ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fix My Heart [Minho/Newt]

    ลำดับตอนที่ #2 : chapter two

    • อัปเดตล่าสุด 21 เม.ย. 58





    แกลลี่บอกว่าจะมีคนมารับตอนหกโมง...

    ตอนนี้ผมนั่งอยู่บนเตียงสีขาวคนเดียว สายตาเหม่อลอยมองเข็มนาฬิกาเคลื่อนเป็นวงกลมทุกๆวินาที

    หกโมงสิบยี่สิบเอ็ด ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีใครมาเคาะประตู...

    ผมหยิบมือถือขึ้นมาอ่านข้อความที่ผมกับโธมัส(บางครั้งแกลลี่ก็เข้ามาแจมด้วย)คุยกันเมื่อประมาณสิบนาทีก่อน ดูเหมือนว่าไอ้คุณมินโฮที่ว่าจะเป็นคนที่โคตรรักษาเวลาสุดๆ เป็นคนรับผิดชอบสูงส่งและปฏิบัติหน้าที่ไม่เคยพลาดพลั้งแม้แต่สักครั้งเดียว ไม่มีใครเชื่อว่ามินโฮจะมารับผมสาย

    อ้อเหรอ ผมกะพวกมันเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ใส่ผ้าอ้อม แต่สองคนนั้นกลับเชื่อในตัวมินโฮมากกว่าผม?

    ผมสิน้ำตาจะไหลซาบซึ้งกับมิตรภาพของพวกเราจริงๆ ขอเช็ดน้ำตาแป๊บ

    แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนที่พวกเขาเทิดทูนที่ว่าวันนี้จะมาสายสุดโต่ง...ไม่สิ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าวันนี้เป็นวันดวงซวยของผมก็เป็นได้

    โดนผู้ชายที่ตัวเองชอบปฏิเสธไม่พอ จะไปปาร์ตี้แก้เซ็งทั้งทียังต้องมานั่งรอเจ้าของงานมารับ แถมสายไปเกือบครึ่งชั่วโมง!!

    เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดกิจกรรมในหัวสมองผม มันชื่อกิจกรรมหาคำด่ามินโฮให้เยอะที่สุด ผมดันตัวขึ้นไปมองประตูก่อนจะล้มตัวนอนลงกับเตียง

    ปล่อยให้ผมรอตั้งนาน คิดเหรอว่าผมจะออกไปต้อนรับแขกในทันทีที่เขาโผล่มาหา

    รอไปซะเหอะ นี่คือบทลงโทษเบาๆจากท่านนิวท์

    เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกรอบ คราวนี้ผมตัดสินใจหลับตานอนสบายอารมณ์กับการได้แกล้งคนแปลกหน้า เคาะไปเรื่อยๆสิ เคาะไปเลย ชั้นจะให้นายยืนรอหน้าโง่เหมือนอย่างที่ชั้นนั่งรอนาย ผมคิดอย่างสนุกอมยิ้มกับความคิดชั่วร้ายของตัวเอง

    ปัง! ปัง!

    เหี้- เฮ้ย! นั่นเสียงอะไร!?

    ประตูไม้กระเด็นเปิดออกเผยให้เห็นลูกบิดข้างนอกในสภาพปางตาย คุณคงจะนึกภาพลูกบิดที่โดนลูกปืนอัดเข้าในหนังไลล่ามาเฟีย ใช่แล้ว ลูกบิดของผมก็มีสภาพไม่ต่างกันเลย...ที่จริงแล้วมันอยู่ในสภาพเดียวกันด้วยซ้ำ

    ผมดันตัวเองถอยชิดแผ่นหลังแนบติดกับหัวเตียง มือทั้งสองข้างขย้ำผ้าปูที่นอนในกำมือแน่น ลูกตาจับจ้องไปยังประตู ใจเต้นดังโครมครามเหมือนอาชญากรคลาสเอสจนมุมอยู่ในซอกตึกล้อมรอบไปด้วยตำรวจ

    เดี๋ยวก่อนผมไม่เคยทำผิดอะไรเลยนะ ผมขอออกตัวก่อนเลยว่าตั้งแต่เกิดมาผมก็ได้ยินแต่คนชมว่าเป็นเด็กดี ผมไม่เคยเกเร ไม่เคยหนีเรียน ไม่สูบบุหรี่ เรื่องแอลกอฮอล์เครื่องเดิมแตะมากสุดก็คือไวน์สองขวด ผมไม่เคยข้องเกี่ยวในเรื่องค้ายาค้าอาวุธผิดกฎหมาย ผมประพฤติปฏิบัติดีอยู่ในกฎระเบียบสังคม ไม่มีทางที่จะมีใครคิดจะฆ่าผมหรอกใช่มั้ย?

