คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : C h a p t e r - 1
Half Blood
Chapter 1
8 ปีผ่านไป
“ไอลูกไม่มี ไอลูกไม่มีพ่อ ไอลูกไม่มีพ่อ ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงของเด็กประถมสี่ห้าคนในสนามเด็กเล่นกำลังรุมล้อมคนตัวเล็กกว่าตรงหน้า ไม่มีใครสักคนเข้ามาช่วยเหลือเด็กน้อยที่น้ำตาไหลอาบแก้มคนนี้
“เปล่านะ เรามีพ่อ ฮืออ.. พ่ .. พ่อรัก ฮึก รักเรามากด้วย” แต่ไม่ว่ายังไงเด็กก็ยังเป็นเด็ก อะไรที่มีผลกระทบต่อจิตใจ มักทำให้พวกเขาคิดอะไรเข้าข้างตัวเองในทางดีเสมอ
“ไหนหละพ่อแก โถ่ไอมัว พ่อไม่รักแล้วยังจะโม้” น้ำเสียงที่ดูสนุกสนานกับการทำร้ายจิตใจคนอื่นอย่างนั้น ไม่สงสารเขาบ้างเลยหรือยังไง
“ไม่นะ ไม่ใช่อย่างนั้น ฮึก .......” มีแค่เสียงสะอื้นที่ทำให้คนยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลรู้สึกเจ็บปวดในใจลึก ๆ
“หรือพ่อแกตายแล้วห้ะ ไอเตี้ย ฮ่า ๆๆๆ” นี่เป็นเรื่องที่ขนาดมนุษย์โลกยังเบื่อที่ต้องเผชิญ คนที่ตัวโตกว่า มีอำนาจมากกว่า มักข่มขู่และรังแกคนอ่อนแอเสมอ
“ไม่ .... ไม่ใช่ ฮึกก ไม่ใช่ !!!!” หนุ่มร่างเล็กกอดเข่าตัวเองด้วยความอ้างว้าง ความเสียใจปะปนกับความโมโหทำให้เขาควบคุมบางอย่างไว้ไม่ได้ บรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ความเย็นยะเยือกเข้ามาแทนที่ นี่พึ่งจะบ่ายสามโมง แต่ท้องฟ้ากลับมืดขึ้นทันตา
“แกทำอะไรไอลูกไม่มีพ่อ” สายตาพวกเขามองไปรอบๆด้วยความหวาดกลัว ความรู้สึกบางอย่างที่มันเริ่มเกาะกินจากข้างใน ม้าหมุนที่ไม่มีเด็กเล่มเริ่มเคลื่อนที่ได้โดยตัวเอง ชิงช้าแกว่งไปมาทั้งที่ไม่มีใครนั่งอยู่ ลมพัดแรงขึ้นจนทำให้เส้นผมปลิวไปตามทางลม
“เรา ฮึก เปล่า .. เราไม่ได้ทำ ฮือ”
“แกมันไอปีศาจ แกมันเป็นปีศาจ ไม่มีพ่อแล้วยังเป็นปีศาจ แก....” พูดไม่ทันจบ เด็กทั้งกลุ่มต่างเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจ บางอย่างทำให้เด็กพวกนี้กลัวจนวิ่งหนีไป เหลือไว้เพียงคนตัวเล็กที่ก้มหน้าร้องไห้อยู่กับตัวเอง ความอบอุ่มเข้ามาโอบกอดเขาไว้ บางสิ่งที่เด็กตัวเล็กไม่อาจจะบอกความรู้สึกได้ ใครบางคนอยู่ตรงนี้ ใครบางคนที่ตัวเล็กรู้สึกผูกพันกำลังก้มกอดร่างเล็ก ๆ นี้ไว้ “ทำไมถึงอุ่นขนาดนี้” สุดท้ายความอบอุ่นนั้นทำให้เด็กน้อยหลับไป
“ฮือ... ปล่อยเรานะ” เอาอีกแล้ว เสียงร้องไห้ของเด็กน้อย น้ำตาอุ่น ๆ ที่ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างเหมือนเป็นสิ่งประจำตัวของเขาไปซะแล้ว
“ไอลูกหมาไม่มีพ่อ !” มันไม่ชินสักทีกับต้องโดนคนรังแกอยู่อย่างนี้ เขาทำอะไรผิด ? ทำไมถึงมีแต่คนคอยทำร้าย อยากกลับบ้าน อยากกลับไปหาแม่
“ฮึกก.. เปล่า...” มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่มันไหลไม่ยอมหยุด ขาเล็ก ๆ ก้าวถอยหลังพยายามหาทางหนี แต่เหมือนมองไปทางไหนก็ไม่เห็นทางที่จะหลุดพ้น ข้างหลังเป็นระเบียงที่ยื่นออกไปเป็นที่ยืนพักตากลมสำหรับอาจารย์โรงเรียนประถมนี่
“ไอขี้แง” แก๊งเดิมกลุ่มเดิม เด็กหัวโจกประจำห้องที่มัวแต่รังแกคนอ่อนแอกว่า และแน่นอน คนที่อ่อนแอที่สุดในห้องเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเด็กน้อยที่ยืนเช็ดน้ำตาอยู่ตรงนี้ ลมที่พัดมาทำให้รู้สึกเสียวสันหลัง นี่มันเป็นชั้นที่สูงมากสำหรับตึกเรียนเด็กประถม ร่างตัวน้อย ๆ หันไปมองข้างหลังเมื่อเห็นว่าก้าวมาถึงรั้วที่กั้นแล้ว เบนสายตามองไปทำให้ความกลัวแล่นเข้าสู่หัวใจ ชั้นที่ยืนอยู่คือชั้นห้า ไม่แปลกที่ขาทั้งสองข้างจะสั่นเพราะความกลัว
“ปล่อย .. ฮึกก เราไปเถอะ” ในใจเอาแต่นึกถึงหาแม่ คน ๆ เดียวที่เด็กน้อยคิดว่าใจดีที่สุดบนโลกนี้ เป็นคนเดียวที่คงไม่ยอมเห็นเขาโดนรังแก ทุกเย็นแม่มักจะปลอบเมื่อเห็นเด็กน้อยวิ่งเข้าบ้านพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมามากมาย แม่จะคอยโอบกอดเขาไว้
