ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ☆ Paper Plane บินให้ไกล...ไปให้ถึงฝัน vol.3

    ลำดับตอนที่ #2 : ก้าวที่ ๑ : Prologue

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ย. 56


     

    To find, find your way,
    ไปตามหา ตามหาเส้นทางของเธอ

    Shine your way
    เจิดจรัสในแบบเธอ
     

    Prologue

                ภายในห้องนอนที่แสนคับแคบแออัดไปด้วยสิ่งของมากมาย  ที่วางระเกะระกะอยู่มุมนู้นมุมนี้บ้าง  เสื้อผ้าพาดทับกันไปมาอยู่บนพนักพิงเก้าอี้  โปสเตอร์มากมายแปะทับซ้อนกันแน่นหนา  เครื่องดนตรีวางตั้งอย่างดีแตกต่างจากโต๊ะทำงาน  ที่มีทั้งหนังสือการ์ตูน  แผ่นซีดีและเศษกระดาษวางทับถมกันจนไม่น่ามอง  เรียกได้ว่าสภาพโดยรวมค่อนข้างสกปรกเลยทีเดียว  ผสมกับเสียงเพลงแนวร็อค  ถูกเปิดดังสนั่นหวั่นไหวอย่างไม่เกรงอกเกรงใจเพื่อนข้างบ้าน  ปกติแล้วชายหนุ่มอายุ 18 ปีเจ้าของห้องแห่งนี้  จะต้องซ้อมเต้นอย่างหนักหลังเลิกเรียน  แต่ทว่าวันนี้เขากลับไม่ได้ทำอย่างนั้น  เพราะเขากำลังหัวเสียกับการหาของบางอย่าง  บางสิ่งที่หายไปแล้วไม่มีวันกลับมา  เมื่อหาให้แน่ชัดแล้วว่ามันไม่มี  เขาเลยเปิดประตูห้องออกเสียงดัง  ก่อนจะวิ่งลงบันไดอย่างอึกกระทึกคึกโครม

                "แม่!!  เห็นกางเกงยีนส์ผมเปล่า  สีซีดที่เพิ่งซื้อมา  ผมหามันไม่เจอเลย"  เขาถาม  อย่างร้อนรน  เพราะนั่นคือกางเกงตัวโปรดที่เขาพยายามเก็บเงินมาตลอดปี  ราคาแพงหูฉีก  แต่เพราะเขาชนะการแข่งเต้นโคฟเวอร์  ทำให้เขาสะสมเงินจนสามารถซื้อมันมาได้

                "แม่ไม่เห็นนะ  ลองถามบงกุนดูสิ  ตอนซักอาจจะสลับกันรึเปล่า" 

                หนุ่มหน้าหวานไม่รอช้า  รีบวิ่งไปที่ห้องรับแขกทันที  ที่นั่นมีทั้งพ่อกลับพี่กำลังนั่งดูบอลแมทสำคัญกันอยู่  เข้าเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย  ก่อนจะเดินไปยืนตรงหน้าพี่ชายของตน  พร้อมถามหากางเกงยีนส์ของเขา

                "พี่เห็นกางเกงของผมป่ะ  ที่มันจะซีด..."

                "ฉันทิ้งมันไปแล้ว" 

                ยังไม่ทันที่จะพูดจบ  ผู้เป็นพ่อก็พูดสวนขึ้นมา  พร้อมกับหยิบรีโมทแล้วปิดทีวีลงทันที  สีหน้าของเขาเย็นชาและเหนื่อยหน่าย  นั่นทำให้บยองกุนต้องชักสีหน้าใส่เล็กน้อย 

                "ฉันเคยบอกแกแล้วใช่ไหม  ว่าฉันจะไม่ยุ่งกับแกเลยถ้าเกรดแกไม่ตก  แล้วไง...เทอมนี้แกได้เกรดเท่าไร"

                น้ำเสียงเย็นชา  สร้างบรรยากาศให้ตึงเครียด  พี่ชายที่นั่งอยู่ระหว่างกลางของคนทั้งสอง  ลุกขึ้นไปห้ามพ่อทันที  เพราะถ้าเกิดพ่อโมโหขึ้นล่ะก็  จะไม่มีใครช่วยน้องชายเขาได้เลย

