คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Prologue
Prologue
“...ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสรวงสวรรค์
ขอพระนามจงเป็นที่เคารพสักการะ
ขออาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่
น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จในสวรรค์เช่นใด ก็ขอให้สำเร็จบนแผ่นดินโลกเช่นนั้น
ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้
และขอทรงโปรดยกบาปความผิดของข้าพเจ้า เสมือนข้าพเจ้ายกบาปความผิดของผู้ที่เป็นหนี้ข้าพเจ้านั้น
และขออย่าปล่อยให้ข้าพเจ้าเผชิญมารผจญ แต่ขอทรงช่วยข้าพเจ้าให้พานพ้นจากความชั่วร้าย
เหตุด้วยอาณาจักร ฤทธิ์เดช และพระสิริ เป็นของพระองค์สืบไปเป็นนิตย์...”
...ทั้งที่ได้ชื่อว่าเติบโตขึ้นมาในอารามโบสถ์ หากแต่คำสวดอ้อนวอนของใครคนหนึ่งในสถานที่แห่งนั้นกลับผ่านเลยไปราวกับสายลมปะทะผิว ยิ่งไปกว่านั้น ตัวผู้ฟังเองยังจำแทบไม่ได้ว่าสวดมนต์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
ใครที่ไหนจะหาญกล้ากล่าวคำภาวนาต่อพระเจ้าในเวลาเช่นนี้
สงครามครั้งใหม่แห่งยุคมืด...ที่ซึ่งศาสนจักรหมดอำนาจลงในที่สุด
บาทหลวงเป็นแต่เพียงสัญลักษณ์แห่งความอัปยศและพ่ายแพ้ ภายหลังการล่มสลายของมหานครแห่งสวรรค์ บรรดาสาวกถูกเนรเทศ กระจัดกระจายไปในดินแดนเปลี่ยวร้างทุระกันดาร แต่ถึงอย่างนั้น เหล่าทหารที่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายก็ยังมิวายต้องการตัวพวกเขา ฝ่ายหนึ่งซึ่งยังคงต่อสู้เพื่อศาสนจักร และอีกฝ่ายที่ต้องการเพียงเสบียงและกำลังในการต่อสู้เท่านั้น
ท่ามกลางสถานการณ์อันเลวร้าย ยังคงมีใครคนหนึ่งที่หมายมั่นยืนยันความรักที่มีต่อพระองค์
“ขอโทษด้วยที่มารบกวน”
กระแสเสียงอันคุ้นเคยเอื้อนเอ่ยจากผู้ที่ย่างกรายเข้ามาเยือนเต้นท์ทหารของเขาอย่างไม่หวั่นเกรงเช่นคนอื่น บุรุษในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ บ่งบอกรูปลักษณ์ของสาวกแห่งพระผู้เป็นเจ้าเริ่มลุกขึ้นเบื้องหน้าหิ้งสักการะ หมุนตัวกลับมาหา แล้วคลี่ยิ้มบาง
รอยยิ้ม ที่งดงามดั่งของขวัญอันเลอค่า
...ซึ่งมอบแด่เขาเพียงผู้เดียว
ทว่าบัดนี้ อีกฝ่ายกำลังจะก้าวจากไป
“อยู่ก่อน” เสียงห้าวเอ่ยรั้งเพียงแผ่วค่อย และเว้าวอน แม้ร่างใหญ่กว่าจะอยู่ในชุดประจำตำแหน่งสูงส่งสีเทาเข้มซึ่งยังไม่ประดับยศ ผมสีทองสว่างยาวเคลียไหล่รับกับดวงตาสีม่วงดุดันน่าค้นหา จนคนมองไม่อาจห้ามรอยยิ้มอ่อนโยนแล้วถอนใจออกมาเบาๆ
“ข้าต้องรีบออกไปดูอาการทหารของเจ้า มัวช้าจะไม่ได้การ”
แต่ชายหนุ่มยังคงดื้อดึง
“อยู่ต่อ อีกสักพักเถอะ” พูดพลางขยับกายเข้ามาใกล้ ออกแรงฉวยข้อมือบอบบางเอาไว้พร้อมกระหวัดแขนโอบเอวผอมเข้าหาตัว สันจมูกโด่งคมโน้มลงแนบแก้มขาว สูดกลิ่นหอมแสนคุ้นเต็มปอดพร้อมความรู้สึกอิ่มเอมใจ
...ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์เป็นคนบาป
“ได้ยินว่าตอนสายต้องออกตรวจพล ไม่เตรียมตัวจนป่านนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน”
“แล้วยังไง”
...คนบาปหนา...ผู้ไร้สำนึกแม้คนตรงหน้าจะเป็นถึงสาวกของพระองค์
“เอาแต่ใจไม่เปลี่ยนเลยจริงๆนะ โจเอล”
ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของชายร่างสูงกว่าก็เริ่มปรือปิดลงอย่างเหนื่อยล้า เขาปล่อยวาง แล้วยอมให้ผิวกายอ่อนละมุนและเส้นผมสีดำขลับละเอียดลื่นอยู่เหนือสิ่งอื่นใด
