ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` ( vixx ) six boys in da house.

    ลำดับตอนที่ #2 : ( ravi x hongbin ) like this or like that 1

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ย. 57




    like this or like that 1

    ravi x hongbin

     

     

              อี ฮงบิน เป็นนักเรียนใหม่ คนที่เพื่อนในห้องบอกว่าน่ารัก ก็เพราะความอยากรู้มันเลยทำให้ยอมตื่นเช้าขึ้นนิดหน่อยจากเดิมสักสิบยี่สิบนาทีเพื่อมาเรียนให้ทันคาบแรก แต่ก็คงเป็นคาบเดียวที่ผมจะเข้าเรียน  การตื่นมาโรงเรียนให้ทันคาบแรกเป็นสิ่งที่ยากพอๆกับทำให้ผมเลิกนอนดึก โผล่หน้าไปเช็คชื่อสุดท้ายก็คลานออกจากห้องอยู่ดี แต่วันนี้อะไรสักอย่างทำให้ผมยอมนั่งฟังโจทย์ปัญหาแคลลูลัสที่ผมก็ไม่ยักจะเคยจำว่าเคยเรียนผ่านมาแล้ว เหมือนเส้นหยักในสมองจะไม่เพิ่มขึ้นอีกเลยตั้งแต่จบประถมต้น

     

     

     

    คิม วอนชิก เคยสนใจอะไรบ้างละนอกจากการนอน

             

     


    สุดท้ายคาบเช้าผ่านไปโดยที่ไม่มีนักเรียนชื่อ อี ฮงบินเข้าเรียน ไม่มีใครรู้และไม่มีใครติดต่อได้ ความพยายามของวอนชิกลดต่ำลงจนทนไม่ไหวถึงได้สะพายกระเป๋าและลุกออกจากห้องไปเสียอย่างนั้น

     

     

     

                รองเท้าผ้าใบคู่โปรดพาเขาเดินขึ้นไปบนชั้นสูงสุดของอาคาร ประตูที่ปกติจะมีโซ่และแม่กุญแจล็อกอยู่ ถูกไขโดยบุคคลปริศนา คิ้วหนาขมวดบ่งบอกถึงความสงสัย มือที่เคยล้วงกระเป๋าถูกชักออกมาผลักประตูบานหนาตรงหน้า ที่ๆควรจะมีเขาคนเดียวในเวลานี้กับมีใครอีกคนที่เขาไม่รู้ว่าเป็นใคร ขายาวก้าวสำรวจไปทั่วบริเวณดาดฟ้า  สุดท้ายก็เจอเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งหลับพิงระเบียงในส่วนที่ไม่มีแดด และดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่รับรู้ถึงการมาของอีกคน ทำเอาวอนชิกเฟลนิดหน่อยที่ขนาดมานั่งจ้องหน้าแล้วยังไม่รู้สึกตัว คนตัวสูงเริ่มไล่สายตามองอีกคนที่ยังหลับอยู่ โครงหน้าที่จัดว่าดี จมูกและปากที่เข้าคู่กันอย่างลงตัว มองรวมๆแล้วก็หน้าตาดีมากถึงขั้นมากที่สุด จะว่าไปก็คล้ายกับคนๆหนึ่งที่หนีเขาไปอยู่ไหนแล้วไม่รู้ รู้สึกคุ้นกับคนตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก มองสำรวจอีกคนมาเรื่อยๆจนถึงป้ายชื่อติดหน้าอก ก่อนจะกระตุกยิ้มเบาๆที่มุมปาก

     

     

     

     

    ให้รอกันตั้งนานเลยนะครับ อี ฮงบิน

     

     

     

                คนตัวสูงตัดสินใจเอนหลังพิงระเบียงตรงที่ว่างข้างๆคนที่กำลังหลับอยู่  หยิบหูฟังขึ้นมาฟังเพลงเงียบๆ นิ้วเรียวไล่ตามแนวยาวของสมาร์ทโฟนในมือไปเรื่อยๆ จนเผลอหลับไปแม้เพลงที่ดังก้องอยู่ในหูจะเป็นเพลงที่ไม่ชวนง่วงนอนเลยแม้แต่นิดเดียว

     

     

     

     

                นานเท่าไรไม่รู้ที่หลับไป วอนชิกตื่นแล้วแต่คนข้างๆยังไม่ตื่น แถมยังเริ่มคุกคามเขาด้วยการวางหัวทุยๆนั้นลงบนไหล่หนาของเขาอีก เขาตั้งใจว่าจะปล่อยให้อีกคนนอนต่ออีกสักพักแต่สุดท้ายเสียงกระดิ่งบอกเลิกคาบสุดท้ายก็ทำให้วอนชิกตัดสินใจผลักหัวอีกคนเบาๆ แต่ดูเหมือนจะไม่เบาสักเท่าไรเพราะทำเอาอีกคนสะดุ้งตื่นซะแรงทำเอาวอนชิกตกใจไปด้วย

     



     

                “ไง หลับสบายมั้ย” สุดท้ายเสียงทุ้มต่ำก็ตัดสินใจเอ่ยออกไปเพื่อทำลายความเงียบที่กำลังก่อตัวขึ้น ก็คนตรงหน้าได้แค่นั่งอ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้น

     

     

     

