ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dangerous's Colors รักอันตรายผู้ชายหลากสี

    ลำดับตอนที่ #2 : Love's Black Chapter 1 :: Prologue [Load 100%]

    • อัปเดตล่าสุด 4 ต.ค. 58



    Love’s Black

    Chapter 1 :: Prologue

     

    If you ever leave me, baby

    Leave some morphine at my door

    Cause it would take a whole lot of medication

    To realize what we used to have, we don’t have it anymore

    ถ้าเธอจะจากฉันไปนะที่รัก

    ช่วยเอามอร์ฟีนไว้ที่ประตูด้วย (มอร์ฟีนช่วยบรรเทาความเจ็บ)

    เพราะหัวใจดวงนี้มันคงต้องถูกรักษามากมาย

    หลังจากรู้ว่าสิ่งที่เราเคยมีร่วมกัน มันจะไม่มีอีกแล้ว

    Thank > It will Rain – Bruno Mars

     

     

    เอี๊ยด!!!!

    เสียงเบรกห้ามล้อที่เสียดสีกับพื้นถนนดังสนั่นหวั่นไหวไปพร้อมๆ กับเฟอรารี่สีดำมันวาวไถลและส่ายไปมาบนท้องถนนอันเงียบสงบแถบชานเมือง มันคงจะเป็นชานเมืองเพราะบ้านเรือนผู้คนดูบางตาเหลือเกิน

    ผมซึ่งนั่งประจำในตำแหน่งคนขับหัวสั่นหัวคลอนไปตามแรงเหวี่ยงของรถแต่ก็ยังพยายามบังคับพวงมาลัยเอาไว้สุดกำลังเพื่อลดความสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุด

    ใจหนึ่งผมก็อยากจะปล่อยมือออกจากพวงมาลัยบ้านั้นซะ เมื่อหวนคิดว่าทำไมและ ‘ใครที่ทำให้ผมต้องซิ่งรถท้าความตายออกมาจากสนามแข่งแบบนี้

    ผมชื่อ ‘แบล็คลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าสัวเสือดำ นักธุรกิจใหญ่ที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ด้วยธุรกิจเกี่ยวกับเหมืองแร่และอัญมณี ชีวิตที่เกิดมาบนกองเงินกองทองช่างน่าอิจฉา

    แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าผมไม่ได้มีความสุขกับเงินทองพวกนั้นเลย ผมโหยหาความรักที่ผู้เป็นพ่อไม่เคยมีให้ ชีวิตที่มีแต่งาน งาน และผู้หญิงทำให้ผมกลายเป็นคนพูดน้อย ไม่ชอบสุงสิงกับใคร และก็ต้องหาความสุขด้วยการเสี่ยงตาย หรืออะไรก็ได้ที่มันโลดโผน

    เพื่อระบาย เพื่อความสะใจ และเรียกร้องความสนใจจากคนเป็นพ่อ!

    โครม!!

    เสียงกระแทกระหว่างรถกับราวสะพานก่อนที่ร่างของผมจะกระเด็นออกจากเจ้าม้าศึกคึกคะนอง และลอยละลิ่วราวกับเศษผงก่อนจะสงบลงกับพื้นคอนกรีตเย็นเยียบปล่อยให้เจ้าม้าดำมันคลั่งต่อไปด้วยการกระแทกนั่นกระแทกนี่เพียงลำพังและไม่นานก็สิ้นฤทธิ์เมื่อมันชนกับต้นไม้ใหญ่ริมแม่น้ำอย่างจัง

    “อึก...”

