ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) Who's the killer ?

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter ︳One

    • อัปเดตล่าสุด 16 มี.ค. 57


           One - 1 
     

     

    แบคฮยอนกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ออกไปได้ราวๆยี่สิบนาที ข้างหลังเขาคือผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา เห็นท่าทางแล้วเหมือนผมเมื่อตอนเห็นบ้านหลังนี้ครั้งแรกไม่มีผิดเพี้ยน เป็นใครใครก็ต้องเกร็งจริงมั้ยล่ะ  
     

    "พวกเราแค่มาพักคืนเดียวก็กลับแล้วล่ะครับ ขอโทษที่ต้องรบกวน" ผู้ชายรูปร่างสูง ผมสีดำแซมน้ำตาลเซ็ตตั้งขึ้นโค้งให้พวกเราที่อยู่ในบ้าน และเมื่อผมเพ่งมองให้ชัดๆก็ต้องอึ้ง เพราะผู้ชายคนนี้คือ อู๋ อี้ฟาน น่ะสิ! 

    "นี่มัน อู๋ อี้ฟาน!" และก็เป็นอีกครั้งที่ซูจองชิงพูดไปก่อนผม เธอดูตกใจมากกว่าผมเสียอีก ร่างเล็กรีบวิ่งเข้าไปหาดาราคนนั้นในขณะที่ร่างสูงก็ยิ้มอย่างสุภาพตอบกลับมาให้ 

    พูดได้เลยว่า อู๋ อี้ฟาน เป็นดาราคนโปรดของผมเลยด้วยซ้ำ เขาดังมากในเอเชีย และเป็นคนที่น่าจับตามองในวงการ ด้วยความที่วางตัวดี ไม่เคยมีข่าวฉาว มีมารยาท และไม่เคยเหวี่ยงแฟนคลับ 
     

    อี้ฟานเดินหายเข้าไปในบ้านพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าใบโต ถ้าให้เดา คงจะเข้าไปเปลื่อนเสื้อผ้าละมั้ง เพราะชุดที่อี้ฟานใส่อยู่ตอนนี้เป็นชุดสูท อาจจะกำลังไปออกงานในเมืองก็ได้ ตารางงานเขาไม่เคยว่างเลย เจ้าตัวเป็นคนให้สัมภาษณ์เองทางช่องไหนสักอย่างที่ผมเปิดไปเจอตอนอยู่ที่บ้าน 
     

    "ใครมีโทรศัพท์บ้าง ฉันขอยืมโทรหน่อยได้มั้ย ของฉันไม่มีสัญญาณ"  

    "เราทุกคนมีโทรศัพท์ แต่ไม่มีสัญญาณเหมือนกัน ติดต่อใครไม่ได้เลย" ผมพูด 

    "แล้วจะทำยังไงดีเนี่ย 

    ชายร่างเล็กผิวขาวที่ก้าวเข้ามาในบ้านได้ก็ถามไถ่ถึงโทรศัพท์ ใบหน้าดูร้อนรน ผมเห็นเขาเดินวนไปวนมาทั่วบ้านไม่ยอมนั่ง มือก็ถือโทรศัพท์หาสัญญานไปทั่ว 

    "ถ้าเราไม่โทรบอกยกเลิกทางนั้น เรื่องต้องวุ่นแน่ๆเลยให้ตาย" เดินไปเดินมาไม่พอ ปากก็ยังพูดไม่หยุดอีกด้วย 

    "กะไอแค่ดาราหน้าโหลคนนึง ทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ด้วย"  

    ผู้เข้ามาใหม่เปิดปากพูดเสียงดังอย่างไม่เกรงใจใคร เมื่อผมหันหน้าไปมองก็ต้องรีบก้มหน้าทันที เพราะฝ่ายนั้นก็กำลังมองมาทางผมอยู่ด้วยน่ะสิ... 

    "หุบปากเถอะไค ฉันไม่มีอารมณ์มาพูดเล่นด้วยนะ"  

    "อ๋อ แน่ละ เพราะพี่มัวแต่กังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะสิ สถานการณ์แบบนี้ยังจะห่วงงานอยู่อีก" 

    "หรือนายไม่ห่วงละ? นี่งานใหญ่เลยนะ แถมพวกนายต้องออกคู่กันอีก จะมาเบี้ยวง่ายๆแบบนี้ได้ยังไง" 

    เท่าที่ผมนั่งฟังอยู่ตรงนี้ ผมเดาว่าคนตัวขาวๆที่เดินหาสัญญาณทั่วบ้านอยู่นั้นน่าจะเป็นผู้จัดการของอี้ฟาน ส่วนผู้ชายผิวแทนคนนั้น..ไม่รู้สิ ผมรู้สึกแปลกๆ เวลาผมมองเขา เขาจะชอบมองผมกลับเหมือนมีอะไรข้องใจยังไงยังงั้น 

    อี้ชิงเดินไล่หลังเข้ามาอีกคน มือก็ถือกระเป๋าเสื้อผ้าสองสามใบเต็มไปหมด อะไรจะพ่อพระขนาดนั้น ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ผมแทบจะมองเขาเป็นคนยกกระเป๋าไปแล้ว หรือไม่สองคนนี้ก็เป็นคนวานให้แบกเข้ามา? ผมว่ามันดูเสียมารยาทมากเลยนะแบบนั้น แต่ละคนดูเป็นพวกติดหรูน่าดู 

    ผมไม่อยากยอมรับนักหรอก ว่าจริงๆแล้วตอนนี้ก็พาลไม่ต่างจากแบคฮยอน ผมไม่ค่อยพอใจที่แบคฮยอนกับอี้ชิงเชิญคนแปลกหน้าให้มาพักด้วย จะว่าผมเห็นแก่ตัวก็เอาเถอะ แต่มันทำอะไรไม่สะดวกจริงๆ 

    ตอนนี้ก็ตีีสองกว่าๆแล้ว มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องมานั่งสนใจว่าใครหน้าไหนเข้ามาในบ้านบ้างล่ะ? ให้ตายเถอะ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย วันพรุ่งนี้ฝนก็จะหยุด และพวกเราก็จะแยกย้ายกันไปตามทาง ต่างคนต่างอยู่ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องรู้จักชื่อหรืออะไรทั้งนั้น 

    ผมเลิกนั่งหน้าบูดมองดูความวุ่นวายของแขกผู้มาใหม่ตรงห้องโถงและเริ่มหาอะไรทำ ปกติอยู่บ้านผมนอนดึกกว่านี้ด้วยซ้ำ ในเวลานี้ผมน่าจะหาอะไรทานที่ครัว 

    "เฮ้" มือปริศนาจากข้างหลังแตะเข้าที่ไหล่ผมจนสะดุ้ง ที่แท้ก็แบคฮยอนนี่เอง ผมเกือบจะร้องอยู่แล้วนะ 

    "มีอะไร?"  