                “ก็นิดหน่อย” ตอบออกมาเสียงอ้อมแอ้ม “แต่ปวดคอชะมัดเลย” วอนชิกพอจะเดาได้ว่าประโยคหลังคนตัวบางบ่นพึมพำไปคนเดียว มือเรียวที่เคยวางอยู่บนตักถูกยกขึ้นมาเกาคอน้อยๆ ไหนจะยิ้มแหะๆเชิงเขินอายที่เผลอเอนหัวมาพิงไหล่เขาอีก

     

     

     

    อี ฮงบินน่ารักสมคำร่ำลือจริงๆ

     

     

     

                หน้าจอโทรศัพท์ถูกกดเวคอัพขึ้นอีกครั้งเพื่อดูเวลา ก่อนที่ขายาวจะก้าวออกไปเพราะเห็นเว่าเริ่มจะค่ำแล้วอากาศเย็นขึ้นจนน่ากลัวว่าหวัดที่เพิ่งหายไปจะกลับมาอีก วอนชิกไม่ชอบให้ตัวเองไม่สบาย เขาน่าจะต้องรีบกลับบ้านก่อนที่อากาศจะเย็นกว่านี้ แถมฟ้ายังครึ้มคล้ายว่าฝนกำลังจะตก

     



     

                “เดี๋ยว” เสียงหวานที่ถูกเปล่งออกมาพร้อมกับแรงกระตุกจากชายเสื้อเบาๆ ดึงให้เขาหันหน้ากลับไปมองสาเหตุ ส่วนสูงที่ค่อนข้างไล่เลี่ยกัน แต่แน่นอน วอนชิกสูงกว่า ยิ้มสวยถูกส่งมาอีกครั้ง

     

     

     

                “ไปกินเค้กกันเดี๋ยวเลี้ยง เป็นค่าพิงไหล่ไง” มีใครเคยบอกรึยังว่าวอนชิกไม่ชอบของหวาน เขาจำได้ลางๆว่าการกินเค้กครั้งสุดท้ายคือเมื่อตอนมอต้น แต่ไม่รู้อะไรทำให้คนตัวสูงกว่าหัวเราะเบาๆก่อนจะเอ่ยปากตอบตกลงไป จากนั้นวอนชิกก็ทำได้เพียงแค่เดินตามแรงดึงที่ฮงบินลากเขาไปตามทาง เขาลองยื้อมืออีกคนดู ผลตอบรับที่ได้คือโดนอีกคนมองค้อนแล้วออกแรงลากมากกว่าเดิมเท่านั้นเอง

     

     

     

                ประโยคเดียวที่เขาได้ยินจากปากคนตรงหน้าคือ “เดินเร็วๆ หน่อยได้มั้ย” โดยที่เจ้าของประโยคไม่แม้แต่จะหันมาสนใจ  คนอะไรทั้งๆที่ก็หน้าฝนแล้ว อากาศก็เย็นแต่ทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเองซะบ้างเลย

     

     

     

                เดินมาได้สักพักคนตัวเล็กก็ออกแรงลากเขาแรงขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่มือบางจะผลักบานประตูใสเขาไป เสียงกรุ๊งกริ๊งของระฆังดังขึ้นต้อนรับ พร้อมกับไอเย็นของแอร์คอนดิชั่นเนอร์กับกลิ่นของกาแฟและขนมปังที่ปะทะเข้ากับร่างกายของเขา แม้อากาศภายในร้านจะจัดได้ว่าเย็นค่อนไปทางหนาวแต่กลับรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ


     

     

                คิดแล้วก็ขำ คนอย่างคิม วอนชิก เดินตามเด็กใหม่ต้อยๆเพื่อมากินเค้กฟรี ขายาวก้าวตามคนตัวเล็กที่ยอมปล่อยมือเขาเสียที จนมาหยุดที่โซฟาตัวเล็กแต่ก็ใหญ่พอที่จะนั่งได้หลายคนที่มุมร้านติดกระจก ก่อนจะชี้ไม้ชี้มือเชิงว่านั่งอยู่นี่เดี๋ยวออกมา วอนชิกก็คงได้แต่นั่งรอตามคำสั่งเจ้าตัวนั้นแหละ

     

     

     

                ฟ้าเริ่มมืดพร้อมกับสายฝนที่โปรยลงมา เห็นมั้ยละเขาเดาไว้ไม่มีผิดฝนต้องตกจริงๆด้วย สักพักฮงบินก็กลับออกมาจากหลังร้านพร้อมกับเมนูเครื่องดื่มที่ถูกยื่นมาตรงหน้า คิ้วหนาขมวดเป็นปมเมื่อเห็นว่าอีกคนควักปากกามาเตรียมท่าจะจดตามออเดอร์ ไหนจะผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลที่ผูกอยู่ที่เอวบาง

     

     

     

                “เราเป็นน้องเจ้าของร้านเองแหละ” และดูเหมือนว่าฮงบินจะเดาใจเขาออก ก็แหงละเล่นจ้องซะเหมือนเขาเป็นตัวอะไรสักอย่างที่หลุดมาจากอีกมิติ

     

     

     

