ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [INFINITE x Apink] My Memory เธอ... ในความทรงจำ

    ลำดับตอนที่ #2 : [ PART 2 ]

    • อัปเดตล่าสุด 17 เม.ย. 57


                     หลังจากกลับจากงานแล้ว ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี งานศพถูกจัดการอย่างเรียบร้อยแล้วตอนนี้ เขาคนนั้นก็นอนหลับอย่างตลอดกาลที่สุสานชานเมือง คุณแม่บอกว่าอยากให้เขาอยู่ที่นั่น เพราะที่นั่นมีแต่ความสงบ เขาจะได้นอนหลับอย่างสบายโดยที่ไม่มีใครไปรบกวน ซึ่งใครๆก็รู้ว่าเขานั้นจะอารมณ์ไม่ดีทุกครั้งเลยล่ะถ้ามีใครไปทำให้เค้าตื่น แต่ฉันก็ไม่กลัวเขาหรอกนะ ฉันนี่แหล่ะจะแวะไปกวนเขาเอง เหมือนกับตอนที่เขายังอยู่... เขาชอบที่จะโมโหฉันทุกครั้งที่เข้าไปกวนเวลาเขานอน แต่ก็ไม่รู้ทำไมนะ สามนาทีต่อมา เขาก็หายโกรธฉันอย่างรวดเร็วเลยล่ะ
     
                    วันนี้เป็นวันปิดเทอมวันแรกแล้ว วันสอบน่ะหรอ ก็คงผ่านไปด้วยดีล่ะมั้งนะ เพราะวันสอบคือไม่กี่วันหลังจากที่มยองซูจากไป แล้วฉันจะไปมีกำลังใจที่ไหนในการสอบกันเล่า เฮ้อ.... ฉันถอนหายใจพลางนั่งลงที่ข้างเตียง สายตาก็พาให้ไปเห็นกล่องใบหนึ่งที่ฉันใส่มันเอาไว้ในตู้กระจกเล็กๆข้างหัวเตียง กล่องกระดาษสีขาวสะอาดตา มันคือกล่องเก็บไดอารี่ของฉันเอง
     
                    ฉันน่ะตั้งแต่เด็กแล้วที่มักจะอยู่คนเดียวบ่อยๆ เพราะฉันไปเติบโตอังกฤษตั้งแต่อายุได้สองขวบน่ะสิ กลับมาที่เกาหลีบ้านเกิดอีกทีก็ตอนเกรดสี่ เวลาที่ฉันเหงา ฉันเหนื่อย หรือแม้กระทั้งมีความสุข ฉันก็มักจะเขียนไดอารี่ มันคือสมุดเก็บความทรงจำของฉัน ฉันหยิบไดอารี่เล็มเล็กๆสีชมพูอ่อนออกมาแล้วเปิดมันออก ฉันไล่อ่านมันไปเรื่อยๆ เรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาตอนนี้มันเหมือนกับมีภาพยนตร์เรื่องนึงกำลังฉายซ้ำในหัวของฉันเลยล่ะ ไดอารี่พวกนี้มันทำให้ฉันคิดถึงเขา วันแรกที่ฉันเจอกับเขาคนนั้น....   คิมมยองซู



     

     
    11 ก.ค. 2006

     
             วันนี้ฉันจะไปโรงเรียนเป็นวันแรกล่ะ... หลังจากที่ฉันกลับจากอังกฤษเมื่ออาทิตย์ก่อน เอาจริงๆฉันยังปรับตัวไม่ค่อยได้ซักเท่าไหร่หรอกนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปเจออะไรที่โรงเรียนบ้าง กลัวจัง.. เพื่อนๆจะต้อนรับฉันดีรึเปล่านะ พวกเขาจะแกล้งฉันไหม กลัวไปหมดทุกอย่างเลยอ่า

             แต่ตอนนี้ฉันก็เข้ามาที่โรงเรียนแห่งนี้แล้วล่ะ คุณแม่เลือกให้ฉันเดินมาโรงเรียนด้วยตัวเองเพราะระยะทางจากบ้านมาก็ไม่ได้ไกลมาก อีกอย่างฉันจะได้ปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้ง่ายๆอีกด้วย ว่าแต่เอ... ห้องเรียนไปทางไหนกันล่ะเนี่ย มองซ้ายมองขวาก็ไม่รู้จะไปถามใครดี ทำยังไงดีล่ะนาอึน

    “อ๊ะ!” อยู่ๆฉันก็ล้มลงไปกองกับพื้นแบบไม่ทันตั้งตัวเมื่อมีแรงชนจากด้านหลังอย่างแรง

    “เห้ยๆๆ พวกนายน่ะ ชนเขาแล้วทำไมวิ่งหนีวะห้ะ มาขอโทษเดี๋ยวนี้เลยนะเฟ้ย!!” เสียงโวยวายจากใครไม่รู้ดังขึ้นมาเหนือหัวของฉัน ถ้าให้เดาเขาต้องยื่นอยู่โวยวายอยู่ใกล้ๆฉันนี่แหล่ะ “นี่เธอ เป็นอะไรไหมอ่ะ?” เขานั่งลงตรงหน้าของฉัน

    “…..” ฉันได้แต่ส่ายหัวแต่ยังไม่ส่งเสียงพูดอะไรออกไป

    “ไหงไม่พูด ฉันพูดกับคนอยู่นะไม่ไช่รู้ปั้น เห้ย เลือดออกอ่ะ เอาขามานี่ซิ” ไม่ว่าเปล่าอยู่ๆเขาก็ดึงขาของฉันเข้าไปดูที่ตอนนี้หัวเข่าของฉันมีเลือดซิบๆไหลออกมา

    “อาพา....” ฉันพูดเบาๆ

    “เจ็บหรอ”     ฟวู่ววว

          ........

              ฉันมองสิ่งที่เขากำลังทำตาปริบๆ เขาเป่าเบาๆที่แผลของฉันก่อนจะหยิบเอาพาสเตอร์สีเหลืองจากกระเป๋ากางเกงมาแปะที่แผลนั่น ทำไมเขาทำแบบนั้นความเจ็บของฉันมันถึงจางหายไปแบบนี้นะ

    “ไม่เป็นไรแล้วนะ งั้นฉันไปก่อนล่ะ” เขาวางมือลงบนหัวของฉันแล้วค่อยๆเดินจากไป

    “Thank you so much” ฉันพูดออกไปด้วยภาษาอังกฤษที่อยู่ๆก็หลุดออกมา ฉันคงเคยชินล่ะมั้งนะ

           ^--^ 

    แต่ทั้งๆที่ฉันพูดเบาขนาดนั้น อยู่ๆเขาก็หันกลับมาแล้วส่งยิ้มนั้นมาให้ฉัน ยิ้มนั้น... ฉันจำได้ไม่เคยลืม


     


     
    14 ก.ค. 2006


          วันนี้วันที่สามแล้วล่ะสำหรับการมาโรงเรียน ฉันชอบที่นี่นะ ตอนแรกฉันเคยกลัวว่าจะไม่มีเพื่อนแต่ตอนนี้ฉันก็มีเพื่อนกับเขาแล้วล่ะ

    “นาอึนอ่า ฝากบอกมยองซูให้หน่อยว่าฉันยืมยางลบ” นัมจูสะกิดฉันจากทางด้านขวา

    “อ้าว ทำไมเธอไม่บอกเองล่ะ เขาก็นั่งอยู่แค่นี้เอง” ฉันพูดพลางชี้ไปที่มยองซูที่นั่งอยู่ทางด้านซ้ายของฉัน

    “ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจ” -3-  เฮ้อ ทั้งสองคนนี่นะ ฉันเพื่งรู้เหมือนกันว่าทั้งสองคนเป็นคู่กัดกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร นั่งใกล้กันแค่นี้ทำไมต้องวานฉันด้วยนะ