    "โกรธฉันหรือเปล่า" แบคฮยอนถามเสียงอ่อย 

    ผมเดินนำหน้าเขาเข้าไปในครัว ร่างสูงเดินตามมาติดๆราวกับกลัวผมจะเดินหนีไปไหน จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้โกรธเขามากมาย ก็แค่หงุดหงิดตัวเอง ใช่ ผมหงุดหงิดตัวเอง หงุดหงิดว่าทำไมถึงได้รู้สึกเห็นแก่ตัวขึ้นมาเฉยๆ? ในขณะที่คนอื่นๆเต็มใจที่จะช่วยเหลือคนพวกนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งละอายอย่างบอกไม่ถูก 

    "เปล่า"  

    ผมเปิดตูเย็นและหยิบอาหารแช่แข็งหนึ่งอย่างมาจากช่องฟรีซและจัดการอุ่นมันในไมโครเวฟ 

    "เปล่าแล้วทำไมไม่พูดกับฉันล่ะ" 

    "ก็เห็นนายยุ่งๆ" 

    "แต่ว่า..."  

    "ฉันจะบอกอะไรให้นะแบคฮยอน ฉัน ไม่ ได้ โกรธ นาย! ฉันก็แค่อยากอยู่คนเดียว อ๋อ แล้วนายก็ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว พรุ่งนี้เราจะมาตกลงกันว่าจะเอายังไงต่อไป แต่ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะคุยกับนาย!" 

    "โอเคๆ ก็ได้ ฉันจะไป" 

    "..." แบคฮยอนถอนหายใจและหันหลังเดินกลับไป ผมเม้มปากแน่นและกลับไปให้ความสนใจกับเตาไมโครเวฟแทน 

     

    "ฉันว่าหมอนั่นกำลังน้อยใจนายอยู่นะ" 

    "...?"  

    ผมหันไปตามต้นเสียง ผู้ชายผิวสีแทนคนที่ผมเห็นตอนนั้น เขากำลังเดินเข้ามาในครัวด้วยท่าทางนิ่งๆ ผมเลิกคิ้วสงสัยกับท่าทีของเขา 

    "นายชื่ออะไร" แน่นอนว่าประโยคนี้ผมไม่ได้เป็นคนถาม 

    "ทำไมฉันต้องบอกด้วย นายเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งเข้ามาในบ้านหลังนี้ได้ไม่กี่นาที" 

    "ให้ตายสิ นายไม่รู้จักฉันสินะ น่าอายชะมัด" หมอนั่นเบ้ปากพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ 

    "ทำไมฉันต้องรู้จักนายด้วย นายเป็นดาราเหมือนอี้ฟานหรือไง"  

    "ทีอี้ฟานนายยังรู้จักเลย แล้วฉันดังน้อยกว่ามันตรงไหน?" 

    คนตรงหน้าผมตอนนี้เป็นดารางั้นเหรอ?  

    "..." 

    ติ๊ง!  

    ผมเลิกสนใจเขาและเปิดฝาไมโครเวฟที่อุ่นเสร็จแล้วแทน ร่างสูงยังคงยืนมองผมนิ่ง 

    "นายข้องใจอะไรหรือเปล่า?" 

    "เปล่านี่ ก็แค่อยากทำความรู้จัก" พูดเสร็จก็หันหลังเดินออกไป 

    อะไรของเขากัน... 

    ท่าทางการเดินและตอนพูดของเขาทำให้ผมนึกหมั่นไส้แปลกๆ คนอะไรดูขี้เก๊กตลอดเวลา บ้าชะมัด 

     

     

    ผมถือจานสปาเก็ตตี้ที่อุ่นเมื่อกี้นี้มานั่งทานในห้องอาหาร ใช่แล้วล่ะ บ้านนี้มีห้องอาหารที่อยู่ถัดจากห้องครัว สามารถเดินผ่านเข้ามาได้เลยเพราะไม่มีบานประตูกั้น เหมือนกับแบ่งเป็นโซน เวลาทำอาหารเสร็จก็สามารถถือมานั่งทานได้ง่ายๆ ข้าวของในนี้ก็ไม่มีอะไรมากมาย แค่เป็นโต๊ะอาหารตัวยาวตั้งกลางห้อง และเก้าอี้ประมาณสิบตัว ผมไม่เข้าใจว่าจะจัดบ้านทำไมให้มันดูยุ่งยาก ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ค่อยจะมาอยู่ และคนในบ้านก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้น 

    "ขอนั่งด้วยคนสิ" 

    เมื่อเห็นหน้าผู้มาเยือนผมก็ลุกขึ้นทันที ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำกิริยาแย่ๆแบบนั้นกับคนๆนี้อยู่เรื่อย ผมไม่ได้เป็นคนนิสัยแบบนี้เสียหน่อย 

    "แค่นั่งเฉยๆ ไม่ได้มากวนสักหน่อย ฉันแค่หนีจากตรงที่มีคนเยอะมานั่งเงียบๆ" 

    "..." ผมยอมนั่งลงและก้มหน้าก้มตากินอย่างเงียบๆ 

    "ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอ"  

    "ไหนบอกว่าแค่มานั่งเฉยๆ ไม่รบกวนไง" ผมเงยหน้าถามร่างสูง 

    "ก็ได้ งั้นฉันจะไม่ถามนาย นอกเสียจากนายจะเป็นฝ่ายถามฉันก่อน" 

    "..." 

    "..." 