                “ไม่รู้สิ ไมชอบกินอะไรหวานๆ” เอ่ยปากบอกไปแค่นั้นก่อนจะเอนตัวพิงกับโซฟา “เลือกให้หน่อยแล้วกัน” ฮงบินทรุดตัวลงข้างๆเขาก่อนจะชะโงกหน้าไปดูเมนูที่วางบนโต๊ะ  กลิ่นตัวอ่อนๆที่ดูจะเข้ากันกลับกลิ่นกาแฟในร้านเป็นอย่างดีของฮงบิน ทำเอาวอนชิกเกือบลืมจุดประสงค์ว่าที่มานั่งเอนหลังอยู่ที่นี้เพื่อมากินเค้กไม่ใช่อย่างอื่น ยกตัวอย่างเช่น คนข้างๆ  

     


     

                “อืม อย่างนายน่าจะกินอเมริกาโน่หรือนายไม่ชอบกาแฟ”

     

     

     

                “อะไรก็ได้ที่ไม่หวาน”

     

     

     

                “งั้นก็อเมริกาโน่ละกัน” คนตัวเล็กผุดลุกขึ้นทันทีที่จดรายการขนมและเครื่องดื่มเสร็จ ซึ่งตัวฮงบินเองนั้นแหละที่เป็นคนเลือก เขาได้แต่สงสัยว่าชีวิตของอีกคนอยู่ได้ยังไงโดยที่ไม่มีของหวาน ถ้าเขาได้ขาดอะไรหวานๆไปสักวันคงมีขาดใจตายพอดี  ฮงบินไม่ได้เว่อร์นะ เขาก็แค่ชอบของหวานมากๆเท่านั้นเอง

     

                 

     

     

                วอนชิกได้แต่จิบนู่นชิมนี่ตามคำเชียร์ของอีกคน ถึงจะบอกว่าหวานน้อย แต่สำหรับเขาก็หวานหมดแหละ สุดท้ายของที่สั่งมาก็ตัวน้องชายเจ้าของร้านเองนั้นแหละที่จัดการ ส่วนคนโดนลากมาได้แต่นั่งจิบอเมริกาโน่มองดูอีกคนนั่งกินไปเรื่อย ปากก็บ่นว่าเสียดายของอบ่างนู่นอย่างนี้อย่างนั้น

     

     

     

                “นี่ ถ้าอยากให้กินจริงๆก็ป้อนสิ” มือขาวที่กำลังจ้วงชีสเค้กอยู่ถึงกับชะงัก ตากลมๆที่โตอยู่แล้วยิ่งโตขึ้นไปอีกจนวอนชิกอดไม่ได้ที่จะยืนมือไปยีกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนของอีกคน

     

     

     

                “ล้อเล่นหรอกน่า”

     

     

     

                “รู้มั้ยเวลาลูกค้ากินขนมร้านเราไม่หมดอ่ะ มันน่าเสียใจมากเลยนะ” คนตัวเล็กพูดเสียงหงอยๆก่อนจะยิ้มบางแล้วยืนช้อนมาจ่อปาก “ถ้าป้อนแล้วต่อให้ไม่ชอบ ก็ต้องกินให้หมดนะรู้มั้ย”

     

     

     

    อี ฮงบินน่ารักเกินไปจริงๆ

     

     

     

                สุดท้ายทุกอย่างบนโต๊ะก็หมดไป ไม่เชิงว่าวอนชิกกินคนเดียวทั้งหมดหรอกเพราะทุกครั้งที่ป้อนวอนชิกไปสักคำสองคำคนตัวบางตรงหน้าก็ตักเข้าปากตัวเองเฉยเลย แล้วถ้าใช้คำว่าวอนชิกฝืนกินก็คงไม่ถูกรายนั่นดูจะพอใจที่ได้ฮงบินมาเติมความหวานใส่ปากเขาแบบนี้

     

     

     

    ทันทีที่คนตัวสูงเอ่ยปากขอกลับบ้าน เจ้ามือก็วิ่งวุ่นหาร่มให้ทั่วร้านจนวุ่นวายไปหมดทั้งๆที่เขาบอกแล้วว่าไม่เป็นไร แต่เจ้าตัวก็ดูเหมือนไม่ได้ฟังประโยคที่เขาพยายามจะบอก

     

     

     

    “ฮงบิน ร่มเหลืออยู่คันเดียวอ่ะ ถ้าให้เพื่อนนายไปแล้วนายจะกลับยังไงเล่าเจ้าเด็กบ้า” ประโยคดุที่คล้ายว่าจะแฝงด้วยความเป็นห่วงซะมากกว่า

     

     

    “กลับกับพี่ไง!

