ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    kiss the rain กลางสายฝน

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่1

    • อัปเดตล่าสุด 1 ธ.ค. 56



    หญิงสาวก้าวลงจากรถแท็กซี่พร้อมกับรีบวิ่งเข้าบ้านชั้นเดียวหลังเล็กของเธออย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับยกช่อดอกไม้ที่ได้มาบังฝนไม่ให้ตกลงมาโดนส่วนบนของร่างกายมากนัก แต่ด้วยฝนที่ยังตกหนักสม่ำเสมอตั้งแต่ที่เธอออกจากโรงแรม ก็ทำให้เธอเปียกไปไม่น้อย แม้ว่าจากรถแท็กซี่มายังตัวบ้านจะใช้เวลาไม่ถึงนาทีดีก็ตาม

          เธอถอนหายใจพรืดกับสภาพเปียกปอนของเธอ ยัยเจ๊จะต้อง บ่น บ่น แล้วก็บ่นเธออีกหลายยกแน่ๆ

         ชาลีถอดรองเท้าส้นเตี้ย ก่อนจะจับมันวางไว้ที่ชั้นวางรองเท้าในส่วนของเธอแล้วเปิดประตูเดินเข้าไปในบ้านด้วยการค่อยๆเอาเท้าแตะพื้นเบาๆ ถึงแม้จะรู้ว่ายัยเจ๊ของเธอคงไม่มาดักรอเธออยู่แถวนี้แน่ๆ และป่านนี้ก็คงจะอาบน้ำนอนแล้ว แต่ก็ต้องรอบคอบไว้ก่อน ... อย่างน้อยถ้าไม่โดนบ่นก็ยังดีกว่า

         เมื่อค่อยๆเดินขึ้นมาจนถึงห้องนอนของตัวเอง ชาลีก็ถอนหายใจฟู่อย่างโล่งอก ก่อนจะรีบจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วเดินไปเคาะประตูห้อง เจ๊ชาม พี่สาวคนเดียวของเธอ เพราะตอนเดินขึ้นมาเธอเห็นว่าห้องที่อยู่ข้างๆซึ่งเป็นห้องของเจ๊ชามยังเปิดไฟอยู่นั่นเอง

       รออยู่ไม่นาน ประตูห้องก็เปิดออก พร้อมกับเจ๊ชามในชุดนอนลายจุดเหมือนกับเธอ ชาลียิ้มกว้างๆก่อนจะเดินตามเข้ามาในห้อง


      “ปิดประตูด้วยชาลี”

    รับทราบ”

       ชาลีรับคำ ก่อนจะจัดการปิดประตูตามหลัง แล้วเดินไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงพี่สาว

    “ไปงานแต่งเพื่อนมาเป็นไงมั่งล่ะ”

    “ก็ดีอ่ะแก ได้เจอเพื่อนที่คณะเยอะแยะ”

    “ก็ดีแล้วย่ะ นี่งานฉันยังไม่เสร็จเลยจ๊า”

       ชามชี้ไปที่เอกสารต่างๆที่กองอยู่บนโต๊ะทำงานอย่างเหนื่อยใจ

    “คราวนี้จะทำข่าวใครอีกล่ะ ถึงได้หน้าดำเคร่งเครียดทั้งวันทั้งคืน แถมยังเบี้ยวไม่ไปงานแต่งเพื่อนฉันอีก”

       ชาลีมองผ่านพี่สาวที่เป็นนักข่าวคนเก่งของสำนักพิมพ์เลื่องชื่อ ไปยังกองเอกสารที่พี่สาวเธอเอาวางไว้บนโต๊ะทำงาน ก่อนจะเห็นว่ามีรูปของใครคนหนึ่งแพลมออกมาจากเอกสารมากมายที่กองทับกันอยู่ ถ้าเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นแหล่งข่าวใหม่ของพี่เธอ

    “คนนี้ไม่ธรรมดา..เธอไม่ยอมให้นักข่าวสัมพาษณ์เลยซักคน ถือตัวน่าดู”

    “เธอ? ผู้หญิงเหรอเจ๊”

    “ใช่ ไฮโซน่ะ”

      คนเป็นพี่ว่าแล้วก็ต้องถอนหายใจพรืดอีกครั้ง หลังจากมัวแต่ค้นหาข้อมูลของเธอมาทั้งวัน แต่ก็มีอยู่แทบจะน้อยมาก เพราะแหล่งข่าวของเธอนั้นเป็นคนที่ไม่ค่อยจะออกงานสังคม หรือถ้าออก ก็น้อยมากและเธอไม่เคยให้สัมพาษณ์มาก่อน ถ้าเธอได้ทำข่าวคนแรกล่ะก็..ได้เลื่อนตำแหน่งก็คราวนี้ล่ะ!