...คนบาปหนา...ผู้จะไม่ยอมถอยหลังกลับไปสู่ชีวิตอันปราศจากความปรารถนา
“เป็นอะไรหรือเปล่า เจ้าดูเหนื่อย”
“เปล่า”
...คนบาปหนา...ผู้น้อมรับอุ้งมืออันเปราะบางนี้เอาไว้อย่างหน้าไม่อาย
“สวดมนต์ให้ข้าฟังอีกครั้งสิ”
“ถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้า เจ้าจะถูกตำหนิเอาได้” อีกฝ่ายลูบผมสีทองสว่างไสวอย่างทะนุถนอม ถอนใบหน้าออกมาก่อนแล้วคลี่ยิ้มเอ็นดู “ได้เวลาแล้ว โจเอล ข้าไม่หนีไปไหนหรอก”
ท้ายที่สุดมือใหญ่ยอมคล้อยปล่อยจากเอวบาง หากแต่ยังเลื่อนขึ้นสัมผัสพวงแก้มนวลในระหว่างทอดมองอดีตบาทหลวงซึ่งบัดนี้ทำหน้าที่เป็นแพทย์สนามของกองทัพ ความเจ็บปวดพลันไหลทะลักออกมาท่วมท้นจนกลั่นเป็นคำพูดไม่ถูก
...พระบิดา...บาปของข้าพระองค์มหันต์เช่นนี้เชียวหรือ
...จนหลงเหลือเพียงความสิ้นหวัง และหวาดกลัว ว่าจะสูญเสียคนผู้นี้
โจเอลเริ่มกำจิกมือตัวเองอย่างรังเกียจ มือที่สังหารศัตรูมากมายในสมรภูมิตั้งแต่อายุยังไม่ย่างยี่สิบ แทนที่จะได้ใช้ชีวิตเยี่ยงบุรุษทั่วไปและอยู่อย่างสงบสุขในอารามร่วมกับคนตรงหน้า
เขาเกลียดโชคชะตา ไม่น้อยไปกว่าสายเลือดที่ทำให้ตนเกิดมาเป็นเช่นนี้
แต่แล้ว มือของอีกฝ่ายก็ทาบทับลงมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอื้อมขึ้นแนบกับใบหน้าของเขาพร้อมเอ่ยคำพูด
“จงอย่าได้คิดว่าชีวิตของเจ้าไร้คุณค่า” บุรุษผู้รู้ทันกล่าว “รู้หรือไม่ว่าการได้พบกับเจ้าคือสิ่งสำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตข้า ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือในตอนนี้...จงอย่าทำสีหน้าทุกข์ใจเช่นนั้นเลย”
พลันหัวใจที่เคยเย็นชาก็เต้นอย่างบ้าคลั่ง ช่องท้องบีบรัดเข้าหากันจนปวด ยิ่งเมื่อดวงตาใสซื่อของคนที่ชุบเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กฉายแววระริกหวั่นไหว โจเอลก็แทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป หากแต่...เสียงหนึ่งก็กู่ร้องขึ้นในใจว่าจะต้องไม่ทำให้คนผู้นี้แปดเปื้อน
จะต้องไม่แปดเปื้อนมากไปกว่าที่เป็นอยู่
ทั้งหมดเป็นเพราะเขา
“จิลเลี่ยน” เสียงต่ำทุ้มพึมพำขึ้นในที่สุด
...เขา...ซึ่งเป็นคนบาปหนา
“อะไรหรือ”
“ขอโทษด้วย”
...คนบาปหนา...ผู้ปรารถนาให้พระผู้เป็นเจ้าทรงรักคนตรงหน้ามากเท่าที่เขารัก
“เรื่องอะไร เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด”
...ข้าแต่พระบิดา...หากข้าพระองค์ต้องการสารภาพบาปที่ได้ทำลงไป
“เป็นอะไรไป โจเอล มองข้าสิ”
...ข้าจะสามารถสลัดความชั่วร้ายทั้งหลาย แล้วจ้องมองดวงตาคู่นี้ได้อย่างไร้กังวลอีกครั้งหรือไม่
“ข้าไม่เคย...ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า”
...ใช่...และด้วยเหตุนั้น เขาจึงไม่อาจหลุดพ้นจากบาปแสนสาหัสนี้
“เรื่องนั้นข้าเข้าใจ”
“และหากวันใดพระองค์ทรงทอดทิ้งเจ้า...” ชายหนุ่มเบือนสายตากลับมา ประสานกับอัญมณีสีฟ้าแสนสวยตรงหน้า
...หากเป็นเช่นนั้น
"จงหันกลับมา มองข้า และรักข้า"
เพราะข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าไป
………………………………
เรื่องนี้เป็น.....เรื่องที่เขียนไว้เมื่อหลายปีที่แล้วค่ะ หลายปีมากกกจริงๆ และมันก็ไม่จบสักที (ฮา) แต่จะต้องเข็นให้จบให้ได้ล่ะนะ เป็นนิยายภาคเดียวจบ บรรยากาศหม่นๆ ขมๆ ใครชอบแนวทหารxบาทหลวง ก็ขอฝากผลงานด้วยนะคะ แฮ่
ความคิดเห็น