                "พ่อผมว่าใจเย็นๆค่อยๆพูดกันดีกว่า"

                "ฉันให้โอกาสแกไปเต้นแร้งเต้นกาแล้ว  แต่แกกลับทำกับฉันแบบนี้  มันใช้ได้ที่ไหน  ฉันเลยต้องสั่งสอนแกให้รู้ซะบ้างว่าอะไรควรอะไรไม่ควร  ความพอดีของแกมีได้แค่ไหน"

                "ถึงยังไงพ่อก็ไม่ควรมายุ่งกับข้าวของของผม  พ่อนั้นแหละที่ต้องรู้ว่าความพอดีคืออะไร" 

                "ว่าไงนะ!"

                "เฮ้ย  บยองกุน"

                สงครามเย็นของตระกูลคิมได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อของเขาทำแบบนี้  และมันก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเหมือนกัน  ความเผด็จการที่ยากจะควบคุมทำให้เขากดดันจนตอนนี้  ความอดทนของเขามันได้ขาดสะพรั่งออก  เขารู้เขาไม่ใช่ลูกที่ดีจนพ่อภูมิใจเหมือนพี่ชาย  แต่เขาก็ไม่คิดว่าสิ่งที่เขาชอบ  จะทำให้พ่อเดือดร้อนอะไร 

                "แกมันก็ดีแต่ทำให้ฉันต้องขายขี้หน้า"

                "นี่คุณ  พูดจาแรงไปแล้วนะ"  เสียงคนเป็นแม่พูดแทรกขึ้นมา  แต่ก็ไม่สามารถหยุดสงครามเย็นครั้งนี้ได้

                "ผมจะทำให้พ่อเห็นแล้วก็ยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้ให้ได้ !"

                คอยดู  ฉันจะต้องไปถึงจุดที่ไม่มีใครคิดมาก่อนฉันจะต้องเป็นไอดอลที่ใครๆก็รู้จัก  ฉันจะทำมัน! ความฝันฉันใครก็ห้ามไม่ได้

              ความคิดความเกลียดชังผุดขึ้นมาในหัวสมองไม่หยุดหลังจากทะเลาะกับพ่อจนแม่กับพี่ต้องทำให้พ่อใจเย็นลง ส่วนเจ้าคนก่อเรื่อง  ก็ได้แต่นั่งสงบจิตสงบใจอยู่ให้ห้องของตัวเองไปเงียบๆ  พร้อมเปิดเพลงดังๆข่มใจที่วุ่นวายและสับสน  การเต้นทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นได้  ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นพร้อมกับการเต้นที่สาวๆเห็นแล้วต้องกรี๊ดสลบ  ตอนนั้นเอง  ที่เขาหวนกลับมาคิดถึงกางเกงยีนส์  ที่ใช้เงินทั้งปีไปซื้อมา  ทั้งยังไม่เคยลองใส่เลยด้วย

                "โธ่เว้ย!"  แล้วความหงุดหงิดก็ยังคงอยู่ต่อไปจนกระทั่ง  เช้าวันใหม่

                ถ้าหากเปรียบสมรภูมิรบแล้วล่ะก็  ไม่ต่างอะไรจากบ้านของบยองกุนเลย  หลังจากเกิดเรื่อง พี่กับแม่ก็ทำตามตัวตามปกติ  ส่วนพ่อ...เราสองไม่ค่อยจะคุยกันอยู่แล้ว  ยิ่งตอนนี้เราแทบไม่มองหน้ากันเลยด้วยซ้ำ  ผมรู้ว่าอะไรคือลูกที่ดี  คือการทำตามคำสั่งสอนของพ่อแม่  งั้นอะไรคือสิ่งที่เราควรทำไม่ควรทำ  เราจำเป็นต้องเดินตามเส้นที่ขีดไว้อย่างนั้นเหรอ...พูดไปก็ป่วยการเปล่า
                "ผมไปเรียนก่อนนะครับ"  พูดแล้วก็เดินเอื่อยๆคว้ากระเป๋านักเรียน
                "โอเคจ้า  อ้อแล้วอย่ากลับดึกนักล่ะ  เรามีดินเนอร์นอกบ้านกันนะวันนี้"  แม่พูดอย่างร่าเริง
                "ครับ...อะไรนะ!"
                ผมตะโกนออกมาอย่างตกใจ  อะไรคือกินข้าวนอกบ้าน
                "นี่ก็ผ่านมาสองปีแล้วที่เราไม่ได้ไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันนอกบ้าน"  แม่หยุดพูดพร้อมวางแก้วกาแฟลงตรงหน้าพ่อ  ที่นั่งเงียบไม่พูดอะไรสักคำ  หรือพ่อรู้สึกผิด  ก็เลยจะ...
                "เอาเป็นว่าอย่ากลับช้าจ้ะ  ไปเร็วเดี๋ยวสายนะ"
                "ครับ"

