ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    7 ปีให้หลัง (ภาคต่อ 7 วัน) [yaoi]

    ลำดับตอนที่ #2 : เข้าใจผิด

    • อัปเดตล่าสุด 5 เม.ย. 60


     

    โอเค พวกคุณจงลืมเรื่องที่ผมร้องไห้เมื่อตอนก่อนออกไปให้หมด อย่าให้หลงเหลืออยู่ในสมองเด็ดขาดเลยนะ!!!

     

    ผมไม่เคยร้องไห้เรื่องนอกจงนอกใจ นั่นแค่อินเนอร์ เล่นละคร เข้าใจป่ะ!? อินเนอร์น่ะอินเนอร์

     

    ...

     

    .....

     

    ........

     

    เออๆ ก็ได้ ยอมรับก็ได้ว่าร้อง แล้วไงละ ก็คนมันช็อคนี่น่า ฮึ!

     

    หลังจากนั้นผมก็จำไม่ค่อยได้หรอกครับว่ากลับมาบ้านยังไง รู้แต่ว่าพอมาถึงก็ปิดประตูใส่กลอนแน่นหนาแล้วหลับไปเลย ตื่นมาอีกทีเพราะเสียงทุบประตูรัวหน้าห้องนอนนี่ละครับ สงสัยก่อนนอนจะเผลอกดล็อคประตูไว้

     

    ตอนนี้เลยนั่งหน้าอึนอยู่บนเตียงฟังเสียงทุบประตู กับเสียงเรียกเข้ามือถือที่ดังอยู่ใกล้ๆ หัวเตียง ขยี้หัวลูบหน้าลูบตา เวลานอนแล้วผมหลับลึกครับ หันไปมองนาฬิกาบอกเวลาตีสาม ฉิบหายละ!!

     

    รีบลุกจากเตียงไปเปิดประตูทันที พอเห็นหน้าชาร์ลเท่านั้นแหละความรู้สึกผิดกระแทกเข้ามาทันที

     

    “ทำไมต้องล็อคประตูห้องนอนด้วย!?” ชาร์ลตะคอกเสียดัง ทำเอาผมที่อึนๆ อยู่ตื่นเต็มตาทันที

     

    “ขอโทษ เผลอล็อคไป” ไม่กล้าสบตา เห็นหน้าโกรธของชาร์ลทำเอาผมใจเสีย ได้แต่หลบให้พ้นทางแล้วมองดูเท้าตัวเอง ชาร์ลไม่พูดอะไร เขาเดินผ่านผมเข้าห้องน้ำในห้องไป แค่นี้ก็รู้แล้วว่าชาร์ลคงจะโกรธผมมาก เวลาโกรธชาร์ลชอบนิ่งเงียบแล้วปล่อยรังสีมาคุออกมา ทำเอาผมทำอะไรไม่ถูก

     

    ปกติชาร์ลจะกลับมาถึงบ้านตอน 2 ทุ่ม แต่ตอนนี้ตี 3 ผมหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ นี่ผมปล่อยให้ชาร์ลเคาะประตูเรียกนานเท่าไหร่เนี่ย รู้สึกผิดเต็มๆ เลยครับ เลยไปนั่งรอบนเตียง

     

    ไม่นานชาร์ลก็ออกจากห้องน้ำมา แปลว่าชาร์ลต้องอาบน้ำที่ห้องน้ำด้านนอกแล้ว สงสัยเข้าไปแปรงฟัน ชาร์ลเป็นคนที่ไม่ยอมนอนที่โซฟาครับ เพราะงั้นเชื่อได้เลยว่าเค้าต้องพยายามเคาะเรียกผมอย่างเอาเป็นเอาตายแน่เลย ถ้าไม่ได้นอนเตียงดีๆ ชาร์ลจะหงุดหงิดมาก อย่างตอนนี้ สีหน้าแลดูเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด

     

    “ขอโทษ” ผมก้มหน้ารับผิด แต่ชาร์ลไม่สนใจล้มตัวนอนหันหลังให้เลย เง้อออ

     