    ผมครางเบาๆ เมื่อความเจ็บปวดกระโจนใส่ร่างที่ชุ่มไปด้วยเลือดของผม ผมคิดว่าเลือดคงต้องออกชุ่มนะ เพราะจากแรงกระแทกและสถานการณ์ทำให้ผมคิดว่ามันคงต้องเป็นอย่างนั้น

    แต่ที่น่าจะรุนแรงที่สุดคงจะเป็นที่ศีรษะเมื่อผมสัมผัสได้ถึงความเหนียวข้นของ ‘เลือดสีดำที่ไหลลงมาจากหน้าผากก่อนมันจะอาบไปทั่วใบหน้าหล่อเหลาของตัวเอง กลิ่นคาวเลือดชวนลิ้มรสโชยเข้าจมูกของผม ความเจ็บปวดที่แล่นเป็นริ้วแต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็เปลี่ยนเป็นชายิบไปทั้งร่าง

    จริงๆ แล้วผมก็มีเลือดสีแดงเหมือนคนทั่วๆ ไปนี่หละ ไม่ได้เป็นสัตว์ประหลาดหรือมนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์อะไร แต่พวกเพื่อนๆ ชอบบอกว่าผมมีเลือดสีดำอันเหมือนนิสัยที่เลือดเย็นและเหมือนกับชื่อของผมนั่นเอง

    ผมลืมบอกไปว่าในจำนวนเพื่อนไม่กี่คนของผม ทุกคนล้วนแต่มีชื่อเป็นสีทั้งนั้น บราวน์ บลู กรีน เกรย์ แต่ไม่ต้องไปสนใจพวกมันหรอก มาสนใจอาการของผมดีกว่า

    ผมไม่รู้ว่าตัวเองบาดเจ็บตรงไหนบ้าง รู้เพียงว่ามันขยับไม่ได้ทั้งตัว น่าสมเพชตัวเองสิ้นดีที่นักแข่งมืออาชีพอย่างผมดันลืมคาดเข็มขัดนิรภัยทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่ามันสำคัญอันดับต้นๆ ของชีวิตนักแข่ง แต่ยังเป็นโชคดีของนรกอเวจีละมั้งที่ผมยังใส่ชุดแข่งแบบครบเซต ไม่อย่างนั้นผมคงได้ลงไปเซย์ไฮยมบาลแล้วหละ

    ผมกลอกตาไปมาเพราะไม่กล้าฝืนขยับร่างกายส่วนไหนเลย แสงสว่างที่อยู่ในเลนส์ม่านตาเริ่มโรยหายไปจากท้องฟ้า เสียงนกที่ขับขานบทเพลงชวนนิทราทำให้เปลือกตาหนาที่หนักอึ้งของผมค่อยๆ ปิดลง ปิดลงเรื่อยๆ

    ลาก่อนความเจ็บปวดในหัวใจ ลาก่อนชีวิตอันเลวร้าย ผมคิดในใจอย่างปลงตก เพราะใจจริงแล้วผมก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเลยด้วยซ้ำ

    ก็ใครมันจะอยากอยู่จริงไหม การที่ต้องอยู่บ้านหลังใหญ่เรียกมันว่าคฤหาสน์น่าจะชัดกว่า แต่หาความสุขไม่ได้เลย

    บ้านที่เงียบราวป่าช้า พ่อที่หิ้วผู้หญิงต่ำๆ ไม่ซ้ำหน้ากลับมาทุกวัน ไม่เคยเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผมแล้วยังมีหน้ามาบังคับให้ผมเรียนบริหารเพื่อสืบสานธุรกิจ ซึ่งมันไร้สาระวะ

    คงแปลกใจใช่ไหมว่าทำไมผมถึงไม่พูดถึงเรื่องแม่ ก็เพราะผมไม่มีไง แม่ผมตายตั้งแต่คลอดผม พ่อบอกอย่างนั้น และมันก็กลายเป็นเหตุผลหรือที่เรียกว่าข้ออ้างให้พ่อหิ้วผู้หญิงเข้ามาบ้านนั่นแหละ

    ชดเชยความเหงา ผมอยากจะขำให้กรามค้าง ความเหงาที่มีได้ทุกวัน แต่ไม่เคยรับรู้หรอกว่าคนเป็นลูกคนนี้มันก็เหงาเป็นเหมือนกัน

    แล้วที่ผมหุนหันออกมาจากสนามแข่งรถวันนี้รู้ไหมว่าเพราะอะไร ก็เพราะพ่อที่หลงหญิงสาวรุ่นลูกที่ถึงกับเอ่ยปากว่าหล่อนจะมาเป็นแม่ใหม่ของผมยังไงล่ะ