    ให้ตายเถอะ มันเงียบเกินไปแล้วนะ แล้วเขาจะนั่งจ้องผมม้วนสปาเก็ตตี้อยู่อีกนานมั้ย ผมไม่ชอบให้ใครมาจ้องเวลากิน เชื่อว่าใครหลายๆคนก็คิดเหมือนผม 

    โอเค ผมถามก็ได้! 

    "ข้างนอก..มีใครเขามาพักอีกบ้าง นอกจากพวกนาย" ผมเปิดปากถามพลางวางส้อมลง มันหมดอารมณ์กินแล้วล่ะ 

    "อืม..มีเข้ามาอีกประมานสี่ห้าคนละมั้ง ฉันไม่รู้จักหรอก พวกเขาต่างคนต่างมา และตอนนี้ก็ขึ้นไปนอนชั้นสองกันหมดแล้ว" 

    "อ่าหะ" ผมพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะถามคำถามที่สอง 

    "แล้วนายชื่ออะไร? เป็นดาราหรือเปล่า" ทันทีที่ผมถามคำถามนี้จบเขาก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง 

    เหอะ! คำถามผมมันน่าขำงั้นเหรอ ถ้ารู้ว่าถามแล้วมันน่าอายแบบนี้ผมขอไม่ถามเลยดีกว่า 

    "ทุกคนเรียกฉันว่าไค ฉันเป็นนายแบบ" 

    "อ่า..." ผมก้มหน้าเอามือเขี่ยส้อมเล่น พอได้ยินอย่างนี้ก็เริ่มคุ้นหน้าเขาขึ้นมาทันทีเลยล่ะ 

    ไค งั้นเหรอ... 

    "แล้วนายล่ะ?" 

    "คยองซู" 

    "ถ้างั้นฉันขอถามคำถามเดียวก่อนจะไปนอนได้มั้ย" ไคขยับเข้ามาใกล้ผมและกระซิบเสียงแผ่ว 

    "..." 

    "นายว่าบ้านหลังนี้มันให้ความรู้สึกแปลกๆหรือเปล่า?" ผมนิ่งงันไปกับคำถามแปลกๆของเขา 

    "หมายความว่าไง? แปลก? มันแปลกแบบไหนล่ะ นายคิดว่าที่นี่เป็นบ้านผีสิงหรือไง" 

    "ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เฮ้อ" ไคถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับว่าผมเป็นคนเข้าใจยาก 

    "ก็นายพูดไม่ชัดเจนนี่!" 

    "โอเค ฉันแค่จะบอกว่า ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นตอนไหน แต่ฉันสังหรณ์ว่ามันจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ฉันแค่อยากให้นายระวังตัวไว้" 

    "..." 

    ผมได้ฟังแล้วก็นิ่งไป ไคยิ้มให้ผมบางๆก่อนจะเดินออกไป แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจกับสิ่งที่เขาเตือนสักเท่าไร 

    "ใครเขาให้ทักในเวลาแบบนี้กัน" ผมพูดไล่หลังเสียงเบา เรียกได้ว่าพูดกับตัวเองมากกว่า เพราะตอนนี้หมอนั่นคงเดินเข้าห้องไปแล้ว 

     

    กึก... 

     

    "..." เสียงแปลกๆดังขึ้นตรงประตูห้องครัว เสียงเหมือนใครกำลังเคลื่อนไหวช้าๆแถวนี้  

    ฝีเท้าของใครบางคนกำลังเดินย้ำอยู่ที่พื้น การลงน้ำหนักมากเกินไปทำให้เกิดเสียงดังได้ ผมมั่นใจว่าทฤษฏีนี้ถูกต้อง และผมก็ไม่ได้หูฝาด 

    "นั่นใครน่ะ! ใช่นายหรือเปล่าไค" 

    "..." 

    จู่ๆความกลัวก็แล่นเข้ามา ผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบ 

     

    ไม่เอาน่าคยองซู อย่าไปนึกถึงประโยคของหมอนั่นสิ!  

    มันไม่มีอะไรหรอก ก็แค่คิดมากจนกลัวไปเอง 

     

    ผมหยิบส้อมที่เปื้อนไปด้วยซอสสปาเก็ตตี้มาถือไว้ข้างๆตัว ถึงจะย้ำตัวเองอยู่เสมอว่าไม่มีอะไรก็ตาม 

    "..." 

    เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง แต่มันฟังดูถี่และเร็วเหมือนกำลังวิ่งอยู่ 

    ผมรีบวิ่งไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว แต่ก็...ไม่เจออะไร 

     

    มองซ้ายมองขวาแต่ก็พบกับความว่างเปล่า... 

     

    ให้ตายเถอะ ผมคงต้องกินยาระงับประสาทแล้วล่ะมั้ง! 

    นึกโกรธไคอยู่ในใจที่มาพูดประโยคแปลกๆทิ้งท้ายไว้ให้ผมกลัวเล่น แต่มันน่าโกรธตัวเองมากกว่าที่ดันเชื่อคำพูดหมอนั่นไปเกือบครึ่ง บ้าเอ้ย.. 

     

    ++++++++++ 

     

    "เซฮุนฉันอยากกลับบ้าน" 

    "ก็กลับไปคนเดียวสิ" 

    "ไม่เอาน่า นายต้องเป็นคนขับพาฉันกลับสิ!" 

    "ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายว่าไม่ เลิกงี่เง่าได้แล้วลู่หาน" 

    "..."  

    การสนทนาจบลงโดยลู่หานเป็นฝ่ายเงียบและเดินปึงปังเข้าห้องไป ผมที่กำลังจะเดินเข้าห้องตัวเองต้องเงยหน้าขึ้นไปมองตรงบันไดชั้นสองที่ส่งเสียงเอะอะโวยวายเสียงดัง 

    ดูเหมือนคนที่ชื่อเซฮุนจะรู้ตัว ร่างสูงยิ้มแห้งๆให้ผมและก้มหัวเล็กน้อยเป็นการขอโทษก่อนจะเดินเข้าห้องตามไปบ้าง 

     

    เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ใช่มั้ยล่ะ ยิ่งคนเยอะมากเท่าไรก็ยิ่งมีเรื่องเยอะมากเท่านั้น... 

