ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คุณปู่ซ่า...คุณย่าแสบ (ฉบับรีไรน์)

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.พ. 49


    ตอนที่ 1

    บริเวณศูนย์อาหารของห้างสรรพสินชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ผ่านมาจับจ่ายใช้สอยกันอย่างหนาตาเนื่องด้วยเป็นเวลาเที่ยงของวันอาทิตย์
    เสียงเอะอะโวยวายของหญิงสาวในชุดสีแดงเพลิง ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชุดของเจ้าหล่อนต้องหลุดออกมาจากห้องเสื้อชื่อดังที่ไหนสักแห่งเป็นแน่ กำลังเอาเรื่องกับเด็กชายซึ่งดูแล้วอายุไม่น่าจะเกินห้าขวบในมือถือไอศกรีมแท่งหนึ่ง ยืนมองหญิงสาวคนนั้นด้วยความตกใจ

    ทำให้ชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งที่กำลังจะเดินผ่านหยุดมองดูด้วยความสนใจ ก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปช่วยเด็กชายดังกล่าว

    “เอะอะอะไรกัน ลิลลี่”

    ได้ยินแค่นั้นหญิงสาวคนนั้นก็หันไปอ้อนคนที่เดินเข้ามาใหม่ทันที “ก็เด็กคนนี้นะสิคะภู ทำชุดลิลลี่พังหมดเลย ดูสิ...ชุดนี้ลิลลี่เพิ่งซื้อมาจากปารีสเมื่ออาทิตย์ก่อนเองนะคะ”

    พอได้ยินประโยคที่ลิลลี่บอก ภูผาถึงกับส่ายหน้าด้วยความเอือมระอากับความเอาแต่ใจของเจ้าหล่อน

    “ผมไม่ได้ทำนะครับ นางยักษ์คนนี้...เอ๊ย...คุณอาคนนี้เดินมาชนผมเอง คุณอานั้นแหละผิดแล้วผมก็ขอโทษแล้วด้วย” เด็กชายผู้เคราะห์ร้ายกล่าวขึ้นบ้าง

    “คุณก็อย่าถือสาหาความกับเด็กมันเลยนะ ชุดน่ะซักแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หายเลอะแล้ว”

    “ภูพูดอย่างนี้แสดงว่า ลิลลี่เป็นคนผิดสิคะ ลิลลี่ไม่ยอมนะคะ”

    ยังไม่ทันที่ภูผาจะพูดอะไรก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมาก่อนอย่างเอาเรื่อง “พวกคุณเป็นผู้ใหญ่ภาษาอะไรรวมหัวกันหาเรื่องเด็ก”

    “คุณย่า...ผมขอโทษแล้ว ผมไม่ใช่คนผิดด้วย” เด็กชายคนนั้นพูดพลางวิ่งเข้าไปหาหญิงสาวที่มาใหม่ ซึ่งดูอย่างไรอายุก็ไม่น่าจะเกินยี่สิบห้า

    ‘คุณย่า’

    ภูผาได้แต่พึมพำในใจกับผู้มาใหม่เพราะนอกจากอายุจะห่างไกลจากคำว่า ย่า แล้ว ยังเป็นผู้หญิงที่สวยสะดุดตาเรียกได้ว่าเวลาเดินสวนกันต้องเหลียวหลังกลับไปมอง ด้วยใบหน้ารูปไข่ปราศจากเครื่องสำอาง ตากลมโต จมูกโด่ง ผมยาวดำสนิทที่ถูกมัดรวบขึ้นไปถึงกลางศีรษะนั้น เล่นเอาเขาเกือบลืมหายใจ
    นี่เขาเป็นอะไรไป

    คนอย่างเขาเจอผู้หญิงมาก็มาก แต่ยังไม่เคยมีอาการอย่างนี้สักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นอาการที่ขากรรไกรค้างพูดอะไรไม่ออก หรือแม้กระทั่งจังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้นเร็วขึ้น และถี่ขึ้น เขายังไม่ทันได้พูดอะไรเสียงของลิลลี่ก็ดังขึ้นมาก่อน