    สงสัยจะง่วงมาก เพราะไม่นานชาร์ลก็หลับไป ผมเลยล้มตัวลงนอนข้างๆ ไว้พรุ่งนี้ค่อยง้อแล้วกัน ตอนนี้ขอนอนก่อนหน่อยนะ ชาร์ลหลับแล้วไม่รู้ตัวกอดได้ ไม่โดนเตะแน่นอน แฮะๆ

     

     

     

     

    ในตอนเช้า เสียงนาฬิกาปลุกที่หัวเตียงดังอยู่นาน ปกติชาร์ลต้องเป็นคนปิด แต่ไหงวันนี้มันยังแผดเสียงเตือนอยู่ล่ะ ด้วยความรำคาญผมก็ทำเหมือนเดิม คือสะกิดให้ชาร์ลปิด แต่เจ้าตัวกลับนอนนิ่ง ผมเลยต้องจำใจตื่น พอหันไปดูก็ต้องแปลกใจ

     

    เพราะชาร์ลเอาแต่นอนคุดคู้ไม่มีท่าทางว่าจะตื่นเลย ผมเลยเอื่อมมือไปแตะตัวชาร์ลก็ต้องตกใจ ไม่คิดว่าชาร์ลจะตัวร้อนจี้ขนาดนี้

     

    ไข้ขึ้น!! เพราะเมื่อวานแน่เลย! ชาร์ลทำงานกลับมาเหนื่อยๆ ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ แถมแอร์ในห้องก็เย็บเฉียบ รู้สึกผิดขึ้นมาทันที

     

    “ชาร์ลๆ ไหวไหม ตัวร้อนมากเลย ไปหาหมอไหม?” ผมเขย่าตัวชาร์ลเบาๆ รู้สึกรนรานจนทำอะไรไม่ถูก คนเป็นไข้ต้องปฐมพยาบาลยังไง? จำได้แต่ว่าเคยเป็นไข้เมื่อตอนเด็กมากๆ เท่านั้น แล้วแม่ผมทำไงวะ ทำไงดีๆ

     

    ชาร์ลยังนอนนิ่งหายใจหอบถี่ หน้าแดงกร่ำจนผมต้องตกใจ อย่าเป็นอะไรไปนะชาร์ล!!!!


    "ทำยังไงดีๆ ... หมอ... ใช่ๆ ต้องไปหาหมอ โรงพยาบาล!" ผมรีบลุกจากเตียงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตัวเองกับของชาร์ล ก่อนจะพยุงเขาลงลิฟต์ไปด้านล่าง พี่ยามที่สนิทกันพอเห็นก็รีบวิ่งมาช่วยผมพยุงชาร์ลอีกข้าง

     

    “เฮ้ย! ไอ้น้อง คุณชาร์ลไข้ขึ้นสูงมากเลยนี่”

     

    “ใช่พี่ พี่เรียกแท็กซี่ให้ผมหน่อย”

     

    “ได้ๆ”

     

    ไม่นานแท็กซี่ที่พี่ยามไปโบกเรียกให้ก็มาจอด ผมรีบพยุงชาร์ลเข้าไป ไม่ลืมหันไปไหว้ขอบคุณพี่ยาม

     

    “ไม่เป็นไร รีบพาไปหาหมอเหอะไอ้น้อง” พี่ยามใจดีช่วยปิดประตูรถให้

     

     

     

    ผมเร่งแท็กซี่ให้มาส่งที่โรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ที่สุด พอถึงมือหมอก็เบาใจ ชาร์ลได้รับยาฉีดลดไข้ไปหนึ่งเข็ม

     

    “หมอฉีดยาลดไข้ให้แล้วนะครับ คนไข้สลบไปเพราะฤทธิ์ไข้สูงและมีอาการอ่อนเพลีย หมอสั่งน้ำเกลือให้หนึ่งกระปุก ยังไงหมอจะให้นอนดูอาการสักคืนนะครับ หากอาการดีขึ้นแล้วพรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้ครับ”

     

    “ขอบคุณครับหมอ” ผมไหว้ขอบคุณหมอ ไม่นานพยาบาลก็นำเอกสารมาให้เซ็นครับ ก่อนจะเข็นชาร์ลไปห้องผู้ป่วยพิเศษ หรือห้อง VIP นั่นละครับ ผมเน้นเลยอยากให้ชาร์ลได้พักผ่อนสบายๆ เงินก็ใช้เงินชาร์ลออกครับ ฮะฮ่าฮ่า