     

     

    “เสียใจนะฮงบินวันนี้พี่ไปทำรายงานบ้านแทคอุน”

     

     

     

    “ย่าห์!!!” วอนชิกที่ยืนมองคนเป็นพี่ที่ฮงบินแนะนำให้รู้จักว่าชื่อฮักยอน ยืนโอ๋เจ้าเด็กตรงหน้าที่งอแงกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจที่พี่ชายตัวเองจะไม่กลับบ้านด้วย

     


     

              “วอนชิกอ่าห์ บ้านนายอยู่ไหนหรอ” เมื่อฮงบินยอมเงียบฮักยอนก็หันมาขอร้องให้พาน้องชายตัวเองไปส่งบ้านที ซึ่งวอนชิกที่คำนวณไว้ในใจแล้วว่าตนเองต้องเป็นคนไปส่งคนตัวบาง มีเหตุผลอะไรละที่เขาจะต้องปฎิเสธ

     

     

     

                ฝนที่เริ่มซาไม่ค่อยเป็นอุปสรรคในการเดินเท่าไร มีแต่ฮงบินนี้แหละที่บอกให้เขาเขยิบเข้าไปใกล้จนถึงขั้นที่ว่าแทบจะยืนซ้อนหลังอีกคนได้ ด้วยเหตุผลที่ว่า กลัววอนชิกเปียก ดีที่ว่าบ้านของฮงบินและคอนโดของวอนชิกไม่ไกลกันนัก เรียกว่าใกล้ได้เลยด้วยซ้ำ อยู่ในซอยเดียวกันแต่เพียงแค่ บ้านฮงบินอยู่ท้ายซอยส่วนคอนโดวอนชิกอยู่ปากซอย ซึ่งห่างจากร้านกาแฟไปเพียงสองสามบล็อค

     

     

     

                “วอนชิกขึ้นคอนโดไปเลยก็นะ เดินกลับไปกลับมาตากฝนอีกเดี๋ยวไม่สบาย” อีกประมาณร้อยเมตรก่อนถึงหน้าคอนโด คนตัวเล็กที่ตลอดเวลาที่เดินมาด้วยกันได้แต่กำชายเสื้อตัวเองเอาไว้เงยหน้าขึ้นมาบอกกล่าวเบาๆกับวอนชิก

     

     

     

                “ได้ไง อุตส่าห์รับปากกับพี่นายไว้แล้วว่าจะส่งถึงบ้าน”

     

     

     

                “ก็เกรงใจไง”

     

     

     

                “ถือว่าค่าเค้กก็ได้นะ”

     

     

     

                “ค่าเค้กอะไรเล่า ที่เลี้ยงเมื่อเย็นไปก็ค่าพิงไหล่ไง”

     

     

     

            "พิงไหล่แปปเดียวกับเค้กบวกกาแฟนั้นอีกคิดไปคิดมานายก็ขาดทุนแย่ไม่ใช่หรอ นี้ฉันคืนกำไรให้นายอยู่นะ” จากที่เงียบกันมาตลอดทาง ก็เริ่มมีเสียงต่อล้อต่อเถียงกันขึ้น สำหรับวอนชิกแล้วอาจจะดูกระอักกระอ่วนไปนิดแต่คิดในทางการค้าแล้ว มันก็ถือว่าได้กำไรนิดๆกับการที่ต้องทนเปียกแต่ได้ยืนอยู่ใต้ร่มคนแคบๆที่มีคนตัวเล็กยืนเบียด

     

     

     

    ต่อให้ไม่สบาย ตอนนี้วอนชิกก็คงต้องยอม

     

     

     

                เดินมาได้สักพักก็ถึงบ้านของอีกคน ไม่ได้ใหญ่อะไรแต่ก็พอจะอยู่กันได้สบายๆสำหรับสองพี่น้อง วอนชิกยืนกางร่มให้อีกคนได้ไขกุญแจรั้วเข้าบ้าน ไฟภายในบ้านที่เหมือนมีใครสักคนอยู่ในบ้าน ทำเอาฮงบินได้แจ่บ่นกระปอดกระแปดว่าฮักยอนฮยองคนขี้ลืม เขาได้แต่จุดยิ้มมุมปากขึ้นเงียบๆ  

     

     

     

                “เข้ามาดื่มไรก่อนมั้ย” ทันทีที่ไขรั้วได้หน้าหวานก็หันมาถามคนตัวสูงทันที “คงไม่อ่ะ..” ไม่ทันจบประโยคมือเล็กก็ดึงมือของเขาไปกุมไว้

     

     

     

                “มือเย็นหมดแล้ว เข้าในบ้านก่อนมั้ย” สองมือที่ประคองมือใหญ่เอาไว้กับดวงตากลมโตคู่นั้น วอนชิกกลัวว่าถ้าเข้าไปคงได้ทำอะไรที่มากกว่าหาอะไรดื่มหรือไม่ก็ได้ดื่มอะไรอย่างอื่นซะละมั้ง

     

     

     

    วอนชิกคิดว่าเขาคงห้ามตัวเองได้

     

     

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    แต่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ อี ฮงบิน

     

     

               

                ร่มคันเดิม ทางเส้นเดิม ที่เขาเพิ่งเดินไปส่งคนตัวเล็กจนถึงบ้าน หูฟังที่หยิบขึ้นมาใส่หลังจากเดินออกมาจากบ้านได้สักพักไม่ได้ทำให้เจ้าของส่วนสูงร่วมร้อยแปดสิบกว่าที่ใกล้จะเฉียดร้อยเก้าสิบให้เลิกคิดถึงอี ฮงบินได้เลย

     

     

     

                น่าแปลกทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงครึ่งวันแต่ทำเอาเขานอนไม่หลับเพราะทุกครั้งที่หลับตารอยยิ้มสดใสกับรอยบุ๋มของลักยิ้มก็โผล่มาทุกที นี้ไม่นับกับการที่เขาได้ยินเสียงโทรศัพท์เรียกเข้าเป็นเสียงหัวเราะของอีกคน

     

     