                เบื่อชีวิตแบบนี้จริงๆ เช้ามาเรียน เจอเพื่อนเด็กเรียน คุยเรื่องเรียนต่อ  ผู้หญิงเอาของมาให้ โดนด่าพอไม่รับของ เพื่อนผู้ชายก็เกลียดขี้หน้า  นับวันจะเป็นตุ๊ดกันไปหมดละ คนพวกนี้  ผมอยากคุยกับคนที่มีฝันแบบเดียวกัน  เพื่อนที่มีจุดมุ่งหมาย มีความฝัน  ความพยายาม นอกกรอบ ในห้องเอแบบนี้จะไปหาเจอได้จากที่ไหน...
                ผมคิดระหว่างเดินเปลี่ยนคาบไปห้องวิทยาศาสตร์   รุ่นน้องกลุ่มหนึ่งที่ยืนเทียบข้างตรงระเบียงก็พูดคุยกันเสียงดัง
                "แม่ง  เจ๋งว่ะ  แต่ปีนึงเขารับแค่100คนเองไม่ใช่เหรอวะ"
                "มึงจะกลัวอะไรครับ  มึงเต้นเก่งกว่ากูอีก เครียดหา...เหรอ"
                เต้นเหรอ?
                หูของผมเริ่มผึ่งทันที  พร้อมรับข้อมูลข่าวสารเต็มที่  สองขาก็ชะงักทันควัน
                "บยองกุน  ไม่รีบไปเดี๋ยวเช็คขาดนะ"  หัวหน้าห้องสุดเคี่ยวพูดขึ้น
                ขาดก็ขาดวะ  แค่คาบสักคาบจะกลัวอะไร
                "เออไปเหอะ  เดี๋ยวตามไป  ขอทำธุระแปบ"  พูดจบผมก็เดินตรงไปทักทายรุ่นน้องกลุ่มนั้นทันที
                "โอ๊ะ  รุ่นพี่สวัสดีครับ" รุ่นน้องที่ถูกทักว่าเต้นเก่งนักหนาหันมาทักทาย  ตามระเบียบรุ่นพี่รุ่นน้อง
                "ที่คุยกันเมื่อกี้  รับ100คนนั่นอ่ะ  อธิบายมาทีดิ๊"  ผมคะยั้นคะยอ
                "เฮ้ย  รุ่นพี่บยองกุน...ผมว่ามันเจ๋งเหมาะกับรุ่นพี่มากเลย"  พูดจบก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ผม "เอ่อ...ความจริงแล้ว  ผมเป็นแฟนคลับรุ่นพี่้เลยนะครับ! ไม่คิดว่าจะได้คุยกับรุ่นพี่  งานวันนั้นสุดยอดมากจนผมเกิดแรงบันดาลใจเลยครับ  อ๋อ  รับไว้เลยครับ"  รุ่นน้องทั้งสอง  ทำไมถึงให้ความรู้สึกอยู่ด้วยแล้วสบายใจกว่านะ  หรือเพราะว่าเราคือ  คนที่มีความฝันเหมือนกัน
                ผมรับกระดาษแผ่นหนึ่งมาจากรุ่นน้อง ก่อนที่สองคนนั้นจะเดินหายไปกลับฝูงชน เพราะได้เวลาเข้าเรียนแล้ว
    ในคาบวิทยาศาสตร์  ระหว่างนั้นที่อาจารย์กำลังอธิบายงานกลุ่ม  ผมใช้โอกาสอ่านใบประกาศ

    Art & Artist College เปิดรับสมัครแล้ว! ประจำปีการศึกษา 20xx

    สถาบันสร้างฝันของเหล่าคนมีความฝัน

    The future belongs to those who believe in the beauty of their dreams.

