
วันสุดท้ายมาถึงอย่างไม่ให้ตั้งตัว
ถึงจะตั้งใจไว้แล้วแต่พอเอาเข้าจริงกลับอยากยืดเวลาออกไปให้นานที่สุด ไม่ใช่จบปุ๊บปั๊บแบบนี้
วันนั้นผมไปคอนโดแบรดตอนบ่ายสามโมงเหมือนปกติ เดินสลดหดเหี่ยวไขประตูเข้าไป
แล้วก็ต้องตะลึงตึงๆ เมื่อเห็นว่าคนที่ผมคิดถึงทุกเวลานั่งหน้าเฉยอยู่กลางห้อง
ผมยืนนิ่งเป็นเสาไฟฟ้าหน้าพุทธมณฑล มองคนที่ไม่ได้เห็นมาเกือบเดือนด้วยความรู้สึกกึ่งๆ
แบรดมองมาที่ผมด้วยสายตาเฉยๆ เดาไม่ออกว่าอารมณ์ไหน
“ไง วันนี้มีเวลากินข้าวด้วยกันสักมื้อไหมทะเล” เสียงเรียบๆถามขึ้นโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน
“ วันนี้ไม่ทำงานเหรอครับ” ถามไปแล้วถึงรู้ตัวว่าขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ
แบรดไม่ตอบอะไร ร่างสูงใหญ่ลุกเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบน้ำขึ้นเปิดดื่ม
ท่าทางเรียบๆเรื่อยๆเหมือนปกติที่อีกฝ่ายแสดงออกทำให้รู้สึกโหวงๆ
ก็รู้อยู่ว่าสำหรับแบรดแล้วผมไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าเพื่อนกินข้าวเย็น
การที่ผมหายไปหรือยืนหัวโด่อยู่นี่มันไม่ต่างอะไรกันหรอก ไม่สักนิด
แต่พอเจอกับการแสดงออกที่ตอกย้ำว่าสิ่งที่คิดเป็นความจริงมันก็แสลงใจขึ้นมาซะอย่างนั้น
“เข้ามาสิ ยืนอยู่ทำไม” แบรดพูดพร้อมเดินกลับไปที่โซฟา ยกรีโมทขึ้นเปลี่ยนช่อง
ผมเดินตัวลีบเข้าไปเก็บของในครัว ได้ยินเสียงโทรทัศน์ดังแว่วๆระหว่างจัดของเข้าตู้เย็น
หลังจากเรียงผักเข้าที่แช่ชั้นล่างเสร็จผมลุกขึ้นแล้วดันประตูปิด จากนั้นหัวใจหยุดเต้นไปสี่วินาที
“เกิดอะไรขึ้น” คนถามยืนอยู่ข้างหลัง ใกล้มากๆ
“ ครับ?” ผมถามพร้อมถอยหลังมาตั้งหลักก้าวครึ่ง อยากยกมือขึ้นบีบคอตัวเอง
ทำไมเสียงมันสั่นอย่างนี้วะ ไม่ใช่แค่เสียงอย่างเดียว ใจก็สั่นด้วย
“หลบหน้าทำไม” แบรดยกมือขึ้นกอดอก ท่าทางคงจะไม่ไปไหนจนกว่าจะได้คำตอบ
“หลบหน้า ผมน่ะรึ?” ต่อมตอแหลเริ่มทำงานแต่ต่อมเสียงยังสั่นไม่เลิก
“รึไม่ใช่”
“ถ้าใช่ผมจะยังมาที่นี่ทำไมทุกวัน” ผมพูดพร้อมหันไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำเปล่าติดมือมาหนึ่งขวด
ค้างหัวไว้แล้วนับหนึ่งถึงสิบเพื่อลดอัตราการเต้นของหัวใจ
“เดือนนี้ที่ทำงานขาดคนผมเลยต้องเดินร้านขายยากับคลินิกด้วย กว่าจะเสร็จก็เกือบสามทุ่มทุกวัน
เลยมากินข้าวกับคุณไม่ได้ ไม่งั้นไม่พลาดหรอก” ลื่นไหลดีมาก
“แล้วทำไมไม่โทรมา”
“ครั้งแรกยุ่งจนลืม ส่วนครั้งหลังทำเบอร์หายครับ ขอโทษที”
แบรดขมวดคิ้ว สีหน้าเดาได้ว่ากำลังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งผมเลยรีบส่งลูกปิดท้าย
“วันนี้มีน้ำพริกนรก ปลาทูทอดกับสารพัดผักต้ม แล้วก็ไข่ยัดไส้ เมนูโปรดคุณด้วย ถ้าไม่ออกไปไหน ทำกินกันตอนนี้เลยไหม”
แบรดยังดูไม่เชื่อเต็มร้อยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก เพียงแค่พยักหน้าแล้วเดินไปปิดโทรทัศน์
ตลอดบ่ายนั้นสายตาผมไม่ได้ไปไหนไกลกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเลย ไม่ว่าจะตอนทำอาหาร
กินข้าว ดูหนัง
ระหว่างดูหนังเสียงโทรศัพท์มือถือแบรดดังขึ้น ถึงจะไม่ได้ออกชื่อแต่จากคำพูดที่ใช้ก็เดาได้ไม่ ยากว่าต้องเป็นหนึ่งในสาวๆเรียงเบอร์ ผมลุกออกมาตอนได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของคนข้างๆ แล้วเดินไปเปิดตู้เย็นด้วยมือที่เย็นกว่าของในตู้ ปิดมันด้วยใจที่หนักกว่าบานประตูมากนัก
สิ่งที่ผมเห็นเมื่อหันกลับไปมองคนบนโซฟา คือแบรดอน แม็คแกรน ผู้ชายที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเจ้าชายของหญิงสาวทั้งประเทศ พูดอย่างไม่อายปากก็ต้องบอกว่าสำหรับผมด้วย
ผมหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด รู้สึกได้ถึงความเย็นที่วิ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ
เมื่อลืมตาขึ้นครั้งนี้สิ่งที่ผมต้องมองคือความเป็นจริง ไม่ใช่วิมานลมๆแล้งๆที่คิดเอาเองไม่ยอมเลิก คนตรงหน้าผมเป็นใครแล้วตัวผมเองเป็นใคร มันถึงเวลาแล้ว
หนังในจอทีวีจบลงพร้อมวิมานในอากาศของผมปิดตัวลงตามไปด้วย
ผมบอกลาคนตรงหน้าด้วยอาการที่คิดว่าปกติเหมือนทุกครั้ง แบรดเดินมาส่งที่ประตูพร้อมบอกเมนูที่อยากกินพรุ่งนี้ด้วยสีหน้าเหมือนเด็กๆ ผมยิ้มรับและเดินผ่านประตูที่เปิดรออยู่
หลังประตูปิดลง ทุกอย่างก็ปิดตาม
ไม่มีพรุ่งนี้อีกแล้วสำหรับผมและคนที่อยู่ในห้อง
ไม่มีผมกับแบรดที่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว
มีแค่ผมที่รู้จัก แบรนดอน แม็คแกรน ซุปเปอร์สตาร์คนดัง ที่มีแฟนผลงานทั่วประเทศ
ซึ่งแน่นอนผมเป็นหนึ่งในนั้น แค่นั้น..
และสำหรับแบรนดอน แม็คแกรน ผมไม่เคยมีตัวตน
...............................................
ความคิดเห็น