    ยัยนั่นน่าจะอ่อนกว่าผมสักสองปี ประมาณ 23 ปีมั้งอายุ หล่อนยั่วยวนผมทุกทีที่คลาดสายตาจากพ่อ ทั้งกอด จูบ เสียดสี เลวร้ายที่สุดก็คือถ่างขาให้ผมเอาจนถึงขั้นตามมาอ้าให้เสียบถึงสนามแข่ง

    น่าขยะแขยงชะมัด ถึงผมจะได้ชื่อว่า ‘จัดผู้หญิงทุกคนที่เสนอตัว แต่ก็ไม่ได้ชั่วขนาดที่จะเอาผู้หญิงคนเดียวกับพ่อหรอกนะ

    พอพ่อมาเห็น ก็คงเป็นเพราะแผนที่วางไว้ของหล่อนนั่นแหละ เพราะพ่อไม่เคยเหยียบที่สนามซึ่งเป็นของเพื่อนผมหรอก จากนั้นหล่อนก็แถหาว่าผมฉุดมา ว่าผมลวนลาม แล้วพ่อก็เชื่อ เราทะเลาะกันอย่างแรง แรงที่สุดตั้งแต่ผมจำได้

    พ่อตบหน้าผม แม้ว่าผมจะเห็นสายตาสำนึกผิดจากพ่อหลังจากที่ฟาดหน้าผมไปแล้ว แต่มันก็รั้งผมไม่อยู่ ผมขับรถออกมาอย่างเร็ว มาแบบไม่รู้จุดหมายปลายทาง และด้วยอารมณ์และความไม่ชินทางก็ทำให้ผมเกิดอุบัติเหตุในที่สุด

    รู้แล้วเป็นยังไงกันบ้าง ในเมื่อชีวิตมันบัดซบขนาดนี้ ความตายน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

    ผมรวบรวมแรงที่เหลือเพียงน้อยนิดประมาณว่าแค่พยายามขยับ แรงที่หายใจก็จะลดลงไปราวกับตาชั่ง ยกมือขึ้นมากุมล็อกเก็จที่อยู่กับสร้อย

    แม่ครับ ผมกำลังจะไปหาแม่แล้วนะ

    ผมบอกตัวเองในใจเพราะไม่มีแรงแม้แต่จะขยับปากและเปล่งแสงออกไปอีกแล้ว ปล่อยสติให้หลุดลอยไปกับความว่างเปล่า

    แต่แค่เพียงที่ผมรู้สึกว่ากำลังจะหมดลม ผมก็รู้สึกกลัว ไม่ใช่สิ มันเป็นความรู้สึกเสียดายมากกว่า ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมยังไม่ได้ทำ อะไรบางอย่างที่มันสำคัญมาก!

    แต่ผมคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว ผมสำลักเลือดที่ไหลออกมาจากปากและจมูก มันทำให้ผมหายใจไม่ออก ติดขัด เหนื่อยหอบจนจวนเจียนจะ...หมดสติ

    ตึก ตึก ตึก

    เสียงฝีเท้าที่ซอยถี่ๆ เรียกสติที่กำลังจะหมดไปของผม เสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมรู้ว่ากำลังมีคนเดินเข้ามาตรงจุดเกิดเหตุ เปลือกตาหนักพยายามลืมขึ้นและปรับหาโฟกัสในการมอง แต่มันพร่าเบลอเกินไป ความพร่าที่เกิดจาก ‘เลือดเข้าตาทำให้ผมเห็นหน้าคนที่ชะโงกลงมาไม่ชัด และดูแทบไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นยังไง

    “คุณ”

    น้ำเสียงหวานใสเอ่ยเรียก ทำให้ผมรู้ทันทีว่าเธอเป็นผู้หญิง และคงจะสวยมากๆ ด้วยถึงได้มีเสียงหวานจับขนาดนี้

