ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Merusa ตอน ผู้ถูกเลือก

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 ยินดีต้อนรับสู่ 'เสอเมจิคสคูล'

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ย. 56


                    เปาะแปะ ซ่าซาๆๆๆๆ

    ผมหันกลับไปมองท้องฟ้าซึ่งขณะนี้มืดครึ้งอย่างถึงที่สุด พร้อมๆกับเม็ดฝนที่ตกลงมาอย่างหนักขึ้นเรื่อยๆ โชคดีนะเนี่ยที่เข้ามาทัน ไม่งั้นคงเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแน่ๆ ผมคิดแล้วหันกลับไปเดินตามทางที่ปูด้วยพรมแดงตลอดตลอดทางเดิน

    ถึงแล้วค่ะ เสียงหญิงสาวดังขึ้น เธอชื่อว่า มิลาเนี่ยน เชอเซ็ต เธอมีผมน้ำตาลไซรับ ตาโตๆสีดำของเธอดูเป็นรูปเม็ดอัลมอนด์ ริมฝีบากเรียวอิ่มสีชมพูอ่อนเหมือนแก้มของเธอประดับด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา เธอเป็นตัวแทนรับนักเรียนใหม่ซึ่งก็คือผม

    พูดตรงๆเลยว่าเธอคือผู้หญิงที่น่ารักมากกกกก ทั้งเรียบร้อย มารยาทดี หน้าตาก็น่ารัก และที่สำคัญ...เธอมีรอยยิ้มที่ตราตรึงใจสุดๆ

    ผมขอบคุณเธอก่อนจะผลักประตูบานเบ้อเริ่มสีครีมซึ่งผลักง่ายยิ่งกว่าผลักโต๊ะซะอีก สงสัยจะเพราะเวทมนต์ล่ะมั้ง ผมคิดตอบตัวเองแล้วเดินผ่านบานประตูเข้าไป โดยที่ได้ยินเสียงของมิลาเนี่ยนตะโกนตามมา

                    “เดี๋ยวพอหาธาตุเสร็จ ฉันจะพาคุณไปชมสถานที่และแนะนำคนสำคัญ และคนดังของโรงเรียนเราค่ะ”

     

                    ผมเดินเข้ามาในห้องและทันทีทันใดปนะตูก็ปิดลงทำเอาผมสะดุ้งนิดๆ ก่อนที่จะเดินต่อไป

                    ภายหลังประตูบานใหญ่สีขาวสะอาดตากลับตรงข้ามกับภายนอกอย่างสิ้นเชิง มันเป็นทางเดินยาวๆ ที่ก่อขึ้นด้วยอิฐมากมาย และมีเพียงแสงไฟจากคบเพลิงเท่านั้นที่ทำให้ผมสามารถเดินต่อไปโดยไม่สะดุดเศษหินเศษอิฐที่ไหนไปซะก่อน

                    เสียงฝีเท้าของผมที่ดังขึ้นทุดฝีก้าวทำเอาผมขนลุกซู่ นี่มันโรงเรียนหรือโรงประหารกันวะเนี่ย ผมส่ายหัวไล่ความคิดที่ทำเอาขวัญกระเจิงออกไป

                    อ้อใช่! ผมลืมแนะนำตัวสินะ (คุยกันมาตั้งนาน) ผมชื่อ อเล็กซ์ คาลินนอย อายุ 15 เอ่อไงต่อดีล่ะ ตาสีมรกตเป็นรูปเม็ดอัลมอนด์ ผิวขาว สูง 171 ซม.(เลขสวยมาก) หนัก 60 กิโลกรัม... แล้วผมจะบอกไปลงใบสมัครอะไรหรือไงวะเนี่ย

                    ช่างมันเถอะว่าแต่ผมเดินมาเกือบห้านาทีแล้วนะทำไมถึงยังไม่มีประตูทางออกสักบาน

                    “นี่มันเขาวงกตหรือไง” ผมบ่นและก็ได้ยินเสียงของตัวเองสะท้อนไปมา และแล้วผมก็เห็นบานประตูที่ใหญ่ไม่แพ้บานแรกแต่แค่เป็นสีแดงเพลิงและมีคบเพลิงรายล้อมรอบประตูจนกลายเป็นจุดเด่นมากขึ้นกว่าเดิม

                    ผมลืมความเหนื่อยล้าท้งหมดและวิ่งตรงไปยังประตูทั้นที แต่เมื่อผมอยู่ห่างจากประตูไม่ถึงคืบ สิ่งที่ผมไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