    “สงสัยจะยากจริงแฮะ แต่อย่าเครียดไปหน่อยเลย เดี๋ยวก็มีทางออก แกเก่งจะตาย”

     “เออ เดี๋ยวก็คงจะมีทางออก แล้วนี่ข้างนอกฝนตกเหรอ”

    “อือ เพิ่งตกตอนฉันออกจากงานเนี่ย”

            ผู้เป็นน้องสาวตอบเนือยๆ ก่อนจะนอนแผ่หลาแอ้งแม้งลงบนเตียงตบพุงตัวเองเล่นไปมา

    “แล้วตากฝนรึเปล่า”สายตาคมจดจ้องไปยังยัยน้องสาวตัวดี

    “โนวๆๆ ไม่เปียกเลยซักนิด”

    “งั้นก็ดีละ ไปนอนได้แล้วย่ะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานนี่” เนื่องจากน้องสาวของเธอทำงานบริษัท จึงมีวันหยุดไม่เหมือนนักข่าวแบบเธอนั่นเอง

    “ขอนอนด้วยคนสิ”

       น้องสาวส่งสายตาอ้อน ตามแบบฉบับ

    “ไม่ได้ โตแล้วนะเว้ย”

    “น่านะ ให้ฉันนอนเถอะ แล้วจะบอกความลับให้รู้หนึ่งเรื่อง”

    “ความลับอะไรยะ”

     “รับปากก่อนว่าจะให้ฉันนอนด้วย แล้วจะบอก”

           ชาลียิ้มตาหยี เพราะรู้อยู่แล้วว่าเจ๊ชามต้องอนุญาตแน่นอน

    “เออๆ มีอะไรก็ว่ามาเถอะ”

         คนเป็นพี่ทำปากจิ้จ้ะอย่างขัดใจคนที่ทำลีลานอนตีพุงอยู่บนเตียง และยังทำท่าครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น แม้ว่าเธอจะอนุญาตให้นอนด้วยแล้วก็ตาม

    “เอ้า มีอะไรก็ว่ามาสิ ทำยึกยักลีลา เดี๋ยวก็ไล่กลับไปนอนคนเดียวซะนี่”

     
     
    เมื่อเห็นว่าน้องสาวยังไม่มีทีท่าจะเอ่ยปากพูด ชามจึงหันกลับไปวุ่นอยู่กับงานของตัวเองอีกครั้ง แต่ทว่าเมื่อกำลังหยิบภาพถ่ายใบหนึ่งมาพิจารณาหาทางออก ยัยน้องสาวตัวแสบของเธอก็โพล่งออกมาก่อน

    “คือ ฉันทำแว่นแกหายไปแล้ว” เมื่อพูดจบประโยคคนที่เพิ่งจะสารภาพเสร็จก็ทำเสียงฟุดฟิด พลางมองปฏิกิริยาของผู้เป็นพี่ไปด้วย ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะมีเพียงการทำรูปถ่ายในมือหล่นไปแบบสโลโมชั่นเท่านั้น   

     
    ชาลีมองตามภาพถ่ายที่หล่นไป ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาเมื่อมันปลิวมาอยู่แทบเท้า แล้วเดินไปวางไว้บนโต๊ะของผู้ที่ให้แว่นเธอมา ที่ยังทำหน้าเหวออยู่ อีหรอบนี้คงจะโกรธเธอจริงๆเข้าซะแล้ว ในเมื่อแว่นนั้นพี่สาวเธอได้มาจากงานประมูลแว่นของนักร้องบอยแบนด์ชื่อดังของเกาหลี เพื่อนำมาให้เธอโดยเฉพาะ
    !    แต่พี่สาวเธอน่าจะเสียดายกว่าเธอมากหน่อย เพราะนำเงินเก็บไปประมูลมาให้ในวันเกิดที่เพิ่งผ่านไปแค่อาทิตย์กว่าๆ

      “ฉันไม่ได้ตั้งใจๆๆ มันโดนยึดไปเองนะ”

    “โดนใครยึด!?”

    “ไม่รู้”

     “เอ้า!!!

         เมื่อพี่สาวตั้งท่าจะแหว สายตาของชาลีก็เพิ่งสังเกตเห็นบุคคลในรูปที่พี่สาวเธอเพิ่งทำหล่นเสียก่อน เจ้าของตาชั้นเดียวเบิกตาโตอย่างจำได้แม่น ผู้หญิงในรูปคือคุณคนสวยที่เธอเจอในงานแต่งของน้ำหนึ่งชัดๆ! โลกกลม โลกกลม โลกกลม เกินไปแล้ว แต่แบบนี้สิดี เธอจะได้ให้ยัยเจ๊ของเธอ..

    “มองอะไร อย่ามาทำเฉไฉเลยนะ มันแพงมากนะเว้ย ยัยชาลี!