     

    วันนี้ผมโทรไปบอกคุณเลขาแสนสวยของชาร์ลเรียบร้อย แหมจะมีอะไรแปล่งๆ ตอนคุยกับสาวเจ้าก็ตาม รู้สึกคุณเลขาจะดูร้อนรนแปลกๆ แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ผมห่วงคนตรงหน้านี้มากกว่า

     

    “ชาร์ลหายป่วยไวๆ นะ” ผมก้มลงจูบที่หน้าผากชาร์ลหนึ่งที ก่อนจะนั่งลงข้างๆ เตียง ซบหน้าลงบนอกแกร่งที่คุ้นเคย

     

     

     

    ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน แต่ตื่นมาอีกทีก็ตอนที่รู้สึกเหมือนมีคนลูบหัวผมอยู่ ผมเอียงคอหันไปหา ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ

     

    “หึหึ ขี้เซาจริงๆ นะเรา” ชาร์ลตื่นแล้ว! ผมเด้งตัวลุกขึ้นยืน แตะหน้าผากแตะคอชาร์ลวัดไข้ทันที ฮู่…. ไข้ลดลงแล้วดีจัง

     

    “เป็นห่วงผมเหรอครับ?” ชาร์ลเอ่ยถาม ผมพยักหน้าแล้วนั่งลงที่เดิม

     

    “ชาร์ลปวดหัวไหม?” ผมถาม แต่ชาร์ลส่ายหน้า

     

    “ดีขึ้นแล้วละ แต่ตอนนี้หิวแล้วครับ” นั่นสิ นี่ผมคงนอนเพลินไปนานน่าดู ดูได้จากปริมาณคราบน้ำลายข้างแก้ม ฮะฮะฮ่า

     

    “งั้นกินอะไรดี คนป่วยต้องกินอะไรอ่ะ?” ผมหันกลับมาถามชาร์ล ดีจังหน้าตาชาร์ลไม่ซีดเหมือนเมื่อเช้าแล้ว

     

    “อยากกินข้าวต้มฝีมืออาร์ทจังครับ” ชาร์ลตอบยิ้มๆ

     

    “เฮ้ย ไม่ได้ๆ นี่โรงพยาบาลนะไม่ใช่ที่บ้าน”

     

    “งั้นอาร์ทก็กลับบ้านไปทำมาให้ผมสิ จะได้กลับไปเตรียมชุดมานอนเฝ้าผมด้วยไง แล้วก็เอามือถือมาให้ผมด้วยนะครับ”

     

    “แล้วทำไมรู้ว่าต้องได้นอนอีกคืนล่ะ?”

     

    “ตอนที่อาร์ทหลับไปคุณหมอเข้ามาดูอาการไปรอบแล้วครับ” หวายยย ตายๆ อายหมอมาก ทำไมไม่รู้สึกตัวเลยวะตูเนี่ย!!

     

    “งะ...งั้นเหรอ.. แฮะๆ แล้วหมอว่าไงบ้างอ่ะ?"


    "คุณหมอบอกว่าไข้ลดลงบ้างแล้ว แต่ยังต้องเฝ้าระวังอยู่ เลยยังออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ครับ แต่อาร์ทไม่ต้องเป็นห่วง ผมยังแข็งแรงดีอยู่"


    "อืมๆ ดีที่ไข้ลดลงแล้ว รู้ไหมเรากลัวมากเลยตอนที่เห็นชาร์ลนอนไม่ได้สติแบบเมื่อเช้า” ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้นไปนั่งบนเตียง เอนตัวไปซบชาร์ลทันที


    "หึหึ นี่จะอ้อนผมเหรอครับ"