                    ฟิ้ว~ ฉึก ลูกธนูพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว โชคดีของผมที่ดีดตัวออกมาได้อย่างหวุดหวิด มันจึงปักลงที่พื้นแทนที่จะเป็นอวัยวะสักส่วนบนร่างกายของผม

                    จากเหตุการนี้เรียกสติและความรอบคอบของผมกลับมา

                    “แบบทดสอบงั้นเหรอ” ผมพูดออกไปลอยๆ แต่คำตอบกลับเป็นลูกธนูที่พุ่งมาจากทุกสารทิศเป็นสิบๆ ลูกผมจึงได้แต่กระโดดหลบขึ้นไปอย่างแรง

                    “ก็ได้ ฉันจะยอมเล่นด้วยสักหน่อย” จากนั้นผมก็ยืนรอลูกธนูอยู่นิ่งๆ เพื่อให้มันโจมตีผมจะได้เข้าไปจัดการกับจุดต้นเหตุได้ง่ายๆ

                    ฟิ้ว~

                    “อยู่นั่นไง!” ผมกระโดดหลบลูกธนูที่ยิงตรงมาแล้ววิ่งเร็วไปที่คบเพลิงอันหนึ่ง ผมดึงมันออกและก็พบกับรูเล็กที่ใหญ่พอที่จะให้ธนูผ่านได้ ผมก้มลงหยิบลูกธนูลูกหนึ่งที่ตกอยู่แถวๆ นั้น และหักเป็นสองท่อนก่อนที่จะยัดเศษไม้ทั้งสองชิ้นนั้นเข้าไปที่รูยิงธนูนั่น

                    “เท่านี้ก็ยิงไม่ได้ไปหนึ่งแล้ว” ผมยิ้มแล้วกลับไปเป็นตัวล่อที่เดิมอีกครั้ง

    ผมทำแบบนี้อยู่สามสี่ครั้งจนกระทั่ง...

    แอ๊ด~ ประตูเปิดออก

                    ผมหันไปมองและก็พบกับชายชราคนหนึ่งเขาไว้เคราสีขาวยาวมาก (นั่นแหละสิ่งแรกที่ผมเห็น) ผมที่หงอกหมดแล้วถูกมัดเป็นหางม้ายาวลงมาถึงกลางหลัง ในข้างหนึ่งมือได้ถือไม้เท้าซึ่งทำจากเหล็กเนื้อดีไว้ยันตัวส่วนอีกข้างนั้นไขว้หลังอยู่

                    ผมเพิ่งสังเกตว่าธนูทั้งหลายได้อยุดยิงลูกแล้ว

                    “ไง อเล็ก คาลินนอย นักเรียนใหม่ของเรา” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวานถึงจะแหบไปหน่อยก็ตามที

                    “คุณ?” ผมถามกลับไปอย่างไม่สนใจที่จะตอบคำถามนั้น

                    เขาหัวเราะแล้วพูด “ฉันชื่อแกเบียน ไซคาน ยินดีที่รู้จัก ฉันเป็นผู้อำนวยการของที่นี่” เขาพูดแล้วยิ้มต่างจากผมที่กำลังทำหน้าเหวอ

                    “ผู้อำนวยการ?!” แกเบียนพยักหน้าตอบ

                    “เอ่อขออภัยที่ทำการเสียมารยาทนะครับเมอซิเออไซคาน” เมื่อแน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด ผมก็รีบขอโทษทันที

                    “ฮ่าๆๆ” เขาหัวเราะอีกรอบ “ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ถือ ตามมาสิคาลินนอย” แล้วผมก็เดินตามแกเบียน ไซคานผ่านประตูไป

                    “โอ้ แม่เจ้า~ เจ๋งเป้ง! *O*” ผมอุทานออกมาทันทีที่เห็นสิ่งที่อยู่ภายในห้องนั้น

                    เมื่อดูจากภายนอกมันดูเหมือนเป็นเพียงแค่ห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งที่มีกลิ่นอับ และมีตระไคร่น้ำเกาะเต็มไปหมดแต่เมื่อเข้ามาข้างในผมก็ต้องตะลึงกับความขลัง และอลังกาลงานสร้าง... ไม่สิเวทมนต์สร้างของมัน