    ใช่มั้ย?

    กระบอกปืนพกสั้นโผล่มาจากประตู ผมอยากจะกรีดร้องขอความช่วยเหลือแต่ที่ผมทำได้ในตอนนี้เพียงแค่จ้องมันและจ้องสิ่งที่กำลังจะโผล่ออกมาจากหลังประตู ผมรู้สึกถึงเหงื่อชื้นตามซอกคอและแผ่นหลัง น้ำลายในปากจับตัวกันเป็นก้อนในลำคอ หลอดลมตีบตันและที่สำคัญผมหายใจไม่สะดวก ถ้าเป็นไปได้ผมขอขาดลมหายใจตาย,เป็นลมตาย,ตกใจตาย ดีกว่าโดนฆ่าตาย เพราะถ้าโดนฆ่าตายนั่นก็แสดงว่าจะต้องมีผู้ร้ายและถ้ามีผู้ร้ายก็ต้องมีตำรวจ มีตำรวจแสดงว่ามีคดีมีคดีแสดงว่าญาติครอบครัวต้องรับรู้ ถ้าญาติครอบครัวรู้ว่ามันคือฆาตกรรม เกิดการเข้าใจผิดพ่อแม่โศกเศร้ามองผมในแง่ไม่ดีแล้วน้องสาวผมล่ะจะทำยังไง? เธอเพิ่งอายุสองขวบ! เธออาจจะโตขึ้นโดนฝังหัวว่าผมเป็นคนไม่ดี...แบบนั้นไม่เอานะ!!!

    เมื่อคิดได้ดังนั้นผมหลับตาปี๋แล้วตะโกนดังๆออกไปว่า...

    “นะโม! นะโม! นะโม! โอม!! นะโม! นะโม! นะโม! โอม!!...”

    คุณเคยได้ยินมั้ยว่า เวลาเราจะตายท่องนะโมเข้าไว้แล้วเราจะจากอย่างเป็นสุข...

    “นะโม นะโม นะโม โอม- เอ้ยยย”

    ผมหวีดร้องทันทีที่แขนข้างหนึ่งถูกกระชากให้ลุกออกจากเตียง อีกข้างหนึ่งที่ยังว่างทำงานสวนหมัดกลับในขณะที่ผมยังหลับตาแน่น หมัดของผมลอยเขว้งคว้างอยู่สองสามหนก่อนที่จะหยุดลงเมื่อสัมผัสถึงมือหยาบคว้ามันเอาไว้

    หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักพัก ผมค่อยๆลืมตาดูรอบๆ โอเค ผมยังอยู่ในสภาพเดิมและไร้รอยขีดข่วน ผมค่อยมองขึ้นมาเรื่อยๆก็พบผู้บุกรุกอยู่เบื้องหน้า...และเป็นผู้บุกรุกทีฮอตเอามากๆ ถึงคนคนนี้จะสูงกว่าผมไม่มากนัก แต่ผมบอกได้เลยว่านอกจากเบนแล้วผมไม่เคยคิดว่าจะมีใครหล่อสู้เขาได้

    เดี๋ยวก่อนหน้าของเขาคุ้นๆแปลกๆ...เหมือนผมเคยเจอที่ไหนมาก่อน

    อาจจะเป็นเพราะว่าผมจ้องหน้าเขานานเกินไปหรือไม่ก็ผมอ้าปากกว้างเกิน อีกฝ่ายคงจะสังเกตเห็น เขาขมวดคิ้วก้มเข้ามาใกล้ดันคางผมขึ้นปิดปาก “หน้าชั้นมีอะไรติดหรือไง?”

    “เปล่า” ผมส่ายหน้า

    “แล้วจ้องหน้าชั้นทำไม?”

    “เอ่อ..พวกเราเคยเจอกันรึเปล่า?”