    “อ้อ...คุณย่าเหรอ นี่หล่อนอย่าเอาเวลาไปทำอย่างอื่นสิ โดยเฉพาะใช้เวลาเอาใจสามีแก่รุ่นคุณปู่น่ะ หัดเอาเวลามาอบรมสั่งสอนหลานซะมั่งจะได้ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน”

    “ฉันมีเวลาสั่งสอนหลานฉันอยู่แล้วล่ะ อย่างน้อย ๆ หลานฉันก็ขอโทษคนอื่นเป็น ไม่เหมือนกับคนบางคนตัวโตซะเปล่าแต่กลับหาเรื่องกับเด็ก ไม่รู้ว่าอายุสมองจะโตตามตัวหรือเปล่า” พูดพร้อมกับมองลิลลี่ด้วยสายตาตำหนิตั้งแต่หัวจดเท้า

    “มันจะมากไปแล้วนะ”

    ลิลลี่พูดพลางเงื้อมือขึ้น แต่ฝ่ามือของหล่อนยังไม่ทันกระทบที่หมายก็ถูกคุณย่ายังสาวจับข้อมือนั้นไว้แล้วบิดไปไขว่ไว้ข้างหลังเสียก่อน

    “โอ๊ย...เจ็บนะ”

    “ทีนี้ทำเป็นมาร้อง ก่อนทำอะไรน่ะ หัดใช้อวัยวะที่อยู่ในกะโหลกระหว่างหูสองข้างคิดก่อนสิ เดี๋ยวมันจะฝ่อก่อนวัยอันควร” พูดจบก็ผลักออกไป ยังดีที่ภูผามารับไว้ทันไม่งั้น ลิลลี่ต้องฝากรอยจุมพิตไว้กับพื้นแน่

    “เออ...คุณอย่ามีเรื่องกันเลย เอาเป็นว่าผมขอโทษแทนลิลลี่แล้วกัน” ภูผากล่าวขึ้นอย่างเอือมระอากับพฤติกรรมของลิลลี่ และไม่อยากให้เกิดการวางมวยกันมากไปกว่านี้ เพราะมันจะเป็นผลไม่ดีต่อชื่อเสียงของห้างของเขา

    “ภูไปขอโทษมันทำไม ลิลลี่ไม่ผิดนะ ลิลลี่ไม่ยอมด้วย”

    ลิลลี่โวยวายพร้อมกับกระทืบเท้าแล้วกระชากแขนชายหนุ่มเข้ามากอด เขาพยายามจะแกะมือออกแต่ดูเหมือนว่าความพยายามจะไม่เป็นผล

    “พอทีเถอะผมอายเขา” เขาพูดขึ้นอย่างเหลืออด เพราะตอนนี้เริ่มมีผู้คนหยุดมองดูเหตุการณ์ด้วยความสนใจมากขึ้นแล้ว

    “แต่ว่า...” ยังไม่ทันที่ลิลลี่จะพูดจบคู่กรณีก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

    “แหม...คุณลิลลี่ขา แฟนคุณพูดอะไรก็เชื่อฟังกันบ้างสิ เดี๋ยวก็ถูกทิ้งหรอก ผู้ชายน่ะ ไม่ชอบถูกขัดใจรู้ไหม เดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่เตือน....ส่วนคุณน่ะนะ” หันมามองทางภูผา “ช่วยแบ่งเวลามาเอาใจใส่แฟนคุณบ้าง อย่าปล่อยให้หลุดกรงมาอีก ยิ่งหน้าร้อนอย่างนี้อาการยิ่งกำเริบเร็ว ฉันเป็นห่วง”

    พูดจบก็ก้มลงอุ้มหลานชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วเดินออกไป แต่เดินไปได้แค่สามก้าวเท่านั้นก็หันมาพูดกับคนทั้งสองว่า

    “อ้อ...เกือบลืมแหนะ ถ้ามีลูกฉันขอมาเลี้ยงสักตัวนะ” แล้วหล่อนก็เดินจากไป ปล่อยให้ภูผากับลิลลี่ยืนตะลึงนิ่งกับคำพูดนั้นอยู่กับที่

    “ภูขา มันว่าเรา มันว่าเราเป็น...”