    “เอ่อ มยองซู เราขอยืมยางลบหน่อยหน่อยสิ” ฉันเลยต้องจำใจหันไปยืมเขามาให้นัมจู

    “อื้อ หยิบสิในกล่องดินสอน่ะ” เขาตอบฉันอย่างรวดเร็วขณะที่กำลังเล่นเกมในเครื่องเล่นเกมแบบพกพาอยู่

    “ขอบใจนะ” ฉันพูดขอบคุณเขา  “อ่ะ เอาไปนัมจู” แล้วก็ยื่นของที่ยืมมาหมาดๆไปให้นัมจู  

                เฮ้อ... ฉันต้องทำแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่นะ ที่ฉันต้องมาทำแบบนี้ก็เพราะวันแรกที่เข้ามาในห้องน่ะสิ คุณครูเลือกให้ฉันมานั่งที่ว่างตรงนี้ ที่ว่างระหว่างมยองซูและนัมจู ที่ทั้งสองคนเว้นเอาไว้พวกเขาแทบจะไม่เข้าใกล้กันเลยล่ะ ใกล้กันที่ไรทะเลาะกันทุกที แต่ก็เหมือนกับเป็นเรื่องบังเอิญเลยล่ะ จำคนที่ช่วยทำแผลให้ฉันตอนวันแรกที่มาโรงเรียนได้ไหม เขาคนนั้นคือมยองซู เขาช่วยฉันในวันนั้นแถมเราก็ยังได้มาอยู่ห้องเดียวกันอีก จากวันนั้นฉันก็มักจะไปขอบคุณเขาบ่อยๆ ทำไงได้อ่า ก็เขาช่วยฉันไว้นี่นา เขาเป็นคนที่พอดูภายนอกแล้วจะเงียบๆนะ แต่ถ้าใครรู้จักเขาแล้วจะไม่ใช่แบบนั้นเลย เขาน่ะเป็นพวกขี้คุย พูดเก่ง ชอบทำให้คนรอบข้างหัวเราะอยู่เสมอ แต่เขาก็ใจดีมากๆเลยด้วยนะ ส่วนนัมจู เธอน่ะจอมโวยวายเลยล่ะ ใจร้อน แถมยังขาลุยเอามากๆเลยด้วย แต่เธอก็เป็นเพื่อนที่ดีมากเลยนะ นี่คือเหตุผลนึงล่ะมั้งที่ฉันอยากจะมาโรงเรียน....




     

    10 ก.พ. 2007

                ตอนนี้ฉันขึ้นเกรดห้าแล้วนะ คุณแม่ท่านกำลังหาโรงเรียนมัธยมให้ฉันอยู่ล่ะ เฮ้อ.. ทำไมท่านรีบจังเลยน๊า แต่ก็เอาเถอะเพราะฉันคุณกับท่านไว้แล้วว่าจะขออยู่โรงเรียนเดียวกันกับมยองซูและนัมจู คิคิ ตอนนี้เราสามคนเป็นเพื่อนแก๊งเดียวกันล่ะ แต่ถึงอย่างว่าล่ะนะมยองซูน่ะเพื่อนเยอะใช่ได้เลย ไหนจะเพื่อนๆต่างห้องแล้วก็พวกรุ่นพี่อีก ที่ฉันเห็นอยู่บ่อยๆก็หกเจ็ดคนนู้นแหล่ะ ส่วนฉันแล้วนอกจากนัมจูก็ยังมีเพื่อนสาวข้างๆห้องอีกด้วย เย้ๆ ฉันก็มีเพื่อนเยอะเหมือนกันนะเนี้ย

    “เฮ้ นาอึนไปกินข้าวกลางวันกันเถอะ”  นัมจูเดินเข้ามาหาฉันที่โต๊ะพร้อมกับฮายองเพื่อนข้างห้อง

    “อ้อ โอเคจ้า ไปกันๆ” 

    “นี่ นาอึน เธอลืมอะไรรึเปล่า” ก่อนฉันจะเดินออกไปจากห้องจู่ๆมยองซูก็เรียกเอาไว้

    “หือ ลืมอะไรอ่ะ?” ลืมอะไรหรอ ฉันลืมอะไรนะ

    “จำไม่ได้สินะ ไม่เป็นไรๆ ไปกินข้าวเถอะ” 

    “อ้าว แล้วนายไม่ไปกินด้วยกันหรอ” ฉันถามเขาเมื่อเห็นเขายังนั่งอยู่ที่เดิม

    “ไปเหอะ ฉันรอเพื่อนน่ะ” เขาบอกฉันแล้วทำท่าเหมือนกำลังรออะไรซักอย่างอยู่

    “อ้อ โอเค เจอกันนะ” ฉันไม่ได้คิดอะไรหรอก เขาคงรอเพื่อนล่ะมั้ง แล้วก็เดินออกมาจากห้องไปพร้อมกับนัมจูกับฮายอง

     
    ..โรงอาหาร..


    “นี่นาอึน เธอลืมอะไรเปล่าวันนี้อ่ะ” จู่ๆฮายองก็ร้องทักขึ้นมาหลังจากก้มหน้าก้มตาเล่นเฟสบุ๊คในมือถืออยู่พักใหญ่

    “ว่าแต่ ทำไมเธอพูดเหมือนมยองซูเลยล่ะฮายอง” นัมจูถามแล้วเงยหน้าจากจานข้าวของเธอ

    “ฉันว่าเธอลืมจริงๆแล้วล่ะนาอึน ก็วันนี้น่ะวันเกิดของเธอไง”

    “หือ วันนี้น่ะหรอ วันอะไรอ่ะ” ฉันเลยยกนาฬิกาข้อมือที่สามารถบอกวันที่ได้ขึ้นมาดู อ่า.. 10 กุมภา วันเกิดฉันจริงๆด้วย

    “ถึงว่าล่ะมยองซูถึงถามแบบนั้น เอ... พูดถึงก็มานู้นแล้วน่ะ” นัมจูสะกิดฮายองให้มองไปอีกทาง ฉันเลยหันตามทั้งสองคนไปดู มยองซูกำลังเดินมาพร้อมเพื่อนอีกสองคนแต่ในมือของเขาดูเหมือนจะถืออะไรอยู่นะ

    “หือ อะไรน่ะมยองซู?” ฉันร้องถามเขาเมื่อเขาและเพื่อนๆเดินมาที่โต๊ะ

    “ฉันว่าแล้วเธอต้องลืมแน่ๆไง อ่ะ สุขสันต์วันเกิดนะ” เขาพูดแล้วก็ยื่นคัฟเค้กสีชมพูเล็กๆมาให้ฉันก่อนนะยืนเกาหัวตัวเองอยู่แบบนั้น

    “อ่า ขอบคุณนะ” ฉันยื่นมือไปรับคัฟเค้กนั่น “น่ากินจัง” แล้วส่งยิ้มไปให้เขา

    “อ่อ อื้มๆ ดีใจที่เธอชอบนะ” เขายิ้มให้ฉันอีกแล้วอ่ะ อ่า -//- 

    “เห้ย มยองซู นาอึนแกสองคนจะจ้องหน้ากันอีกนานป่ะ ฉันปวดฉี่ว่ะ ไปยังๆ” อยู่ๆดงฮูโอป้าก็สะกิดแขนมยองซู ฉันเห็นเข้า
    ยื่นบิดแบบนั้นตั้งแต่เขามาถึงโต๊ะแล้วอ่ะ

    “อ้าว เออๆ ไปก็ได้ฮยอง ไปก่อนนะนาอึน” มยองซูหันมาบอกฉันก่อนจะรีบเดินออกไป

    “แหม นาอึน อะไรกันเนี้ยยย มีไรกับป่ะแกสองคนน่ะ” นัมจูพูดขึ้นมาขณะที่ฉันกำลังจ้องมองไปที่คัฟเค้กในมือ