    เขาผงะเล็กน้อย ดูเซอร์ไพร์ส ก่อนที่เขาจะขำออกมา แต่ผมว่าเขาคงไม่ได้ขำเพราะรู้สึกอยากขำ

    แต่ทันทีที่รูปปากบนใบหน้าคมนั่นยกยิ้มเล็กๆผมก็นึกออกทันใดกับความคุ้นเคยครั้งแรกพบ “นายเป็นญาติพี่ตู่ใช่มั้ย!?” ผมถามตาโตพร้อมฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจที่สุดในรอบวัน

    “ห๊ะ?”

    “ตู่ ภพธร คนที่เล่นเป็นคุณพฤกษ์ในเรื่องไอฟายแต๊งกิ้วเลิฟยูไง”

    คนตรงหน้าปล่อยมือจากการเกาะกุมผมแล้วเปลี่ยนมาเท้าส่ายเอวแทน “ชั้นไม่รู้ว่านายพูดเรื่องอะไรอยู่”

    ผมอ้าปากอีกรอบอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง คนบ้าอะไรไม่เคยดูไอฟาย ให้ตายเถอะ หนังเรื่องนี้ผมนั่งดูแล้วร้องไห้เลยนะ!

    ผมกำลังเปิดปากสาธยายเนื้อเรื่องของหนัง แต่ก็โดนคนตรงหน้าขัดซะก่อน “ไปกันได้แล้ว”

    “เราจะไปไหนกัน?”

    ผู้บุกรุกที่ฮอตกว่า...ผู้บุกรุกที่ฮอตเทียบเท่าเบนไม่เสียเวลาเปล่าที่จะอธิบาย เขาคว้าข้อมือผมกึ่งเดินกึ่งลากให้ออกจากห้องโดยที่เขาไม่ลืมที่จะใช้เท้าถีบปิดประตู พวกเราเดินจนจะไปถึงทางออกพอดีกับที่ผมกำลังจะเปิดปากประท้วง ผู้ดูแลหอเดินตึงตังหน้าบึ้งไม่สบอารมณ์มาทางพวกเรา

    ซวยแล้ว...

    “นิวตัน ชั้นได้ยินคำร้องเรียนหลายสายว่าได้ยินเสียงปืนจากห้องของเธอ มีอะไรจะอธิบายมั้ย?”

    ผมยืนอึ้งลืมเรื่องนี้ไปสนิทเพราะมัวแต่สนใจเรื่องญาติพี่ตู่โผล่เข้ามาบุกรุกห้องของผม ผมอยากจะบอกผู้ดูแลว่านี่เลย ข้างๆผมนี่แหละตัวปัญหา แต่สัญชาตญาณแฟนคลับภพธรในตัวกลับต้องการให้ผมปิดปากเงียบ

    ระหว่างโดนไล่ออกจากหอกับทรยศพี่ตู่ ผมจะเลือกอะไรดี?

    ผมมีคำตอบอยู่แล้ว

    ผมก้มหน้าหลบตาผู้ดูแลยอมรับชะตากรรมชีวิต หาหอใหม่มันไม่ใช่เรื่องง่าย ผมอาจจะขอโธมัสกับแกลลี่อยู่สักพักระหว่างหาที่อยู่ใหม่ ไม่ว่ายังไงผมจะไม่หักหลังพี่ตู่เด็ดขาด พี่ตู่เขาจะคิดยังไงถ้าหากว่าผมเป็นตัวการที่ทำให้ญาติเขาต้องติดคุก? ถึงแม้ว่าผมไม่ใช่ตัวการหลักก็เหอะ

    ชีวิตแฟนคลับบางครั้งก็น่าสงสาร...

    ระหว่างที่ผมกำลังก้มหน้ารับชะตากรรมชีวิต จู่ๆญาติพี่ตู่ก็ควักอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้ผู้ดูแล

    “เท่านี้พอมั้ย?”

    ผมเหลือบตาขึ้นไปมองตามมือใหญ่ที่กำลังกำบางสิ่งอยู่ เมื่อผมลองหรี่ตาโฟกัสดูสิ่งนั้นแล้วแทบอยากจะคว้ามืออีกฝ่ายกลับมา เขาคิดบ้าอะไรถึงเอาแบงค์พันปึกใหญ่ซึ่งผมพนันว่ามันต้องเกินยี่สิบใบแน่ๆยัดใส่มือผู้ดูแล

    โดยไม่รอคำตอบ ญาติผู้ตู่ลากผมออกจากหอแล้วเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับให้ผมเข้าก่อนที่จะเดินคนรถฝั่งคนขับชองตัวเอง