    เซฮุนกับลู่หานเป็นแขกกลุ่มที่สองต่อจากพวกอี้ฟานที่ผมเห็นในคืนนี้ และแน่นอนว่ามันยังมีคนอื่นอีกที่ผมยังไม่ได้เห็นตอนพวกเขาเข้ามา แต่ผมคงจะไม่มีเวลาไปให้ความสนใจกับเรื่องแค่นี้หรอก จริงมั้ย 

     

    แต่ทำไมในใจมันถึงสังหรณ์แปลกๆ ว่ายังไงซะ... 

    เราทั้งหมดในบ้านก็ต้องมาให้ความสนใจกันเองซะอย่างนั้น... 

     

     

    แกร๊ก.. 

     

    "..." 

    "แบคฮยอนหรอ" 

    "อืม" 

    ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาหลังจากที่นอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง แบคฮยอนในสภาพที่ยังไม่ได้อาบน้ำกำลังเดินเข้ามาในห้อง 

    "นายไปไหนมา ทำไมไม่มาอาบน้ำนอน" ผมยันตัวลุกขึ้นในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน มองดูที่ว่างข้างๆที่ผมอุสาห์จัดไว้ให้ร่างสูงนอน แต่กลับเพิ่งมาเอาตอนนี้ในขณะที่ผมเข้านอนมาได้สักพักแล้ว 

    "ฉันไปคุยกับอี้ชิงมา" 

    "คุยอะไรกัน ทำไมนานขนาดนั้น" 

    "เรื่องทั่วไปน่ะ ไม่เกี่ยวกับนายหรอก" 

    "..." ผมเม้มปากแน่น ในขณะที่แบคฮยอนถือผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไปแล้ว 

    ยังมีอีกหลายอย่างที่ผมอยากถามเขา มีคำถามในหัวมากมายตั้งแต่มาอยู่ที่นี่  

    แต่...ไม่มีโอกาสได้ถามเลย แบคฮยอนดูเปลี่ยนไป หรือเป็นผมเอง..ที่เปลี่ยน 

    "..." 

    ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แปรงฟัน หลังจากที่ฟาดสปาเก็ตตี้เข้าไปจนอิ่มท้องตอนนั้น แต่แบคฮยอนใช้ห้องน้ำอยู่ ผมจึงต้องถือแปรงไปแปรงในห้องน้ำหน้าครัวแทน บ้านนี้มีห้องน้ำอยู่ในห้องนอนทุกห้อง และก็ยังมีห้องน้ำที่อยู่หน้าครัวอีกด้วยหนึ่งห้อง 

    ทันทีที่ผมเปิดประตูห้องออกมาก็ต้องพบกับความมืด ไม่มีใครเปิดไฟหน้าห้องโถงเลย คงจะเข้าห้องนอนกันหมดแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับผม ผมเป็นพวกประเภทไม่เชื่อเรื่องผีสางน่ะ 

    "หวัดดี" 

    "...!" ผู้ชายคนหนึ่งที่โผล่มาจากไหนผมไม่รู้กำลังยิ้มให้ผมในความมืด 

    "ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้นด้วยเล่า" เขาเบะปากเมื่อเห็นผมผงะไป 

    จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงกันล่ะ ก็ผมไม่เคยเห็นหน้าเขานี่นา ยิ่งมาเห็นในความมืดแบบนี้ก็ยิ่งเห็นหน้าไม่ชัด 

    "ก็นายเล่นมาทักกันตอนมืดๆแบบนี้ฉันไม่หัวใจวายตายก็ดีเท่าไรแล้ว" 

    "ฮ่าๆๆ งั้นทีหลังจะไม่ทักก็แล้วกัน ฉันแค่หิวกลางดึกเลยลงมาหาของกินน่ะ ว่าแต่นายชื่ออะไร" 

    "คยองซู แล้วนายล่ะ" 

    "ฉันมินซอก นายออกมาทำอะไรกลางดึกเนี่ย" 

    "ออกมาแปรงฟันน่ะ" 

    "อ๋อ งั้นไปด้วยกันก็ได้"  

    มินซอกเดินนำผมเข้าไปในครัวและเปิดไฟจนมันสว่างเพียงพอไปจนถึงหน้าห้องน้ำ ผมเห็นเขาเปิดตู้เย็นหยิบข้าวกล่องจากช่องฟรีซมาสองสามกล่องได้ ท่าทางจะหิวจริงๆนั่นแหละ 

    ผมปล่อยให้เขาจัดการกับอาหารที่ผมเพิ่งกินมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้และเข้าห้องน้ำเพื่อแปรงฟันให้เสร็จๆไป 

     

    "คยองซู ฉันเอาไปกินในห้องนะ อยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย" มินซอกตะโกนเข้ามาในห้องน้ำ 

    "นายไปเถอะ ฉันไม่เป็นไร" ผมก็ส่องกระจกบานใหญ่ตรงอ่างล่างหน้าไปพลางๆ ในหัวก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ทั้งเรื่องวันนี้ เรื่องแบคฮยอน และเรื่องของไค... 

     

    ซ่า... 

    ผมเปิดก๊อกน้ำล้างมือเป็นขั้นตอนสุดท้ายและปิดมัน แต่เสียงน้ำไหลกลับยังไม่หยุด 

    "..." ผมยืนนิ่งเงี่ยหูฟังเสียงก๊อกน้ำที่ผมไม่ได้เป็นคนเปิด มันไม่ได้มาจากในห้องน้ำ แต่เสียงมันมาจากห้องครัวต่างหาก  

     

    มีใครบางคนกำลังเปิดน้ำที่ซิงค์ล่างจาน 

     

    ซ่า... 