    “หยุดพูดเดี๋ยวนี้...แล้วก็หยุดโวยวายเหมือนเด็กไม่รู้จักโตด้วย ผมรำคาญ”

    ว่าแล้วก็รีบเดินจ้ำอ้าวออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว เขาไม่เคยรู้สึกอายและโกรธอย่างนี้มาก่อนในชีวิต หล่อนเป็นใครกล้าดีอย่างไรมาว่าเขา คนอย่างนายภูผาไม่เคยถูกใครดูถูกอย่างนี้มากก่อนในชีวิต โดยเฉพาะผู้หญิง ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าว่าเขาอย่างนี้

    ผู้หญิงแทบทุกคนที่เข้ามาในชีวิตของเขา มีแต่พูดจาคะ ขา ออดอ้อนเอาใจสารพัดเพื่อให้เขาสนใจ แต่ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใคร นอกจากไม่สนใจเขาอย่างคนอื่นแล้ว ยังต่อว่าเขาอย่างแสบสันเสียอีก

    แสบจริงนะแม่คุณ ถ้าได้เจออีกทีนะเขาจะ...ตอบแทนอย่างสาสม

    “ภูขา รอลิลลี่ด้วยสิคะ”

    เสียงของลิลลี่ดังเข้ามาในโสตประสาท แต่ตอนนี้เขาไม่รับรู้อะไรอีกแล้วนอกจากรีบเดินไปที่ลานจอดรถแล้วบึ่งรถออกไปจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุด

    ทำไมนะมันถึงได้ซวยอย่างนี้ วันหยุดทั้งทีกลับต้องมาแก้ปัญหาในห้างสรรพสินค้าที่เขาเป็นเจ้าของอยู่ตั้งแต่เช้า ซึ่งห้างสาขานี้คือว่าเป็นศูนย์กลางการบริหารงานของห้างทั้งหมด เนื่องจากออฟฟิศของฝ่ายบริหารของห้างตั้งอยู่ชั้นบนสุดของตัวห้างแห่งนี้

    ด้วยความหิวเพราะเขาได้กาแฟเพียงถ้วยเดียวรองท้อง ทำให้เขาต้องรีบเคลียร์งานให้เสร็จโดยเร็วก่อนจะเดินมาหาอะไรกินในศูนย์อาหารที่ทางห้างได้จัดไว้เพื่อให้บริการกับลูกค้าได้แวะพักรับประทานอาหาร และพักให้หายเหนื่อยก่อนจะเดินจับจ่ายใช้สอยกันต่อ

    ขณะที่ภูผากำลังมองหามุมสงบเพื่อพักสมองนั้นเอง เขาก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงในชุดสีแดงเพลิงสะดุดตา หาเรื่องกับเด็กชายร่างป้อม ที่กำลังยืนนิ่งทำตาปริบ ๆ มองหญิงสาวคนนั้นต่อว่าอยู่ ตอนแรกเขาตั้งใจจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้ เพราะว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นคนที่เขากำลังหาทางจะหลบอยู่นั้นเอง

    ฝ่ามือของคนที่เขากำลังจะหลบหน้า เงื้อสูงขึ้นเพื่อจะทำร้ายร่างเล็กที่ยืนนิ่งไม่กล้าขยับตัวไปไหน และนั่นเองที่ทำให้เขาทนไม่ได้ต้องยื่นมือเข้าไปช่วย แม้เขาจะไม่ใช่คนที่รักเด็กอะไรมากมาย ออกจะรำคาญและเบื่อด้วยซ้ำไป แต่เขาก็ทนเห็นเด็กถูกทำร้ายไม่ได้

    จากเดิมที่ทนไม่ได้กับพฤติกรรมของลิลลี่ คนที่เขาพยายามจะหลบหน้าอยู่หลังจากออกเดทกันไปแค่ไม่กี่ครั้ง เพราะการแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ รวมถึงความเจ้าอารมณ์ของหล่อน เขาบอกกับหล่อนหลายครั้งแล้วว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น