     

     

     

    ระหว่างที่พวกเรากำลังอยู่ในระหว่างทางไปปาร์ตี้ ผมเหลือบไปมองคนขับรถอยู่บ่อยๆซึ่งผมพนันได้เลยว่าเขาต้องรู้ตัว ดูจากสีหน้ากับคิ้วที่ขมวดเป็นปม แถมยังริมฝีปากที่ขมุบขมิบไปมา

    “นายคงจะเป็นมินโฮ?” ผมถามทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ถามเอาไว้เผื่อว่านี่คือการลักพาตัว

    “เออ”

    เงียบ...

    มินโฮที่ผมจินตนาการเอาไว้ไม่เหมือนตัวจริงที่นั่งข้างๆผมเลยสักนิด เท่าที่ผมเสิร์ชดูในกูเกิ้ลหนุ่มเอเชียที่อายุไล่เลี่ยกับผมในภาพดูผอมๆแห้งๆออกจะเนิร์ดๆติ๋มๆด้วยซ้ำ แต่ไอ้คนที่กำลังขับรถให้ผมนี่สิ ผิดจากที่ผมคิดไว้เยอะ เขามีร่างกายคล้ายเบน กล้ามเนื้อแน่นๆที่สาวๆเห็นแล้วละลาย ใบหน้าเขาคมเข้มเหมือนพี่ตู่ไม่มีผิดเพี้ยนจะผิดแผกก็ตรงที่เขาแทบจะไม่ยิ้มนี่แหละ น่าเสียดาย... แม้น้ำเสียงของเขาไม่แหบแห้งเซ็กซี่เหมือนของเบน แต่กลับทรงพลัง ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงนั่นออกคำสั่งผมแทบไม่กล้าจะขัดขืน

    ที่จริงคือผมไม่อยากจะขัดขืน... เพราะผมไม่รู้ว่าสมองผมจะปลิวได้เมื่อไหร่

    “เอ่อ มินโฮ”

    ...

    เขาไม่ตอบ แต่เลิกคิ้วตอบสนองแทน                                                                                                              

    “นายพกปืนไว้กับตัวเหรอ”

    “ทำไมถึงคิดงั้น?”

    “ก็นายใช้ปืนยิงลูกบิดประตูชั้นซะกระจุย”

    “ไม่ใช่เรื่องของนาย” เขาสวนกลับเหมือนไม่ใช่ความผิดของเขา แต่ผมสังเกตเห็นรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก “นายทำให้ชั้นอารมณ์เสีย”

    ผมหันไปมองคนข้างๆอย่างแปลกใจ นี่ผมทำอะไรให้เขาหงุดหงิด

    “ชั้นทำอะไรให้นาย”

    “ชั้นมารับนายแล้วนายปล่อยให้ชั้นยืนรอนายเหมือนไอ้หน้าโง่”

    เยส! อย่างน้อยผมก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนไอ้หน้าโง่ได้ ผมพยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดชีวิตเพื่อกลบเกลื่อนแผนการชั่วร้ายของผม

    “มินโฮ นายปล่อยให้ชั้นรอนายครึ่งชั่วโมง”

    “เหอะ ถ้าไม่ใช่ว่าชั้นติดหนี้โธมัส อย่าหวังว่าชั้นจะมารับนายเลย”

    ทำไมเขาถึงชอบพูดเหมือนทุกอย่างคือความผิดของผมกัน?

    “พูดเหมือนชั้นอยากให้นายมารับงั้นแหละ” ผมเบะปากพึมพำกับตัวเอง แต่ดูเหมือนว่ามินโฮจะได้ยินชัดทุกถ้อยทุกคำเพราะทันทีที่ผมพูดจบ มินโฮก็หักเลี้ยวรถขึ้นมาจอดบนทางเดินเท้าอย่างเฉียบพลัน

    โชคดีที่ผมรัดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ ไม่งั้นมีหวังหัวผมได้กระแทกกระจกทะลุออกจากรถ บอกตรงๆผมเพิ่งรู้ถึงของดีของมันก็ตอนนี้แหละ

    “เฮ้ย! นี่นายทำบ้าอะไรของนาย!?” ผมตะโกนเหวี่ยงใส่คนข้างๆ มือสองข้างจับเข็มขัดแน่น ผมรู้สึกเป็นหนี้ชีวิตเข็มขัดเส้นนี้เป็นอย่างมาก

    มินโฮไม่ตอบ เขาเอาแต่จ้องถนนข้างหน้า แขนใหญ่สองข้างตั้งอยู่บนพวงมาลัย มือหนาข้างหนึ่งเสยผมอย่างลวกๆก่อนที่จะลูบหลังคอตัวเอง ผมขอเดาว่านั่นเป็นวิธีการระงับความอารมณ์เขา

    “ออกไป”

    ห๊ะ?