    “......” ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบ เพราะฉันได้แต่ยิ้มกับเค้กตรงหน้าจนพูดไปออกยังไงล่ะ 





                   
    12 มี.ค. 2007

                    ตอนนี้ฉันแวะมาที่ร้านขายของแห่งหนึ่งในเมืองล่ะ ว่าแต่เอ๊ะมันอยู่ไหนนะใบที่ฉันต้องการเนี้ย โอ้ยยย ฉันจะเลือกถูกรึเปล่าอ่า

    “นาอึน เลือกได้หรือยัง” โฮย่าโอป้าเดินเข้ามาถามฉัน ก็ฉันน่ะสิเป็นคนลากให้เขามาช่วยซื้อของขวัญวันเกิด ก็เมื่อสามวัน
    ก่อนหน้านี้ฉันแอบไปได้ยินมยองซูบ่นว่าอยากได้มันนี่นา ใช่แล้วล่ะพรุ่งนี้วันเกิดของมยองซูแล้ว อิอิ

    “ยังเลยค่ะโอป้า ความจริงนาอึนซื้อไม่ถูกอ่า ไม่รู้จะเอาแบบไหนดี กลัวจะไม่ถูกใจเค้า” ฉันหันไปพูดกับเขาแล้วเงยหน้ามองบรรดาหมวกนับร้อยใบที่วางโชว์ไว้อย่างเป็นระเบียบ

    “อืมมม เลือกยากแฮะ มยองซูมันชอบสีอะไรล่ะ? พี่จะได้ช่วยดูให้” โฮย่าโอป้าถามฉัน

    “สีดำค่ะ มยองซูชอบสีดำ” ฉันพยักหน้าพลางบอกโอป้าไป

    “งั้นใบนี้ล่ะ... ใบนี้... ใบนี้... แล้วก็ใบนี้” ฉันอ้าปากค้างกับความรวดเร็วในการเลือกหมวกของโฮย่าโอป้า อะไรมันจะเร็วขนาดนั้น

    “อ่า ขอบคุณค่ะ งั้นนาอึนจะลองเลือกดูนะ” ฉันมองดูหมวกพวกนั้นแล้วลองคิดถึงความชอบของมยองซูว่าเขาน่าจะชอบแบบไหน ฉันใช้เวลาเกือบสิบนาทีในร้านหมวกแห่งนี้จนสุดท้ายก็เลือกมาจนได้

    “ใบนั้นมันธรรมดามากเลยนะนาอึน มยองซูมันจะชอบหรอ” โอป้าถามฉันหลังจากจ่ายเงินแล้วก็พากันเดินออกมาจากร้าน 

    “นาอึนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะคะ แต่ก็หวังว่าเขาจะชอบนะ” ฉันกอดกล่องของขวัญที่มีหมวกใบนั้นเอาไว้แนบอก

    “เธอนี่ท่าทางจะชอบมยองซูเอามากเลยนะ”

    “อ้ะ เปล่าซักหน่อยค่ะ เราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นนะคะ ก็วันเกิดนาอึนเขายังมีของขวัญให้เลย คราวนี้วันเกิดเขา นาอึนก็ต้องให้เขาบ้าง” ฉันก้มหน้าก้มตาพูดรั่วใส่โอป้าแบบไม่ยั้ง

    “ฮ่าๆๆ พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ไปๆกลับบ้านกัน” โอป้าหัวเราะพลางวางมือไว้บนหัวฉันก่อนจะเดินนำออกมาจากหน้าร้านนั้น 


     
            และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันเกิดของมยองซูไงล่ะ คิ... เขาจะชอบของขวัญของฉันไหมนะ เมื่อวานฉันเลยบอกให้มาเจอกันที่สวนสาธารณะใกล้ๆบ้าน แต่เมื่อฉันมาถึงก็เห็นเขารออยู่แล้วล่ะ

    “อะไรกัน คนนัดแท้ๆทำไมมาช้า แถมวันนี้วันเกิดฉันนะ ยังต้องให้มารออีก” มยองซูจิกกัดฉันตามประสาแล้วทำหน้ามุ่ยเหมือนกับว่ามารอนานยังไงยังงั้น

    “ขอโทษทีนะที่มาช้า ก็ตั้งใจเอาของขวัญมาให้เจ้าของวันเกิดนี่ไงเล่า ยังจะมาบ่นฉันอีก” ฉันว่าพลางชูถุงกระดาษที่ถือมาด้วยให้เขาดู “อ่ะ สุขสันต์วันเกิดนะ” ฉันยื่นถุงใบนั้นให้เขา

    “ฮ่าๆๆ ฉันก็ล้อเธอเล่นไปงั้นแหล่ะ ขอบใจนะ” เขาหัวเราะเสียงดังแล้วยื่นมือมารับถุงกระดาษที่มีของขวัญของเขาอยู่ข้างในนั้นจากมือฉัน “แกะเลยได้ป่ะ?”

    “อื้อ แกะสิ ไม่รู้นายจะชอบหรือเปล่านะ” ฉันตื่นเต้นแฮะเมื่อเห็นเขากำลังจะแกะกล่องของขวัญนั่นนะ

    “หือ หมวกนี่.. เธอรู้ได้ไงว่าฉันกำลังอยากได้พอดีเลย” เขาเปิดกล่องหยิบหมวกออกมาแล้วพลิกกลับไปกลับมาสำรวจไปทั่วทั้งใบแล้วก็เอามันใส่กับหัวของเขาทันที หมวกในนั้นที่ฉันเลือกน่ะหรอเป็นหมวกธรรมดาอย่างที่โฮย่าโอป้าบอกไว้ไม่มีผิด หมวกใบสีดำล้วนแต่สามารถเลือกตัวอักษรติดลงไปที่หน้าหมวกได้ ..ยองวอนฮี.. ฉันเลือกคำนี้แทนที่จะเป็นชื่อของเขา ตลอดไป ฉันชอบความหมายของคำนี้จัง

    “ยองวอนฮี.. อะไรคือยองวอนฮีหรอ?” อยู่ๆมยองซูก็ถอดหมวกออกมาแล้วอ่านตัวหนังสือตรงหน้าหมวก

    “ก็ตลอดไปไง เป็นเพื่อนกันตลอดไปอะไรแบบนั้นน่ะ” ฉันตอบกลับเขาไป “นายชอบไหม?”

    “อื้อ ชอบสิ ขอบใจจริงๆนะ” ^---^ ว่าพลางหมวกใบนั้นก็ขึ้นไปอยู่บนหัวเขาอีกครั้ง รอยยิ้มแบบนี้.. ทำไมฉันถึงชอบมันจังนะ





     
    19 เม.ย. 2008

                  อีกแล้วล่ะวันนี้ ฉันกับมยองซูโดนล้ออีกแล้วล่ะ ไม่รู้ทำไมถึงมีแต่คนชอบบอกว่าเราสองคนชอบกันบ้างล่ะ บางคนก็บอกว่าเราเป็นแฟนกันบ้างล่ะ ตอนแรกๆมันก็ไม่รู้สึกอะไรหรอกนะ แต่ตอนนี้น่ะสิ เราสองคนก็พยายามแล้วนะที่จะอธิบายให้ทั้งพวกนั้นเข้าใจว่าเราเป็นแค่เพื่อนกัน พวกเขาคงจะเห็นฉันกับเขาชอบที่จะวิ่งเล่น หยอกล้อกัน เถียงกันแบบนั้นล่ะมั้ง ตอนนี้ฉันก็เริ่มจะเบื่อที่จะอธิบายแล้วล่ะ แต่ถึงเราจะอยู่เกรดหกแล้วข่าวลืออะไรแบบนั้นก็ยังคงอยู่ ไม่เท่านั้นยังยิ่งหนาหูมากกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ คงจะเป็นเพราะเราจะต้องแยกย้ายกันไปด้วยล่ะมั้ง แล้วไหนจะช่วงนี้มยองซูน่ะป๊อปจะตาย มีทั้งเพื่อนแล้วก็รุ่นน้องมาสารภาพรักเสียให้วุ่นวาย ฉันล่ะไม่ชอบเล้ย ฮึย! อย่างวันนี้น่ะนะมีคนมาให้มยองซูเขียนเฟรนชิปให้ด้วยล่ะ