                    มันเป็นห้องที่ยิ่งกว่าใหญ่ยิ่งกว่ายักษ์ ไม่สามารถหาคำใดเพื่อมาบรรยายได้อย่างลึกซึ้ง~ เอาเป็นว่าใหญ่จนบรรยายไม่ถูกก็แล้วกัน มันเป็นห้องยักษ์สีขาวครีมและแซมด้วยลวดลายสีทองแบเสา และรูปปั้นแบบกรีก ถ้าจะให้นึกภาพก็ลองจินตนาการถึงสรวงสวรรค์ของเทพเจ้าแห่งโอลิมปัดดูแล้วกันมันสวยงามเกินบรรยายจริงๆ

                     “โอ้ แม่เจ้า~ เจ๋งเป้ง! *O*” ผมอุทานออกมาทันทีที่เห็นสิ่งที่อยู่ภายในห้องนั้น

                    เมื่อดูจากภายนอกมันดูเหมือนเป็นเพียงแค่ห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งที่มีกลิ่นอับ และมีตระไคร่น้ำเกาะเต็มไปหมดแต่เมื่อเข้ามาข้างในผมก็ต้องตะลึงกับความขลัง และอลังกาลงานสร้าง... ไม่สิเวทมนต์สร้างของมัน

                    มันเป็นห้องที่ยิ่งกว่าใหญ่ยิ่งกว่ายักษ์ ไม่สามารถหาคำใดเพื่อมาบรรยายได้อย่างลึกซึ้ง~ เอาเป็นว่าใหญ่จนบรรยายไม่ถูกก็แล้วกัน มันเป็นห้องยักษ์สีขาวครีมและแซมด้วยลวดลายสีทองบนเสา และรูปปั้นแบบกรีก ถ้าจะให้นึกภาพก็ลองจินตนาการถึงสรวงสวรรค์ของเทพเจ้าแห่งโอลิมปัดดูแล้วกันมันสวยงามเกินบรรยายจริงๆ

                    “เอาล่ะ” ท่านแกเบียนพูดเรียกให้ผมออกจากพวัง “ฉันคิดว่าเธอคงจะรู้แล้วนะว่าจะต้องทำอะไรบ้าง นี่ล่ะสร้อย” เขายื่นสร้อยกางเขนสีดำให้ผม ซึ่งผมก็รับมันมาแต่โดยดีแล้วสวมไว้

                    จากนั้นเขาก็ท่องคาถาอะไรสักอย่างซึ่งแน่นอนผมฟังไม่ออกก่อนที่สร้อยจะค่อยๆ เรืองแสงสีฟ้าขึ้น ผมมองอย่างตกตะลึงถึงแม้ว่าผมจะรู้อยู่แล้วต่อพอมาเห็นจริงๆ ก็อดตะลึงไม้ได้ หลังจากให้เวลาผมตะลึงไปพักใหญ่แล้วแกเบียนก็ท่องคาถาเสร็จในขณะเดียวกันสร้องก็เรืองแสงมากขึ้นจนผมต้องหลับตาลง พอลืมตาขึ้นใหม่ผมก็พบว่าสร้องได้เปลี่ยนไป

                    มันกลายเป็นสร้องสีเงินซึ่งมีจี้รูปหยดน้ำสีฟ้าใสที่มีปีกสีขาวนวลขนาบทั้งสองข้าง โห~ สร้อยเราสวยแฮะ ผมคิดพลางเงยหน้าขึ้นมองแกเบียน... ที่กำลังทำสีหน้าเป็นกังวนสุดๆ

                    “เอ่อ...”

                    “เธอเป็นธาตุน้ำ... เป็นหนึ่งในธาตุพิเศษ... เป็นธาติของผู้พิทักษ์ที่จะมีเพียงสองเดียวต่อครั้งเท่านั้น แบ่งเป็นมนุษย์หนึ่งและนางเงือก และจะเกิดใหม่ก็ต่อเมื่อคนก่อนตายแล้วเท่านั้น”

                    “อ้าว! งั้นก็ดีน่ะสิครับ*0*”

                    “มันก็ดีอยู่หรอก แต่มีในตอนนี้มีคนที่เป็นธาติน้ำอยู่ เธอเรียนอยู่ที่นี่ และก็ยังไม่ตายด้วย”

                    “ถ้างั้นก็แปลว่า...”

                    “อืม พวกเธอต้องมีใครสักคนเป็นนางเงือก” พูดเสร็จก็สงสายตาวิบวับมาที่ผม -_-+++

                    ผมเลยรีบส่ายหัทันที “ผมไม่ได้เป็นนะนางง่งนางเงือกไรนั่นน่ะ”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×