“จัดการมันเลยดีไหม?” คนสูงสุดในกลุ่มหันไปถามเพื่อนที่อยู่ด้านหลัง ไม่มีเสียงตอบรับ เพียงแค่ทุกคนพยักหน้าหัวโจกนี่ก็เข้าใจความหมายดี มันแค่ตั้งใจจะแกล้งให้คนตรงหน้ากลัวสนุก ๆ เท่านั้น ก้าวเข้าไปประชิดตัวร่างเล็กพร้อมกับผลักร่างให้ติดกับรั้วกั้นทางระเบียง
“ปล่อยนะ ฮึก” น้ำเสียงที่น่าสงสารนั่นไม่ได้สะกิดต่อมเด็กพวกนี้ได้เลยสักนิด มันยิ่งเพิ่มความสนุกขึ้นไปอีก ได้ยินเสียงคนตรงหน้าสะอื้นมากเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้รู้สึกว่าพวกเขาเป็นผู้ชนะ ความเป็นเด็กทำให้ไม่รู้ว่าอะไรคือคำว่าอันตราย
“ฮ่า ๆๆๆ เป็นไงล่ะไอลูกหมา !!” แรงผลักยิ่งมากขึ้นไปอีกโดยไม่ฟังเสียงร้องขอของคนตัวเล็ก เสียงเชียร์จากกลุ่มนักเรียนข้างหลังยิ่งทำให้ฮึกเหิม มือทั้งสองข้างผลักแรงขึ้นอย่างไม่ทันระวัง ขาของคนตัวเล็กไม่ได้ติดอยู่กับพื้นเมื่อตัวได้เอนออกไปนอกระเบียง พยายามหาที่ยึดเหนี่ยวด้วยความกลัวสุดขีด ดิ้นไปมาเพื่อต้องการจะหลุดพ้น แต่ด้วยแรงที่มีน้อยกว่าจึงทำให้เป็นไอขี้แพ้ไปซะทุกที
“ขอร้อง !! ฮึก” ใช้แรงสุดท้ายดิ้นให้หลุดออกจากมือแกร่งนั้น แทนที่ขาจะหล่นติดพื้นระเบียง แต่ไม่ใช่ ตัวของเขาได้เอนออกมามากกว่าครึ่ง เมื่อมือที่จับเสื้อร่างเล็กไว้ตอนแรกหลุดออกจึงทำให้ร่างทั้งร่างหล่นออกจากระเบียงนั่น
“ไม่ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!” ร้องเสียงหลงเมื่อตัวหลุดออกมานอกระเบียง ร่างกายรูสึกไหลวูบไปตามความเร็วที่ตกลงสู่พื้นจากแรงดึงดูดของโลก เด็กน้อยหลับตาแน่นปี๋ แค่คิดว่าตัวเองจะไม่มีชีวิตรอดอีกไม่ถึงสิบวินาทีข้างหน้า
พรึ่บ !
เขาควรตายแล้ว หรือว่าตอนนี้เขาตายไปแล้ว แต่ความรู้สึกที่สัมผัสอยู่ตรงปลายเท้านี่คืออะไร เด็กน้อยเบิกตาขึ้นเมื่อเห็นว่าแรงลมเมื่อกี้ได้จางหายไป กวาดสายตาไปรอบ ๆ ก็ได้เห็นว่าตัวยืนอยู่บนสนามหญ้าชั้นหนึ่งของตึกเรียน มองขึ้นไปข้างบนจากจุดที่ตัวเองตกลงมาเมื่อครู่ เห็นหน้าตาของเด็กนักเรียนกลุ่มนั้นเบิกขึ้นด้วยความตกใจ แน่นอนว่าเรื่องแปลก ๆ มักเกิดขึ้นกับเขาเสมอ
“ข้าไม่มีโอกาสที่จะได้เลี้ยงดูเจ้าลูกเอ๋ย” เสียงของหญิงสาวดังขึ้นท่ามกลางความมืด มือข้างนึงถือตะเกียงไฟเพื่อต้องการจะมองเห็นหน้าเด็กชายตัวน้อย ๆ ได้อย่างชัดเจน
“ข้ารู้ว่ามันยากที่จะทำใจยอมรับ แต่ข้าทำอย่างนี้เพื่อเจ้านะลูกรัก ..” มืออีกข้างลูบหน้าของลูกตัวเองที่จ้องกลับมาตาแป๋ว เหมือนไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดมันคืออะไร
ภาพนั้นหายไปเหลือเพียงแต่เด็กหนุ่มร่างเล็กเดินในอาคารของโรงเรียน ข้างทางคือล็อกเกอร์เก็บของเต็มไปด้วยกระดาษเอสี่หลายแผ่นพัดปลิวไปมา หลอดไฟติด ๆ ดับ ๆ เหมือนไม่ได้มีใครใช้มันมาหลายปี หายใจออกมาเป็นควันสีขาวบ่งบอกถึงอุณหภูมิที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ ร่างเล็กเดินกอดตัวเองไปตามทางเรื่อยๆ เขามองทางข้างหน้าที่เหมือนจะเดินไปเท่าไหร่ก็ไม่มีทางสิ้นสุดสักที เงาของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้น
“พี่ครับ .... “ พูดเบา ๆ พร้อมกับขาที่ก้าวเร็วขึ้นหวังจะตามคนที่อยู่ตรงนั้นให้ทัน
“พี่ครับ !” แต่ไม่ว่าจะก้าวเร็วเท่าไหร่ ก็เหมือนยิ่งไกลออกไปเท่านั้น เด็กน้อยวิ่งตามคนตรงหน้าด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก เมื่อต้องการอะไร พวกเขาจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา ขาเล็ก ๆ วิ่งเร็วขึ้น แต่ภาพตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนไป ความมืดเข้ามาแทนที่จนคน ๆ นั้นหายไปกับเงาของไฟที่ดับไป ขาทั้งสองข้างหยุดวิ่งทันที เสียงกรี๊ดของหญิงสาวหลายสิบคนดังขึ้นพร้อมกันจนเด็กน้อยรู้สึกกลัว มีบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามา บางอย่างที่มากับเงามืดพวกนั้น
“ออกไป!!!!!!”
เฮือกก !