    “คือ เอ่อ.. มยองซู นายช่วยเขียนเฟรนชิปให้เราหน่อยได้หรือเปล่า” ซอลลี่เด็กสาวขี้อายจากห้องหนึ่งอยู่ๆก็เดินเขามาหานายนั้นก่อนจะยื่นเฟรนชิปของตัวเองให้เขา

    “อ่า ได้สิ” เขารับมันไว้แล้วพูดกับเธอด้วยท่าทางใจดี ฮึย ดูนายนั้นพูดสิ ต่างจากฉันลิบลับเลยอ่ะ -0-

    “งั้นเฟรนชิปของนายล่ะ ให้ฉันเอาไปเขียนได้หรือเปล่า?” เธอถามหาเฟรนชิปของเขาเพราะต้องการจะเอามันไปเขียน แหม จะเขียนสารภาพรักเขาล่ะสิท่า เหอะ 

    “ขอโทษทีนะซอลลี่ พอดีเพื่อนเราเอาไปเขียนน่ะ เอาไว้เราเขียนของเธอเสร็จแล้วจะเอาของเราไปให้เขียนนะ” 

    “อ่อ ไม่เป็นไรจ่ะ งั้นฉันไปก่อนนะ” เธอเดินออกไปด้วยท่าทางเศร้าสร้อยที่ไม่ได้เฟรนชิปของเขาไปเขียน จะเอาไปเขียนได้ยังไง ก็เฟรนชิปของนายนั้นน่ะอยู่กับฉัน ฉันกำลังเขียนมันอยู่นี่ไงเล่า 

    “เธอจะก้มหน้าก้มตาเขียนอีกนานไหม เขียนนานแล้วนะทำไมยังไม่เสร็จอีก ไม่อยากให้ซอลลี่เอาไปเขียนหรือไง” เขาขยับเก้าอี้แล้วพาตัวเองมานั่งฝั่งตรงข้ามของฉันพลางยื่นเฟรนชิปที่เพิ่งได้รับจากซอลลี่มาให้ฉันตรงหน้า

    “ก็ยังเขียนไม่เสร็จไง จะให้ยังไงล่ะ แล้วนี่อะไร?” ฉันถามเขาแต่ก็รับเฟรนชิปเล่มนั้นมาแล้วทำท่างงๆ

    “เอาไปเขียนให้หน่อยสิ ขี้เกียจอ่ะ” เขาว่าพลางนั่งพิงพนักเก้าอี้ของตัวเองอย่างสบายใจ

    “ซอลลี่เอามาให้นายเขียนไม่ใช่หรอ แล้วนายจะเอามาให้ฉันทำไมเล่า” ฉันว่าพลางวางเฟรนชิปเล่มนั้นลงบนโต๊ะแล้วเริ่มเปิดดูข้างในว่าจะเขียนหน้าไหนดี

    “ก็เธอรู้เรื่องฉันดีที่สุดไม่ใช่หรอ ให้เธอเขียนน่ะถูกแล้ว....”

    “หือ....” เขาว่าอะไรนะ ฉันเงยหน้าจากเฟรนชิปขึ้นไปมองเขาที่กำลังเสยมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่อยู่ดีๆฉันก็รู้สึกเขินขึ้นมาซะอย่างงั้นเลยรีบก้มหน้างุดทำเป็นเปิดหาหน้าที่จะเขียนในเฟรนชิปเล่มนั้นต่อแบบร้อนรน

    “คึคึ.....” เสียงหัวเราะนั่น.. เสียงหัวเราะของมยองซู ถึงจะเบาบางแต่ฉันก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน ถึงฉันจะไม่รู้ว่าที่เขาหัวเราะแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง แต่ใจของฉันอยู่ๆก็เต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก





     
    16 ก.ค. 2009

                    วันนี้วันเปิดเทอมวันแรกล่ะ เราก้าวเข้ามายังโรงเรียนมัธยมแล้วนี่ถือเป็นอีกก้าวของพวกเราล่ะนะ แล้วก็เป็นไปตามที่คาดไว้ ฉัน มยองซู แล้วก็นัมจู เราได้มาเรียนต่อที่โรงเรียนแห่งนี้ด้วยกันล่ะ รวมถึงรุ่นพี่ซองกยูโอป้า อูฮยอนโอป้า โฮย่าโอป้า ดงอูโอป้า โซรงออนนี่ โบมีออนนี่ อึนจีออนนี่ที่อยู่ปีสองแล้วก็ซองยอลกับฮายองด้วยที่เรียนในชั้นเดียวกันกับเรา นี่ถือเป็นแก๊งใหญ่เลยนะเนี้ย คนในโรงเรียนยังงงกันอยู่เลยถึงการรวมตัวกันของพวกเรา เราก็รู้จักกันเป็นทอดๆล่ะนะสุดท้ายก็มารวมกันอย่างที่ทุกคนรู้ๆกันนี่แหล่ะ

                  มอต้นปีหนึ่งของฉันคราวนี้ฉันได้อยู่ห้องเดียวกันกับนัมจูล่ะ คือห้องสาม ส่วนมยองซู ซองยอลแล้วก็ฮายองอยู่ห้องสอง อ่า ทำไมเราถูกจับแยกกันซะงั้นอ่ะ ฉันอยากให้เราอยู่ห้องเดียวกันจัง

    "ทำหน้ามุ่ยอะไรแต่วันน่ะนาอึน" มยองซูเดินผ่านมาแล้วแวะเข้ามาทักฉันเพราะโต๊ะของฉันติดหน้าต่างริมทางเดินยังไงล่ะ

    “ก็ไม่มีอะไรนี่ ว่าแต่นายจะไปไหน” ฉันตอบเขาไปแต่ก็ยังไม่เลิกทำหน้าแบบที่เขาบอก

    “ไม่มีอะไรได้ไง ดูทำหน้าเข้า นี่แหน่ะ” ไม่ว่าเปล่าเขายังยื่นมือแล้วใช้นิ้วของเขาตีดที่หน้าฝากของฉันอีก

    “อื้อ! อะไรของนายเล่า เจ็บนะ” หลังจากห้ามไม่ทันฉันก็ปัดมือไปมาพลันวัลเพราะกลัวเขาจะตีดอีกที

    “ฮ่าๆๆ ไม่แกล้งแล้วน่า จะไปหาของกิน ไปด้วยกันป่ะ” เขาหัวเราะเสียงดังกับท่าทางของฉัน

    “ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวอ้วน นายไปเหอะ” อูย เจ็บเหมือนกันนะเนี้ย แล้วฉันก็นั่งลูบหน้าฝากตัวเองปอยๆพลางใช้อีกมือดันแขนของเขาที่ท้าวอยู่ตรงขอบหน้าต่างให้เดินออกไป

    “โอเคๆ งั้นฉันจะกินเผื่อนะ………..” เขาทำเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างกับฉันแต่อยู่ๆเขาก็ยิ้มให้แล้วก็เดินออกไปโดนที่ฉันยังไม่ทันได้ถามอะไรเขาเลย





     
    15 พ.ค. 2010

                 การเรียนวิชาพละกับมอต้นปีสองนี่ที่เขาว่าเป็นของคู่กัน แต่มันไม่ใช่ของที่คู่กับฉันเลย ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อนเล่นกีฬานะ แง้~ เกรดวิชาพละฉันต้องตกต่ำแหงๆเลย ฮืออออ ฉันร้องคร่ำครวญในใจขณะกำลังจะเดินไปเรียนที่โรงยิมในคาบนี้ แต่เมื่อไปถึงก็ต้องยืนรออีกห้องที่อาจารย์ยังไม่ปล่อย ยังคงพูดสาธยายถึงงานกีฬาสีในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้ากับพวกห้องสอง ใช่แล้วล่ะนั่งห้องของมยองซู ทั้งการเรียนก็ดีไหนจะเรื่องกีฬาอีก ไม่แปลกหรอกที่จะถูกตั้งความหวังจากเหล่าอาจารย์หลายๆท่านน่ะ แตกต่างจากห้องของฉันลิบลับเลย เฮ้อ...