    แต่หลังจากเหตุการณ์วันนี้แม้แต่คำว่าเพื่อนคงไม่มีเหลือ เพราะเขาไม่ชอบคนที่รังแกได้แม้กระทั่งเด็กที่ไม่มีทางสู้ จะเอาแต่ใจอย่างไร เจ้าอารมณ์แค่ไหนก็ไม่น่าจะไปลงกลับเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร นับจากวันนี้เขาขอตัดขาดกับผู้หญิงที่ชื่อว่า ลิลลี่ อย่างเด็ดขาด

    ผู้หญิงอะไรรังแกได้แม้กระทั่งเด็ก

    ภูผารู้สึกดีอย่างประหลาดที่ไม่เผลอตัวไปมีอะไรด้วย ไม่อย่างนั้นเรื่องคงไม่จบง่าย ๆ แน่ แม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำให้ลิลลี่หลุดออกจากวงโคจรชีวิตของเขาได้อย่างไร

    ‘มีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักทีสิ ผู้หญิงอื่นจะได้เลิกยุ่งกับนาย’

    คำแนะนำของรภัทรเพื่อนสนิท เมื่อคราวที่เขาขอคำปรึกษากับวิธีจัดการบรรดาผู้หญิงที่พยายามจะก้าวล้ำเส้นความสัมพันธ์ที่ได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่เริ่มคบ ไม่รู้ว่าผู้หญิงเป็นอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่า ตอนเริ่มคบกันใหม่ ๆ บอกอะไรก็ได้ เพราะเข้าใจเขาอยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้เป็นแค่ความพอใจของแต่ละฝ่าย ไม่มีอะไรผูกมัด แต่พอนาน ๆ ไปเท่านั้นแหละ เริ่มแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมากขึ้น จนเขาทนไม่ไหวบอกเลิกไป พวกเจ้าหล่อนก็ยังโวยวายไม่เลิก ร้องไห้เสียอกเสียใจเป็นอย่างนี้เหมือนกันทุกคน

    ทำให้ระยะหลังมานี้ภูผาค่อนข้างจะระวังตัวไม่ปล่อยตัวไปมีความสัมพันธ์กับใครง่าย ๆ เพราะเขาไม่อยากจะมีปัญหาทีหลัง ให้ตายสิ...พวกผู้หญิงนี่น่าเบื่อจริง ๆ ยิ่งสองคนล่าสุดที่เขาเริ่มควงออกงานด้วยไม่กี่ครั้งนี่สิ ตามติดเขาจนแทบกระดิกไปไหนไม่ได้เลย

    หรือว่าจะทำตามอย่างที่เพื่อนแนะนำดี มีแฟนเป็นตัวเป็นตนไปจริง ๆ จะดีไหมนะ แต่ว่าเขาคงต้องหาคนที่เก่งพอตัวเพื่อที่จะจัดการกับบรรดาพวกที่เข้ามาวอแวในชีวิตของเขาให้หมด อย่างนี้เขาเรียกว่า หนามหยอกต้องเอาหนามบ่ม แต่เขาจะหาผู้หญิงอย่างนั้นได้ที่ไหนล่ะ

    ขณะคิดอยู่นั้นใบหน้าของคุณย่ายังสาวก็ลอยเข้ามาให้ความคิดของภูผา ถ้าเป็นผู้หญิงคนนั้นคงจะดีไม่น้อย เพราะนอกจากจะสวยพอพาควงออกงานได้อย่างไม่อายใครแล้ว ยังออกฤทธิ์ได้อย่างร้ายกาจแม้กระทั่งลิลลี่จอมโวยวาย กับเขาทำอะไรไม่ถูกเลย

    ผู้หญิงอะไรมาถึงก็ใส่ฉอด ๆ ไม่ฟังเหตุผลหรือคำอธิบายของใครหน้าไหนทั้งนั้น เขาไม่น่าเข้าไปยุ่งเลย น่าจะปล่อยให้หลานของยัยคุณย่าจอมแสบนั่น ถูกทำร้ายสะให้เข็ด อยากรู้นักเจ้าหล่อนจะทำอะไร ผู้หญิงอะไรนอกจากหมัดหนักแล้วยังปากจัดอีกต่างหาก