    “เจ๊คนนี้ใครอ่ะ”

          ชาลีชี้ๆไปที่รูปที่เธอวางอยู่บนโต๊ะ แววตามีความหวังขึ้นมาโข แต่ติดที่ว่าผู้เป็นพี่สาวไม่ได้สนใจยัยน้องสาวตัวดีซักนิด

       “อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ไปเอาคืนมาให้ได้ ไม่งั้นก็ไม่ต้องคุยกัน”

    “โถ่! ก็กำลังหาวิธีเอาคืนอยู่เนี่ย บอกมาก่อนเหอะ ว่าคนในรูปคนนี้ใคร?”

       ชามมองหน้าน้องสาวอย่างไม่ค่อยจะเชื่อใจเท่าใดนักที่ว่ากำลังหาวิธีเอาแว่นที่เธอทุ่มทั้งกายทั้งเงินในการประมูล กลับมา แต่ก็ยอมเหลือบไปมองในสิ่งที่น้องสาวกำลังชี้อยู่ ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปของแหล่งข่าวที่เธอกำลังตามข่าวอยู่

    “ก็นี่ คุณเอวา วอร์ด ไฮโซคนดังที่ฉันกำลังตามข่าวอยู่ไง”

    “เอวา วอร์ด งั้นเหรอ ไม่เห็นคุ้น”

    “จะไปคุ้นได้ไงล่ะ เธอเคยให้ใครสัมพาษณ์ซะที่ไหน แถมอยู่ต่างประเทศซะส่วนใหญ่ แต่ช่วงนี้กลับมาเมืองไทย ข่าวว่า..กลับมาดูตัว”

    “กลับมาดูตัว”

       ชาลีพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่ใบหน้าของแหล่งข่าวของพี่สาว กับผู้ชายที่เดินออกจากงานด้วยกัน จะแวบเข้ามาในความจำ หรือว่าจะเป็นผู้ชายคนนั้นอืม คู่ควรกันจริงๆ

    “แล้วแกจะถามทำไม”

    “ก็คนนี้แหละ ที่ยึดแว่นฉันไป!

    “อย่ามาล้อเล่น!!” ชามมองรูปถ่ายบนโต๊ะ สลับกับหน้าทะเล้นหาสาระไม่ค่อยมีของน้องสาวไปมาอย่างไม่เชื่อ

    “หืม ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะ ก็คุณคนนี้แหละ ที่ยึดแว่นฉันไปในงานแต่งยัยน้ำ”

    “ฮ้า! จริงอ่ะ????”

    “ก็จริงน่ะซี่”

       เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของน้องสาว ชามก็กลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด มันก็มีความเป็นไปได้ที่ เอวา จะไปงานแต่งงานน้ำหนึ่ง ที่เป็นลูกหลานไฮโซคนหนึ่งเหมือนกัน

    “ถ้าอย่างนั้น แกก็ต้องไปขอแว่นคืนกับคุณเอวา”

    “ใช่ ฉันต้องไปขออยู่แล้วล่ะ แต่ว่า ไหนๆแกก็ตามข่าวคุณ เอวัง เอวา อะไรนี่แล้ว แกก็ช่วยตามแว่นให้ฉันด้วย ก็เป็นอันเสร็จปัญหา! เยี่ยม เอาแบบนี้แหละ”

    “ใครบอกว่าฉันจะเป็นคนไปตามแว่นให้แกยะ!

          ชามแหวใส่ตัวต้นเรื่อง ลำพังงานขอสัมพาษณ์ยังยากเย็นขนาดนี้ จะมีปัญญาที่ไหนไปขอแว่นคืนจากพวกคนรวยเปล่านั้นกัน ไม่ไหวๆ

    “เอ้า! แล้วใครจะไปตามให้ฉันล่ะ”

    “ก็ใครเป็นเจ้าของแว่นล่ะ”

    “แกไง!

       ชาลีโพล่งออกไปอย่างไม่ต้องคิด

    “ของฉันที่ไหนล่ะ ฉันยกให้แกตอนอายุครบ 25 ปีของแกไปแล้วไง ยัยบ๊อง”

     “แต่ฉันยังคิดไม่ออกเลยนี่นา ว่าจะหาทางเอาแว่นคืนยังไง”

       หญิงสาวยัง เอาแต่ทำหน้างออยู่หน้าพี่สาว

    “จะไปยากอะไร แกก็แค่หาทางไปเจอเขา แล้วก็ขอแว่นคืนดีๆ”

        “ก็ได้ ฉันจะลองดู แต่ถ้าเอากลับมาไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

    “เหอะ ถ้าแกไม่ไปเอาแว่นราคามหาโหดของนักร้องเกาหลีของแกคืนนะ ฉันจะไม่ให้ของขวัญแกอีกตลอดชีวิตเลย นั่นมันเงินเก็บครึ่งหนึ่งของฉันเลยนะโว้ย!