    “อ้าวนักเรียน วันนี้พอแค่นี้ แยกย้ายได้” 

    “ขอบคุณค่า/ขอบคุณครับ” ห้านาทีต่อมาอาจารย์ถึงได้ปล่อยพวกห้องสองแล้วตะโกนเรียกให้ห้องฉันที่ยืนอออยู่ตรงประตูโรงยิมให้เข้ามาข้างใน

    “นักเรียนห้องต่อไปรีบเข้ามาๆ ครูมีเวลาไม่มากนะ เร็วๆ อย่าไปยืนออประตู” แหม คนละความรู้สึกกันเลยเชียวนะห้องฉันน่ะ

    “วันนี้เรียนบาส ตั้งใจเข้าล่ะนาอึน” มยองซูหยุดพูดกับฉันก่อนที่เขาจะเดินออกจากโรงยิมไป เฮ้อ.. บาสหรอ ฉันเล่นไม่เป็นหรอก -0-

                  หลังจากที่นั่งฟังอาจารย์อธิบายถึงกติกาการเล่นมาซักพัก อาจารย์ก็เริ่มแบ่งกลุ่มให้กับนักเรียนในห้องเป็นฝังผู้หญิงกับฝั่งผู้ชาย แต่การแข่งขันจะเป็นแบบทีมผสมชายกับหญิง เพื่อจะได้รู้ผลแพ้ชนะกันไปในคราวเดียว แล้วฉันก็ดันได้เป็นผู้เล่นในเกมนี้ซะด้วยสิ ทำไงอ่า ฉันเล่นไม่เป๊นนนนน T^T


        ปี๊ดดดดดดดดดดด   


                เสียงนกหวีดบอกเริ่มเกมการแข่งขัน ทุกคนในสนามเริ่มออกวิ่งตามประกบผู้เล่นที่มีลูกบาสอยู่ในมือแล้วต่างกับฉันที่ยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม

    “ซนนาอึน! รีบวิ่งไปแย่งบอลซิ เร็วเข้า!!” เสียงคำสั่งจากอาจารย์ข้างสนามดังเข้ามาในโสตประสาทของฉัน แต่ทันทีที่ฉันกำลังจะก้าวขาวิ่งออกไปนั้น...


      ตู้มมมม!!!  โครมมมม!!!


    “นาอึน!! นาอึน เธอได้ยินไหมเนี้ยยย”  เสียงมยองซูใช่ไหม.. นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินก่อนจะสลบไป
     

    … ห้องพยาบาล ..


    “มยองซู นาอึนฟื้นแล้ว” 

    “อืออออ เกิดอะไรขึ้นหรอ” ฉันค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วก็รับรู้สึกความเจ็บจางๆที่หัว

    “ก็เธอน่ะโดนวิ่งชนตอนแข่งบาสอ่ะดิ” นัมจูบอกฉันเพราะเธอคงอยู่เห็นเหตุการณ์พอดี

    “เล่นไม่เป็นแล้วยังจะเล่นอีก ไม่รู้ตัวเองหรือไงว่าเธอกับกีฬาน่ะเป็นสิ่งที่ควรอยู่ห่างกันมากที่สุด” มยองซูพูดเสียงเข้มอยู่ที่อีกฝั่งของเตียง

    “ก็ทำไงได้อ่า อาจารย์เป็นคนจัดตำแหน่งนี่นา” 

    “ปฏิเสธไม่เป็นหรือไง” - -  มยองซูพูดสวนขึ้นมาขณะที่ฉันกำลังจะอ้าปากพูด

    “อ่า ก็มันเกิดไปแล้วนี่ นายจะมาดุฉันทำไมเล่า คนเจ็บอยู่นะ” ฉันเลยเอามือลูบหัวตัวเองปอยๆ

    “ดี คราวหลังจะได้ไม่เล่นแบบนี้อีก ห้ามเล่นเลยนะ” 

    “รู้แล้วน่า ทำไมต้องทำเสียงเข้ม ทำหน้าจริงจังขนาดนั้นด้วยเล่า” -3- ฉันจิกกัดเขาไปหนึ่งทีพลางทำหน้ามุ่ยใส่

    “อย่าหัดทำให้คนเค้าเป็นห่วงให้มากนักได้ไหม...... ฉันไปและ” พูดจบอยู่ๆเขาก็รีบหันหลังเดินออกจากห้องพยาบาลไปเฉย อารมณ์ไหนของเข้าเนี้ยยย

    “นัมจู นายนั้นเขาอารมณ์ไม่ดีมาจากไหนอ่ะ ทำท่าฮึดฮัดใส่ฉันอีก ใครเอารังแตนให้กินกัน” ฉันหันไปถามนัมจูที่นั่งทำหน้าเหมือนกำลังจะกินฉันเข้าไปได้ยังไงยังงั้น

    “โอ้ยยย ซนนาอึน แกทำไมเป็นคนแบบนี้ เขาพูดแบบนั้นไม่ได้ยินอีกหรือไง โอ้ยยยยย ไม่ไหวจะเคลียร์กับแก” อะไรกันอ่า ฉันไปทำอะไรให้อีก นัมจูพูดไปพลางเอามือนวดขมับตัวเองไปด้วย

     ...แต่ใครว่าฉันไม่ได้ยินกัน เป็นห่วง คำนั้นน่ะฉันได้ยินชัดเลยล่ะ ฉันไม่อยากให้เขาเห็นว่าฉันกำลังเขิน ฉันกลัวว่าเขาจะได้ยิน เสียงหัวใจของฉันที่มันอาจเต้นดังเกินไป ฉันไม่กล้าแสดงให้เขาเห็นหรอก ว่าฉันน่ะดีใจแค่ไหนที่ได้ยินคำนั้นจากเขา ดูเหมือนว่าข่าวลือที่บอกว่าฉันกับมยองซูชอบกันอาจจะเป็นเรื่องจริงซะแล้วล่ะ แต่อาจจะเป็นฉันคนเดียวมั้งนะ ที่เป็นฝ่ายชอบเขาเข้าให้แล้ว...