ร่างบางสะดุ้งตื่นขึ้นท่ามกลางห้องนอนที่มืดมิด แสงดวงจันทร์จากภายนอกทำให้มองเห็นสีหน้าของคนตัวเล็กได้ชัดว่าอยู่ในอารมณ์แบบไหน นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาฝันแบบนี้ เบนสายตาจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาปลุกที่วางอยู่บนหัวเตียงนอน
“ตีสาม ..” สบถเล็กน้อยก่อนจะนำนาฬิกากลับไปวางในที่ของมัน แล้วเอนตัวก้าวขาลงจากเตียงนอน สะบัดหัวสองสามทีไล่ความมึนงงของคนพึ่งตื่นนอน หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นไปเปิดไฟสีส้มอ่อน ๆ สว่างพอให้มองเห็นบรรยากาศภายในนอนของคนตัวเล็ก เสียงแอร์ที่ดังอยู่ทำให้ห้องไม่ดูเงียบจนเกินไป
ร่างบางหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่มุมห้อง พร้อมกับหยิบปากกาและเปิดสมุดไปหน้าที่เขียนค้างไว้ตั้งแต่เมื่อคืน จรดปลายปากกาลงบนกระดาษพยายามหาคำที่จะเขียนต่อแต่ก็นึกไม่ออก
“ฟูววว”
ถอนหายใจออกเบาๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันเปิดเรียนมหาลัยวันแรก ซึ่งให้พูดตามตรงเขาก็ไม่ชอบเอาซะเลย ร่างเล็กไม่ค่อยชินกับสถานที่ที่มีคนเยอะ อีกไม่กี่วันก็ถึงวันเกิดครบรอบ 20 ปีแล้ว ให้พูดตามตรงก็แอบตื่นเต้นเบา ๆ เพราะทุก ๆ วันเกิดแม่ของเขามักจะจัดงานเพื่อเขา ด้วยเค้กหลายปอนด์ และของขวัญที่แพงจนทำให้รู้สึกพิเศษทุกครั้งเมื่อถึงวันนั้น เหมือนเป็นวันสำคัญของทุกปี แต่แค่รู้สึกว่าปีนี้มันจะไม่เหมือนปีที่ผ่าน ๆ มา ช่วงนี้เขามักจะฝันอะไรแปลก ๆ และความทรงจำตอนเด็กมักไหลเวียนเข้ามาอยู่เสมอ แต่ความรู้สึกมันไม่เหมือนฝัน ซึ่งเขาเองก็อธิบายไม่ได้
ร่างเล็กจรดปากกาลงบนกระดาษอีกครั้งเมื่อนึกได้ว่าจะเขียนอะไรลงไป บรรทัดสุดท้ายของหน้านั้น
พ่อของผมหรือเปล่า ?...
เสียงนักศึกษามากมายวุ่นวายอยู่กับการหาห้องเรียนในการเปิดเรียนมหาลัยวันแรก บางคนตื่นเต้นรอคอยมาหลายเดือนเพื่อแค่ได้ชื่อว่าเป็นเด็กมหาลัย แต่สำหรับบางคนแล้วมันคือการกลับมาใช้ชีวิตอยู่ในกรอบอีกครั้ง เช่นเดียวกับร่างเล็กที่ยืนงงอยู่หน้าห้องประชาสัมพันธ์ รู้สึกประหม่าเล็กน้อยกับการต้องถามทางเดินไปห้องเรียนของตัวเอง
“เอ่ออ ขอโทษนะฮะ ..” น้ำเสียงดูติดขัดเล็กน้อย
“…” อาจารย์มีอายุฝ่ายประชาสัมพันธ์เงยหน้ามองเขาผ่านแว่นตากรอบสี่เหลี่ยมอันใหญ่เท่าฝาบ้าน
“คือผมอยากทราบว่าห้องเรียนประวัติศาสตร์อยู่ตรงไหนหรอครับ ?”
“...”
“...”
“นี่ตอนมาสมัครไม่ตรวจสอบว่าห้องเรียนอยู่ตรงไหนหรือยังไงหืม ..”
“ เอ่อ .. คือ....”
“นี่ได้พกตารางเรียนมารึเปล่า ..”
“พกมาครับ แต่...”
“อ่านหนังสือออกไหมนั่นหนะ” อาจารย์ชี้นิ้วมาบนตารางเรียนที่ตัวเล็กถืออยู่ มีตัวหนังสือเขียนชื่อวิชาพร้อมกำกับห้องเรียนเอาไว้ด้วย แต่เขาเองก็ไม่รู้อยู่ดีห้องนี้มันตรงไหน ต้องยอมรับว่าตอนมาครั้งก่อนก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ตั้งใจจะมาสมัครเข้าเรียนแค่นั้น
“อ่านออกครับ แต่ว่า ......”
“มีบัตรนักศึกษาไหม ขอดูหน่อยสิ”
“มีครับ” ล้วงออกมาจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้อาจารย์ดู หญิงสาวรุ่นแม่รับไปมองตรวจสอบเกือบหนึ่งนาทีได้ ก่อนจะยื่นกลับมาให้เขาเก็บเข้าไปไว้ทีเดิม
“อยู่ทางเดินชั้นสองห้องริมสุดฝั่งซ้าย”
“ขอบคุณครับ ๆ” คนตัวเล็กก้มหน้าขอบคุณไปสองทีก่อนจะรีบเดินออกมาจากตรงนั้นให้ไวที่สุด นี่เขาชักไม่แน่ใจว่าที่เขาถามนั่นอาจารย์ฝ่ายประชาสัมพันธ์หรือด่านตรวจคนเข้าเมือง
“อาจารย์ใส่แว่นนี่หน้ากลัวอย่างนี้ทุกคนเลยสินะ”. บ่นเบา ๆ มีเพียงเขาที่ได้ยิน ก่อนจะพาตัวเองเดินขึ้นบันไดมาชั้นสองของตึกเรียน สิ่งแรกที่เจอคือห้องน้ำชายที่ติดอยู่กับบันไดทางขึ้น ป้ายสีแดงอันใหญ่ตั้งเด่นหล้าเหมือนกลัวนักศึกษาจะแยกไม่ออกว่าอันไหนห้องน้ำอันไหนห้องเรียน และหน้าห้องน้ำนั่นเองได้มีหญิงสาวสวยหุ่นดีที่คาดว่าจะเป็นหนึ่งในนักศึกษาที่มาใหม่จ้องมองเขาด้วยท่าทีที่แปลกประหลาด ร่างเล็กไม่ได้สนใจมากนักใช้สายตามองป้ายหน้าห้องดูให้แน่ใจว่าตรงนี้คือห้องน้ำสำหรับผู้ชายก่อนจะเดินพุ่งเข้าไปเพื่อทำธุระส่วนตัวก่อนจะเข้าเรียน
ปัก !