    เส้นทางระหว่างศิลปะและดนตรี  คือเส้นทางของความอิสระ

    สาขาที่1 ศิลปะ

    สาขาที่2 ศิลปิน

    เปิดรับนักศึกษาใหม่ 100 คนในแต่ละสาขา  ในวันเสาร์ที่ 5 กันยายน 20xx เวลา 10.00- จนกว่าจะเต็ม

    *ใบสมัครรับที่เค้าเตอร์เท่านั้น

    หมายเหตุ: ปีนี้เราจะทำการออดิชั่นจาก100คนที่สมัครเข้ามา  ทั้งนี้จะผ่านหรือไม่แล้วแต่ความสามารถ  ไม่มีจำกัดจำนวนบุคลากรผู้ที่มีความสามารถ...

    แผนที่ดาวโหลดได้จากเว็บไซต์ : www.artandartistcollege-365.co.kr

    สอบถามรายละเอียด : 010569xxxx

     

                ตึก  ตัก ตึก ตัก

                พออ่านจบหัวใจผมก็เต้นรัวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล   มือไม้สั่นเทาด้วยความตื่นเต้น  นี่มันคือสิ่งที่ตามหามานานแสนนาน  ความรู้สึกนี้  ใช่เลย...อาการแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้ว  เราจะก้าวเดินไปให้เส้นทางที่เรากำหนดมันขึ้นมาเอง  ผมจะบอกกับทุกคนถึงอนาคตของผม  มันใช่เลย!

               

                วันนี้ครอบครัวเราออกมาทานข้าวมื้อแรกในรอบหลายปี  คิดว่าหลังทานเสร็จจะพูดเรื่องการเรียนต่อให้ทุกคนได้รับรู้ 

                แกร้ง

                สินเสียงวางช้อนของผู้เป็นพ่อ  บยองก็คิดว่าจะชิงพูดเรื่องสถาบันสร้างฝัน  แต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายอย่างที่คิด  เพราะผู้เป็นพ่อเหมือนรู้ทัน  รีบพูดขึ้นมาเสียก่อน

                "เรียนวันนี้เป็นไงบ้าง"  พ่อถามขึ้น

                ผมเหรอ...

                "ก็ดีครับ  สนุกดี"  ผมตอบผ่านๆ 

                "ก็ดีฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับแกพอดี  ไหนๆวันนี้ก็พร้อมหน้าพร้อมตา  ก็พูดเรื่องต่อมหาลัยของแกซักหน่อย"

                บรรยากาศตึงเครียดวกกลับมาอีกครั้ง  พลังงานกดดันไหลออกมาจากคนเป็นพ่อ  สายตาราวนกเหยี่ยวจิกลงดวงตาของบยอง  ความรู้สักกดดันกลับมาอีกครั้ง  เขาหวังเพียงว่าพ่อจะไม่พูดเรื่องบีบบังคับอีก  แต่เหมือนจะไม่เป็นผล

                "แกต้องสอบเข้ามหาลัยโซลให้ได้  เกรดแกอ่อนแบบนี้พ่อว่าจะให้แกเรียนเพิ่มเติม  ดังนั้นฉันอยากให้แกหยุดทำเรื่องไร้สาระพวกนี้  แล้วหันไปอ่านหนังสือหนังหา  เตรียมตัวได้แล้ว"

                แก้วไวน์ถูกวางลงบนโต๊ะเบาๆ  ข้างจานพาสต้าของโปรดของพ่อ 

                "ไม่ครับ..."