     
     
    2 ส.ค. 2011
                   
                   
    ปีสุดท้ายแล้วสำหรับการเรียนมอต้น ทำไมเวลาช่างผ่านไปเร็วแบบนี้นะ ฉันเริ่มรู้สึกถึงการจะได้แยกจากอีกครั้งแล้วล่ะ ใช่แล้ว พวกเราจะต้องแยกจากกันอีกครั้งเพื่อเข้าเรียนในชั้นมอปลายต่อไป ฉันกับนัมจูเราก็คงจะเรียนด้วยกันอีกเหมือนเดิม แต่มยองซูน่ะสิฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาจะตกลงไปเรียนที่เดียวกันกับเราสองคนด้วยหรือเปล่า เรื่องนี้ทำให้ฉันกลุ้มใจมาได้สองสามวันแล้วล่ะ ฉันรู้สึกอยากจะรั้งเขาไว้จัง... แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหาเหตุผลอะไรไปพูดกับเขา

    “นั่งหน้ามุ่ยอีกแล้วนะนาอึน” มยองซูร้องทักฉันขณะเดินเข้ามาที่โต๊ะม้าหินอ่อนในสวนที่ประจำของพวกเรา “ไม่สบายหรือไง”

    “เปล่า.. ไม่ได้เป็นอะไร” ฉันสายหน้าไปมาพร้อมกับบอกเขา

    “แต่หน้าเธอมันไม่บอกแบบนั้นนะ มีอะไรก็พูดมาสิ จะเก็บไว้คนเดียวทำไม” เขาพูดด้วยทางทีเป็นห่วง แบบนี้อีกแล้ว เขาทำตัวแบบนี้อีกแล้ว ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่านะแต่ช่วงนี้เขามักจะทำท่าทางแบบนี้กับฉันบ่อยๆเลยล่ะ

    “อ่า... คือว่า ฉันมีเรื่องจะถามนาย” ฉันพูดอย่างติดขัด จะถามเขาออกไปดีไหมนะ

    “อื้อ ว่ามาสิ”

    “นาย.. จะเรียนต่อมอปลายที่เดียวกันกับฉันไหม?” ฉันมองหน้าเขาแล้วตัดสินใจพูดออกไป

    “เรื่องนี้สินะที่ทำให้เธอทำหน้ายุ่งแบบนี้” เขายิ้มบางๆให้ฉัน แต่ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่เขาต้องการจะบอก

    “....” ฉันพยักหน้าแล้วนั่งเงียบรอฟังคำตอบจากเขา


     ครื้ดดดดดด


    “เดี๋ยวนะนาอึน” จู่ๆก็มีโทรศัพท์เข้ามาเขาเลยรับมันก่อนที่จะตอบคำถามของฉัน “ครับ.. ครับ.. แล้วผมจะรีบไป ครับ.. สวัสดีครับ” เขาจัดการเอาโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงเหมือนเดิมแล้วก็รีบลุกขึ้นเดินออกไป

    “นายจะไปไหนน่ะ?” ฉันร้องถามเขาเมื่อเห็นว่าเขารีบร้อนแบบนั้น

    “นาอึน... ฉันคงจะเรียนต่อมอปลายโรงเรียนเดียวกับเธอไม่ได้ ขอโทษด้วยนะ” คำพูดพวกนั้นมาจากเขาที่ยืนหันหลังให้ฉัน คำพูดพวกนั้นเป็นคำตอบที่ฉันไม่อยากได้ยินมันเลย

    “อ้อ..... อื้ม... ไม่เป็นไรหรอก นายรีบไปเถอะ” ฉันบอกเขาไปแบบนั้น แต่ทำไมคำแต่ละคำที่ฉันพูดออกมามันช่างยากลำบากเหลือเกิน รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักๆทับอยู่ที่กลางอกมันทำให้ฉันพูดไม่ออก

    “ฉันไปก่อนนะ” แล้วเขาก็เดินออกไป เดินไปพร้อมกับน้ำตาของฉันที่อยู่ๆก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว





     
    9 มิ.ย. 2012

                   ในที่สุดการเรียนมอปลายปีหนึ่งก็เริ่มขึ้น ตอนนี้ฉันก็ก้าวเข้ามาเป็นนักเรียนมัธยมที่จะต้องตั้งใจเรียนอย่างหนักเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วล่ะ เวลาที่ผ่านไปส่วนมากก็ถูกใช้ไปกับการเรียน ถึงหัวฉันจะไม่ถึงกับฉลาดปราดเปรื่องอะไรนัก แต่มันก็ยิ่งทำให้ฉันต้องพยายามมากขึ้นไปอีกเป็นสองเท่าเพื่อจะเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้อย่างที่ฝันไว้ แต่หลังจากที่มาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ได้ไม่นานฉันถึงรู้เหตุผลว่าทำไมมยองซูถึงไม่มาเรียนต่อที่นี่พร้อมกันกับฉัน ดงอูโอป้าเล่าให้ฉันฟังว่าเพราะคุณพ่อแนะนำให้มยองซูเข้าไปสอบที่โรงเรียนมัธยมปลายประจำเขต โรงเรียนนั้นน่ะได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนของเด็กหัวกะทิเลยก็ว่าได้ คนที่มีผลการเรียนดี กิจกรรมเริด กีฬาเก่งเท่านั้นถึงจะเข้าเรียนที่นั้นได้ ซึ่งการเช้าเรียนที่นั้นจะทำให้การเรียนมหาวิทยาลัยโซลเป็นเรื่องง่ายขึ้นกว่าการเลือกมาเรียนที่โรงเรียนธรรมดาอย่างโรงเรียนของเรา จนถึงตอนนี้ฉันก็ได้แค่ฟังข่าวคราวของเขาจากพวกรุ่นพี่ที่ยังคงติดต่อกับเขาเท่านั้น ไม่มีโอกาสที่จะได้พบเขาเลย เขาจะรู้ไหมนะ ว่าฉันคิดถึงเขาขนาดไหน....

                     เลิกเรียนวันนี้ฉันตัดสินใจเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อหนังสือคู่มือการแต่งเพลงที่อยากได้ ช่วงนี้ฉันเริ่มสนใจการแต่งเพลงด้วยล่ะเพราะฉันได้คุยกับอูฮยอนโอป้าอยู่บ่อยๆ จะไม่ให้เจอเขาบ่อยได้ยังไง รายนั้นน่ะแฟนนัมจูเลยนะนั้น เป็นไงล่ะนัมจูเพื่อนฉัน ไม่รู้แอบไปกิ๊กกันตอนไหนพอเข้ามาเรียนที่นี่ก็ตกลงเป็นแฟนกันเฉยเลย ฉันนี่ตกข่าวอย่างจัง แต่การเข้ามาในเมืองครั้งนี้มันทำให้ฉันพบกับใครบางคนที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว.. ใช่ นั้นมยองซู เขาเดินมากับเพื่อนๆของเขาถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ไกลจากที่ที่ฉันยืนอยู่แต่ฉันก็สังเกตเห็นเขาได้อย่างง่ายดาย ชุดนักเรียนของโรงเรียนดังกับทรงผมทรงใหม่ที่ดูเข้ากัน เขาดูเปลี่ยนไปมากเลยนะแต่ฉันก็ยังจำเขาได้อยู่ดี การที่ฉันไม่ได้เจอเขานานขนาดนี้มันทำให้ขาของฉันก้าวไม่ออก เพราะจู่ๆเขาและเพื่อนๆก็กำลังเดินมาทางนี้ ที่ที่ฉันกำลังยื่นอยู่


          0 0   ฉันมองเขาอย่างไม่วางตาขณะที่เขากำลังใกล้ฉันเข้ามาทุกที


        ....................