“อ๊ะ ..ขอโทษครับ” พูดขึ้นหลังจากเดินชนคนที่สวนออกมาพอดี
ชายผิวสีแทนยักไหล่อย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก ก่อนจะเดินผ่านหน้าเขาออกไป ตามมาด้วยผู้ชายผิวสีขาวน้ำผึ้งออกมาพร้อมกับคนที่ตัวเล็กกว่า หน้าสวยตัวขาวปากแดง นี่ถ้าเขาไม่เห็นว่านี่คือห้องน้ำชาย จะกล้าพูดเลยว่าคนตรงหน้าเป็นผู้หญิง .. และคนสุดท้าย ชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะสูงที่สุดในกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวทรงผมหรือหน้าตาที่ดูเข้ากันไปซะหมด ถ้าเอาทั้งหมดมาบวกลบคูณหารหรือคิดสูตรสมการ คน ๆ นี้ต้องเป็นลูกคุณหนูอย่างแน่นอน
“....”
“.... ?” ชายหนุ่มยืนจ้องเขาเกือบครึ่งนาที ร่างเล็กเลิกคิ้วสูงขึ้นด้วยความสงสัย ก่อนชายคนนั้นจะเดินตามเพื่อนๆที่เหลือไปพร้อมกับหญิงสาวที่รออยู่ก่อนหน้า ทิ้งให้เขายืนงงกับการกระทำเมื่อครู่ พร้อมกับไล่สายตามองตามหลังร่างสูงนั่น
“อะไรของเขานะ”
“สวัสดีนักศึกษาใหม่ทุกๆคน ยินดีต้อนรับสู่การเปิดเรียนวันแรกของปีการศึกษา 2015 หน้าตาแต่ละคนดูตื่นเต้นกับการเป็นนักศึกษามหาลัยวันแรกใช่ไหมล่ะ ? เอาล่ะ เราจะมาเริ่มบทเรียน .................”
ร่างเล็กปิดปากที่กำลังหาววอดเพราะถึงจุดที่น่าเบื่อมากที่สุดในชีวิต เหมือนคนสอนเขาจะไม่ได้มองหน้าพวกเราเลยสักนิด บางคนเหมือนถูกบังคับให้มาเรียนด้วยซ้ำ นี่คนเวลาตื่นเต้นหน้าตาจะเป็นอย่างนี้กันหรอ เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นเนี่ยแหละ สายตาของเขาไม่ได้สนใจกับสิ่งที่อาจารย์พูดบนกระดานเลย แต่กำลังชายตาเหล่มองสี่หนุ่มและหนึ่งสาวที่นั่งอยู่หลังสุดของแถว เห็นสายตาของชายหนุ่มร่างสูงที่เดินสวนกันหน้าห้องน้ำตอนนั้น กำลังมองมาที่เขาอยู่เช่นเดียวกัน ทั้งห้าคนนั้นเรียนอยู่คลาสเรียนเดียวกัน
“นี่นาย ๆ” เสียงหญิงสาวโต๊ะข้าง ๆ ดังขึ้น
“...” ร่างเล็กละสายตาหันมามองคนข้าง ๆ พร้อมกับชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเป็นเชิงถามว่า เรียกเราใช่ไหม ?
“อื้ออ นายนั่นแหละ ชื่ออะไรหรอ ?”
“...”
“...??”
“แบคฮยอน .. บยอน แบคฮยอน”
“อ๋า ฉันชื่อแทยอน ยินดีที่ได้รู้จักนะ” หญิงสาวยื่นมือออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ
ธรรมดาแบคฮยอนเป็นคนไม่ค่อยชอบคบค้าสมาคมกับคนอื่นเท่าไหร่ จะบอกว่าหยิ่งก็ไม่ใช่ ประสบการณ์สิบเก้าปีกว่า ๆ ที่ผ่านมาทำให้เขาปรับสภาพตัวเองให้เข้ากับสังคมที่อยู่ ร่างเล็กชอบการที่ต้องอยู่คนเดียวมากกว่าอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้ก็คงไม่เลวร้ายที่จะคบเป็นเพื่อนเท่าไหร่
“เช่นกัน” ทั้งสองจับมือกันเหมือนเป็นการทักทายครั้งแรก ถือว่าไปได้ดีสำหรับการหาเพื่อนคนแรก
“ฉันเห็นนายเอาแต่จ้องพวกนั้นหนะ มีอะไรหรอ”
“พวกนั้น ?” ร่างเล็กหันกลับไปมองกลุ่มคนข้างหลังอีกครั้ง ตอนนี้ทั้งห้าคนมองอาจารย์สอนอย่างตั้งอกตั้งใจ
“อื้ม”
“คือเธอรู้รึเปล่าว่าพวกนั้นเป็นใคร”
“แน่นอนสิ เธอไม่รู้จักเหรอ?”
“....” ส่ายหัวแทนคำพูด
“ห้าคนนี้น่าจับตามองที่สุดในบรรดาเด็กปีหนึ่งทุกคนเลยนะ”
“เหรอ ...”
“คนนั้นนะชื่อว่า คิมจงอิน เห็นว่าเป็นทายาทธุรกิจพันล้านผิวสีแทนทำให้ดูมีเสน่ห์จนใครมองก็ต้องหลง แต่ไม่ใช่ฉันคนนึงหละ ไม่ใช่สไตล์ฉันสักเท่าไหร่”
“...” ฟังอีกคนอธิบายอย่างใจจดใจจ่อ
“ส่วนสองคนนั้นที่หน้าเหมือนกันอ่ะ ฝั่งซ้ายชื่อว่าโอเซฮุน ส่วนฝั่งขวาชื่อว่าลู่หานจากชื่อแล้วไม่น่าจะใช่คนเกาหลี มีคนบอกว่าเป็นพี่น้องกัน แต่ฉันว่า พวกเขาไม่เหมือนพี่น้องกันสักนิด ถึงแม้หน้าตาจะคล้ายกันก็เถอะ”
“อ่อ แล้ว ......”