    อย่าให้เจออีกนะ...เขาจะเอาคืนซะให้เข็ด ให้หล่อนรู้จักซะบ้างว่าคนอย่างนายภูผาไม่เคยยอมใคร คิดพลางขณะขับรถกลับคอนโด

    ++++++++++++++++++

    “คุณย่าของผมเก่งที่สุดในโลกเลย” พูดพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้สองนิ้วอย่างเอาใจ อิงฟ้าได้แต่ส่ายหน้าไปมาขณะขับรถกลับร้านขายขนมของหล่อน “คุณย่าไม่เชื่อหรือครับ...ผมพูดจริง ๆ นะ ไม่เชื่อถามอาเกศ พี่...”

    “พอ ไม่ต้องพูดแล้ว” ต้องเบรกก่อนที่หลานตัวดีจะสาธยายมากไปกว่านี้ “ย่าเชื่อจ้า ว่าย่าเก่ง แต่เราน่ะยังเป็นเด็กเป็นเล็ก ยังไงก็ต้องเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ไว้นะลูก ใคร ๆ จะได้รักและเอ็นดูเรา”

    “ผมมีคุณย่ารักผมคนเดียวก็พอแล้ว”

    “แต่เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกนะลูก ยังมีคนอีกตั้งเยอะที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา เราต้องทำดีกับคนอื่นเขาด้วยรู้ไหม”

    “แล้วถ้าเจอนางยักษ์เหมือนเมื่อกี้เราต้องดีกับเขาไหมครับ...แล้วถ้าเขาเป็นคนไม่ดีเราต้องดีกับเขาไหมครับ...แล้วถ้า...”

    “ต้นกล้าจ๊ะไม่ว่าจะยังไงเราก็ต้องทำดีกับคนอื่นก่อนไม่ว่าเขาจะเป็นคนยังไงก็ตาม แล้วถ้าเจอคนไม่ดีย่าจะสาปให้กลายเป็นหินไปเอง” ต้องพูดก่อนพ่อตัวดีจะถามมากไปกว่านี้

    ขณะนั้นอิงฟ้าก็ได้นำรถฮอนด้าแจ็สสีแดงคู่ใจเข้ามาจอดในบริเวณลานจอดรถหน้าร้านขนม ‘บ้านขนมอิงฟ้า’ ซึ่งเป็นร้านที่หล่อนภาคภูมิใจมาก เพราะหล่อนนำเงินที่เก็บหอมรอมริบจากการทำงานสมัยเรียน รวมถึงเงินประกันชีวิตของครอบครัวพี่ชายที่เสียชีวิตไปเนื่องจากอุบัติเหตุมาเป็นทุน

    และที่โชคดียิ่งกว่านั้นคือมรดกที่บิดาผู้ล่วงลับได้ทิ้งไว้ให้คือ ที่ดินอันเป็นที่ตั้งของร้านนั้นเรียกได้ว่าตั้งอยู่บนทำเลทอง เพราะอยู่ติดถนนใหญ่ซึ่งเป็นทางผ่านไปบริษัทใหญ่ ๆ หรือไม่ก็โรงเรียนชื่อดังหลายแห่ง ทำให้ร้านของหล่อนแน่นไปด้วยผู้คนที่ผ่านมาแวะหาอะไรรองท้องก่อนไปทำงานหรือไปเรียน รวมถึงยังเป็นสถานที่นัด พบปะสังสรรค์ของบรรดาวัยรุ่นอีกด้วย

    ร้านขนมของหล่อนนั้นนอกจากจะจำหน่ายขนมไทยและเทศแล้ว ยังจำหน่ายพวกกาแฟ ไอศกรีม นมสด แต่ของที่ขึ้นชื่อของร้านก็คือขนมหรือเครื่องดื่มประเภทช็อกโกเลต และที่สำคัญของที่วางจำหน่ายในร้านยังเป็นฝีมือของตัวหล่อนเองด้วย เพราะถ้าจะพูดไปแล้วก็แทบจะไม่มีใครเชื่อว่าคนอย่างอิงฟ้า ผู้หญิงขาลุยแถมด้วยปากจัดคนนี้จะทำขนมเก่ง