         ที่มันกินเงินเก็บของมนุษย์เงินเดือนอย่างเธอไปตั้งครึ่ง ก็เพราะเป็นของนักร้องคนดังขวัญใจน้องสาวของเธอ ที่นำมาประมูลเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้าในเมืองไทย นั่นแหละ

      ชาลีกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ เสียดายแว่นของโอปป้า คริส ที่เธอถวายตัวเป็นแฟนคลับตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยก็เสียดายอยู่ แต่ผู้หญิงธรรมด้า ธรรมดา อย่างเธอนี่ จะไปขอพบไฮโซคนสวยคนนั้นได้ยังไงกัน! คิดแล้วน้ำก็ปริ่มๆตรงตา

    “ก็ได้ ยังไงก็หาที่อยู่ของคุณเอวาให้ฉันมาด้วยก็ไปแล้ว ไม่ยากเกินความสามารถของนักข่าวอย่างแกใช่ไหม”

    “เรื่องนี้แกไว้ใจได้ นี่ดึกมากแล้ว ไปนอนได้แล้วชาลี”

       ชาลีพยักหน้าหงึกๆ ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนอย่างง่ายดาย แต่สมองไม่ได้หลับไปด้วย เธอกำลังคิดหาวิธีเอาแว่นคืนจากผู้หญิงคนสวยคนนั้น..แต่มันเป็นไปได้ยากเหลือเกินที่คนธรรมดาเดินดินอย่างเธอ จะไปขอแว่นคืนจากคนพวกนั้น

     

    “กินยาแล้วใช่ไหม”

     

    ชามส่ายหน้าให้กับน้องสาวคนเดียวของเธอ เมื่อเห็นว่าน้องของเธอช่างหลับได้ง่ายดายเหลือเกิน ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากอาการเพลีย เพราะไปร่วมงานแต่งทั้งวัน ซึ่งเธอและเพื่อนๆไม่ได้ไปด้วย จะให้ไปได้อย่างไร..ก็ในเมื่อเจ้าบ่าวในงาน คือคนที่หักอกน้องสาวของเธอ

                 ต่อจากนี้ เธอนี่แหละ จะเป็นคนเลือกเจ้าบ่าวให้ยัยชาลีเอง! เอาให้หล่อกว่าคนที่ทิ้งน้องสาวเธอไปเป็นสองเท่า!! ถึงแม้ยัยชาลี จะเป็นเด็กซื่อ ติ๊งต๊อง และดูธรรมดา...แต่ยัยชาลีก็มีหัวใจเหมือนกัน

     

    “ชาลี เย็นนี้ตามพี่ไปพบกับคุณฮันจุงด้วยนะจ๊ะ”

             เสียงที่ดังขึ้นหน้าโต๊ะทำให้หญิงสาวที่มีแว่นและหน้ากลมพอกันรีบเงยหน้ามองผู้เป็นเจ้านาย ก่อนจะผงกหัวมนๆรับอย่างแข็งขัน

    “ค่ะ เจ้านาย”

             ชาลีว่าก่อนจะยิ้มตาหยี น่ารักอย่างยิ่งในสายตาคนมอง เจ้านายสาวยิ้มตอบก่อนจะเดินผ่านลูกน้องเข้าห้องทำงานไป ปล่อยให้หญิงสาวที่นั่งอยู่หน้าห้องซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขาและพ่วงหน้าที่ล่ามส่วนตัวไปด้วยพึมพำกับตัวเองอย่างสงสัย

                   หมู่นี้คุณฮันจุงมาเมืองไทยบ่อยจังแฮะ..เดือนนี้ก็ปาเข้าไปครั้งที่สี่ ตกอาทิตย์ละครั้งได้ ถ้ามาบ่อยขนาดนี้ มาอยู่ให้รู้แล้วรู้รอดไปไม่ดีกว่าเร้อ เอ้ะ หรือว่าติดใจอะไรกันแน่หนอ..แต่มาแต่ละทีก็เห็นมาเจอคุณบุษบาเจ้านายเราก็แค่นั้น หรือจะติดใจคุณบุษ

     

          คิดไปคิดมาก็ให้รู้สึกว่าชักจะหมกมุ่นเรื่องหนุ่มนักธุรกิจเกาหลีคนนั้นมากเกินไป จึงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ทิ้งให้หน้าหวานๆตามแบบฉบับหนุ่มเกาหลีไว้ข้างหลัง เพราะคิดไปก็ไม่มีประโยชน์แถมเธอเองยังชอบนักร้องเกาหลีเป็นชีวิตจิตใจถวายตัวเป็นแฟนคลับก็หลายวง แล้วหน้าตาคุณฮันจุงธรรมดาเสียที่ไหน ถ้าเกิดเผลอหลงไปชอบล่ะก็ มีหวังอกหักดังเป๊าะเพราะเขาคงไม่มองเด็กแว่นเฉิ่มๆอย่างเธอแต่ถ้าเขาเกิดหน้ามืดมาชอบเธอขึ้นมา…. เธอก็ต้องตกงานสถานเดียว! เพราะกฎบริษัทห้ามกิ๊กกับลูกค้าน่ะสิ