    "ใช่แล้ว" ผมถูหน้าไปมากับอกชาร์ล อ้อมกอดของชาร์ลอบอุ่นเสมอ ผมชอบเวลาที่ชาร์ลโอบกอดผมพร้อมกับลูบหลังเบาๆ อย่างนี้ที่สุด ชาร์ลหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงมาจุ๊บหัวผมเบาๆ อย่างที่ชอบทำประจำ ผมเงยหน้ามองสบตาชาร์ลยิ้มๆ แล้วขโมยหอมแก้มชาร์ลไปที ด้วยความเขินอายที่ยังเหลืออยู่ ทำให้ผมเด้งตัวขึ้นทันที รีบวิ่งไปเกาะประตูห้องไว้ก่อนจะหันไปสั่งชาร์ล


    "ดะ...เดี๋ยวจะกลับไปทำข้าวต้มมาให้ แล้วจะรีบกลับมานะ...ครับ.." อ๊ากกก อายๆ ดูชาร์ลสิ ยิ้มกว้างจนผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกล้ออยู่เลย เขินว่ะ

     

    “ครับ ไม่ต้องรีบนะ”

     

    ผมโบกมือใหชาร์ลก่อนจะรีบออกจากห้องพักผู้ป่วย ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู โหย นี่เกือบจะเที่ยงแล้ว รู้สึกเริ่มจะหิวเหมือนกันแฮะ งั้นทำเผื่อกินสองคนเลยละกัน ลัลล้า ลัลล้า…

     

     

     

     

    ด้านชาร์ล

     

    หลังจากอาร์ทออกไป  ผมก็ลุกออกจากเตียงพร้อมกับเสาน้ำเกลือที่ยังให้อยู่ เดินออกไปยังเคาน์เตอร์พยาบาลด้านนอก ยิ้มให้พยาบาลที่ประจำเคาน์เตอร์เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขอยืมโทรศัพท์ และเธอก็ยินดีให้ยืมอย่างเต็มใจเสียด้วย ขอบคุณนะครับ

     

    ผมปลีกตัวออกไปหาที่คุยโทรศัพท์ทันที

     

    “ฮัลโหล นี่ผมชาร์ลนะ ต่อสายคุณละอองดาวให้ผมหน่อย” ผมโทรเข้าบริษัทครับ ไม่รู้ว่าที่บริษัทวันนี้จะเป็นยังไงบ้าง

     

    [‘สวัสดีค่ะ ดิฉันละอองดาวรับสายค่ะ’] เสียงเลขาสาวหน้าห้องทำงานผมเองครับ

     

    “คุณดาว นี่ผมชาร์ลเองนะ”

     

    [‘อุ้ย ท่านประธานคร๊าาาา!’] เสียงร้องซะโหยหวนเชียว สงสัยจะมีเรื่องแน่เลยครับ

     

    “ที่บริษัทเป็นอย่างไรบ้าง มีปัญหาอะไรรึเปล่า?” ผมถาม รู้สึกเป็นกังวลแปลกๆ

     

    [‘มีค่ะท่านประธาน วันนี้คุณซอนย่าโทรมาอีกแล้วค่ะ แถมเมื่อสักครู่ก็เพิ่งจะกลับไปเองค่ะ’] ได้ยินแล้วผมก็ต้องขมวดคิ้วทันที

     

    “เค้าต้องการอะไรอีก?”

     

    [‘คุณเธอบอกแต่เพียงว่าต้องคุยกับท่านประธานด่วนเท่านั้นค่ะ ให้ทำอย่างไรดีคะ เห็นว่าพรุ่งนี้ก็จะมาอีกรอบค่ะ’]

     

    “ไม่เป็นไร คุณเอาเบอร์ของเขาให้ผมหน่อย เดี๋ยวผมจะโทรไปคุยเอง”

     

    ผมจดเบอร์ของซอนย่าเก็บไว้ คงต้องรีบเคลียเรื่องนี้ก่อนที่อาร์ทจะรู้ ผมไม่อยากให้อาร์ทต้องมีเอี่ยวในเรื่องนี้เลย เรื่องแบบนี้หากอาร์ทรู้เข้า... เขาจะเสียใจเพียงใดนะ... แต่ยิ่งกว่านั้นหากอาร์ทเข้าใจผิด... ไม่ได้! ผมจะให้อาร์ทรู้เรื่องไม่ได้เด็ดขาด!