                "ทำไม  แกมีที่เลือกไว้แล้วเหรอ  งั้นเอาที่สองลองลงมาก็ได้"

                "ครับ  ครั้งนี้ผมตัดสินใจจะเลือกอนาคตด้วยตัวของผมเอง  ผมจะเลือกเรียนที่นี่ครับ"  ว่าแล้วก็หยิบกระดาษบางส่งให้กับผู้เป็นพ่อ  ทั้งแม่และพี่ชายก็ต่างพากันสนอกสนใจกับสิ่งที่พ่อถือ  และพออ่านจบเท่านั้น  สีหน้าพ่ออย่างที่ผ่อนคลายเมื่อสักครู่  กลับมาเครียดอีกครั้ง  แม่กับพี่รีบห้ามผมที่กำลังจะพูดต่อ  แต่ไม่...ผมจะต้องพูด

                "ผมตัดสินใจดีแล้วครับ  ในเมื่อเป็นอนาคตของผม  ผมก็อยากจะทำให้มันดีที่สุด"

                "อะไรนะ!!! แก!"

                ด้วยความโกรธ  พ่อเลยลุกขึ้นชี้หน้าบยองทันที  อารมณ์ฉุนพุ่งจนควบคุมตัวเองไม่อยู่  เสี้ยววินาทีนั้นเอง  พ่อคว้าแก้วไวน์ที่อยู่ใกล้มือพร้อม  แล้วก็จะขว้างมาทางผม

                ทุกคนตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น  ผมถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ  ไม่คิดว่าพ่อจะทำถึงขนาดนี้  วินาทีนั้นผมตระหนักได้ว่า  โดนหน้าแน่ๆ  เจ็บแน่ๆ

                เพล้ง!

                ไม่เจ็บ...

                เสียงแก้วกระทบเข้ากับขอบโต๊ะแตกกระจายลงพื้น  เสียงฝีเท้าเมื่อครู่...พี่ชายของผม

                "พอเถอะครับพ่อ!! หยุดทำแบบนี้ได้แล้ว"  พี่ชายบงกุน  วิ่งด้วยความเร็วแสงมาปกป้องใบหน้าของน้องชาย  ทุกคนอึ้งจนพูดไม่ออก  เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา  เขาพยายามเก็บมันไว้ตลอด  ความฝันของเขา  เขาปล่อยให้พ่อบังคับควบคุมตามใจ  จนในที่สุดความฝันมันก็เริ่มเลือนรางหายไป  เขาไม่อยากให้น้องต้องเจอแบบเขาอีกแล้ว  อย่างน้อยก็ขอช่วยให้น้องชายของเขาได้ไปถึงฝันทีเถอะ!

                "ผมขอแค่น้องคนเดียว...ผมจะเลี้ยงดูครอบครัวเราเอง  ผมจะเป็นคนที่เชื่อฟังพ่อทุกอย่าง  ได้โปรดปล่อยให้น้องทำตามความฝันตัวเองเถอะครับ"  เสียงสั่นพูด

                "นี่แก..."  พ่อทำท่าจะเดินมาหาพี่  แต่แม่จับไว้ทัน "ปล่อยผมนะไอ้ลูกไม่รักดี"

                "พวกเรารักพ่อกันทั้งนั้นแหละครับ  แต่ผมไม่อยากให้น้องต้องเจอแบบผมความฝันของผมตอนนั้น  มันหายไปแล้วครับพ่อ...อย่าให้ความฝันของน้องต้องหายไปด้วยอีกคนเลย" เสียงท้ายประโยคของพี่ชายดูอ่อนลงอย่างเจ็บปวด

                "บงกุน..."  ผมเรียกชื่อพี่ชาย

                "ถ้านายได้ดีแล้ว  ก็กลับมาช่วยฉันนะ  จนกว่าจะถึงตอนนั้น  แสดงให้ทุกคนเห็นว่านายทำได้  อย่าท้อ  อย่ายอมแพ้  ไปถึงจุดนั้นให้ได้ซะ" 

                รอยยิ้มที่อ่อนโยนและอบอุ่นของพี่  ทำให้เขารู้สึกดีเหลือเกิน  ที่เขามีพี่ชายเข้าใจเขา  ตลอดเวลาที่ผ่านมา  ผมไม่รู้เลยว่าพี่ต้องเจออะไรบ้าง...  ขอบคุณครับพี่

                "ก็ได้ถ้าแกทำได้ฉันจะให้โอกาสแก  แต่ว่าถ้าแกทำไม่ได้  แกต้องทำตามที่ฉันสั่งทุกอย่าง!"