    บ้าป่ะ? หน้าสิ่วหน้าขวาน ชีวิตที่กำลังจะเป็นจะตายอยู่อย่างตอนนี้ผมยังมีกะจิตกะใจคิดถึงเรื่องนี้อีก ก็ไม่รู้สิ ผมรู้สึกเหมือนว่าเธอเป็นแสงสว่างที่ส่องและสาดแสงเข้ามาในชีวิตของผม มาในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดเสียด้วย

    “ไม่ต้องกลัวนะคะ ฉันจะช่วยคุณเอง”

    ผมพยายามฝืนและต่อสู้กับความเจ็บปวดเพื่อมองใบหน้าของเธอ เจ้าของเสียงที่เป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ และความพยายามที่ผมเฝ้าพากเพียรกว่าห้านาทีก็สำเร็จเมื่อแสงสว่างในม่านตาของผมเริ่มปรากฏขึ้น

    ดวงตากลมโตของเธอดูหวานเศร้าหากกลับจ้องมองผมอย่างให้กำลังใจ รอยยิ้มอ่อนโยนที่ถูกล้อมกรอบด้วยใบหน้ารูปไข่เปรียบดั่งออกซิเจนที่ทำให้ผมอยากจะหายใจต่อ

    แต่มันเลือนรางเหลือเกิน จนผมอดคิดไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วนั้นผมตายหรือยัง เพราะเขาว่ากันว่าความตายมันคล้ายดั่งความฝัน และผู้หญิงที่ผมเห็นตรงหน้านั้นคือ ‘นางฟ้าหรือเปล่า

    คงไม่ใช่ เพราะนางฟ้าที่ไหนจะลงมาต้อนรับผมถึงขุมนรก แต่หากมันเป็นขุมนรกจริงๆ ผมก็พร้อมจะอยู่เพราะมันก็คงเป็นนรกที่น่าอยู่ที่สุด

    ดวงตาที่พยายามฝืนความเจ็บปวดของร่างกายปิดลงอีกครั้ง แต่แทนที่ด้วยความอุ่นวาบราวกับกระแสไฟที่แล่นเข้ามาในหัวใจน้ำแข็งของผมทันทีที่ความนุ่มนิ่มจากมือเล็กแตะที่แขนของผมเบาๆ

    “ไม่เป็นไรนะคะ รถพยาบาลกำลังจะมา”

    เสียงหวานเอ่ยปลอบใจ เธอพยายามที่จะถอดหมวกของผมออกแต่ก็ถอดไม่ได้เพราะมันบิดเบี้ยวเสียรูป เธอจึงทำได้เพียงใช้ผ้าผืนเล็กๆ กดลงที่บาดแผลตรงหน้าผากของผม

    “เลือดคุณออกเยอะมาก”

    ผมไม่รับรู้แล้วว่าเธอพูดอะไร แต่ที่รู้คือผมคลี่ยิ้มแต้มใบหน้าหล่อซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้มันยังหล่ออยู่หรือเปล่าอะนะแต่มันก็เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากความสุขใจ มันปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก เปลือกตาหนาค่อยๆ กดปิดลงเมื่อมันหนักอึ้งจนเกินต้านทาน และในที่สุดก็ปิดลง

    แต่สัมผัสบริเวณใบหน้าทำให้ผมยังรับรู้ว่าเธออยู่ข้างๆ ผม แรงกดซ้ำๆ ยังชัดเจนตรงหน้าผาก ปากก็พร่ำเรียกเพื่อรั้งสติของผมเอาไว้ ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกกลืนหายไปพร้อมกับการที่ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวของเธอเลย...