    ผมค่อยๆหมุนลูกบิดประตูอย่างเบามือและแง้มมันออกมาเล็กน้อยเพื่อแอบส่องใครสักคนที่ทำอะไรอยู่ที่ซิงค์ล่างจาน ผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่มินซอก เพราะเขาเพิ่งจะบอกผมและเดินออกไป ไม่น่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้ คนดีๆที่ไหนเขาจะมาล้างจานในเวลาแบบนี้กัน และถ้าจะมาล้างมือหรือล่างหน้าเฉยๆทำไมไม่ล้างในห้องตัวเอง ห้องน้ำส่วนตัวก็มีทุกห้องอยู่แล้ว 

    ใครคนนึงกำลังล้างวัตถุอะไรบางอย่าง เขาสวมถุงมือยางและผมก็ไม่เห็นตัวเขา เห็นเพียงแต่มือที่กำลังล้าง...มีด! 

    "!!!" มีดอีโต้ที่เปื้อนเลือด 

     

    ปึง! 

    ผมตกใจจนลืมตัว เผลอดันประตูปิดจนเกิดเสียงดัง ขาเล็กก้าวถอยอัตโนมัติ ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูกแล้วด้วยซ้ำ 

    "..." 

    ก๊อกน้ำถูกปิดไปแล้ว ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ไม่เว้นแม้แต่เสียงหายใจของผม ผมพยายามหายใจให้แผ่วที่สุด มือบางปิดปากตัวเองแน่น รู้สึกกลัวกับสิ่งที่คิดไปเอง 

    ใช่ แค่ได้เห็นภาพนั้นผมก็คิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว! 

     

    "..." 

     

    ผ่านไปราวๆห้านาที ผมรอจนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยจากข้างนอก มีเพียงก็แต่เสียงน้ำฝนเท่านั้น 

    ผมตัดสินใจแง้มประตูออกอีกครั้ง... 

    ไม่มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น บางทีคนที่ผมเห็นอาจจะเดินไปแล้ว หรือไม่ก็... 

    "!!!" 

    ตุ้บ! 

     

    "..." 

     

    ++++++++ 

     

    "คยองซู คยองซู" 

    ผมกระพริบตาถี่ๆเพื่อให้สายตาปรับสภาพกับแสงไฟห้องน้ำ ผมที่ตอนนี้อยู่ในท่านอนหงายมองเพดานห้อง สิ่งแรกที่ผมเห็นคือหลอดไฟ อย่างที่สองคือแบคฮยอน 

    "โอ้ย นายฟื้นแล้ว ขอบคุณพระเจ้า! 

    "ฉันเป็นอะไรไป?" ผมยันตัวเองขึ้นจากพื้น ได้กลิ่นคาวแปลกๆจนอยากจะอาเจียน เมื่อกุมหัวตัวเองก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง 

    'เลือด!' 

    "นายหัวแตกนิดหน่อยน่ะ ฉันต้องพานายไปทำแผล" แบคฮยอนทำทีจะพยุงผมให้ลุกขึ้นแต่ผมปัดมือเขาออก 

    "ไม่..เมื่อกี้..เมื่อกี้มัน.." 

    "ทำไม? ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น"  

    ผมกุมหัวตัวเองแน่น พยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา อะไรที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ผมมาทำอะไรที่นี่ 

    "!!!" 

    "นายจะไปไหน คยองซู!" 

    ทันทีที่จำเรื่องราวได้ ผมรีบวิ่งเข้าไปในครัวทันทีโดยลืมนึกถึงความเจ็บปวดและบาดแผลบนหัวไปชั่วคราว 

    ซิงค์ว่างเปล่า... 

    มีดเล่มนั้นก็ทุกจัดวางรวมกับอุปกรณ์อื่นๆตามปกติ... 

    "ไม่ใช่สิ มันต้องมีอะไรมากกว่านี้" ผมเม้มปากแน่น พยายามมองหาอะไรผิดปกติในนี้แต่ก็ไม่มีเลย ทุกอย่างดูเรียบร้อยดี 

    ถ้ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่ผมคิด แล้วทำไมผมถึงโดนตีหัวด้วยล่ะ!? มันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย 

    "คยองซูใจเย็นๆก่อนได้มั้ย บอกฉันสิว่านายหาอะไร"  

    "ไม่ นายไม่เข้าใจแบคฮยอน นายไม่เข้าใจ" ผมพูดเสียงดังจนร่างสูงอึ้งและเงียบไป 

    "..." 

     

    "กรี๊ดดดดดดดด" 

    "!!!" เสียงกรี๊ดนั้นผมจำได้ดี มันเป็นเสียงของซูจอง ผมและแบคฮยอนมองหน้ากันอีกครั้งและรีบวิ่งไปหาต้นเสียง 

    คนอื่นๆที่ได้ยินเสียงร้องต่างก็เปิดประตูออกมาดูสถานการณ์ข้างนอก ผมเห็นซูจองนั่งอยู่กับพื้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าที่มีของเหลวสีแดงข้นไหลออกมาจากตัวถัง 

    "เกิดอะไรขึ้น" อี้ชิงที่วิ่งมาถึงก่อนผมถามซูจองที่เอามือปิดปากทำท่าเหมือนจะอาเจียน 

    ผมตัดสินใจเดินเข้าไปดูด้วยตัวเองใกล้ๆ แต่ก็ต้องมีท่าทีเหมือนซูจอง เพราะกลิ่นคาวเลือดที่เหม็นคลุ้ง 

    "นี่มัน.."  

    ผมถอยออกมาทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า ภายในตัวถังเครื่องซักผ้ามีเสื้อผ้าหนึ่งชุดที่เปื้อนเลือด และที่แย่ไปกว่านั้นคือ'หัวคน'ที่ปนอยู่กับกองเสื้อผ้านั้นด้วย 

    เธอเป็นผู้หญิงผมสั้น ดวงตาเบิกกว้าง ที่คอเป็นรอยเฉือนขาดชัดเจน และดูเหมือนจะเพิ่งขาดออกจากร่างมาไม่นานเพราะเลือดยังไม่ไหลหยุดจนออกมาล้นขอบเครื่องซักผ้า 

     

    ผมหันหน้ามองทุกคนที่ยืนมองสิ่งเดียวกับผมอยู่ ทุกคนต่างมีสีหน้าตื่นตระหนกไม่แพ้กัน โดยเฉพาะซูจองที่ตอนนี้วิ่งไปอาเจียนเรียบร้อยแล้ว 

    "นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย! ใครมันทำแบบนี้!" แบคฮยอนมองไปรอบๆ ไม่มีใครตอบเขาได้ ผมก็เช่นกัน 

    "ไงล่ะ เกิดเรื่องขึ้นจนได้ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ควรอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก" ลู่หานผลักเซฮุนที่กำลังยืนอึ้งจนเซไปข้างหลังและวิ่งขึ้นชั้นสองไป  

    "ลู่หาน นายจะทำอะไร" เซฮุนวิ่งตามขึ้นไปบ้าง 

     

    "ลู่หาน! ลู่หาน! เปิดประตูเดี๋ยวนี้!" เซฮุนทุบประตูอย่างแรง 

    "...." 