     

     

     

     

    หลังจากนั้นชั่วโมงกว่า อาร์ทก็กลับมาพร้อมกับข้าวต้มในหม้อหิ้วและของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น ข้าวต้มที่อาร์ททำพอดีสำหรับสองคน อาร์ทถือชามข้าวต้มของผมกับของเค้ามาวางที่โต๊ะอาหารสำหรับผู้ป่วย เลื่อนชามนึงที่เป็นของผมมาไว้ด้านหน้า แถมยังยิ้มเชิญชวนให้กินเลยอีกด้วย

     

    “อร่อยไหมอ่า” อาร์ทถามเมื่อผมตักคำแรกขึ้นชิม

     

    “อร่อยครับ” ผมตอบยิ้มๆ จริงๆ ไม่รู้รสเท่าไหร่หรอกครับ เพราะขมในปากมาก รู้สึกเหมือนหวัดจะลงคอเลยครับ

     

    “จริงเหรอ แฮะๆ” พอเห็นอาร์ทยิ้มร่า แสดงออกว่าภูมิใจในตัวเองมากขนาดนี้ อดจะรู้สึกว่าคนรักของผมนี่น่ารักที่สุดไม่ได้เลย

     

    “ว่าแต่เมื่อวานทำไมอาร์ทนอนแต่หัววันเลยละครับ?” ผมเอ่ยถามเมื่อฝืนทานโจ๊กไปได้ครึ่งถ้วย อาร์ทมองโจ๊กในชามที่ยังเหลืออยู่ของผม ผมเลยต้องรีบบอกไปว่าเพราะรู้สึกขมในปากเลยทานได้เท่านี้ กลัวเขาจะน้อยใจที่เห็นผมทานไม่หมด

     

    อาร์ทวางช้อนลง ก่อนจะเงยหน้าสบตาผม สายตาที่วูบไหวของเขาทำให้ผมรู้ว่าเขาต้องมีปัญหาคาใจแน่เลย เวลาอาร์ทมีเรื่องกังวลในใจเขาชอบจะกัดริมฝีปากล่างไว้แบบนี้ ผมยกมือขึ้นลูบปากล่างเขาเบาๆ ให้คลายออกก่อนมันจะช้ำมากไปกว่านี้

     

    “ชาร์ล...” อาร์ทเอ่ยชื่อผมเสียงสั่น ทำไมต้องเสียงสั่นด้วยครับอาร์ท มันทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเลยครับ

     

    “ว่ายังไงครับ? มีเรื่องอะไรในใจบอกผมมาสิ” จริงๆ แล้วใจนึงผมก็อยากรู้ แต่อีกใจก็ไม่อยาก แต่ความไม่อยากเห็นอาร์ทต้องทุกข์ใจมีเยอะกว่า หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องนั้นนะ

     

    “เมื่อวานน่ะ...ตอนชาร์ลออกไปทำงานแล้ว... แล้วชาร์ลสลับมือถือไปน่ะ...” อาร์ทก้มหน้าพูดไปพรางเหลือบตามองผมเป็นระยะ

     

    “อ้อ ผมหยิบผิดไปน่ะ มีอะไรเหรอครับ?”

     

    “มีผู้หญิงโทรมา”​...ผมรู้สึกใจกระตุกวูบ ผู้หญิง? ใครกัน? ปกติเบอร์โทรส่วนตัวผมไม่ใช่ว่าจะให้ใครได้ง่ายๆ

     

    “ใครครับ?” ผมยังฝืนยิ้มบางๆ ให้เขา ใจนึงอยากจะเอามือถือเจ้ากรรมนั่นมาเปิดดูเดี๋ยวนี้เลย

     

    “ตอนแรกไม่รู้ว่าใครอ่ะ เห็นพูดภาษาอังกฤษ..” หึ ซื้อหวยไม่เคยถูกอย่างนี้ ผมรู้แล้วละครับว่าคนที่อาร์ทพูดถึงคือใคร โจทย์ผมเอง มันจะไม่เป็นปัญหาเลย เพราะอาร์ทไม่เก่งภาษาอังกฤษมากขนาดไหน คงฟังซอนย่าพูดไม่รู้เรื่องหรอกครับ ผมยังพอหาข้อแก้ตัวให้อาร์ทสบายใจไม่ต้องคิดมากได้ แต่มันมาเป็นปัญหาที่หน้าตาเค้าตอนนี้ดูแย่มาก แปลว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่นอน