“ถ้าจำไม่ผิด คนนั้นน่าจะชื่อ เวนดี้ ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าไปอยู่กับกลุ่มนั้นได้ยังไง ที่บ้านพวกเขาอาจจะทำธุรกิจด้วยกันอะไรทำนองนั้นมั้ง ฉันไม่ขอพูดต่อแล้วกัน ยิ่งจ้องฉันยิ่งรู้สึกว่าความสวยตัวเองดูด้อยลงมาเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์”
“คนนั้นล่ะ..” คนที่แบคฮยอนอยากรู้มากที่สุด
“นั่นน่ะชื่อว่า ปาร์คชานยอล ฉันว่าหมอนั่นดูเย็นชาที่สุดในกลุ่มแล้วหละ แต่เพราะหล่อหรอกถึงให้อภัยได้ ไม่มีข้อมูลอะไรมาก รู้แค่ว่าหน้าตาดี ไม่รู้ว่าอะไรส่งให้ห้าคนนี้เกิดมาอยู่ด้วยกันนะ พลังทำลายล้างสูงมาก ๆ แต่ก็อย่างว่าแหละ คนดูดีก็ต้องคบกับคนดูดีอะเนอะ ......”
“....” แบคฮยอนพยักหน้าตามโดยที่สายตายังไม่หลุดออกจากร่างสูงนั่นเลยสักนิด
“สงครามเกาหลีมีทหารเกาหลีใต้เสียชีวิตทั้งหมดกี่คน”
ร่างเล็กมัวแต่สนใจคนในกลุ่มนั้นจนไม่ทันสังเกตว่าอาจารย์ประจำวิชาประวัติศาสตร์ได้เดินมายืนอยู่ข้างหน้าโต๊ะเขา
“เอ่อ ... คือ ....” บ้าจริง จะตอบว่าไงหละทีนี้
“ว่าไงหืม ?...”
“....”
“คำตอบ??” รู้งี้ตอนมอปลายน่าจะตั้งใจเรียน
“คือผม .......”
“???” นี่ถ้าคนข้างหน้าไม่ใช่อาจารย์นะ เขาคงพูดไปแล้วว่า พี่อย่าเร้งเร้าฉันสิ
“ผมไม่ร......”
“ผู้เสียชีวิตทั้งหมด 373,599 คน บาดเจ็บ 229,625 คนและคาดว่ามีการสูญหายอีก 387,744 คนครับ”
ทั้งห้องหันไปเป็นสายตาเดียว
“ตอบได้ดีนิพ่อหนุ่ม”
ไม่ใช่ตัวเขาที่เป็นคนตอบ
“ชื่อว่าไรหละเรา ....”
อย่าบอกนะว่า..
“ชานยอลครับ ผมชื่อปาร์คชานยอล”
“นายจะไปไหนต่อเหรอ ?” หญิงสาวถามหลังจากที่เดินออกมาจากตึกเรียน วันนี้มีคลาสถึงแค่เที่ยงจึงทำให้ร่างเล็กไปทำธุระส่วนตัวได้เร็วขึ้น ถ้าไม่ติดคนข้างกายที่กำลังตั้งคำถามมากมาย
“จะไปทำงาน” ตอบโดยไม่หันหน้าไปมองเจ้าของคำถาม
“นายทำงานด้วยเหรอ”
“อือ..”
“งานที่ว่านี่คืองานยังไงเหรอ”
“งานพาร์ทไทม์”
“เกี่ยวกับ ?” ถามขณะพยายามก้าวขาให้ทันร่างบาง
“ร้านกาแฟ”
“ไม่เหนื่อยหรอ”
“หึ..”
“แล้ว.....”
“เราว่าเธอควรกลับบ้านไปพักผ่อนนะ นี่มันก็ใกล้จะถึงเวลางานของเราแล้ว” แบคฮยอนเลือกที่จะหยุดเดินและตัดบทเพื่อเป็นการไล่ให้เพื่อนสาวที่รู้จักกันวันแรกไปที่อื่นหรือกลับบ้านของเธอไป ความจริงเขาไม่อยากจะพูดให้มันดูเสียมารยาท แต่เขาเองก็ไม่ชอบที่ต้องตอบคำถามใครมากๆเท่าไหร่ แล้วยิ่งคำถามของเพื่อนคนนี้ด้วย เหมือนกับคำถามของเด็กที่พึ่งจะโตแล้วถามพ่อแม่ตัวเองว่า ทำไมการ์ตูนในทีวีมันถึงขยับได้
“อ๋ออ ก็ได้ งั้นฉันไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันแบคฮยอน” พูดเพียงแค่นั้น หญิงสาวรีบเดินออกจากวงโคจรของร่างเล็กทันที
เมื่อไม่มีคนคอยกวนใจแบคฮยอนจึงรีบสาวเท้าให้เร็วขึ้น มือข้างหนึ่งหยิบหูฟังที่อยู่ในกระเป๋าออกมาและพยายามแกะความยุ่งเหยิงเป็นปมของหูฟังสีชมพูเส้นนี้ ซึ่งเป็นปัญญาสุดเบสิคที่ทุกคนจะต้องเจอ เอาทั้งสองข้างเสียบเขาหูตัวเองพร้อมกับเปิดหารายการเพลงโปรด แต่ยังไม่ทันจะกดเล่น ก็มีรถคันสีดำที่ไม่คุ้นตามาจอดขวางหน้าเขา และเมื่อคนในรถเปิดกระจกลงมาก็ต้องทำให้ร่างเล็กตกใจ
ชานยอล ?
“ขึ้นรถมาสิ”
“ห้ะ ??”
“คุณอ่ะ ขึ้นรถมา”
“ฉัน ??”
คนในรถพยักหน้าสองสามทีแทนคำตอบ
“แต่...”
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
“คือ...”
“ถ้าคุณไม่ขึ้นมาทำร้ายน้ำใจผมแย่”
“...”
“...”
เหมือนจะไม่มีทางเลือก สุดท้ายก็ต้องนำร่างตัวเองลงไปนั่งบนเบาะข้างคนขับ ถือว่าเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้เพื่อนร่วมคณะหนึ่งวันแล้วกัน ..