    "นายทำบ้าอะไรของนาย เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ! ถ้าไม่เปิดฉันจะพังเข้าไป" 

    "ก็เอาเลย นี่ไม่ใช่บ้านฉัน จะพังก็พังมาเลย กล้าหรือเปล่าละ!" 

    เสียงที่จะโกนกลับมาดูสั่นคลอนราวกับคนพูดกำลังร้องไห้ ร่างสูงกัดฟันอดกลั้นอารมณ์โมโหไว้และพยายามผ่อนลมหายใจให้สม่ำเสมอ เขารู้ว่าลู่หานกำลังกลัว และด้วยความที่เถียงกันเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าลู่หานไม่อยากพักที่นี่ แต่เขาก็พูดไกล่เกลี่ยจนร่างบางยอมอยู่จนได้  

    พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้าก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา ถ้าให้เดา เขาคิดว่าร่างบางคงกำลังเก็บเสื้อผ้าเตรียมกลับบ้านอยู่แน่ 

    แอด... 

    "ลู่หาน" เขาพยายามพูดกับร่างบางดีๆแต่เสียงหวานก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน 

    "เอากุญแจรถมา!"  

    "ใจเย็นๆก่อนน่า ไอเรื่องเมื่อกี้มันก็แค่อุบัติเหตุ อย่าตื่นตูมสิ" 

    "ฉันบอกให้เอากุญแจรถมา!" ลู่หานตะโกนใส่หน้าร่างสูงจนคนอื่นๆที่ยืนอยู่ชั้นล่างต้องเงยหน้าขึ้นมามอง 

    "ลู่หานฟังฉันก่อนสิ" 

    "ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น นายก็เห็นนี่ว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น! มันเป็นการฆาตกรรมชัดๆ คนบ้าที่ไหนจะฆ่าตัวตายโดยการตัดหัวตัวเองใส่เข้าไปในเครื่องซักผ้าล่ะ!"  

    จากเสียงที่ดังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ร่างบางก็ตะโกนมันดังขึ้นไปอีกจนน้ำเสียงแหบแห้ง เซฮุนที่ตอนนี้ทำอะไรไม่ถูกได้แต่เม้มปากตัวเอง 

    "เพราะงั้นเอากุญแจรถมา ฉันจะ..." 

    "ฉันบอกให้ฟังกันบ้างไง!!!" 

    เซฮุนตะคอกใส่หน้าลู่หานอย่างหมดความอดทน ทุกสายตาจับจ้องไปที่ร่างสูงอย่างอึ้งๆ  

    "..." น้ำตาหยดแรกของคนหน้าหวานไหลลงมาช้าๆในขณะที่เซฮุนก็ทำเป็นไม่สนใจมันเพราะอารมณ์ที่กำลังปะทุถึงขีดสุด 

    "นายอยากออกไปนักเหรอ อยากออกไปมากใช่มั้ย! นี่กุญแจ...วิ่งลงไปเก็บสิ"  

    เซฮุนหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกงและขว้างมันลงมาที่ชั้นล่างอย่างไม่ไยดี 

    "..." 

    "ทำไมไม่ลงไปเก็บล่ะ! อยากได้นักไม่ใช่เหรอ ฉันก็ให้แล้วนี่ไงลู่หาน!!" มือหนาเขย่าตัวร่างบางจนสั่นไปหมด เซฮุนจะรู้บางมั้ยว่าเขาเจ็บแค่ไหน แรงบีบที่ไหล่ทั้งสองข้างไม่ใช่น้อยๆเลย 

    "เซฮุนใจเย็นๆ เห็นมั้ยลู่หานร้องไห้ใหญ่แล้ว" ซูจองที่เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่แรกเริ่มทนไม่ไหว เธออยากจะขึ้นไปดึงลู่หานกลับมาให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ไม่กล้า เพราะนี่เป็นเรื่องของคนสองคน ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว 

    "ถ้านายอยากตายอนาถในรถตอนพุ่งชนเสาก็เชิญ หรือจะคว่ำดีล่ะ? ตอนเราขับมาทางนี้ก็เจอคว่ำด้วยนะ สภาพรถเยินเลย หึ หรือจะชนคันอื่นดีล่ะ? บางทีศพอาจจะดูดีกว่าคว่ำ หรือไม่ก็..." 

    "หยุดพูดได้แล้ว ฉันไม่อยากฟัง!" ลู่หานเอามือปิดหูทั้งสองข้างและหลับตาแน่น แต่ร่างสูงเพียงแค่แสยะยิ้ม 

    "ทำไมล่ะ อยากกลับบ้านนักไม่ใช่เหรอ พูดแค่นี้ทำไมรับไม่ได้ ไม่ว่านายจะเลือกทางไหนนะลู่หาน ต่อไปนี้ฉันจะไม่ห้าม ไม่ยื้อนายอีกต่อไปแล้ว จะไปก็เชิญ แต่บอกให้รู้ไว้นะ ว่าที่ฉันทำไปทุกอย่างก็เพื่อความปลอดภัยของเรา!!!" 

    "ฮึก..." 

    เซฮุนเงยหน้ามองลู่หานอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าห้องไปพร้อมกับเสียงล็อคกลอนจากข้างใน 

     

    "ลู่หานอย่าร้องไห้เลย เซฮุนคงเครียดน่ะ ปล่อยเขาไปก่อนเถอะ" ซูจองพาลู่หานลงมาข้างล่างและพูดปลอบให้ร่างบางหยุดร้องไห้ แต่ดูเหมือนยิ่งพูดก็ยิ่งร้องหนักเข้าไปอีก 

     

     

    "..."  