    ผมหันไปมองหน้ามินโฮ ทั้งๆที่สายตาของเขายังจับจ้องไปยังข้างหน้า ล้อเล่นกันใช่มั้ย? เขาจะทิ้งผมไว้กลางถนนเนี่ยนะ!?

    “...นายล้อเล่นใช่มั้ย?”

    ไม่ว่าเปล่า มินโฮใช้ศอกทั้งสองข้างกระแทกลงไปที่แตรรถทำเอาผมสะดุ้งโหยงบนที่นั่งของตัวเอง ผมยังคงมองเขาอย่างไม่เชื่อ แน่ล่ะว่า ณ จุดๆนี้ผมกลัวแทบจะตัวสั่น แต่ผมจะทำใจดีสู้เสือ ผมไม่อยากจะทำตัวอ่อนแอต่อหน้าคนที่เพิ่งรู้จักกันหรอกนะ

    ออกไป” เขากัดฟันพูด

    ผมว่าผมหมดหนทางที่จะอยู่บนรถเขาต่อแล้วแหละ

    ผมกรอกตาก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยออก ผมเปิดประตูออกจากรถแล้วปิดมันอย่างแรงไม่สนใจว่าเขาจะทำสีหน้าหรือตะโกนด่าผมหรืออะไรก็ตามที่คนถ่อยๆอย่างเขาคิดจะทำ แต่ผิดคาดเขาไม่ได้คิดจะทำอะไรผมกลับ เขาขับรถออกไปโดยไม่เหลียวหันกลับมา

    ไอ้-รู-ตูด

     ผมกระชับเสื้อแจ็กแกตเข้าหาตัวเพื่อที่จะคลายความหนาวเย็นของอากาศภายนอก ผมตั้งใจว่าจะเรียกรถเท็กซี่กลับหอเพราะผมรู้สึกหมดอารมณ์จะไปจอยปาร์ตี้แล้ว ยิ่งรู้ว่าคนรกโลกแบบมินโฮเป็นเจ้าของงาน ผมก็ไม่อยากจะหายใจที่เดียวกันมัน

    แต่ทันทีที่ผมหันหลังไปมองเส้นทางเดิมที่ผมเพิ่งผ่านมา รถยนต์ฮอนด้าซีวิคสีขาวก็มาจอดตรงหน้าผมแทน

    “เฮ้ ได้ข่าวว่าโดนทิ้ง โชคดีที่พวกชั้นตามหลังพวกนายมาติดๆ สนใจติดรถไปด้วยมั้ย?” อัลบี้ถาม โดยที่มีฟรายแพนน์นั่งติดข้างๆคนขับ ส่วนโธมัสกับแกลลี่นั่งอยู่เบาะหลัง

    “ไม่-” ผมกำลังปฏิเสธ แต่อยู่ดีๆผมก็คิดอยากจะเห็นหน้าอิคุณมินโฮตอนที่เขารู้ว่าผมมาเหยียบถิ่นมัน ทั้งๆที่ผมโดนปล่อยทิ้งกลางทาง ที่จริงแล้วถ้าผมไปแล้วได้เห็นหมอนั่นหงุดหงิด ผมว่าความรู้สึกสุดเซ็งเมื่อครู่อาจจะหายไปแทนที่ด้วยความสนุกแห่งการล้างแค้นก็ได้

    คิดว่าจะเขี่ยท่านนิวท์ออกไปได้เหรอ? ไม่มีทาง!