     

    ‘W-S’ ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ปักอยู่บนผ้าเช็ดหน้าสีขาวมีลูกไม้ตรงชายผ้า ผ้าเช็ดหน้าของผู้หญิงคนนั้นเป็นเสมือนเครื่องรางที่ผมต้องพกติดตัวตลอด ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็หนึ่งปีมาแล้ว

    ผมอมยิ้มน้อยๆ แอบเขินอยู่คนเดียวที่ผู้ชายหน้านิ่ง นิสัยโหด โฉด เชี่ยอย่างผมพกผ้าเช็ดหน้าหวานแหวว แต่ก็นะ หากใครเจอเรื่องราวประทับใจอย่างผมก็คงทำเหมือนกัน

    อีกเรื่อง ผมอยากจะขอบคุณความประมาทในครั้งนั้นเหลือเกิน เพราะมันทำให้ผมได้พบกับผู้หญิงที่เปรียบดั่งแสงสว่างในชีวิตที่มืดมนของผม

    “วุ้นใส”

    ผมเรียกชื่อเจ้าของร่างโปร่งระหงที่อยู่ในชุดนักศึกษารัดรูป กระโปรงสั้นเต๋อของเธออวดเรียวขายาวราวกับนางแบบ

    ดวงตากลมโตหันมองมาสบตากับผมก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะคลี่ยิ้มหวานให้ รอยยิ้มที่ผมได้รับมาตลอดตั้งแต่ตามหาเจ้าของผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเจอ

    เป็นบุพเพหรืออย่างไรที่ทำให้คนที่ช่วยผมในครั้งนั้นเป็นคนที่เรียนอยู่มหาลัยเดียวกัน เธอเรียนแฟชั่นดีไซด์ซึ่งมันดูเข้ากันกับรูปร่างโปร่งระหงของเธอเหลือเกิน

    ผมต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลถึงสามเดือนจากอาการบาดเจ็บที่ศีรษะ หัวไหล่ และขาที่หัก แต่หลังจากที่ผมออกจากโรงพยาบาล ผมก็เริ่มตามหาคนที่เป็นแสงสว่างในชีวิตอย่างจริงจัง จนในที่สุดฟ้าก็เห็นใจ

    เมื่อสามเดือนก่อนผมและวุ้นใสเดินชนกัน เธอทำผ้าเช็ดหน้าตก ตัวอักษรที่ปักลงบนนั้นเหมือนกันกับผืนที่ผมเก็บไว้ ทำให้ผมมั่นใจว่าเป็นเธอ แต่ผมก็ไม่ได้เท้าความไปถึงวันนั้นหรอกนะ ไม่อยากให้เธอจดจำเรื่องราวร้ายๆ ของผมและก็ไม่อยากให้เธอคิดด้วยว่าที่ผมเข้าหาเธอเป็นเพราะเรื่องบุญคุณความช่วยเหลือ

    ผมเป็นฝ่ายเข้าไปจีบเธอก่อนอย่างที่ไม่เคยทำกับใคร เพราะโดยปกติแล้วมีแต่ผู้หญิงวิ่งเข้าหาผมมากกว่า ก็อย่างว่าคนมันหน้าตาดี ฐานะเด่น แม้นิสัยหรือสันดานจะเชี่ย แต่พวกผู้หญิงก็ชอบ

    เร้าใจ ตอบโจทย์ โหดสัส

    “มาก่อนเวลานัดหรือเปล่าแบล็ค”

    เธอเอ่ยเย้าผม เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยละมั้งที่ผมมาก่อนเวลานัด ก็วันนี้เป็นวันสำคัญนี่ เป็นวันที่เราคบกันครบหนึ่งเดือน

    ผมเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนเดิมลงในกระเป๋าเสื้อหนังสีดำอย่างรีบเร่งเพื่อซ่อนมุมมุ้งมิ้งอันขัดกับใบหน้าและนิสัยพลางดีดตัวขึ้นจากกระโปรงรถคันหรู ไม่ใช่คันนั้นหรอกนะ เพราะเจ้าม้าศึกตัวนั้นนะพังจนไม่เหลือซากไปแล้ว

    “ก็ใจมันสั่ง”

    ผมหยอดคำหวานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนเพื่อนๆ ในกลุ่ม Colors ต่างก็ลงประชามติว่าผมถูกเสน่ห์ จากคนไร้หัวใจ เย็นชา ชอบเก็บตัวกลายเป็นคนสดใสเพียงแค่ผมได้รู้จักกับวุ้นใส