     

    “ซอนย่าใช่ไหมครับ?” ผมเห็นแววตาที่วูบไหวเหมือนสะดุ้งตกใจแล้วอยากจะดึงตัวเค้าเข้ามากอด ติดก็ตรงไอ้โต๊ะบ้านี้ที่ยังขวางผมกับเขาไว้อยู่ เลยได้แต่กุมมืออาร์ทไว้ อาร์ทพยักหน้ารับแล้วเอ่ยเสียงสั่นพร่าที่ทำเอาหัวใจผมแทบตกลงตาตุ่ม

     

    “เค้าโทรมาอีกที... ตอนเราอยู่กับพี่โก้อ่ะ พี่โก้เลยคุยให้...” เวรล่ะ “...แล้ว...แล้ว..ทีนี้เค้าก็บอกว่า... ชาร์ลกับเค้า...เป็น..........คู่หมั้นกัน..” ปลายเสียงที่แผ่วเบาจนแทบเกือบจะไม่ได้ยิน ทำเอาผมรู้สึกแย่ แย่ที่ต้องเห็นอาร์ทเข้าใจผิด แต่ที่แย่กว่านั้นคือผมทำให้เขาเสียใจ

     

    ผมไม่รีรอให้อาร์ทลุกหนี ผมรีบดันโต๊ะอาหารออกแล้วดึงตัวเขามากอดไว้แนบอกทันที อาร์ทตกใจพยายามดันตัวเองออก แต่ผมไม่ยอมครับ ยิ่งกอดเขาแน่นขึ้นไปอีก ถึงอาร์ทจะทุบตีผมยังไงก็ยอม ขอแค่ให้เค้าเลิกเข้าใจผมผิดก็พอ

     

    “อาร์ทครับ อาร์ท” ผมเรียกชื่อเขาสลับกับจูบที่หัวทุยของเค้า

     

    “อือ...ปล่อย ไม่อาววว” อาร์ทยังดิ้นอยู่ ผมรู้ว่าเขาคงจะโกรธผมมากแน่

     

    “ไม่ปล่อยครับ จนกว่าเราจะคุยเรื่องนี้กันให้รู้เรื่อง” ผมยื่นคำขาด อาร์ทเงยหน้ามองเขม่งทำหน้าไม่พอใจ

     

    “ไม่กอดก็คุยได้เหอะ”

     

    “ไม่เอาครับ ผมอยากกอดนี้”

     

    “เฮอะ! ...ไม่รู้ไม่ชี้ อยากกอดก็กอดไป ชริ” ตอนนี้อาร์ทคงจะหน้าแดงมากแน่ๆ ถึงจะก้มหัวชิดอกผมแค่ไหน แต่ใบหูที่เห่อแดงขึ้นมาก็ทำให้รู้ได้ว่าเค้าต้องหน้าแดงมาก

     

    “เรื่องนั้นน่ะ อาร์ทกำลังเข้าใจผิดนะครับ” พูดจบอาร์ทก็เงยหน้าสบตาผมทันที ผมเลยยิ้มให้เขาทีนึง

     

    “หมายความว่ายังไง?”

     

    “เฮ้อ.. จะว่าไปเรื่องมันยาว เล่าตรงไหนก่อนดีนะ”

     

    “ก็เล่ามาตั้งแต่ต้นนั่นแหละ”

     

    “หึหึ ครับๆ”

     

    “แต่ก่อนอื่นปล่อยมือก่อนได้ไหมอ่ะ ปวดหลังหมดแล้ว” ผมรีบคลายวงแขนทันที แล้วเปลี่ยนมาดึงตัวเขาขึ้นมาบนเตียงแทน

     

    “เฮ้ย! ทำอะไรน่ะ!?”