     

    คิม วอนชิก ไม่ชอบให้ตัวเองเป็นแบบนี้

     

     

     

     

              การเข้าเรียนติดกันสองวันภายในหนึ่งอาทิตย์ของวอนชิกกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนประหลาดใจแม้แต่เด็กที่ไม่สนใจอะไรเลยยังต้องเหลียวตามเมื่อเห็นขายาวๆก้าวผ่านหน้าเพื่อเดินเข้าห้อง หน้าคมกวาดสายตาไปรอบห้องก่อนจะวางเป้บนโต๊ะ แล้วจัดแจงยกแขนยกขาหาท่าสบายๆเพื่อนอนหลับก่อนที่จะเริ่มคาบ  คงต้องโทษอี ฮงบินคนเดียวนั้นแหละที่ทำให้เขาไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน

     

               

     

     

                เรื่องที่น่าประหลาดใจสำหรับทุกคนอีกเรื่องของวัน คืออี ฮงบินมาโรงเรียนสาย เพราะหลังจากคาบแรกผ่านไปได้สักสิบห้านาที หน้าหวานๆที่มีหยดเหงื่อรอบกรอบหน้าทั้งๆที่อากาศค่อนข้างเย็นแต่คนที่เพิ่งมาถึงกลับเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

     

               

     

                โต๊ะตัวประจำของฮงบินถูกแทนที่ด้วยแจฮวาน ซึ่งเจ้าตัวก็ได้แต่ชี้ไม้ชี้มือพูดไม่มีเสียงว่าวันนี้เขาลืมเอาคอนแทคเลนส์มาทำให้เขามองไม่เห็นกระดานเท่าไรนัก ฮงบินเลยต้องจำใจเดินไปนั่งโต๊ะตัวหลังห้องอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากวางกระเป๋าหยิบสมุดออกมาเตรียมตัวเรียนเรียบร้อยแล้วก็ต้องสะดุดเมื่อคนที่นั่งข้างๆ เป็นคนที่เดินกางร่มกลับบ้านกับตัวเองเมื่อวาน แต่จะพูดว่ากลับด้วยกันก็คงไม่ถูก เพราะอีกฝ่ายต่างหากที่โดนพี่ชายเขาบังคับแกมข้อร้องให้เดินไปส่ง

     

     

                ปลายนิ้วเรียวสะกิดเข้าที่ต้นแขนของอีกคนที่วางรองหัวอยู่บนโต๊ะ หวังให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาตั้งหน้าตั้งตาเรียนเหมือนเพื่อนคนอื่นในห้องบ้าง แต่อีกฝ่ายทำแค่เบี่ยงตัวหลบสัมผัสจากเขาแค่นั้น ฮงบินจึงเบนความสนใจมาไว้ที่เนื้อหาที่อาจารย์กำลังสอนบนกระดานแทนที่จะเป็นคนที่นั่งอยู่ข้างๆ

     

     

                “อี ฮงบิน” จู่ๆอาจารย์ที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องก็เรียกชื่อเขาทำเอาเจ้าของชื่อตกใจไม่น้อยได้แต่นึกคิดว่าส่งงานครบมั้ยหรือเขาทำตัวผิดระเบียบยังไง

     

     

                “ค ครับ”

     

     

              “ปลุกคนที่นั่งข้างนายสิ” โล่งอกไปหน่อย นึกว่าเขาทำอะไรไม่ถูกใจอาจารย์ซะอีก แต่การที่จะไปรบกวนคนที่ดูเหมือนจะไม่สบายอย่างวอนชิกก็ดูจะไม่มีมารยาทไปหน่อย เขาเลยจำใจกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะพูดโกหกคำโตออกไป

     

     

              “วอนชิกไม่สบายครับครู” ถึงจะมีปากสั่นไปหน่อยแต่เขามั่นใจว่าอาจารย์ไม่รู้ว่าเขากำลังโกหกอยู่แน่ๆ

     

             

                สิ้นเสียงฮงบินเหตุการ์ณ์ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ทุกในชั้นหันกลับไปสนใจสิ่งที่อาจารย์กำลังพร่ำสอนอยู่หน้าชั้นแทนที่จะเป็นเขาและคนที่กำลังฝุบหลับอยู่ข้าง แล้วก็เป็นอย่างนี้จนหมดคาบของภาคเช้าที่ฮงบินต้องคอยแก้ตัวให้คนข้างๆว่าไม่สบาย จนทำเอาเจ้าตัวถอนหายใจกับความแถของตัวเอง

     


     

                “ทำไมต้องโกหกด้วยหืม” อยู่ดีๆคนที่หลับอยู่กลับเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับประโยคที่ทำเอาเขาตกใจนิดหน่อย เขาคิดว่าอีกคนหลับอยู่ตลอดแท้ๆแต่ทำไมถึงรู้ว่าเขาพูดอะไรแก้ตัวแทนอีกคนไป

     

     

                “ไม่โดนดุก็ดีแค่ไหนละเถอะ” ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเก็บของบนโต๊ะใส่กระเป๋าลวกๆ เขาจำได้ว่าวันนี้ข้าวร้านโปรดของเขาจะปิดเร็วกว่าปกติ แบบนี้ต้องรีบก่อนที่จะอดกินข้าวฝีมือป้ามินอา เมื่อวานก็พลาดมาทีหนึงละเพราะมัวแต่ไปนอนอยู่บนดาดฟ้านั้นแหละถึงทำให้ได้อด