    วุ้นใสย่นจมูกทำปากจู๋ใสผม การกระทำที่แม้ดูไม่เข้าตาแต่หากถ้าเป็นวุ้นใสทำ ผมกลับเห็นว่ามันดูน่ารักไปเสียหมด เธอเป็นคนสดใส ดูมีความมั่นใจตามแบบฉบับสาวสวย รวย เก่ง แววตาของเธอฉายความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวตลอดเวลา จนบางครั้งก็ทำให้ผมรู้สึกว่าเธอแตกต่างจากเมื่อครั้งแรกที่เราพบกันเหลือเกิน

    แต่ก็นะ ตอนนั้นตาผมอาจจะพร่าเบลอจนมองอะไรไม่ชัด ยอมรับว่าจำหน้าอีกฝ่ายแทบไม่ได้ แต่ที่ผมมั่นใจนั่นก็คือผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น

    “วันนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่า”

    วุ้นใสถาม สีหน้าของเธอบอกชัดว่าไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร ผมรู้สึกหน้าตึงขึ้นมาทันที เหมือนเธอไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เลยสักนิด

    “ก็...”

    “เฮ้! เปียกปูน”

    วุ้นใสตะโกนทักใครสักคนที่อยู่ด้านหลังของผม ซึ่งทำให้อารมณ์ตึงๆ ของผมเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด ผมได้แต่ถอนลมหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ เพราะกำลังจะบอกเรื่องสำคัญกับเธออยู่แล้ว

    “ไปดูหนังด้วยกันนะ”

    วุ้นใสเอ่ยชวนผู้มาใหม่อีกครั้ง จากที่หงุดหงิดอยู่แล้วก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ก็ผมอยากไปสวีทสองต่อสอง แบบไม่มีก้างเข้าใจป่ะ

    ผมหมุนตัวกลับไปช้าๆ หวังว่าจะใช้สายตาปราม สั่ง หรือข่มขู่อีกฝ่ายเพื่อให้ปฏิเสธ แต่เพียงแค่ได้เห็นหน้าผู้มาใหม่ ลมหายใจของผมก็หยุดไปชั่วขณะ

    ดวงตากลมโตหวานเศร้าภายใต้กรอบหน้ารูปไข่ดูคุ้นตา รอยยิ้มที่เธอคลี่จางๆ ส่งมาให้ผมหรือวุ้นใสก็ไม่รู้ แต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่กระตุกหัวใจของผมให้รู้สึกแปลบๆ ราวกับมีกระแสไฟไหลผ่าน

    น่าประหลาด

    ผมได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ ยิ่งดวงตาเศร้าที่ฉายแววมาที่ผมอย่างตัดพ้อและโหยหาอยู่ในทีนั่นมันทำให้ผมรู้สึก ‘เจ็บอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ไม่เคยรู้สึกแม้แต่กับวุ้นใส

    ผมเป็นบ้าอะไรไปทำไมต้องรู้สึก ทำไมต้องรู้สึกแปลกๆ กับคนที่เพิ่งพบหน้า กับคนที่ไม่ใช่ แฟน

    รู้สึกคุ้น คุ้นตากับสีหน้า คุ้นเคยกับดวงตาคู่นั้น เหมือนเคยเจอที่ไหน ที่ไหน...สักแห่ง

     

     

    @@@@@@
    TalK1
    แอบเขิน แต่ลองเอามาลงดู
    เป็นงานเขียนเรื่องแรกในแนวนี้นะคะอยากลองดูบ้างหลังจากที่ชื่นชอบมานาน
    แต่ไม่รู้ว่าจะออกมาดีแค่ไหน แต่จะพยายามทำให้ดีที่สุด
    ผิดพลาดตรงไหนติชมได้ เม้นโหวตให้กันบ้างนะ จะได้นำไปปรับปรุงและพัฒนาฝีมือค่ะ

    นาฬิกาเวลา...

     

     

     

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×