“จะไปไหนครับ?” ร่างสูงหันมาถามคนข้าง ๆ
“เอ่อ ...ร้านกาแฟมุมตึกซอยสอง”
“...” คนขับข้างกายไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่รีบเหยียบคันเร่งเพื่อมุ่งไปจุดหมายที่อยู่ไม่ไกลมาก
บรรยากาศในรถค่อนข้างอึดอัด ไม่มีเสียงเพลงเนื่องจากวิทยุถูกปิดไว้ มีแต่เสียงแอร์ที่เปิดค้างอยู่ ภายในรถตกแต่งได้ดี ถึงหรูเลยทีเดียว กระจกรถติดทึบจนทำให้คนข้างมองไม่เห็นภายในรถ แสงแดดนี่อย่าคิดจะเข้ามาเหยียบในรถคันนี้เลยก็ว่าได้ ถ้าให้เดาคงแพงไม่ใช่น้อยที่หมดไปกับการตกแต่งรถคันนี้ พูดตามตรงเขาไม่ค่อยรู้เรื่องรถเท่าไหร่หรอก ไม่รู้ว่ารุ่นไหนเป็นยังไง ราคาหรือความแรงมากเท่าไหร่ ร่างเล็กไม่เคยสนใจเรื่องเกี่ยวกับรถเลยสักนิด แค่คิดว่ามันสร้างมาเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางก็พอแล้ว
“นี่นาย ขอบใจมากนะสำหรับเรื่องนั้น” อยู่ๆร่างเล็กก็พูดขึ้นมาทำลายความเงียบ
“....??”
“เรื่องในห้องเรียนนั่นไง”
“อ่อ ผมแค่ตอบตามที่ผมรู้น่ะครับ เห็นว่าคุณตอบไม่ได้”
พูดเหมือนไม่ได้ตั้งใจจะช่วย จริง ๆ เขาก็ตอบได้นะ เพียงแต่ไม่ได้อ่านเรื่องนี้มาเท่านั้น ก็ทำไงได้ ใครจะรู้ว่าเปิดเรียนวันแรกจะต้องรู้เรื่องจำนวนทหารที่เสียชีวิตในสงครามล่ะ
“อื้ม นายนี่ข้อมูลเป๊ะเนอะ” พูดพร้อมกับเหล่มองคนขับที่ใช้สมาธิอยู่กับการขับรถ
“แน่นอน ผมเตรียมตัวมาดีครับ”
“...”
“...”
“นายรู้ชื่อฉันรึยัง ?”
“หืม ?”
“ชื่อของฉันไง”
“คุณชื่ออะไรล่ะ”
“อะไรกัน นี่นายให้คนขึ้นรถทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักชื่อกันนะเหรอ ?” คนอะไรแปลกชะมัด
“แล้วชื่ออะไรหละ ผมจะได้รู้ไง”
“บยอน แบคฮยอน เรียกสั้น ๆ แบคฮยอนก็ได้”
“อ่า แบคฮยอน .. ผมคงไม่ต้องแนะนำตัวแล้วใช่ไหม ?”
“...??”
“ก็เห็นในห้องเรียน คุณพูดเรื่องผมกันอ่ะ”
“ห้ะ อะไรนะ ! นี่นายแอบฟังคนอื่นคุยกันเหรอ ?”
“คุณเองไม่ใช่เหรอที่พูดเสียงดัง ผมไม่ได้แอบฟังสักหน่อย”
โอ๊ย น่าอายชะมัด นินทาเขาให้เขารู้อีก แบคฮยอน นายนี่มันเฉิ่มจริง ๆ วันหลังถ้าจะพูดถึงใครคงต้องระวังให้มากกว่านี้
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก เพียงไม่นานนักรถก็มาจอดถึงที่หมายหน้าร้านกาแฟ เป็นร้านไม่ใหญ่มากถึงเล็กซะด้วยซ้ำ เหมาะสำหรับการนั่งชิล ๆ ตอนเย็นหลังเลิกเรียน ยิ่งเป็นร้านที่อยู่ใกล้กับสถานที่ศึกษาลูกค้าส่วนมากจึงเป็นนักเรียนที่มาใช้บริการ
“ขอบคุณที่มาส่งนะ” ร่างเล็กก้าวลงจากรถก่อนจะหันมาพูดกับคนตัวสูงที่นั่งอยู่เบาะคนขับ
“ไม่เป็นไรครับ”
“งั้นฉันไปละนะ..” เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อยกับการที่ต้องพูดกล่าวทักทายหรือลากับคนที่พึ่งรู้จัก
“ตั้งใจทำงานนะครับ”
เมื่อจบบทสนทนาร่างเล็กก็ปิดประตูรถพร้อมกับยืนส่งดูรถคันนี้วิ่งออกไปจนสุดสายตา ก่อนตัวเองจะหันหลังกลับแล้วเตรียมตัวเดินเข้าร้านกาแฟที่อยู่ตรงหน้า แต่ก้าวเพียงไม่กี่ก้าวเท้าก็หยุดอยู่แค่นั้น เมื่อเขาพึ่งนึกอะไรขึ้นได้
นี่ยังไม่ได้บอกกับชานยอลเลยสักนิดว่ามาทำงาน
กลางป่าลึกที่ดูเหมือนจะไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ เสียงใบไม้ปลิวไปตามลม เหมือนว่ามีใครบางคนทำให้มันปลิวด้วยความเร็วที่มองไม่เห็น ฝีเท้าสี่ห้าคู่ที่กำลังวิ่งทำให้เกิดเสียงดังเป็นวงกว้าง ความเร็วของพวกเขาทำให้เราไม่สามารถใช้สายตาเปล่า ๆ ในการมองเห็น
“ใครถึงก่อนชนะ !!” เสียงของสาวสวยคนเดียวในกลุ่มดังขึ้นหลังจากวิ่งมาได้สักพัก พวกเขากำลังแข่งขันให้ไปถึงที่หมายได้เร็วที่สุด
“เวนดี้ !” หันไปมองต้นเสียงของชายหนุ่มที่กำลังวิ่งมาติด ๆ
“ขอโทษด้วยนะลู่หาน แต่วันนี้ฉันต้องชนะ” พูดจบนกหลากหลายสีสันบินออกมาจากรังของพวกมัน เข้ามารุมบังไม่ให้ชายร่างเล็กมองเห็นทางข้างหน้า ลู่หานพยายามใช้มืดปัดป้องให้พวกมันออกไปให้พ้นทาง โดยที่ขาทั้งสองข้างยังไม่หยุดวิ่ง
ตามทางเด็มไปด้วยป่าไม้ธรรมชาติ บรรยากาศชื้นเพราะแถวนี้ฝนมักตกอยู่บ่อย ๆ เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขามาอยู่ที่นี่ ความไม่ถูกกับแสงแดดมาตั้งแต่เกิดทำให้พวกเขาต้องอยู่แต่กับสถานที่ที่อับชื้น แม้ว่าจะห่างไกลเมืองหลวง แต่ก็น่าอยู่ใช้ได้เลยทีเดียว
“เธออย่าขี้โกงสิ !” ขายาวกระโดดไปตามกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาเป็นทาง เขามองไปเห็นร่างบางที่กำลังโดนนกรุมล้อม