               แต่แล้วเขาก็เดินสวนฉันไปเหมือนกับเป็นธาตุอากาศที่ไม่สามารถจะมองเห็น นั้นสินะ... ฉันจะไปเป็นที่สนใจของเขาได้ยังไง ฉันคิดในใจแบบนั้นก่อนจะเดินเข้าไปยังร้านหนังสือใกล้ๆกับหัวถนน 
       
            ร้านหนังสือนี่เป็นร้านประจำของฉันก็ว่าได้เลยล่ะ ที่นี่มีหนังสือหลากหลายประเภทที่เมื่อผู้คนเข้ามาจะต้องถูกใจและถือติดไม้ติดมือกลับบ้านไป ด้วยการแต่งร้านทำให้บรรยากาศดูน่าอยู่จนบางครั้งฉันก็เอาแต่ขลุกอยู่ที่นี่จนร้านปิดเลยล่ะ ทำให้ฉันกลายเป็นขาประจำของพนักงานไปแล้วไม่ว่าใครก็จะยิ้มและทักทายฉันทึกครั้งเมื่อเข้ามา ฉันเดินไปที่ชั้นหนังสือเกี่ยวกับดนตรีและการแต่งเพลงที่อยู่ใกล้ๆกับกระจกที่มีเก้าอี้สองสามตัวกับโต๊ะบาร์ก่อนจะวางกระเป๋านักเรียนลงบนพื้นแล้วเริ่มหาหนังสือที่ต้องการ ฉันเริ่มสนใจการแต่งเพลงมาได้ซักพักแล้ว มันทำให้ฉันผ่อนคลายจากการเรียนแล้วก็ทำให้ฉันมีความสุขจนบางครั้งมันทำให้ฉันมีความรู้สึกอยากจะร้องเพลงที่แต่งขึ้นเองให้กับใครซักคนฟัง แต่ตอนนี้ฉันก็ยังแต่งเพลงของตัวเองไม่ได้เลย อูฮยอนโอป้าบอกฉันว่าฉันต้องมีแรงบันดาลใจในการทำมัน ฉันต้องทำมันจากความรู้สึกและประสบการณ์ของตัวเอง ยากจังนะการแต่งเพลง

    “น้องคะ พี่จะปิดร้านแล้วนะวันนี้” ^-^ พี่พนักงานตะโกนบอกฉันจากเคาท์เตอร์ ถึงเวลาปิดร้านอีกแล้วหรอเนี้ย 

    “ค่า งั้นพรุ่งนี้ฉันจะมาอีกนะคะ” ฉันว่าพลางวางหนังสือไว้ที่ชั้นตามเดิมแล้วโค้งให้พี่พนักงานก่อนจะเดินออกมาจากร้าน

    “สามทุ่มครึ่งแล้วหรอ ทำไมไวจัง” ฉันมองดูนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเองที่มันยังคงทำหน้าที่เดินบอกเวลาของมันเหมือนทุกครั้ง พลางหยิบเอาหูฟังจากกระเป๋ามาเสียบเข้ากับมือถือก่อนจะใส่มันไว้ที่หูก่อนเริ่มเดินกลับบ้าน


     
    한순간에 빠져 버린다는 그 말을 믿어요
    ฮัน ซุน กา เน ปา จยอ บอ ริน ดา นึน คือ มา รึล มี ดอ โย
    ฉันเชื่อในคำพูดที่ว่า สามารถตกหลุมรักได้เพียงชั่วครู่

    분명히 운명 같은 사랑 이야기
    พุน มยอง ฮี อุน มยอง กัท ทึน ซา รัง อี ยา กี
    เรื่องราวความรักนี้ ราวกับชะตาที่กำหนดไว้
     
    하루가 너무 멀다 하고 그립다 말하고 싶은
    ฮา รุ กา นอ มู มอล ตา ฮา โก คือ ริบ ตา มัล ฮา โก ชิบ พึน
    ฉันอยากจะบอกว่าคิดถึง ในแต่ละวัน ที่ช่างยาวนาน
     
     
    너에게빠졌나 봐 love is you
    นอ เอ เก ปา จยอซ นา บวา love is you
    ฉันตกหลุมเธอแล้วแน่เลย love is you
     
     
    새빨간 스웨터도 너무 잘 어울린 남자
    เซ ปัล กัน ซือ เว ทอ โด นอ มู ชัล รอ อุล ริน นัม จา
    ช่างเป็นผู้ชายที่เหมาะกับ เสื้อสเวทเตอร์สีแดงมากเลย
     
    그대 손만 잡고 있어도 왠지 모르게 포근해서
    คือ เด ซน มัน จับ โก อิซ ซอ โด เวน จี โม รือ เก โพ กึน แฮ ซอ
    ได้จับมือกับเธอ ก็รู้สึกอิ่มเอมยังไงไม่รู้
     
    나에게는 오직 너야
    นา เอ เก นึน โอ จิก นอ ยา
    ฉันนั้น มีแค่เธอ
     
     
    아니 평생 오직 너야
    อา นี พยอง เซง โอ จิก นอ ยา
    ไม่สิ จะมีแค่เธอไปตลอดชีวิต
     

    특별한 넌 season of love 
    ทึก พยอล ฮัน นอน season of love
    season of love เธอที่แสนพิเศษ…..  
     


     
                 ฉันร้องเพลงคลอไประหว่างเดินกลับบ้าน เส้นทางที่ฉันผ่านไปมันไม่ค่อยมืดเท่าไหร่เพราะยังคงมีแสงจากเสาไปส่องให้เห็นไปตลอดทาง ช่วงนี้ฉันอยู่ที่บ้านคนเดียวเพราะคุณพ่อกับคุณแม่ต้องไปดูแลคุณยายที่ต่างจังหวัดเพราะงั้นการกลับบ้านดึกฉันก็เลยไม่โดนดุ 

    “เอ๊ะ..” ฉันหันกลับไปมองด้านหลัง เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนมีคนเดินตามมา 

       .............. 

      แต่ก็ไม่พบใคร

    “ใครน่ะ!.. ” ฉันหันกลับไปดูอีกครั้งเพราะยิ่งรู้สึกชัดเจนเข้าไปใหญ่

       …………….

      แต่ก็ไม่พบใครอีกเหมือนกัน ด้วยความที่อีกไม่ไกลก็ถึงบ้านแล้วฉันเลยตัดสินใจวิ่งอย่างสุดแรงเพื่อจะให้ถึงบ้านเร็วที่สุด

    “ไม่อยู่แล้วววว” ฉันหลับหูหลับตาวิ่งไปเปิดประตูรั้ว แล้วควานหากุญแจบ้านในกระเป๋าอย่างรีบเร่ง เมื่อเปิดออกฉันก็เข้าไปในบ้านแล้วล็อคกลอนประตูอย่างเร็ว

    “ แฮ่กๆๆๆ น่ากลัวจัง คราวหน้าฉันจะไม่กลับบ้านดึกอีกแล้ว” 


        ออดดดดด


    “ใครมาทำอะไรเอาป่านนี้นะ” ฉันตัดสินใจเปิดประตูบ้านออกมาดูว่ามีใครมากัน แต่เมื่อเดินออกไปก็พบกับถุงกระดาษที่ถูกแขวนไว้ที่ประตูรั้วหน้าบ้าน

    “เห อะไรเนี้ย” ฉันหยิบถุงนั้นมาดูแต่เมื่อเปิดออกก็พบกับขนมหลายอย่างที่บรรจุอยู่ในถุงใบนั้น แต่ที่ทำให้ฉันสะดุดตาเข้าก็คงจะเป็นคัฟเค้กเล็กๆสีชมพูจนทำให้ฉันหยิบมันออกมาดูใกล้ๆ “นี่มันคัฟเค้กนี่ หรือว่า...” ...มยองซู... อยู่ๆชื่อนี้ก็ลอยเข้ามาในหัวของฉัน จะเป็นเขาจริงๆหรอ ฉันคิดในใจก่อนนะเงยหน้าแล้วมองไปทั่วถนนหน้าบ้านแต่ก็ไม่พบใคร

    “คงไม่ใช่เขาหรอกมั้ง” ฉันพูดขึ้นก่อนจะเดินเข้าบ้านพร้อมกับถุงขนมใบนั้น แต่ฉันคิดถึงเขาจริงๆนะเมื่อเห็นคัฟเค้กที่ยังคงอยู่ในมือ   “มยองซู ฉันคิดถึงนาย”