     

              ชาลียกเท้าออกจากรถแท็กซี่อย่างประหม่า จู่ๆคุณบุษก็เกิดติดงานสำคัญขึ้นมาจึงต้องให้เธอผู้เป็นเลขาและล่ามที่ถนัดภาษาเกาหลียิ่งกว่าใครในบริษัทมาต้อนรับลูกค้าที่สำคัญพอๆกันแทน

       ตึก ตึก ตึก

       เสียงส้นเตี้ยของเธอกระทบไปตามพื้น เลี้ยวไปยังที่นัดหมาย ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ร้านอาหารสุดหรูที่ลูกค้าคนสำคัญนัดไว้ พลันสายตาก็ไปปะทะกับป้ายที่ตั้งอยู่หน้าร้านเต็มๆ ตาชั้นเดียวนั้นหลี่ขึ้นลงอย่างพินิจพิเคราะห์อย่างไม่มีมาด เมื่อเห็นแน่ชัดว่าอะไรเป็นอะไร เธอก็แทบจะเข้าไปยกป้ายนั้นกลับบ้านไปด้วยเสียตอนนั้น เพราะนั่นคือป้ายรับสมัครพนักงานกะกลางคืนที่รับเพิ่มเพียงแค่ 1 คน! แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเงินเดือนที่ได้รับต่างหากมันดูเหมาะสมกับร้านอาหารสุดหรูนี้เลยทีเดียว และมันก็คงจะกลายมาเป็นเงินเก็บที่เพียงพอที่จะสามารถซื้อแว่นที่เธอสูญเสียมันไปได้แน่ๆ เพราะหลายวันที่ผ่านมาเธอมานั่งคิดนอนคิดดูแล้วมันช่างยากเย็นเหลือเกินที่จะหาทางไปขอแว่นคืนเอาดื้อๆแบบนั้น

    “มันน่าสนใจมากเลยนะครับเนี่ย”

    “ใช่ค่ะ มันน่าสนใจมากๆ..เฮ้ย!

            เผลอตอบไปแล้วก็ต้องตกใจเพราะเสียงนุ่มๆดังอยู่ข้างหูเป็นภาษาเกาหลี แล้วก็ต้องตกใจอีกหลายเท่าเมื่อได้เห็นชัดๆว่าคนที่กำลังเอามือไขว้หลังมองเธอด้วยสายตาเป็นประกายนั้นคือคุณฮันจุง ลูกค้าคนสำคัญ!!

    “ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะครับ..หน้าผมน่ากลัวเหรอ”ชายหนุ่มพูดก่อนจะหัวเราะเบาๆ เขาเดินตามหลังเธอมาตั้งแต่หญิงสาวลงมาจากรถแท็กซี่แล้ว เมื่อมาถึงหน้าร้านว่าจะทักทายแต่เธอกลับเอาแต่จ้องมองป้ายรับสมัครงานจนเอาอดไม่ได้ที่จะเข้ามาดูด้วยคน แต่เธอก็ดูเหมือนจะสนใจมันมาก จากอาการอ่านป้ายขึ้นลงตั้งหลายรอบ

    “แหม ถ้าคุณน่ากลัว ฉันก็สยองแล้วล่ะค่ะ” ชาลีขยับแว่นอย่างเก้อๆ ก่อนจะได้รับเสียงหัวเราะจากเขามาแทน

    “คุณเนี่ยนะสยอง” เขามองเธอยิ้มๆ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “คุณน่ารักมากต่างหาก”

     “นิสัยน่ารักเหรอคะ”

    “น่ารักทั้งหมดนั่นแหละครับ”

     

        คนถูกชมทำหน้าเหลอหลา ทำให้คนมองคิดว่าเธออาจจะกำลังเขินอาย แต่เปล่าเลยสักนิด ความเขินอายมีอยู่ในหัวชั่วแวบหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งที่เธอกำลังคิดก็คือ

    “ฉันยังไม่ได้สวัสดีคุณเลยค่ะ”

    ……

     

    ชาลีแอบเหลือบมองหน้าใสๆของลูกค้าคนสำคัญที่กำลังเดินอยู่ข้างเธอในตอนนี้ ผู้ชายคนนี้น่ารัก อัธยาศัยดีและไม่เคยถือตัวว่าเธอเป็นแค่ลูกน้องของบุษบา ตลอดมื้อค่ำที่ผ่านมาเขาคอยดูแลเธออย่างกับเธอเป็นลูกค้าและเขาเป็นคนต้อนรับซะมากกว่าแต่ท่าทีของเขาก็ปรกติดี ไม่ได้แสดงอาการก้อร้อก้อติกอะไรให้เธออึดอัดเหมือนลูกค้าบางคนที่เธอเคยรู้สึก ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สวยก็เถอะ!