    บริเวณตัวร้านสองชั้น ระเบียงชั้นบนประดับตกแต่งด้วยกล้วยไม้ ไม้ประดับใบขนาดเล็กตามมุม ด้านในนั้นจะประดับไปด้วยภาพวาดสีน้ำมันฝีมือของเกศแก้วเพื่อนสนิทของอิงฟ้า

    ชั้นล่างนั้นจะตกแต่งเหมือนกันเพียงแต่เพิ่มเคาน์เตอร์บาร์สำหรับรับออเดอร์ขนมและเครื่องดื่ม และตู้กระจกสำหรับวางขนมโชว์ ส่วนที่อยู่ข้าง ๆ กันนั้นก็เป็นโต๊ะแคชเชียร์ ส่วนบริเวณกลางร้านนั้นจะมีชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้ เพื่อให้เหมาะกับบรรยากาศโดยรวมของร้านที่ให้ดูสบายเน้นความเป็นธรรมชาติให้ได้มากที่สุด

    ดังนั้นชั้นล่างด้านหน้าจะติดกระจกที่สามารถมองเห็นสวนหย่อมด้านหน้า ส่วนชั้นบนนั้นจะจัดให้มีที่นั่งบริเวณระเบียง สำหรับแขกที่ตั้งการจะเปลี่ยนบรรยากาศนั่งทานกลางแจ้ง ที่มีเงาไม้ใหญ่ให้ความร่มอยู่เป็นนิจ

    ส่วนบริเวณทางระหว่างลานจอดรอดถึงหน้าร้านนั้นจะมีสวนหย่อมเล็ก ๆ ที่มีน้ำพุขนาดย่อม ซึ่งตกแต่งด้วยรูปหินแกะสลักและไม้ประดับใบไม้ทำให้รู้สึกเหมาะแก่การพักผ่อน

    บริเวณหลังร้านจะใช้เป็นห้องครัว ห้องเก็บของ เตรียมของและทำขนมประเภทต่าง ๆ ซึ่งร้านนี้อิงฟ้าได้สร้างมันขึ้นหลังจากที่หล่อนสูญเสียคนในครอบครัวทั้งหมดไป เพราะอุบัติเหตุเมื่อเกือบห้าปีที่แล้ว ทำให้หล่อนรับผิดชอบดูแลเลี้ยงเด็กที่มีอายุแค่หกเดือนเท่านั้น หล่อนจึงลาออกจากงาน มาเปิดร้านขายขนมของตัวเองเพื่อที่จะได้มีเวลาอยู่กับหลาน

    หลายคนคิดว่าหล่อนบ้า ที่ยอมทิ้งอนาคตมาเพื่อหลานแต่สำหรับอิงฟ้าแล้ว ต้นกล้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของหล่อน เป็นคนในครอบครัวคนเดียวของหล่อนที่ยังมีชีวิตอยู่

    เวลานั้นอิงฟ้ารู้สึกท้อมากแต่โชคดีที่หล่อนมีเพื่อนอย่างเกศแก้วที่เข้าใจและเห็นความสำคัญของครอบครัวเหมือนกันกับหล่อน และคอยช่วยเหลือจนหล่อนสามารถยืนได้อีกครั้ง และในวันนี้ร้านที่หล่อนลงทุนมาด้วยน้ำพักน้ำแรงนั้น ก็ประสบความสำเร็จลบคำสบประมาทของใครหลาย ๆ คนได้

    ปัจจุบันร้านของหล่อนมีพนักงานทั้งหมดเก้าที่เป็นพนักงานประจำคนรวมถึงตัวหล่อนด้วย โดยแบ่งทำงานในครัวห้าคน และหน้าร้านอีกสี่คน นอกจากนี้ยังมีบรรดานักเรียนนักศึกษาอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องการหารายได้เพิ่มเติมระหว่างเรียน มาทำงานพาสไทม์กันในช่วงวันหยุด หรือไม่ก็หลังเลิกเรียน เพราะว่าช่วงเวลานั้นจะมีลูกค้าเข้าร้านเยอะ ทำให้ทางร้านต้องการคนเพิ่ม วิธีนี้จึงเป็นวิธีที่ดีเพราะนอกจากจะแก้ปัญหาพนักงานไม่เพียงพอให้ช่วงเวลาดังกล่าวแล้ว ยังช่วยให้เด็กมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย

    “โอ๊ย...”