     

     

     

                “ไปกินข้าวกัน” พอเห็นอีกคนเตรียมจะฟุบหลับอีกรอบก็รีบดึงแขนให้อีกคนเดินตามออกมา เอาจริงๆตอนแรกก็ตั้งใจจะเมินละหรอกแต่พอเห็นสีหน้าอีกคนดูเหนื่อยๆยังไงไม่รู้ บางทีเขาอาจจะคิดถูกที่อีกคนไม่สบายจริงๆ แถมตอนที่ดึงแขนขึ้นมาตัวก็ร้อนแปลกๆ

     

     

     

                พอเดินมาถึงโรงอาหารฮงบินก็บอกให้วอนชิกไปนั่งโต๊ะตัวนู้นริมหน้าต่าง ก่อนเจ้าตัวจะเดินหายไปแล้วกลับมาพร้อมกับอาหารสองชุด คนตัวสูงดูจะไม่สบายจริงๆแหละเพราะตลอดทางที่เดินมาโรงอาหารดูวูบๆมึนๆยังไงไม่รู้


     

     

                “สรุปป่วยจริงๆใช่มั้ย” มองหน้าอีกคนก่อนจะเอามือไปอั่งหน้าผากอีกคน “เพราะฉันงั้นดิ” หน้าหวานดูจะหงอยไปนิดนึงที่ตัวเองดูเป็นเหมือนสาเหตุที่ทำให้คนตรงหน้าไม่สบาย

     

     

                “แค่นี้ไม่ตายหรอก”

     

     

                “แต่ตอนนี้ก็คงไม่ต่างจากตอนตายเท่าไรหรอก” พูดสวนขึ้นมาก่อนจะดันจานข้าวให้อีกคน ทำหน้าดุบังคับให้อีกคนกินเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้

     

     

     

                “ที่ป่วยอยู่แบบนี้ก็เป็นเพราะฉันไม่ใช่หรอ” หลังนั่งเงียบมาสักพักคนตัวบางก็เริ่มพูดถึงสาเหตุของอาการป่วยของวอนชิกรอบที่สอง ก็เขารู้สึกผิดจริงๆนี่นา

     

     

                “ป่วยเพราะนายหรอ ก็อาจจะถูก” ความหมายที่วอนชิกต้องการจะบอกสวนทางกับสิ่งที่ฮงบินคิด  ทำเอาเจ้าตัวรู้สึกผิดกว่าเดิม แต่ก็ต้องขึ้นสีเมื่อได้ยินประโยคทันมาของวอนชิก

     

     

                “ก็เล่นทำเอาฉันคิดถึงทั้งคืน ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันวันเดียวนี้ไม่ทำเกินไปหน่อยหรออี ฮงบิน” แทบจะระเบิดตัวเองภายในสามวิกลางโรงอาหาร ได้แต่กลบเกลื่อนหัวเราะเหอะๆก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวในจานตัวเอง

     

     

     

              คนตรงหน้าได้แต่นั่งยิ้มกับพฤติกรรมของฮงบิน พอโดนจ้องเข้าหนักๆ ฮงบินก็แทบจะโกยข้าวเข้าปากอีกคนไม่ทันมัวแต่นั่งเขี่ยข้าวแล้วเมื่อไรจะอิ่มละว้อย แต่ ใช้ช้อนอันเดียวกันนี้ก็เหมือนจูบทางอ้อมป่ะ เขาไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าแบบนี้นะ คิดไปคิดมาหน้ามันก็ร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แล้วเมื่อไรจะกินข้าวเสร็จเนี่ย

     

     

     

                “นี้ไม่กลัวติดไข้หรอ” อยู่ดีๆก็ถามขึ้นมา “หน้าแดงๆหรือติดไข้ไปแล้ว”

     

     

     

                 “เลิกพูดละรีบกินข้าวเหอะ เดี๋ยวพาไปขอยาห้องพยาบาล” เขาก็จะเลิกเขินแล้วตั้งใจกินข้าวให้มันหมดๆไปสักที แต่มื้ออาหารมื้อแรกของทั้งสองคนดูจะแปลกไปสักหน่อย คนหนึ่งก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวไป อีกคนก็เอาแต่มองแล้วก็ยิ้มมุมปากอยู่คนเดียว

     

     

     

                “ฮงบินย่าห์!!!!!!!!!!!!!!!!!” เสียงโวยวายดังแทรกขึ้นมาทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งจนสำลัก แถมแรงตบที่ไหล่อย่างคาดโทษก็รู้เลยว่าเป็นใคร

     

     

     

                “เดี๋ยวนี้ก็ลืมกันแล้วดิ สนิทกับคนดังแล้วก็ลืมกันงั้นดิ นี้ฉันต้องดังก่อนป่ะแกถึงจะกลับมาหาฉัน อีฮงบินคนนิสัยไม่ดี” แจฮวานโผล่มาพร้อมกับประโยคยาวๆที่พ่นใส่ฮงบิน ปกติก็กินข้าวเที่ยงด้วยกันตลอดแต่วันนี้ดันหนีเขามานั่งกินข้าวคนอื่นที่ไม่ใช่เขา พอฮงบินเตรียมอ้าปากจะอธิบาย คนที่มาใหม่ก็เริ่มลามปามไปว่าคนป่วยที่ทำหน้าเอ๋อ ไม่รู้เพราะจากพิษไข้หรือตกใจแจฮวานกันแน่