                คิดมาถึงตรงนี้เท้าที่กำลังเดิน ตาที่กำลังเหล่หน้าลูกค้าก็สะดุดกึก เมื่อคนที่เพิ่งเดินผ่านข้างคุณฮันจุงไปมีใบหน้าที่คุ้นเหลือเกิน แต่สิ่งที่คุ้นกว่านั้นก็คือแว่นที่อยู่บนหน้าฝรั่งๆนั่น! นั่นมันแว่นของโอปป้าคริส ที่เจ๊ชามไปสอยมาให้เธอชัดๆ!

    “หน้าผมมีอะไรติดเหรอครับ”

         คนที่กำลังเดินคิดอะไรเพลินๆ ขมวดคิ้วมื่อรู้สึกว่าตนถูกจ้องมองและเมื่อหันมาดูสาวน้อยข้างๆ ก็พบว่าเธอกำลังมองเขาอยู่จริงๆ แถมยังขมวดคิ้วยุ่งมากกว่าเขาเสียอีก

    “ไม่ใช่คุณค่ะ”

          คำตอบของเธอทำให้ฮันจุงทำหน้าสงสัย ถ้าเธอไม่ได้มองเขา แล้วเธอมองใคร? แต่ก่อนที่จะได้ถามออกไป ชาลีก็หันกลับมาบอกลาเขา ก่อนที่เธอจะวิ่งตามอะไรสักอย่างย้อนกลับไปในที่ๆพวกเขาเพิ่งเดินจากมา

     

    คุณคะ! หยุดก่อนค่ะ

          เชน หลี่ตามองมือบางๆที่กำลังยึดแขนของเขาอยู่ราวกับจะหาที่พึ่งนั้นด้วยสายตาที่เฉยเมย ผู้หญิงคนนี้คือเหตุผลที่ทำให้เขาต้องกลับมาเมืองไทยพร้อมกับเอวา ลูกพี่ลูกน้องที่เปรียบเสมือนพี่สาวของเขา แต่ให้ทำใจยังไงก็ชอบผู้หญิงในลักษณะนี้ไม่ค่อยจะลงเสียที เธอเป็นกุลสตรีที่ดี แต่สำหรับเขาเธอจืดชืดไปหน่อย เธอพูดจาหวานหู แต่เขากลับรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ เธอเป็นคนดี..แต่ไม่น่าค้นหา

                แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เธอมารีย์ไม่ผิด เธอก็โดนมัดมือชกมาไม่ต่างจากเขาซักเท่าไหร่หรอก

        คุณเอาแว่นกลมของโอปป้าคริสชั้นคืนมาน้า!’

     

    เชนขยับมุมปากขึ้นเล็กน้อยเมื่อใบหน้าซีดๆของมารีย์ที่อยู่เตี้ยกว่าโข แหงนหน้าขึ้นมาหา

    “ร้านนี้แหละค่ะ”

         มารีย์มองหน้าคู่ดูตัวที่เธอต้องทิ้งงานที่ร้านขนมไทยของตัวเองซึ่งขณะนี้น่าจะมีลูกค้าเต็มร้าน เพื่อมาทานอาหารกับเขาตามคำสั่งของมารดา ก่อนที่เธอจะปล่อยมือตัวเองจากแขนของเขา หญิงสาวหายใจโล่ง มีความรู้สึกถึงอิสรภาพ แต่เชนที่กำลังรออิสรภาพเหมือนกัน กลับรู้สึกว่า เหมือนจะ มีพันธะอะไรบางอย่างมายึดแขนเขาไว้แทนที่มารีย์เมื่อครู่

     “ฉันบอกให้คุณหยุดไง!!!

    “อะไร”

            เขาถามกลับห้วนๆ เมื่อจู่ๆคนตัวเล็กสวมแว่นหนากลมๆ ที่ถือวิสาสะมาจับแขนเขาแล้วยังมาตะคอกใส่หน้าเขาอีก..ถึงแม้ว่าความสูงของเธอจะไม่ถึงหน้าแต่แค่เลยไหล่เขามานิดหน่อยก็เถอะ

    “แว่น”

    “แว่นอะไร”

           เชนถามเสียงเย็นเมื่อเห็นว่าคนที่ยังจับแขนเขาอยู่ยังหอบอยู่ไม่หาย ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการวิ่งตามเขามา

    “แว่นอันนี้ คุณได้จากที่ไหนมาคะ” เมื่อตั้งสติได้เธอก็รีบถามเขาทันที แต่คราวนี้เธอค่อนข้างจะสุภาพกว่าประโยคแรกซึ่งเกิดจากอารมณ์ล้วนๆ เนื่องจากว่าเรียกเท่าไหร่เขาก็ไม่ได้ยินเสียที เพราะมัวแต่สวีทหวานกับผู้หญิงสวยๆคนที่ยืนอยู่ตรงนี้อยู่นั่นเอง