    ตอนนี้เราทุกคนยกเว้นเซฮุนมารวมตัวกันที่ห้องโถงของบ้าน ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ พวกเรานั่งเงียบกันมาหลายชั่วโมงจนกระทั่งเช้า ไม่มีใครเข้านอน ไม่มีใครหลับลง ทุกคนยังคงนั่งตีหน้าเครียดจนผมคิดว่าควรต้องพูดอะไรออกมาสักอย่างเพื่อคลายความอึดอัดครั้งนี้ 

    "เอ่อ...มีใครรู้จักผู้ตายบ้างมั้ย?" ผมเป็นคนเปิดปากพูดคนแรก แต่ละคนส่ายหน้าเป็นพัลวัน 

    "ถามลีชินสิ เขาอาจจะรู้ก็ได้" ผู้ชายตัวสูงที่ผมไม่เคยเห็นหน้าออกความเห็น 

    "ลีชิน?" ผมทวนชื่ออย่างงงๆ  

    "ก็คนสวนของที่นี่ไง หมอนั่นบอกว่าชื่อลีชิน แต่ตอนนี้ไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้" 

    "อ๋อ"  

    "..." เกิดความเงียบอีกครั้ง นี่ถ้าผมไม่ถามก็ไม่มีใครคิดจะพูดอยู่ดีใช่มั้ยเนี่ย! 

    "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกเรา..ลองมาแนะนำตัวกันดูมั้ย จะได้รู้จักกันมากขึ้น แล้วเราจะได้ช่วยกันสอดส่องดูแลเผื่อมีใครบุกเข้ามาทำการฆาตกรรมในบ้านอีกเป็นครั้งที่สอง"  

    อี้ชิงเสนอขึ้นมากลางวง ซึ่งผมเห็นด้วยกับเขานะ อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องมานั่งเดาว่าใครเป็นใคร เพราะมันเยอะมากพอสมควรจนบางทีก็วางตัวไม่ถูก 

    "ไม่ละ ฉันขออนุญาติออกไปลุยฝนข้างนอกดีกว่า ไม่อยากเสี่ยงอยู่ที่นี่"  

    "..." 

    "แทมิน ฉันขอไปด้วย" 

    เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาก่อนจะเดินไปเก็บกระเป๋าพร้อมกับเพื่อนอีกสองสามคนที่เดินตามไปอย่างรวดเร็ว 

    "..." หลังจากนั้นก็ไม่มีใครลุกออกไปอีก  

     

    "ฉันชื่ออี้ชิง เป็นไกด์นำเที่ยว วันหยุดเลยถือโอกาสพาน้องสาวมาเที่ย" อี้ชิงเริ่มเปิดประเด็นสนทนาอีกครั้ง นั้นทำให้คนอื่นเริ่มเออออตามไปด้วย 

    "ผมชื่ออี้ฟาน เป็นนักแสดง มาออกงานในเมืองครับ" อี้ฟานก้มหัวให้ทุกคนอย่างสุภาพ 

    "ฉันชื่อจุนมยอน เป็นผู้จัดการอี้ฟาน"  

    "ฉันชื่อชานยอล เป็นแพทย์มาจากโรงพยาบาลในโซล" 

    "ฉันชื่อแบคฮยอน มาสัมภาษณ์งานกับคยองซู" 

    "ชื่อไค เป็นนายแบบ" ไคพูดเสียงห้วน 

    ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าตอนเขาพูด สายตาก็เหลือบมามองผมด้วย 

    "ฉันชื่อจงแด เป็นอาจารย์สอนวิชาฟิสิกข์" ที่หัวเขามีผ้าก๊อตพันแผลที่ผมกับซูจองพันให้เมื่อคืน 

    "ฉันชื่อจื่อเทา เรียกเทาเฉยๆก็ได้ เป็น...เอ่อ เป็นคนว่างงาน" เทาตอบอ้อมแอ้ม  

    ผมเห็นทุกคนมองเขาแปลกๆจนเจ้าตัวต้องรีบก้มหน้าก้มตา 

    "ฉันชื่อมินซอก ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ" มินซอกยิ้มกว้างให้ทุกคน แต่เขาอาจจะลืมไปแล้วว่าตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ไหน จึงได้รับการตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีของแต่ละคน 

    ผมว่าเขาเป็นคนมนุษย์สัมพันธ์ดีเลยทีเดียว ถ้าผมเป็นแขกคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเห็นสีหน้าทุกคนตอนนี้ ก็คงจะเดินเข้าไปคุยกับเขาเป็นคนแรก เพราะใบหน้านั้นดูเหมือนไม่กังวลอะไรเลย 

    "ฉันชื่อลู่หาน เป็นนักศึกษา คนที่อยู่ในห้องชื่อเซฮุน เราเป็นแฟนกันน่ะ" ลู่หานพูดเสียงแผ่ว แต่ก็ยังดีที่ตอนนี้ร่างบางไม่ได้ร้องไห้แล้ว 

    ที่นี้ก็เหลือแค่ผมกับซูจองที่ยังไม่ได้แนะนำตัว  

    "ฉันคยองซู มาสัมภาษณ์งานกับแบคฮยอน" 

    "ฉันซูจอง เป็นน้องพี่อี้ชิง" 

    "..." 

    "แล้วที่นี้จะเอาไงกันต่ออะ นี่ก็เช้าแล้วแต่ฝนก็ยังไม่หยุดเลย แถมยังตกหนักกว่าเดิมอีก เผลอๆพายุเข้าด้วยซ้ำ" 

    "ผมว่าเรากลับกันดีมั้ยพี่จุนมยอน ผมก็เริ่มไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว" อี้ฟานมองหน้าผู้จัดการเพื่อขอความเห็น ผมเห็นไคแอบเบ้ปากด้วยล่ะ 

    "ทำไมอะ กลัวสนิมจะขึ้นตัวหรือไง อยากกลับไปคฤหาสน์ของตัวเองจะแย่แล้วอะดิ"  

    "ไค นายไม่แขวะสักประโยคจะได้มั้ย ฉันไม่เห็นว่าครั้งไหนอี้ฟานจะโต้ตอบเลยนะ ไม่เบื่อบ้างหรือไง" 

    จุนมยอนถอนหายใจ ดูเหมือนว่าเหนื่อยที่จะห้ามปรามแล้ว แต่มันก็จริงอย่างที่บอก อี้ฟานไม่โต้ตอบอะไรเลย ถ้าเป็นแบคฮยอนป่านนี้โดนตอกหน้ากลับไปแล้ว 

    "โถ่ มันก็แค่หน้ากากอะ อยู่ไปนานๆเดี๋ยวรู้เอง เหอะ!" 