    1 ก.ค. 2013
                   
                   
    วันนี้เป็นวันอาทิตย์วันที่ฉันไม่ต้องไปโรงเรียนไงล่ะ เย้ > < ฉันรักวันนี้จังคิดไว้ว่าวันนี้จะนอนให้เต็มอิ่มเลย แต่แผนที่ฉันวางไว้ก็พังลงซะแล้ว
       

        ติ๊ดๆๆๆๆ   


    เสียงโทรศัพท์ของฉันที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้น

    “ยอบอเซโย ค่า ไปไหนคะออนนี่?” ฉันถามอึนจีออนนี่ที่อยู่ปลายสาย

    “นาอึนอา ออกมาข้างนอกหน่อยสิ มาเจอเราที่ลานน้ำพุนะ” อยู่ๆเสียงซองกยูโอป้าก็แทรกขึ้นมา

    “คะ? ไปวันนี้หรอ” ฉันถามพี่เขาไปแบบงงๆ

    “ตกลงนะนาอึน แล้วเจอกัน สี่โมงเย็นนะพวกเรารออยู่” หลังจากนัดเวลาเสร็จสับออนนี่ก็วางสายไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ฟังเสียงปฏิเสธของฉันแต่อย่างใด 

                 หลังจากวางสายจากอึนจีออนนี่ฉันก็เลยต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็วเพราะอีกสามสิบนาทีก็จะถึงเวลานัดแล้ว วันนี้ฉันออกจากบ้านด้วยเสื้อแขนกุดสีขาวพอดีตัวกับกระโปรงเอี๊ยมสีฟ้าอ่อนแล้วก็ร้องเท้าผ้าใบสียีนก่อนมุ่งหน้าไปที่ลานน้ำพุอย่างที่นัดเอาไว้ 

    “ทำไมวันนี้รถเมล์ถึงมาช้าแบบนี้นะ” ฉันพูดกับตัวเองพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาที่บอกว่าอีกสิบนาทีเท่านั้นจะถึงเวลานัด 


           เอี๊ยดดดดด ตู้มมมมมม!!!!


          นั้นมันเสียงอะไรน่ะ! ฉันพลางชะเง้อมองไปยังถนนข้างหน้าที่ตอนนี้มีคนบางส่วนเริ่มมามุงดูเหตุการณ์กันแล้ว

    “คนถูกรถชน!!! โทรเรียกรถพยาบาลเร็วเข้า!” อยู่ๆก็มีคนร้องตะโกนขึ้นมา 

    “โดนรถชนงั้นหรอ จะเป็นอะไรรึเปล่านะ” ฉันกำลังจะวิ่งไปดูเหตุการณ์แต่ก็พอดีกับที่รถเมล์ขับมาจอดที่ป้ายพอดีฉันเลย
    ตัดสินใจไม่ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วขึ้นรถเมล์ไปเพราะฉันจะไปสายแล้วน่ะสิ 



     
    “เอ๊ะ ไม่เห็นมีใครเลย” ฉันมองไปรอบๆลานน้ำพุแต่ก็ไม่เห็นใครเลยทั้งอึนจีออนนี่ แล้วก็ซองกยูโอป้าที่โทรนัดฉันมา ฉันเลยตัดสินใจเดินไปรอบๆลาน้ำพุเผื่อจะเจอใครบ้าง ฉันเดินไปเรื่อยๆจนไปเจอเข้ากับกล่องกระดาษสีขาวลายคุ้นตาวางอยู่ที่ม้านั่งใกล้ๆลานน้ำพุ

    “นี่มันเหมือนกล่องของเราเลยนี่ ให้นาอึน....” ฉันหยิบกระดาษโน้ตสีเหลืองที่แวะไว้ที่กล่องขึ้นมาดู ของฉันงั้นหรอ ฉันพลิกกล่องไปมาแล้วก็เจอเข้ากับกระดาษอีกแผ่นนึงที่อยู่ข้างๆกล่อง


    .... อย่าเพิ่งเปิดนะ ให้เธอกลับบ้านก่อน ถึงจะเปิดได้ : ) …… 


    กระดาษอีกแผ่นบอกไว้แบบนั้น “อีกซักพักแล้วกันนะ” ฉันบอกกับตัวเองก่อนจะนั่งรอเผื่อว่าเจ้าของกล่องใบนี้จะมาตามนัด  
     

     
    หกโมงสี่สิบห้า..  

                นาฬิกาข้อมือของฉันบอกแบบนั้น สองชั่วโมงกว่าแล้วที่ฉันรออยู่แบบนี้ เย็นแล้วด้วยบวกกับฉันไม่กล้าที่จะกลับมาค่ำๆอีกฉันเลยตัดสินใจถือกล่องใบนั้นกลับมาที่บ้าน 

    “ใครกันนะที่เอากล่องใบนี้ให้ฉัน ตอนนี้เปิดมันได้หรือยังนะ?” ฉันพูดกับตัวเองหลังจากวางกล่องใบนั้นไว้บนเตียง แล้วเปิดตู้หยิบกล่องสีขาวของตัวเองออกมา

    “กล่องสองใบนี้เหมือนกันเลยนี่” หลังจากเห็นกล่องทั้งสองใบที่เหมือนกันแบบนี้ฉันก็คิดไปต่างๆนาๆ จะเป็นไปได้ไหมนะที่กล่องสองใบนี้จะซื้อพร้อมอัน เอ.. ก็เหมือนกันขนาดนี้ จะซื้อคนละครั้งกันก็ไม่น่าใช่นะ แต่เอ๊ะ หรือว่า.... อยู่ๆฉันก็นึกอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา

    “กล่องใบนี้เหมือนกับที่ฉันซื้อพร้อมกันกับมยองซูเลยนี่” 

                    กล่องสองใบนี้ฉันเป็นคนเลือกมันเองกับมือ ตอนแรกมยองซูเขาจะซื้อกล่องของเขาให้เป็นสีดำ แต่ถูกฉันเถียงเอาไว้ว่าไม่อยากจะให้มันเป็นสีดำ เพราะมันเป็นสีที่เห็นแล้วหดหู่ยังไงก็ไม่รู้ ก็เราซื้อกล่องสองใบนี้เพื่อมาเก็บของขวัญของเราที่แลกกันในวันเกิดทุกๆปีนี่นา ตอนแรกเขาก็เถียงขาดใจเลยล่ะว่าจะเอาสีดำให้ได้ คิ.. แต่สุดท้ายฉันก็เลือกสีขาวมาจนได้เกือบจะใช้น้ำตาอ้อนแล้วนะเนี้ยยยย ใช่! ต้องเป็นของมยองซูแน่ๆ แต่เมื่อฉันจะเปิดกล่องใบนั้นของเขาออก โทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้นซะก่อน


    ....อูฮยอนโอป้า....


    “ยอบอเซโย โอป้าล่ะก็ไหนนัดนาอึนออกไปไง พอฉันไปหาก็ไม่เจอใครเลยอ่ะ” ฉันกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ทันทีที่รับสาย

    “นาอึน... คือพี่มีเรื่องจะบอก เธอทำใจดีๆไว้นะ” อูฮยอนโอป้าพูดด้วยเสียงสั่นเครือที่ฉันสามารถรับรู้ได้จากปลายสาย

    “อ่า อื้อ โอเค มีอะไรรึเปล่าคะ โอป้าเป็นอะไรไหม?” ฉันถามโอป้าเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆแบบนั้น

    “วันนี้มยองซูประสบอุบัติเหตุ เขาถูกรถชน... จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้สติเลย ตอนนี้อยู่ที่โรงพยา.....”


      ตุบบบบ


    “……………….”  

             หลังจากที่ฉันได้ยินข่าวจากอูฮยอนโอป้าที่บอกให้ฉันรู้ มือฉันอยู่ๆมันก็ไม่มีแรงทำให้โทรศัพท์ตกลงบนพื้นและหลังจากนั้นฉันก็ไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว




                   
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×