ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    『 Das Waise 』 (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #2 : Prologue

    • อัปเดตล่าสุด 13 ต.ค. 59


    Prologue

     

     

    “...ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสรวงสวรรค์

    ขอพระนามจงเป็นที่เคารพสักการะ

    ขออาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่

    น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จในสวรรค์เช่นใด ก็ขอให้สำเร็จบนแผ่นดินโลกเช่นนั้น

    ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้

    และขอทรงโปรดยกบาปความผิดของข้าพเจ้า เสมือนข้าพเจ้ายกบาปความผิดของผู้ที่เป็นหนี้ข้าพเจ้านั้น

    และขออย่าปล่อยให้ข้าพเจ้าเผชิญมารผจญ แต่ขอทรงช่วยข้าพเจ้าให้พานพ้นจากความชั่วร้าย

    เหตุด้วยอาณาจักร ฤทธิ์เดช และพระสิริ เป็นของพระองค์สืบไปเป็นนิตย์...”

     

    ...ทั้งที่ได้ชื่อว่าเติบโตขึ้นมาในอารามโบสถ์ หากแต่คำสวดอ้อนวอนของใครคนหนึ่งในสถานที่แห่งนั้นกลับผ่านเลยไปราวกับสายลมปะทะผิว ยิ่งไปกว่านั้น ตัวผู้ฟังเองยังจำแทบไม่ได้ว่าสวดมนต์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

    ใครที่ไหนจะหาญกล้ากล่าวคำภาวนาต่อพระเจ้าในเวลาเช่นนี้

    สงครามครั้งใหม่แห่งยุคมืด...ที่ซึ่งศาสนจักรหมดอำนาจลงในที่สุด

    บาทหลวงเป็นแต่เพียงสัญลักษณ์แห่งความอัปยศและพ่ายแพ้ ภายหลังการล่มสลายของมหานครแห่งสวรรค์ บรรดาสาวกถูกเนรเทศ กระจัดกระจายไปในดินแดนเปลี่ยวร้างทุระกันดาร แต่ถึงอย่างนั้น เหล่าทหารที่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายก็ยังมิวายต้องการตัวพวกเขา ฝ่ายหนึ่งซึ่งยังคงต่อสู้เพื่อศาสนจักร และอีกฝ่ายที่ต้องการเพียงเสบียงและกำลังในการต่อสู้เท่านั้น

    ท่ามกลางสถานการณ์อันเลวร้าย ยังคงมีใครคนหนึ่งที่หมายมั่นยืนยันความรักที่มีต่อพระองค์

    “ขอโทษด้วยที่มารบกวน”

    กระแสเสียงอันคุ้นเคยเอื้อนเอ่ยจากผู้ที่ย่างกรายเข้ามาเยือนเต้นท์ทหารของเขาอย่างไม่หวั่นเกรงเช่นคนอื่น บุรุษในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ บ่งบอกรูปลักษณ์ของสาวกแห่งพระผู้เป็นเจ้าเริ่มลุกขึ้นเบื้องหน้าหิ้งสักการะ หมุนตัวกลับมาหา แล้วคลี่ยิ้มบาง

    รอยยิ้ม ที่งดงามดั่งของขวัญอันเลอค่า

    ...ซึ่งมอบแด่เขาเพียงผู้เดียว

    ทว่าบัดนี้ อีกฝ่ายกำลังจะก้าวจากไป

    “อยู่ก่อน” เสียงห้าวเอ่ยรั้งเพียงแผ่วค่อย และเว้าวอน แม้ร่างใหญ่กว่าจะอยู่ในชุดประจำตำแหน่งสูงส่งสีเทาเข้มซึ่งยังไม่ประดับยศ ผมสีทองสว่างยาวเคลียไหล่รับกับดวงตาสีม่วงดุดันน่าค้นหา จนคนมองไม่อาจห้ามรอยยิ้มอ่อนโยนแล้วถอนใจออกมาเบาๆ

    “ข้าต้องรีบออกไปดูอาการทหารของเจ้า มัวช้าจะไม่ได้การ”

    แต่ชายหนุ่มยังคงดื้อดึง

    “อยู่ต่อ อีกสักพักเถอะ” พูดพลางขยับกายเข้ามาใกล้ ออกแรงฉวยข้อมือบอบบางเอาไว้พร้อมกระหวัดแขนโอบเอวผอมเข้าหาตัว สันจมูกโด่งคมโน้มลงแนบแก้มขาว สูดกลิ่นหอมแสนคุ้นเต็มปอดพร้อมความรู้สึกอิ่มเอมใจ

    ...ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์เป็นคนบาป

    “ได้ยินว่าตอนสายต้องออกตรวจพล ไม่เตรียมตัวจนป่านนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”

    “แล้วยังไง”

    ...คนบาปหนา...ผู้ไร้สำนึกแม้คนตรงหน้าจะเป็นถึงสาวกของพระองค์

    “เอาแต่ใจไม่เปลี่ยนเลยจริงๆนะ โจเอล”

    ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของชายร่างสูงกว่าก็เริ่มปรือปิดลงอย่างเหนื่อยล้า เขาปล่อยวาง แล้วยอมให้ผิวกายอ่อนละมุนและเส้นผมสีดำขลับละเอียดลื่นอยู่เหนือสิ่งอื่นใด