                ........

               

                ถนนสายยาวสุดลูกหูลูกตาของหมู่บ้านแห่งหนึ่งในประเทศไทย   แสงแดดยามบ่ายจากพระอาทิตย์ที่สูงกลางศีรษะ  ต้นไม้ไร้ก้านไร้ใบยื่นออกมาจากริมรั้ว  หวังพอกำบังแสงแดดที่ร้อนระอุได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้ช่วยพระอาทิตย์ยังคงส่องแสงแยงตาผ่านขนตาแพหนา  เข้ากระทบกับเปลือกตาของหญิงสาวคนหนึ่ง  ที่เดินหอบหิ้วถุงพลาสติกสีขาวใบใหญ่อยู่กลางถนน  ปากคาบอมยิ้มรสหวานของโปรดชวนให้ชื่นใจ  แม้จะไม่ใช่ไอศกรีมดับร้อน 

                "ร้อนชะมัด"  หญิงสาวสบถขึ้น  ใจอยากจะเดินให้เร็วขึ้นจะได้ไม่ต้องทนความร้อนมากนัก  แต่ขาดันก้าวไม่ออกเพราะหมดแรง  "ใช้มาซื้อของทั้งที แค่ขอเงินซื้อไอศกรีมก็ยังไม่ให้  งกชิบ" 

                ติ๊ดติ๊ด

                พึมพำคนเดียวไปมาสักพัก  เสียงเหมือนข้อความเข้าก็ดังเตือนขึ้นมา  จากโทรศัพท์มือถือรุ่นฮีโร่  ที่เจ้าตัวไม่อยากได้นัก  แต่ก็ทนๆใช้มันไป  เมื่อเห็นชื่อคนที่ส่งข้อความมาก็ถึงกับทำหน้าเบื่อหน่าย นึกในใจ

                จะใช้ไปซื้ออะไรอีกวะ  เยอะจริง!

              สีหน้าบอกอย่างพลางภาวนาขออย่าให้พี่สาวตัวดี  ใช้ไปซื้อของเพิ่มอีกเลย  เพราะกว่าจะลากสังขารมาถึงครึ่งทางเข้าหมู่บ้านนี้  เล่นเอาจะละลายรวมกับไอศกรีมอยู่แล้ว 

                มือเล็กใช้มือที่สะดวกที่สุดกดปุ่มอ่านข้อความที่แสนจะยาวเหยียด  ที่ยิ่งอ่านยิ่งต้องเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจ  หัวใจของหญิงสาวหล่นวูบทันทีที่อ่านจบ  ข้อความที่ไร้ความแคร์สิ่งอื่นใดนี่คือ...

                'ถึงน้องสาวคนงาม  พี่มีธุระด่วนบางอย่างที่ต้องรีบไปทำ  ฝากล้างจานที่แช่อยู่ด้วยนะ  ก่อนที่แม่จะวีน  แล้วพี่จะมาล้างให้วันหลัง  สัก...'  ถึงแค่ตรงนี้ก็ยังไม่เป็นปัญหาเท่าไร  แต่ต่อจากนี้นี่สิ  'สักสี่ห้าปี  พี่จดเอาไว้แล้วว่าจะกลับไปล้างใช้หนี้ให้  ไม่ต้องห่วงพี่นะจ้ะ'

                เฮ้ย  นานไปป่ะ

                'ไม่นานนะวันเวลาผ่านไปแปบเดียว  ถึงตอนนั้นพบกันใหม่นะ  ตอนนี้พี่อยู่สนามบินแล้ว  เพิ่งมาครั้งแรกเลย  อลังการงานสร้างมาก  ไปนะ  สู้ๆ

                นี่มันเรื่องบ้าอะไรว่ะเนี่ย 

                ตอนนี้หญิงสาวสรุปได้แค่สั้นๆว่า  พี่หนีออกจากบ้าน!!        