    “ได้มาจากที่ๆ เธอไม่มีหวังได้มันมาน่ะสิ”

            คำตอบนั้นทำให้ผู้หญิงสองคนที่บุคลิกภายนอกคล้ายคลึงกันอ้าปากค้างไปตามๆกัน ก่อนที่คนที่ถูกพาดพิงมากกว่าอย่างชาลีจะกระพริบตาไล่ความอึ้งกับคำพูดที่แบ่งชนชั้นนั้นทิ้ง แล้วมองผู้ชายหน้าฝรั่งอย่างเต็มตา ก่อนจะจำได้ว่า เขาคือคนที่เธอชมว่าน่าตาดีเหมาะสมกับไฮโซอย่างคุณเอวาไปหมาดๆที่งานแต่งงานน้ำหนึ่งนั่นเอง!

    “ถ้าไอ้ที่ที่ฉันไม่มีหวังอย่างที่คุณว่า จะหมายถึงคุณเอวาล่ะก็ แว่นที่อยู่บนหน้าคุณนั่นก็แว่นจากคนที่ไม่มีหวังคนนี้นี่แหละ คุณฝรั่ง!
     
           เชนกระพริบตาถี่ๆราวกับลอกเลียนแบบมาจากหญิงสาวที่กำลังยืนขึ้นเสียงกับเขาเมื่อสักครู่ ในขณะที่มารีย์อึ้งไปอีกครั้งเมื่อได้ยินวาจาที่ออกมาจากปากคนที่ดูเพียงผิวเผินดูน่ารัก เรียบร้อย คล้ายๆกับเธอ

    “เธอพูดอะไรของเธอ ฉันไม่รู้เรื่อง”

       เขาหมายความตามที่พูด เพราะถึงแม้จะฟังภาษาไทยออกและรู้เรื่องดี แต่ถ้าพูดมารัวๆแบบที่ออกจากปากยัยแว่นตรงหน้า คนที่ไม่ได้อยู่เมืองไทยมาตั้งแต่เกิดอย่างเขาก็ต้องมีงงบ้างล่ะ แต่ชาลีกลับคิดเป็นอีกอย่าง

    “ไม่รู้เรื่องก็เรื่องของคุณ แต่ถ้าแว่นนี่ใช่แว่นที่ได้มาจากคุณเอวาล่ะก็ ฉันขอคืนเถอะ แว่นนี้สำคัญกับฉันมาก” และแพงมากด้วยเธอคิด รู้เรื่องไหมคะ” ชาลีย้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าฝรั่งยังทำหน้างงอยู่

         เชนประมวลผลในสิ่งที่คนตรงหน้าพูดก่อนจะใช้มือจับมือนุ่มๆของเธอให้ออกจากแขนของเขา

    “รู้เรื่อง..แต่ไม่คืน”

    “อ้าว”

        คราวนี้คนที่มึนกลับมาเป็นชาลีอีกครั้ง เชนมองหน้าเป๋อเหลอของเด็กแว่นตรงหน้าอย่างพิจารณา นาทีแรกที่เขาบอกว่าไม่คืน นึกว่าเธอจะเหวี่ยงวีนใส่เขาเสียอีก แต่กลายเป็นว่าเธอเพียงแค่ทำหน้ามึนๆงงๆเท่านั้น เขาเดาอารมณ์คนตรงหน้าไม่ออกเลยจริงๆ

          แว่นที่เขาใส่อยู่นั้น ได้มาจากเอวานั้นเป็นความจริง แต่ตอนนี้มันกลายมาเป็นของเขาแล้ว

    “แว่นนี่เธออย่าเอาคืนเลย มันไม่เหมาะกับเธอหรอกยัยลูกเป็ด

    “?”

    “ลูกเป็ดเหรอคะ” มารีย์ที่ยืนดูสถานการณ์อยู่นานถามขึ้นอย่างสงสัย เพราะเธอดูยังไงคนตรงหน้าก็หน้าไม่เหมือนเป็ดเลยสักนิด

    “อืม ลูกเป็ด..ลูกเป็ดอะไรนะ จำได้ว่าคุณยายเคยสอนสำนวนไทยที่แปลว่า ไม่สวย มาน่ะ”

               คำตอบของเชนคราวนี้ไม่ได้ทำให้มารีย์อึ้งอีกต่อไปแล้ว แต่มันทำให้เธอหน้าเสียขึ้นมาแทน เพราะว่ามันกลายมาเป็นว่าเธอชี้โพรงให้เชนหลอกด่าผู้หญิงตรงหน้าอย่างไรก็ไม่รู้ หญิงสาวส่งสายตาเห็นใจไปทางชาลีที่ยืนยิ้มอยู่อย่างไม่สะทกสะท้านแทน