    เสียงร้องของต้นกล้าปลุกอิงฟ้าออกจากภวังค์ เมื่อหล่อนหันไปดูพบว่า หลานชายที่รีบวิ่งลงจากรถเข้าไปในร้านนั้นนอนคว่ำหน้าอยู่หลังรถสปอร์ตสีดำรุ่นใหม่ล่าสุดที่กำลังตีสัญญาณไฟถอยรถอยู่ หล่อนจึงรีบวิ่งลงจากรถเข้าไปอุ้มหลานออกจากบริเวณนั้น

    “เป็นไงบ้าง...ไม่เจ็บนะครับ โอมเพี้ยง...หาย” แล้วหันไปแว้ดใส่เจ้าของรถคันงามที่เปิดประตูลงมาดูเหตุการณ์ “นี่คุณขับรถประสาอะไร...” แต่ยังไม่ทันพูดจบก็เห็นหน้าของเจ้าของรถคันนั้นเสียก่อน “อ้อ...คุณนี่เอง คิดจะแก้แค้นให้แฟนคุณหรือไง ถึงถอยรถทับหลานฉันน่ะ”

    “มันจะมากไปแล้วนะ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย ยังไม่ได้ทันถอยด้วยซ้ำจะชนหลานคุณได้ยังไง แล้วอีกอย่างนะ...ผมไม่ใช่พวกบ้าหนังจีนที่ต้องตามล้างแค้นไม่รู้จักจบจักสิ้นนะ” แม้ว่าภายในใจของชายหนุ่มจะไม่ได้คิดอย่างนั้นก็ตาม เพราะในใจของเขาตอนนี้กำลังเดือดปุด ๆ ด้วยคำว่า...อย่าให้ถึงทีเขาบ้างแล้วกัน “แล้วครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สองแล้วนะที่คุณว่าผม ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ใช่คนผิด” ภูผาพูดอย่างโมโห

    “แต่คุณ...”

    “คุณย่าครับ...ผมรีบวิ่งก็เลยล้มเองครับ” เสียงต้นกล้าดังขึ้นมาก่อนที่อิงฟ้าจะทันพูดจบ แล้วมีหรือคนอย่างภูผาจะปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป

    “ได้ยินไหมว่าผมไม่ได้ทำ ได้ยินชัดเจนหรือยัง แล้วคุณ...” ก่อนที่เขาจะมีโอกาสได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ก็มีเสียงหวาน ๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นมาด้านหลัง

    “มีอะไรให้ช่วยไหมฟ้า”

    เมื่อภูผาหันกลับไปมองก็พบกับหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง เขาต้องยอมรับว่าผู้หญิงคนนี้จัดเป็นผู้หญิงที่สูงมากเลยทีเดียว ยิ่งผมซอยสั้นนั้นอีก ถ้าเขาไม่ได้ยินเสียงเขาคงคิดว่าเป็นผู้ชายไปแล้ว ผู้ชายหน้าหวานเขานึกอย่างขำ ๆ ถ้าเป็นผู้ชายจริงเขาคงมีเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันแล้วล่ะ เพราะตั้งแต่เด็กเขาถูกคนอื่นล้อเป็นประจำว่าไม่เป็นลูกผู้ชาย เพราะหน้าตาที่สวยเกินชายนั่นเอง

    เขาสลัดหน้าเบา ๆ ก่อนจะนึกได้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องไร้สาระอย่างนั้นอยู่ เพราะท่าทางเอาเรื่องไม่เบาของคนที่มาใหม่นี่ทำให้เขารู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างประหลาด ถ้าเทียบกับคุณย่าจอมแสบแล้วเขาคิดว่า เขาขอมีเรื่องกับคุณย่ามากกว่าที่จะมีเรื่องกับคนที่มาใหม่ ผู้หญิงอะไรหน้าตาก็สวยอยู่หรอก ออกจะสวยหวานเสียด้วยซ้ำแต่ทำไมตาดุชะมัด