                เจ้าตัวรีบวิ่งเต็มสปีด  ทั้งที่มือสองข้างยังคงถือของพะรุงพะรัง  แต่เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องตลกแล้ว  ข้อความที่แฝงไปด้วยความตั้งใจของคนพิมพ์ส่งมาเหล่านั้น  มันชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด  เรื่องแบบนี้ไม่น่าเชื่อ...พี่สาวที่แสนขี้เกียจ  ดูไม่เป็นโล้เป็นพาย  หลังจากจบม.หกมาก็ไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่าง  เรียนมหาลัยก็อ้อยอิ่งสอบไม่ได้สักที  พอได้ที่เรียนก็เริ่มทักท้วงเรื่องความฝันบ้าบอคอแตก  แต่ก็ไม่คิดว่าจะกระตือรือร้นจนน่าตกใจ 

                "แม่  เกิดเรื่องใหญ่แล้ว !! "  น้องสาวที่ตอนนี้ร้อนรน  วิ่งตะโกนโหวกเหวกทันทีที่เท้าเหยียบเข้าประตูรั้วบ้าน  ทิ้งรองเท้าถอดกระจายอย่างไม่แยแส

                คนเป็นแม่หันขวับมาทันที  ที่ลูกสาวทำกิริยาไม่เกรงใจข้างบ้าน  ตะโกนดังเสียจนหมดความเป็นผู้หญิง  ทำให้ชักสีหน้าไม่พอใจ  หากแต่เวลานี้  ลูกคนเล็กไม่ได้สนใจสิ่งเล็กน้อยเหล่านั้น

                "เกิดอะไรขึ้น   บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าวิ่งในบ้าน!"  แม่เอ็ด

                "ไม่แม่พะ  พี่  น้ำเย็น  หนีออกจากบ้าน!"

                "เอ็งพูดอะไรนิ  เป็นบ้าไปกับมันอีกละ  มันก็แค่..."  ยังไม่ทันที่แม่จะพูดอะไรต่อ  เสียงไลน์ในมือถือก็ดังขึ้น  เป็นทำนองจังหวะนกร้อง  คนเป็นแม่รีบวิ่งขึ้นไปดู  เพราะรู้สึกใจคอไม่ดีกับสีหน้าของลูกคนเล็ก  ก่อนนึกได้ว่าลืมโทรศัพท์ไว้บนบ้าน  จึงเดินมาเอา  และเมื่อเปิดข้อความอ่านก็พอว่า...

                หืมมม??!
                'แม่! เย็นจะกลับมาหาแม่แน่นอน! จะเป็นลูกที่ดี แต่ตอนนี้ขอค่าตั๋วหน่อยนะแม่  ขอโทษจริงๆค่าท่านแม่T/\T ลูกขอเวลาห้าปีรักพ่อแม่ จุ๊บ'
                ขอค่าตั๋ว  มันไม่รู้รหัสเอทีเอ็มนิ! ไปเอามาจากไหนตั้งหลายหมื่น
                ไม่ปล่อยให้งุนงงอยู่นาน  ลูกสาวคนเล็กวิ่งตึกๆขึ้นมาหาแม่ด้วยความตกใจปนเหนื่อยหอบ
                "แม่!!!!! ทะ ทะ"
                "อะไรเอ็ง!"
                "ทีวีหายไปแม่!! คอมด้วย คอมหนูหายไปTOT"
                ร้องไห้โวยวายเสร็จก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้แม่
                'น้องรัก ทีวีในห้องไม่จำเป็นหรอก มีไปก็เสียเวลาอ่านหนังสือเรียน  ไปดูห้องนั่งเล่นแทนละกัน'
                "โอ้ยจะเป็นลม"
                'ปล. คอมเห็นแต่เล่นเกม  ไปใช้โน็ตบุ๊กพ่อแทนละกัน พ่อไม่ค่อยใช้ เพราะเล่นไม่เป็น  ขอบใจนะ'
                กรี้ดดดด ไอ้ลูกบ้า!!! กลับมาฉันจะฆ่าแกกกก!!! ไอ้เย็นนน

    - - - - - - - - - - - - - - - - -
    PP Talks :แค่บทนำก็ปาไปหลายหน้า  พวกที่ออกตามหาความฝันเริ่มต้นการเดินทางของตัวเองกันแล้ว
    ตื่นเต้นจังเลย>< เพลงนี้บอกตรงๆว่าตรงกับที่แต่งมาก 
    ชื่อเพลง Shine your way


    ©
    Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×