     

     

     

                “หยุดได้ยังพี่แจฮวาน” บุคคลที่สี่ปรากฏตัวพร้อมกับกล่องนมในมือ แขนยาวๆก็วางพาดบนไหล่แจฮวานอย่างไม่กลัวว่าเจ้าตัวจะหันไปโวยวายใส่

     

     

     

                “อย่ามายุ่งดิ เด็กก็อยู่ส่วนเด็กไปเข้าใจมั้ย” ถอนหายใจกับความวุ่นวายตรงหน้าก่อนจะหันไปบอกวอนชิกว่าเป็นเรื่องปกติแล้วลงมือกินข้าวที่เหลือในจานต่อ

     

     

     

              “นี้โตจนเป็นแฟนพี่ได้ละยังจะมาว่าผมเด็กอีก” แทบสำลักข้าวรอบที่สองเมื่อคนที่เด็กสุดเอ่ยจบประโยค ปากที่เคยขยับตลอดเวลากับเม้มเข้าหากันหน้าก็เริ่มแดงแข่งกับถุงขนมในมือ “พี่ฮงบินครับ ผมขอเอาตัวพี่แจฮวานไปก่อนนะครับ” ยิ้มให้อีกที่ก่อนจะจับมือแล้วดึงแจฮวานที่ยืนนิ่งให้เดินตามไป

     

     

     

              “นี้เป็นเด็กใหม่จริงป่ะ” ท่าทางที่ดูคุ้นชินกับโรงเรียนไหนจะสนิทกับแจฮวานที่เรียนโรงเรียนนี้มาตั้งแต่มอต้นอีก ทำเอาเขาเกือบลืมว่าอี ฮงบินคือเด็กใหม่ที่ทุกคนบอกว่าน่ารัก

     

     

     

              “นี้ นายจำฉํนไม่ได้หรอ” เงยหน้าจากจานข้าวมองอีกคนอย่างสงสัย “ย่าห์ นี้จำไม่ได้จริงๆหรอไอ้บ้า”

     

     

                “นี้จำฉันไม่ได้หรอวอนชิก” มือขาวแนบลงที่แก้มของเขาก่อนจะเขยิบตัวเข้ามาใกล้ ตาโตคู่นั้นบังคับให้เขามองเข้าไป “นึกดีๆดิเพื่อนคนแรกของนายในโรงเรียนนี้ใคร”


     

    เหมือนเป็นประโยคไขคดี เพื่อนคนแรกในโรงเรียนของวอนชิก ที่แม้แต่ชื่อเขายังไม่มีโอกาสจะรู้ คิม วอนชิกคือนักเรียนใหม่เมื่อสองปีที่แล้วแตกต่างจากอีฮงบินที่เป็นศิษย์เก่าตั้งแต่มอต้น เพราะย้ายมากลางเทอมเลยกลายเป็นว่าวอนชิกถูกมองไม่ดีไปแล้ว

     

     

     

                อีกหนึ่งข้อเสียของวอนชิกนั้นคือ การไม่สนใจอะไรนอกจากตัวเอง ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนเห็นแก่ตัวเพียงแค่เป็นคนที่ไม่เข้าหาใครก่อน แล้วอีกอย่างในเมื่อเขาก็มีเพื่อนเยอะอยู่แลวทำไมต้องหาเพื่อนเพิ่มละ แต่จะมีคนเดียวที่เขาจำชื่อได้ขึ้นใจก็คงจะเป็นแจฮวาน ไม่ใช่ว่าชอบหรือสนใจเป็นพิเศษอะไรหรอกนะ

     

     

                การอยู่คนเดียวของวอนชิกเป็นเรื่องธรรมดา แต่การที่อยู่ดีๆก็มีเด็กคนหนึ่งซึ่งเขาเดาไว้ว่าอายุเท่ากัน เข้ามาในชีวิตเขา

     

     

                ถาดอาหารกลางวันถูกวางลงตรงหน้าทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย รอยยิ้มกับรอยบุ๋มที่แก้มถูกส่งมาให้พร้อมกับที่เจ้าของยิ้มนั้นจะทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามเขา

     

     

                “นั่งคนเดียวไม่เหงาหรอ” คนตรงหน้าเอ่ยขึ้นพร้อมกับตักข้าวใส่ปาก เพราะอะไรที่ทำให้เด็กมอต้นดูดีขนาดนี้ จะเรียกว่ากรรมพันธุ์หรออะไรดี

     

     

                “ชิน”

     

     

                “แต่ฉันเหงา” เพราะประโยคนั้นถึงทำให้วอนชิกยิ้มออก “นายวอนชิกใช่ม้า” พอเห็นอีกคนยิ้มออกก็เริ่มเล่นใหญ่ จะโทษว่าฮงบินเฟรนลี่อันนี้ก็คงไม่เถียง

     

     

     

                “อืม แล้วนาย”

     

     

     