    “เอาดิ” ผมว่าพร้อมเปิดประตูหลังไม่รีรอที่จะเสียเวลานั่งรถไปปาร์ตี้

    ทันทีที่ผมขึ้นรถ ผมก็ไม่ลืมที่จะตบกบาลพี่หมีแกลลี่กับไอ้แห้งโธมัส โทษฐานปล่อยให้ผมเจอเรื่องเลวร้ายเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ผมคว้ามือถือโธมัสโดยไม่สนใจเสียงประท้วง ผมรีบเข้ารายชื่อผู้ติดต่อส่งข้อความให้คนที่คุณก็รู้ว่าใคร นิ้วยาวผมรัวประโยคที่เพิ่งจะคิดได้สดๆร้อนในหัวก่อนจะกดส่งอย่างภาคภูมิใจ

    ผมหวังว่าการที่ผมตัดสินใจไปปาร์ตี้ครั้งนี้คงไม่ทำให้ผมผิดหวัง

     

     

    ระหว่างที่มินโฮกำลังออกจากรถเข้าอพาร์ทเม้นต์ของตัวเองเสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้น มินโฮถอนหายใจ คนที่ส่งข้อความมาหาเขาบ่อยๆก็คงไม่พ้นรายเดิมๆ มือใหญ่คว้าโทรศัพท์ตัวเองออกจากกระเป๋ากางเกงยีนตัวเก่ง ก่อนจะปลดล็อคเพื่อดูข้อความ

     

    From Thomas อย่าคิดว่าจะเขี่ยชั้นพ้น ไอ้สารเลว olo

    มินโฮเลิกคิ้ว เขาแปลกใจไม่คิดว่าโธมัสจะส่งข้อความพรรค์นี้ แต่จู่ๆในหัวเขาก็คิดไปถึงเพื่อนแกลลี่ที่เขาเพิ่งจะไล่ลงจากรถเมื่อครู่...

    รอยยิ้มคมประดับบนใบหน้า ชักจะสนุกแล้วสิ

    โดยไม่ลังเล เขากดโทรออกหวังลึกๆว่าเจ้าของข้อความยังเป็นคนถือโทรศัพท์อยู่

    “ฮัลโหล...โธมัส?...ขอคุยกับเพื่อนนายหน่อย...คนที่ชั้นไปรับที่หอน่ะ”

    “มีอะไรไอ้เฮงซวย” เสียงใสตอกถามอย่างไม่กลัว เขาสนใจขึ้นมาแล้วสิ

     “ก็ไม่มีอะไรมาก” มินโฮตอบพลางยืนพิงรถของตัวเอง “แค่อยากจะบอกอะไรให้นายรับรู้”

    เหอะเสียงตอบกลับจากอีกฝั่งยิ่งมีแต่ทำให้มินโฮกระตุกยิ้มมากขึ้นเรื่อยๆ “ว่ามา”

    “ถ้านายไม่อยากโดนเขี่ยทิ้งก็ต้องพยายามหน่อยล่ะ เพราะชั้นไม่ชอบนอนกับใครซ้ำสอง”

    มินโฮกดวางสายไม่รอฟังอีกฝ่ายโต้กลับ เขาเก็บมือถือเข้ากระเป๋าก่อนจะเดินเข้างานปาร์ตี้ของตัวเองอย่างอารมณ์ดี

    มุมคนเขียน '3'/
    รู้สึกเขียนไปมาแล้วไม่ตรงกะที่เคยคิดไว้...ช่างเต๊อะ 555
    ร้องไห้น้ำตาแตกมาก ยังมีคนอ่านอยู่ คิดว่ากระแสไม่แรงจะหายเงียบไปแล้วนะเนี่ย
    อิคนเขียนก็หายไปหลายเดือนนั่งอ่านฟิคเรื่องอื่นอยู่ 555 //รู้สึกผิดจรุง เปลี่ยนเรื่องๆ
    @Nnn นางนิวท์อาจจะเพ้อมากกว่านี้ตอนหลังๆ...มั้งนะ 55 ส่วนนายมินโฮนี่ยังตัดสินใจไม่ได้เลย แล้วแต่อารมณ์
    แต่นายมินโฮฮอตมาก แค่คนแสดงนี่ฮอตสุดๆ 555 
    @โทมาสึ ขอบคุณค่ะที่ชม //เอ้ย ไม่ใช่ๆ จะพยายามมาต่อนะ อาทิตย์ละตอน...
    อาจจะมีเซอร์ไพร์สถ้าขยันขันแข็ง ฮี่ๆ
    ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน/เม้นท์นะ อีกครั้ง คนเขียนไม่กัดเชิญเขียนตามสบายเลย

    รัก
    ม้าเต่อโค้งแว่นเหลืองดำ


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×