    “ลูกเป็ดขี้เหร่”

    “เยส! นั่นแหละ ลูกเป็ดขี้เหร่”

                 ชาลีมองคนที่ทำท่าดีใจอย่างไม่รู้สำนึกแทน..เอาเถอะ เธอจะถือเสียว่าสอนภาษาไทยให้ฝรั่งไปก็แล้วกัน รู้สึกรักชาติและภาษาไทยขึ้นมาเป็นกอง

    “อืม แล้วมันไม่เหมาะกับฉันยังไง”

    “ก็แว่นนี่..ใส่แล้วขี้เหร่ขึ้นมากๆ เวลาเธอใส่แล้วเธอไม่รู้สึกเหรอ ขนาดฉันใส่แล้วยังรู้สึกขี้เหร่ขึ้นจมเลย”

             ร้ายกาจเป็นคำพูดที่น่าต่อยปากให้แตกนัก แต่..แวบหนึ่งชาลีกลับรู้สึกว่าเขาดูจริงใจขึ้นมา ซึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าเขาพูดเรื่องจริง ผู้ชายคนนี้ไม่ชมว่าเธอน่ารัก.. เขาไม่ชมแถมยังบอกว่าเธอเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ ซึ่งไม่เคยมีใครพูดจาทำร้ายจิตใจกับเธอมากเท่านี้มาก่อน แต่มันก็ดู….น่าฟังกว่าพวกที่ชมว่า อย่างน้อยเธอก็นิสัยน่ารักนะ อะไรทำนองนี้เสียอีก

    “อืม ฉันรู้ว่าฉันมันขี้เหร่ ใส่มันแล้วมันยิ่งขี้เหร่ แต่ฉันก็บอกคุณไปแล้วว่าแว่นนี่มีคุณค่าทางใจกับฉันมากและถ้ามันจะทำให้คุณขี้เหร่ขึ้นหลายเท่า บดบังความหล่อครันทรี่ๆของคุณ แล้วคุณจะเก็บมันไว้ทำไมคะ”

     “เอ่อมารีย์ว่าใจเย็นๆกันก่อนนะคะ”

              หญิงสาวที่ดูมีสงบมากกว่าใครเพื่อนรีบเอามือแตะแขนชายหนุ่มที่เธอเพิ่งจะรู้จักกับเขามาแค่อาทิตย์กว่าๆ อย่างน้อยเธอก็หวังว่าเขาจะไม่โมโหจนทำร้ายหญิงสาวตรงหน้าที่บอกว่าเขาหล่อแบบครันทรี่….

    “ฉันขอแว่นคืนด้วยเถอะค่ะ”

    “ไม่”

       เชนยังยืนยันคำเดิม ก่อนจะเลื่อนมือไปจับมือของมารีย์ไว้ แล้วออกแรงเดินหนีไปอีกทางแทนที่จะเดินเข้าร้านอาหารที่อยู่ตรงหน้า

    “ใจร้าย”

             ชาลีพึมพำ ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด เธอไม่มีอารมณ์จะวิ่งตามเขาไปอีกแน่ๆ เพราะดูจากท่าทีแล้วเขาไม่น่าจะคืนเธอดีๆ จะติดใจอะไรกับแว่นของเธอนักหนานะ! ดูจากการแต่งตัวก็ดูน่าจะฐานะดีมากๆ กะอีแค่แว่นอันเดียว ขนหน้าแข้งก็ไม่น่าจะร่วงสักเส้นนี่นา

     

    “ถ้าอยากเอาคืน ก็ไปหาเอวาสิ”

              ชาลีเหลือบตาแดงๆขึ้นไปมองเสียงที่ดังอยู่เหนือหัว แต่มองได้เพียงแปปเดียวเขาก็คว้าแขนสาวสวยที่พามาด้วยเดินห่างไปอีกแล้ว ทิ้งให้เธอยืนเคว้งๆอยู่หน้าร้านอาหารที่คุณฮันจุงนัดมาเมื่อตอนหัวค่ำคนเดียว

     

    มารีย์มองหน้าเชนสลับกับมือของตัวเองที่ถูกชายหนุ่มบีบไว้แน่น เมื่อกี้เธอไม่ได้คิดไปเองสินะ..หลังจากเดินจากผู้หญิงคนนั้นมาได้ไม่กี่ก้าวดี เธอก็เห็นเชนหันไปมองหล่อนอีกครั้ง ทันทีที่เห็นหน้าหงอยๆและท่าคอตกนั่น.. เขาก็เดินกลับไปหาผู้หญิงคนนั้นอย่างรวดเร็ว

                     ถ้าเธอเดาถูก.. แววตาของเขาดูสนใจผู้หญิงคนนั้นมากทีเดียว!!

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×