“มันเป็นวิธีของแม่มดนี่เซฮุน” ไม่พูดเปล่า หญิงสาวสะบัดข้อมือเล็กน้อยขณะวิ่ง ดีดนิ้วชี้แล้วหันหน้าไปทางชายร่างสูงก่อนที่กิ่งไม้ท่อนสุดท้ายจะร่วงสู่พื้น ทำให้ร่างของชายหนุ่มที่กำลังจะก้าวต่อไปหล่นลงมาด้วย
“เซฮุน !” ร่างเล็กที่ตามมาติด ๆ ตะโกนขึ้นอย่างตกใจหลังจากเห็นคนสนิทหล่นลงสู่พื้นด้านล่าง หลังจากที่ทำให้นกพวกนั้นหลุดจากการควบคุมได้แล้ว เขาก็รีบวิ่งเข้ามาดูร่างสูงทันที
“แบร่” หันมาเพียงเล็กน้อยเพื่อดูให้แน่ใจว่าคนข้างหลังไม่เป็นอะไรจริง ๆ ความสูงแค่นี้ไม่ทำให้ร่างสูงที่นอนแช่อยู่กับที่ตรงนั้นรู้สึกเจ็บได้หรอก คิดแค่นั้นก่อนจะวิ่งต่อด้วยความไวที่เร็วขึ้นหวังเพื่อเอาชนะสามหนุ่มที่เป็นคู่แข่งชั่วขณะ
“ฟูวว” พ่นลมออกจากปากเบา ๆ เพื่อคลายความเมื่อยและอาการหายใจไม่ทันจากการวิ่งมานานพอควร
“ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง” สงสัยวิ่งเพลินไปหน่อยจนไม่ทันมองว่ามีอีกหนึ่งร่างที่วิ่งมาเทียบข้างตัวเขา เท้ายังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง หันไปมองอีกคนที่วิ่งอยู่ใกล้ ๆ
“ถ้าเหนื่อย.. ฉันก็.. ไม่ชนะพวก.. นายนะสิ” แรงที่อ่อนลงทำให้การพูดไม่ไหลลื่นเท่าที่ควร ยังคงสูดอากาศเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ
“พักไหม”
“ไม่มีทาง.. ฉันไม่ยอมให้.. พวกนายชนะฉันแน่” ข้าทั้งสองยังคงวิ่งไปข้างหน้า
“ถ้าเหนื่อยก็ยอมแพ้ซะเถอะ เธอก็รู้ว่าพวกฉันเหนื่อยไม่เป็น” ชายผิวแทนข้างกายพูดถูก ถึงแม้จะเป็นแม่มดแต่เลือดเนื้อเชื้อไขยังเป็นเช่นเดียวกันมนุษย์ เพราะงั้นความรู้สึกเหนื่อย เมื่อยมีเป็นธรรมดา ไม่เหมือนพวกเขาที่ไม่มีความรู้สึกอย่างนั้นอยู่ในตัว แม่มดกินอาหารธรรมดา โดยที่แวมไพร์กินเลือด แม่มดโดนแสงแดดได้แต่แวมไพร์ไม่ได้ และมีอย่างหนึ่งที่แม่มดเสียเปรียบมากที่สุดคือแวมไพร์คือ แวมไพร์ไม่มีวันตาย เขาทั้งสองยังพยายามวิ่งแข่งกันเพื่อให้ถึงจุดหมาย
สุดท้ายหญิงสาวก็หยุดพักอยู่กับที่พร้อมกับหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง เมื่อรู้ว่าร่างกายไม่ไหวจึงหาที่พักพิง มือข้างหนึ่งเท้าไว้กับต้นไม้ใหญ่
“บอกแล้วว่าให้ยอมแพ้” จงอินหยุดวิ่งเพื่อหันมามองหญิงสาวที่ยืนหอบอยู่ด้านหลัง
“ฉันเจ็บขา” สาวร่างเล็กพูดพร้อมกับใช้มือที่ว่างอยู่นวดบริเวณน่องขาข้างซ้าย
“เป็นไงล่ะ พูดแล้วไม่ฟัง” พูดแค่นั้น ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปหาคนตรงหน้าเพื่อดูอาการ ย่อตัวเล็กน้อยเพื่อให้จับขาของหญิงสาวได้อย่างสะดวก
“เสร็จละ..หึหึ”
“เห้ยย” ขาทั้งสองข้างของร่างสูงขยับไปไหนไม่ได้เมื่ออยู่ ๆ รากจากต้นไม้ที่สาวตรงหน้ายืนพิงอยู่ขึ้นมารัดข้อเท้าเขาไว้ คิดไม่ถึงว่าจะโดนหลอกได้ง่ายขนาดนี้ ร้ายใช่เล่นนะ
“ฉันว่านายนั่นแหละที่ควรพัก เจอกันที่บ้านนะบาย” วิ่งไปพร้อมกับร้อยยิ้มที่เด่นหล้า ความเหนื่อยที่เห็นตอนแรกเหมือนจะไม่เคยปรากฏอยู่บนหน้าของหญิงสาวเลยสักนิด เซฮุนก็โดนสกัดไปเป็นที่เรียบร้อย ลู่หานก็คงกำลังอยู่กับร่างสูงนั่น ส่วนจงอินก็อย่างที่เห็น ขยับไปไหนไม่ได้อีกหลายนาที ตอนนี้คนชนะก็เป็นใครไม่ได้นอกจากเขา
ออกแรงวิ่งได้สักพักก็เห็นเส้นชัย จุดหมายปลายทางคือบ้านของพวกเขาเอง บ้านที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ถึงแม้จะอยู่ในป่าแต่ก็หรูใช้ได้เลยทีเดียว ใหญ่พอที่จะทำให้คนทั้งห้าคนใช้ชีวิตอยู่หลังเดียวกันได้
หญิงสาวรีบวิ่งให้ไวกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าที่พักอยู่ไม่ไกล “วันนี้ฉันเนี่ยแหละ ต้องชนะ” พูดกับตัวเองเบา ๆ ยิ้มให้กับชัยชนะที่กำลังจะเกิดขึ้น ทุกอาทิตย์พวกเขามักจะวิ่งแข่งกันเวลาไม่มีอะไรทำ เหมือนเป็นการเพิ่มทักษะการวิ่งและยังเป็นการออกกำลังกายไปในตัว แต่ตัวเขาเองมักเป็นคนสุดท้ายทุกครั้งเสมอ เพราะฉะนั้นวันนี้เขาจะแพ้ไม่ได้ ขาทั้งสองหยุดอยู่หน้าประตูสีดำเบนสายตามองไม่ข้างหลังเพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามมา จากนั้นก็เอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูหวังจะเปิดมันออก รอยยิ้มที่มีในตอนแรกกลับหุบลงทันที
“พวกนาย ..” อะไรกัน ก็เมื่อกี้สกัดไปหมดแล้วนะ แล้วทำไม ?