                “โค้ดเนมถั่ว เรียกฉันว่าถั่วก็พอ” แล้วก็เป็นนิสัยของวอนชิกอีกนั้นแหละที่ไม่ชอบเซ้าซี้ ในเมื่อบอกให้เรียกั่วก็เรียก ถึงแม้อาจจะดูแปลกๆหน่อยก็เหอะ จะเถียงว่าปัญญาอ่อนก็เกรงคนหน้าหวานจะเลิกคบ น่าตกใจที่ภายในเวลาหนึ่งเทอมเด็กผู้ชายตัวสูงเท่าๆกันจะสนิทกันได้ไวขนาดนี้ ถึงขนาดที่ฮงบินสามารถวิ่งเข้าออกบ้านวอนชิกได้โดยที่พ่อแม่ของทั้งคู่ไม่ว่าอะไร แต่จนแล้วจนรอดวอนชิกก็ยังไม่รู้ชื่อจริงของฮงบินได้อยู่ดี

     

     

     

                “นี้วอนชิก” ท่ามกลางความมืดในห้องของฮงบิน ร่างสองร่างที่นอนเบียดกันอยู่ใต้ผ้าห่มผืนโต เสียงที่ใสกว่าเอ่ยออกมาเมื่อทุกอย่างเริ่มเงียบ

     

     

     

                “หื้อ” ขานรับในลำคอก่อนจะตะแคงข้างหันไปหาอีกคน โดยที่ไม่รู้ว่าคนข้างๆก็ตะแคงหาเขาเหมือนกัน กลายเป็นว่าตอนนี้ทั้งคู่หันหน้าเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้

     

     

     

                “ฉันจะย้ายโรงเรียนแล้วนะ”

     

     

     

                “ย้ายไปไหน”

     

     

     

                “ไม่รู้สิ เห็นเขาบอกว่าไกลมากๆ” เสียงเล็กเริ่มสั่นเครือเมื่อรู้ว่าต้องไกลกับเพื่อนสนิทที่แม้จะสนิทกันได้ไม่กี่วันแต่ถ้าลองได้แยกกันไปเขาก็คงแย่

     

     

                “ไปวันไหน”

     

     

              “พรุ่งนี้” สิ้นคำตอบวอนชิกก็รั้งคนตัวบางเข้ามากอด ให้ตายเถอะ เขาน่าจะรีบสนิทกับอีกคนให้เร็วกว่านี้ หรือไม่ ก็ไม่ควรรู้จักกันเลยถ้าจะต้องแยกกันในขณะที่ความสัมพันธ์เริ่มดี

     

     

              “ไม่มีอะไรจะพูดกับถั่วหรอ” ตาใสที่สะท้อนแสงไฟจากด้านนอกมีน้ำตาอาบเต็มแก้ม  เม้มปากเข้าหากันอย่างนึกไม่ออก ก่อนจะดึงหัวอีกคนมาซุกอก นอนกอดกันอย่างนั้นอยู่นาน จนเมื่อเห็นว่าคนในอ้อมแขนเริ่มหยุดสะอื้น ก็ใช้มือบังคับให้อีกคนเงยหน้าขึ้นมามองกัน

     

     

                ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงทำให้วอนชิกโน้มหน้าลงไปประทับรอยจูบอุ่นๆไว้บนปากบางของอีกคน ไม่ใช่จูบที่หวาบหวิว ไม่มีการรุกล้ำอะไรทั้งนั้น ก่อนจะจูบซับตามรอยน้ำตาที่ฝากคราบไว้ตามแก้มขาว

     

     

     

                “อย่าลืมกันได้มั้ย” คนตัวโตเอ่ยออกมาหลังจากที่คนตัวเล็กไม่ยอมพูดอะไรออกมา หน้าหวานพยักน้อยๆเป็นอันรับรู้ก่อนจะมุดอกอีกคนปล่อยให้อีกคนกอดจนถึงเช้า ก่อนที่ต้องแยกกันไป


     

     

     

     to be con .

               
    talk
    เรื่องนี้ตอนแรกกะจะเป็นวันช็อทเกร๋ๆ
    แต่ไปๆมาๆก็เขียนลื่นเขียนไหลไปจนต้องแบ่งเป็นสองพาร์ท
    ไม่แน่ใจว่าจะมีกี่พาร์ท T _ T แต่ยอมรับว่าเรื่องนี้เขียนงงๆ
    ไม่มีพล็อทไม่มีอะไร ด้วยความคันมือล้วนๆ . _ .
    สารภาพเลยอ่ะว่่าคิดชื่อเรื่องไม่ออกกำแบๆๆ -_-
    วันนี้โมเม้นราบีนก็มาอีกแล้ว เมื่ออีนังน้องฮยอกอัพรูปพี่เคน
    อ้าว งี้ก็เป็นมมเคนฮยอกด้วยอ่ะดิกรี้ด 55555555
    รูปพี่เคนที่น้องฮยอกอัพก็ดันติดเงานังบี้นางเลยบอกว่าทูช็อทๆอะไรไม่รู้
    ละอยู่ดีเจ้าของแอคเค้าท์เรดบีนก็ออกมารีพลายชมนังบี้เฉยเลย
    อ้าววงง แต่ฟินแต่เขิน T //////// T
    รอพาร์ทสองแปปน้า

    © themy butter

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×