    “ไม่มีอะไรหรอกเกศ แค่เข้าใจผิดนิดหน่อยเอง”

    “ไม่หน่อยนะคุณ”

    เขาเอ่ยขึ้นเมื่อตั้งตัวได้ แต่ก็ได้แค่นั้นเมื่อเจอสายตาพิฆาตมารของผู้หญิงตาดุคนนั้นเสียก่อน แต่เอ...ถ้าเรียกอย่างนั้นก็หมายความว่าเขาเป็นมารน่ะสิ ไม่ใช่อย่างนั้นเสียก็เรื่องนี้น่ะเขาเป็นพระเอกนี่นา ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเปลี่ยนเป็นเรียกว่า เจอสายตามารของผู้หญิงที่ชื่อเกศถึงจะถูก

    อิงฟ้าเห็นท่าจะไม่ดี เพราะถ้าปล่อยให้เกศแก้วเข้ามายุ่งเรื่องนี้มีหวัง นายหน้าสวย คนนี้คงถูกสอยร่วงตั้งแต่คำแรกที่พูดอย่างแน่นอน เพราะเพื่อนของเธอคนนี้ก็ร้ายใช่ย่อย และที่สำคัญเกศแก้วคนนี้แหละที่เป็นคนสอนพวกหมัดมวยให้หล่อนเอาไว้ใช้ป้องกันตัว

    หล่อนจึงส่งต้นกล้าไปให้ พร้อมกับกำชับว่า “ยังไงเกศ ช่วยทำตะโก้เพิ่มอีกหนึ่งพันชิ้นด้วยนะจ๊ะ”

    ทีเนี้ยะ...พูดจาเสียงอ้อนเสียงหวาน ไม่รู้ว่าเป็นพวกอนุรักษ์ดนตรีไทยหรือเปล่า...เฮ้ย เสียดาย ภูผาได้แต่ค่อนขอดอยู่ในใจด้วยความหมั่นไส้ กับน้ำเสียงที่ออดอ้อนที่ผู้หญิงคนอื่นใช้พูดกับเขาเป็นประจำ

    “ก็ได้...แล้วเราจะรอตัวเองมาทำก๋วยเตี๋ยวหลอดให้กินนะจ๊ะ อย่านานนะ...เราคิดถึง”

    พูดเหมือนผู้หญิงคนนั้นจะอ่านความคิดเขาออก เพราะพอพูดจบก็หอมแก้มคุณย่าตัวดี ก่อนจะส่งสายตามายังเขาว่า

    ‘ถ้านายทำอะไรเพื่อนฉัน...ตาย’

    เล่นเอาผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างภูผารู้สึกสันหลังเย็นวาบขึ้นมา ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าว่าผู้หญิงที่อุ้มเด็กชายร่างป้อมเข้าไปข้างในนั้น น่ากลัวกว่าแม่เสือที่ยืนเท้าสะเอวมองหน้าเขาอยู่ตอนนี้ นี่เขาจะมีชีวิตรอดกลับไปไหมนะ...เขาได้แต่คิดในใจ

    “ฉันขอโทษ ที่ว่าคุณไปเมื่อกี้” เสียงอ่อย ๆ ของคุณย่าคนเก่งดังขึ้นอย่างสำนึกผิด

    “ขอโทษ แค่นี้คุณคิดว่ามันจะพอหรือไงกับความรู้สึกที่เสียไปของคนที่ถูกกล่าวหาน่ะ”

    “พอไม่พอฉันไม่รู้ แต่ฉันถือว่าฉันขอโทษกับสิ่งที่ฉันเข้าใจผิดไป แล้วที่สำคัญฉันถือว่าเจ๊ากันกับที่แฟนคุณจะทำร้ายหลานฉัน เพราะฉะนั้นเราสองคนไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว” อิงฟ้าพูดเสียงแข็งพร้อมกับสะบัดหน้าเดินเข้าไปในร้าน ปล่อยให้ภูผายืนนิ่งอยู่กับที่อย่างไม่รู้จะทำอะไรดี

    “เออ...อย่างนี้ก็มีด้วยแฮะ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×