“เธอช้ามาก ปล่อยให้เรารออยู่ตั้งนาน” เซฮุนพูดขณะยกเท้าไปพาดไว้กับโต๊ะตัวเล็กที่วางอยู่ตรงหน้าให้อยู่ในท่าทีที่สบาย
“อ่าวกลับมาแล้วเหรอ” ตามมาด้วยลู่หานที่พึ่งเดินลงมาจากบันไดชั้นสอง ร่างเล็กเดินเข้าไปหาร่างสูงของเซฮุนที่นั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับหย่อนก้นลงข้าง ๆ ทั้งสองมองมาทางหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตู
“แล้วจงอินล่ะ” ใช้สายตามองรอบ ๆ บ้านแล้ว ก็สังเกตเห็นว่ามีอีกคนที่ยังคงกลับมาไม่ถึง ยังไงวันนี้เขาก็ไม่ใช่คนสุดท้ายที่มาถึงล่ะนะ
“มีใครพูดถึงฉันอยู่รึเปล่า” ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกมาพร้อมกับร่างของชายหนุ่ม
“นาย ....”
“อ่าว กลับมาถึงแล้วเหรอ” รอยยิ้มที่มุมปากทำให้หญิงสาวแทบอยากจะบ้าตาย ไอนี่มันควรโดนรากไม้รัดไว้อยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ได้
“สุดท้ายวันนี้เธอก็แพ้พวกฉัน”
“...”
“อีกครั้ง ...” กรี๊ดดด แค่บอกว่าแพ้นี่ก็รู้สึกอยากจะบ้าอยู่ละ นี่ยังย้ำว่าอีกครั้ง “นี่พวกนายเป็นผู้ชายกันรึเปล่า ปล่อยให้ผู้หญิงชนะสักครั้งคงไม่ตายหรอกมั้ง” อารมณ์ที่ขุ่นเคืองทำให้หญิงสาวเดินกระทืบเท้าขึ้นห้องตัวเองไป ปล่อยไว้ให้เหลือเพียงชายหนุ่มสามคนที่มองตาม ความจริงพวกเขาไม่มีเคล็ดลับอะไรในการวิ่งแข่งเลยสักนิด แต่แน่นอนสำหรับแวมไพร์แล้ว ความไวเป็นที่หนึ่งเสมอ มันก็ช่วยไม่ได้ถ้าจะทำให้ใครบางคนต้องเจ็บใจกับการแพ้ทุกครั้ง
“หิวจังแฮะ” จงอินพูดขึ้นหลังจากเห็นหญิงสาวเดินขึ้นห้องตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อย ยักไหล่เล็กน้อยอย่างที่ชอบทำเป็นประจำเหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พวกนายจะเอาด้วยเปล่า ?” หันมาถามสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่กลางบ้านเหมือนเข้าใจกันเองในความหมายของคำว่า เอาด้วยเปล่า คืออะไร ทั้งสองส่ายหน้าพร้อมกันเหมือนนัดมา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเรียกร้องอะไร จงอินจึงเตรียมที่จะเปิดประตูเพื่อออกไปข้างนอก เวลานี้พวกกวางคงกำลังออกหาของกิน เป็นเวลาดีที่เขาจะออกไปหาของกินเช่นเดียวกัน แต่ก่อนที่ร่างหนาจะได้เปิดประตูออกไป ได้มีอีกคนที่เปิดสวนเข้ามา คนที่หายหน้าไปตั้งแต่หลังเลิกเรียน ชายหนุ่มที่สูงที่สุดในกลุ่ม
“นายไปหาเด็กนั่นมาเหรอ” จงอินถามขึ้น แต่คนที่พึ่งกลับมาถึงไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่หันมามองพร้อมกับพยักหน้าเบา ๆ
“แล้วเวนดี้ล่ะ” ร่างสูงถามเมื่อกวาดสายตาไปทั่วบ้านแล้วไม่เห็นเพื่อนสาวคนเดียวในกลุ่มอยู่รวมตัวในห้องรับแขกนี้ด้วย
“งอนเดินส่ายตูดขึ้นห้องไปละ”
“อ่อ” ตอบแค่นั้นก่อนจะเดินผ่านร่างทั้งสามขึ้นห้องตัวเองไป จนทั้งสามคนหันหน้ามองกันอย่างสงสัย ไม่ใช่พวกเขาไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เพียงแต่ไม่ค่อยอยากไปก้าวก่ายเรื่องของเพื่อนตัวสูงนั่นสักเท่าไหร่
เมื่อชานยอลเดินเข้ามาให้ห้องตัวเอง เขาก้าวเท้าอย่างไม่เร่งรีบไปหยุดอยู่หน้าปฏิทินที่ติดอยู่ข้างฝา ปฏิทินที่บอกถึงวันสำคัญต่างๆ ร่างสูงหยิบปากกาขึ้นมาขีดช่องว่างของวันที่กำลังจะผ่านพ้นไปอีกวันหนึ่ง
“ใกล้แล้วสินะ”
To be continued
ความคิดเห็น