    ...คนบาปหนา...ผู้จะไม่ยอมถอยหลังกลับไปสู่ชีวิตอันปราศจากความปรารถนา

    “เป็นอะไรหรือเปล่า เจ้าดูเหนื่อย”

    “เปล่า”

    ...คนบาปหนา...ผู้น้อมรับอุ้งมืออันเปราะบางนี้เอาไว้อย่างหน้าไม่อาย

    “สวดมนต์ให้ข้าฟังอีกครั้งสิ”

    “ถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้า เจ้าจะถูกตำหนิเอาได้” อีกฝ่ายลูบผมสีทองสว่างไสวอย่างทะนุถนอม ถอนใบหน้าออกมาก่อนแล้วคลี่ยิ้มเอ็นดู “ได้เวลาแล้ว โจเอล ข้าไม่หนีไปไหนหรอก”

    ท้ายที่สุดมือใหญ่ยอมคล้อยปล่อยจากเอวบาง หากแต่ยังเลื่อนขึ้นสัมผัสพวงแก้มนวลในระหว่างทอดมองอดีตบาทหลวงซึ่งบัดนี้ทำหน้าที่เป็นแพทย์สนามของกองทัพ ความเจ็บปวดพลันไหลทะลักออกมาท่วมท้นจนกลั่นเป็นคำพูดไม่ถูก

    ...พระบิดา...บาปของข้าพระองค์มหันต์เช่นนี้เชียวหรือ

    ...จนหลงเหลือเพียงความสิ้นหวัง และหวาดกลัว ว่าจะสูญเสียคนผู้นี้

    โจเอลเริ่มกำจิกมือตัวเองอย่างรังเกียจ มือที่สังหารศัตรูมากมายในสมรภูมิตั้งแต่อายุยังไม่ย่างยี่สิบ แทนที่จะได้ใช้ชีวิตเยี่ยงบุรุษทั่วไปและอยู่อย่างสงบสุขในอารามร่วมกับคนตรงหน้า

    เขาเกลียดโชคชะตา ไม่น้อยไปกว่าสายเลือดที่ทำให้ตนเกิดมาเป็นเช่นนี้

    แต่แล้ว มือของอีกฝ่ายก็ทาบทับลงมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอื้อมขึ้นแนบกับใบหน้าของเขาพร้อมเอ่ยคำพูด

    “จงอย่าได้คิดว่าชีวิตของเจ้าไร้คุณค่า” บุรุษผู้รู้ทันกล่าว “รู้หรือไม่ว่าการได้พบกับเจ้าคือสิ่งสำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตข้า ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือในตอนนี้...จงอย่าทำสีหน้าทุกข์ใจเช่นนั้นเลย”

    พลันหัวใจที่เคยเย็นชาก็เต้นอย่างบ้าคลั่ง ช่องท้องบีบรัดเข้าหากันจนปวด ยิ่งเมื่อดวงตาใสซื่อของคนที่ชุบเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กฉายแววระริกหวั่นไหว โจเอลก็แทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป หากแต่...เสียงหนึ่งก็กู่ร้องขึ้นในใจว่าจะต้องไม่ทำให้คนผู้นี้แปดเปื้อน

    จะต้องไม่แปดเปื้อนมากไปกว่าที่เป็นอยู่

    ทั้งหมดเป็นเพราะเขา

    “จิลเลี่ยน” เสียงต่ำทุ้มพึมพำขึ้นในที่สุด

    ...เขา...ซึ่งเป็นคนบาปหนา

    “อะไรหรือ”

    “ขอโทษด้วย”

    ...คนบาปหนา...ผู้ปรารถนาให้พระผู้เป็นเจ้าทรงรักคนตรงหน้ามากเท่าที่เขารัก

    “เรื่องอะไร เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด”

    ...ข้าแต่พระบิดา...หากข้าพระองค์ต้องการสารภาพบาปที่ได้ทำลงไป

    “เป็นอะไรไป โจเอล มองข้าสิ”

    ...ข้าจะสามารถสลัดความชั่วร้ายทั้งหลาย แล้วจ้องมองดวงตาคู่นี้ได้อย่างไร้กังวลอีกครั้งหรือไม่

    “ข้าไม่เคย...ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า”

    ...ใช่...และด้วยเหตุนั้น เขาจึงไม่อาจหลุดพ้นจากบาปแสนสาหัสนี้

    “เรื่องนั้นข้าเข้าใจ”

    “และหากวันใดพระองค์ทรงทอดทิ้งเจ้า...” ชายหนุ่มเบือนสายตากลับมา ประสานกับอัญมณีสีฟ้าแสนสวยตรงหน้า

    ...หากเป็นเช่นนั้น

    "จงหันกลับมา มองข้า และรักข้า"

    เพราะข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าไป


     

    ………………………………








    เรื่องนี้เป็น.....เรื่องที่เขียนไว้เมื่อหลายปีที่แล้วค่ะ หลายปีมากกกจริงๆ และมันก็ไม่จบสักที (ฮา) แต่จะต้องเข็นให้จบให้ได้ล่ะนะ เป็นนิยายภาคเดียวจบ บรรยากาศหม่นๆ ขมๆ ใครชอบแนวทหารxบาทหลวง ก็ขอฝากผลงานด้วยนะคะ แฮ่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×