     

    “ก็อาร์ทบอกปวดหลัง งั้นก็มานั่งพิงอกผมให้กอดซะโดยดี” ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ อาร์ทได้แต่อายจนนั่งเกร็งตัวแข็งอยู่บนตักผม สักพักถึงยอมเอนตัวพิงอกผมเต็มตัว ผมเลยโอบเอวเค้าไว้หลวมๆ ไม่ลืมที่จะหอมแก้มคนน่ารักไปทีนึงด้วย เลยได้ฝ่ามืออรหันต์บนแก้มมารอยนึงเลยครับ T_T

     

    “พอเลย จะเล่าได้ยัง ไม่เล่าจะได้ลงไป เตียงโรงบาลเค้าจะพังเพราะผู้ชายตัวใหญ่สองคนนี่แหละ” เวลาอาร์ทเขินก็อย่างนี้แหละครับ โมโหกลบเกลื่อน ฮะฮะฮ่า

     

    “ครับๆ ก็จริงๆ แล้ว ซอนย่าเคยเป็นคู่หมั้นผม” พูดยังไม่ทันจบอาร์ทก็หันขวับมามองผมอย่างหวาดๆ จนต้องรีบลูบมือลูบแขนปลอบกันเลยทีเดียว “อดีตครับ อดีต ตอนนี้ผมมีคุณคนเดียวนะ” ต้องสร้างความมั่นใจให้เสียหน่อย อาร์ทถึงได้ยอมหันกลับแล้วเอนตัวพิงผมต่อ เฮ้อ เพราะแบบนี้แหละ ผมถึงไม่อยากให้อาร์ทรู้ เห็นอาร์ทต้องทุกข์ใจผมยิ่งทุกข์เสียกว่า แต่ทำยังไงได้ ในเมื่ออาร์ทรู้แล้ว ผมก็ไม่คิดที่จะปิดบังอีกต่อไป

     

    “ซอนย่าเค้าเป็นลูกสาวของเพื่อนพ่อผมน่ะ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เลยถูกจับให้คู่กันตลอด แถมพ่อผมก็เคยบอกว่าอยากให้ผมแต่งงานกับเค้า ตอนนั้นผมเพิ่งเรียนประถมตอนปลายอยู่เลย แต่ไม่คิดว่าพ่อจะเอาจริง แต่ตอนนี้ผมเคลียแล้วนะครับ ตั้งแต่ตอนเจอคุณเจนนี่แล้ว อีกอย่างตอนนี้ต่อให้ซอนย่าสวยแค่ไหน ผมก็ไม่เอาหรอกนะครับ เพราะไม่มีใครสวยเท่าที่รักผมอีกแล้ว” ต้องอวยหน่อยครับที่รักจะได้ยิ่งมั่นใจว่าผมรักเค้าคนเดียว จริงๆ นะ ไม่เคยมองใครอื่นเลยนอกจากอาร์ท ว่าแล้วก็แอบหอมแก้มไปอีกฟอด คราวนี้ไม่โดนตบแฮะ

     

    อาร์ทหันมามองผมช้าๆ ใบหน้าที่แดงเหมือนลูกตำลึงสุก อาร์ทเลื่อนหน้ามาหาผมช้าๆ ก่อนจะบรรจงจูบลงอย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปากผม ทำเอาผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา นานมากๆ ที่อาร์ทจะเป็นคนเริ่มแบบนี้ ทำเอาใจผมเต้นไม่เป็นระส่ำ จนปวดหนึบที่ท้องน้อยขึ้นมาเลยทีเดียว ขอโทษนะครับ ผมก็ชายหนุ่มสุขภาพดีคนนึงนะครับ

     

    พอผมจะรุกไล่จูบบ้าง อาร์ทก็ชิงดันตัวออก กลับมาพิงอกผมเหมือนเดิม ทำเอาผมได้แต่จูบอากาศ ซิกๆ

     

    “แต่ยังมีอีกเรื่อง...” อาร์ทเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะดึงโทรศัพท์จากในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา กดไปที่เบอร์โทรเข้าล่าสุด ที่บันทึกเลขหมายที่โทรเข้ามาว่า ‘Sweet Heart’ มันทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว เบอร์ใครกัน? ผมจำได้ว่าไม่เคยเมมชื่อนี้มาก่อน เพราะของอาร์ทผมจะเมมว่า ‘My Wife’

     

    แล้วนี้เบอร์ใครกัน...!?

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×