    "ฉันบอกให้หยุดไงไค!"  

    เสียงเข้มๆของจุนมยอนไม่ได้ดูน่ากลัวขึ้นเลยในความคิดของผม และไคเองก็คงคิดเหมือนกัน เพราะร่างสูงเพียงแค่ยักไหล่ทั้งสองข้างและทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ 

    "เอาเถอะ ในเมื่อเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ก็คงจะเป็นฝีมือของพวกโจรที่มาขโมยของในบ้านอย่างที่ลีชินบอก ผู้หญิงคนนั้นมาเห็นเข้าเลยโดนฆ่าปิดปาก" 

    "..." ถึงแม้อี้ชิงจะพูดอย่างนั้น แต่ผมกลับไม่คิดอย่างเขา โจรอะไรจะมีเวลาฆ่าได้นานขนาดนั้น ถ้าเป็นผม ก็คงจะฆ่าเธอและรีบวิ่งหนีออกไป ไม่ใช่มาเสียเวลาจัดฉากให้มันดูโรคจิตแบบนี้ 

    แต่ยังไงซะ ผมก็ไม่ได้เล่าสิ่งที่ผมเห็นในห้องน้ำให้ใครฟัง แม้แต่แบคฮยอน... 

    "ถ้าฝนยังไม่หยุดตก คืนนี้เราก็คงต้องพักที่นี่กันต่อ เพราะฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยของทุกคน ฉันขออาสาสมัครสองคนที่ช่วยเป็นยามคอยเฝ้าดูให้พวกเรา" 

    "..."  

    "ไม่มีเลยงั้นเหรอ"  

    กวาดสายตามองทุกคน ที่ตอนนี้ทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่อี้ชิงพูด ทุกคนต่างกลัวตายกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ผม 

    "ชานยอล นายเป็นหมอก็ช่วยอาสาสมัครหน่อยสิ" ไคพูดขึ้นมาลอยๆ ทุกสายตากลับกลายเป็นจ้องไปที่ชานยอลอยู่คนเดียว 

    "เฮ้ ฉันเป็นหมอนะไม่ใช่ตำรวจหรือทหาร ทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะ ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย" 

    "..." ผมรับรู้ถึงความกดดันในแววตาของทุกคนที่ส่งไปให้ชานยอล 

    "เอ่อ.."  

    "..." 

    "โอเค! ก็ได้ๆ ฉันจะยอมเป็นยามให้เอง พอใจมั้ยละ ที่นี้ก็เลิกมองฉันแบบนั้นได้แล้ว" 

    "ขอบคุณ" อี้ชิงพูดแทนคนที่เหลือ ถึงแม้สีหน้าของร่างสูงจะไม่ค่อยเต็มใจทำก็ตาม 

    "ถ้าอย่างนั้นฉันขออาสาสมัครด้วยคน" 

    "แบคฮยอน!" ผมร้องเตือนเขาเมื่อร่างสูงเหมือนพูดอะไรที่ไม่ได้คิดออกมา 

    "นายบ้าไปแล้วหรือไง ทำแบบนี้ทำไม" ทั้งๆที่ตอนอี้ชิงถามครั้งแรกก็ไม่ได้มีท่าทีอยากจะทำงานนี้เลยสักนิด แล้วทำไมถึงได้เปลี่ยนใจเร็วขนาดนี้ 

    "ช่างฉันเถอะน่า" แบคฮยอนสะบัดมือผมทิ้งและยกมือขึ้นเพื่อย้ำจุดประสงค์ตัวเองอีกครั้ง 

    "ขอบคุณ แบคฮยอน" อี้ชิงพูดอีกครั้ง 

     

    ตอนนี้คำถามในใจผมผุดขึ้นมาอีกหนึ่งแล้ว คำถามที่ว่า 

    แบคฮยอนกำลังคิดอะไรอยู่... 

               ****************

             ฝากแท๊ก #ฟิคเดอะคิลเลอร์ ให้หน่อยน้า TT^TT ถ้าไม่แท๊กก็เม้นหน่อย ถ้าเม้นไม่ก็แท๊กหน่อย (เอ๊ะยังไง) 5555
             มีคอมเม้นต์ถามว่าฟิคนี้มีผีมั้ย ตอบเลยว่าไม่มี (เฮ้!) 5555 ไรท์กลัวผีอะ พักบ้างไรบ้าง -w-
             แล้วก็ขอบคุณสำหรับรีดที่ตามมาจาก #สคฮร ด้วยนะคะ ขอบคุณจริงๆที่ยังรอและยังติดตาม T_T
             บางยูสไรท์ก็จำได้นะ เช่นเข็มนี่ไง 5555555 ขอบคุณน้าน้องสาว >3<'

            บางคนอ่านแล้วอาจผิดหวังแบบ เอ่อะ ไม่เห็นตื่นเต้นเลย เนื้อเรื่องเอื่อยไปมั้ย ยืดยาวไปมั้ย ต้องขอโทษด้วยนะคะ
           จุดประสงค์ไรท์ไม่ได้อยากแต่งให้เน้นเรื่องฆ่าแกงอะไร แต่จริงๆไรท์อยากแต่งให้มันดูมีอะไรมากกว่านี้
            ไม่ใช่มานั่งจับผิดว่าใครฆ่าอย่างเดียว อยากสอดแทรกด้านลึกของจิตใจมนุษย์ไปด้วย
            อยากให้รับรู้อารมณ์ของตัวละครที่อยู่ในสถานการณ์นั้นๆ

           เวิ่นมากไป ._. บ้ายบายย 



     

    BlackForest

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×