ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GANDHARVAS] - นครคนธรรพ์กับโรงละครยามวิกาล

    ลำดับตอนที่ #2 : บทเพลงที่หนึ่ง - ยินดีต้อนรับสู่ "Gandharvas" [..........10เปอร์เซนต์]

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.ย. 56


    บทเพลงที่หนึ่ง - ยินดีต้อนรับสู่ "Gandharvas"

     

                    หว่องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเรื่องในความฝัน ถึงจะจำได้แค่เลาๆแต่พอก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจอะไร ภาพสุดท้ายก่อนจะตื่นขึ้นเป็นพ่อของเขาในชุดร็อคแอนด์โรลราวกับหลุดมาจากยุค 60s และพยายามบอกย้ำในคำเดิมๆ

     

                    "เอ็งน่ะเจ๋ง! เอ็งต้องดังกว่าพ่อได้แน่ๆ Crazy!!!"

     

                    ชายหนุ่มพยายามขยี้ตาให้หลุดพ้นจากอาการงัวเงีย พลางนึกไปว่าก็เป็นเพราะไอ้วลีนี้ของพ่อเขานี่ล่ะที่ทำให้เขาต้องลำบากดั้นด้นข้ามน้ำข้ามทะเลมาในวันนี้

     

                    "เฮ้!น้องชาย ถึงแล้ว ขอให้สนุกกับการเดินตามความฝันนะ"

     

                    คนขับเรือวัยกลางคนเข้ามาเรียกหว่องในห้องพัก เรือเฟอรี่ขนาดเล็กจอดอยู่เทียบท่า เขาควักสตางค์ในกระเป๋าที่มีอยู่น้อยนิดจ่ายให้เขาเป็นค่าเดินทางในราคาที่แพงหูฉี่ ท่าทางพี่แกพออกพอใจไม่ใช่น้อย ตอนที่เรือแล่นจากไปเขายังพยายามหันมายิ้มให้เป็นเชิงอำลา แสงแดดสาดมากระทบใบหน้าจนรู้สึกว่าอากาศนั้นร้อนอบอ้าว น่าจะผ่านพ้นยามเช้ามานานพอสมควรแล้ว เขากระชับกระเป๋าใส่กีตาร์เฟนเดอร์สตราโตคาสเตอร์คู่กาย พอเดินพ้นจากส่วนท่าเรือมาเล็กน้อยก็พบกับประตูโค้งขนาดใหญ่สีทองอร่ามสลักลวดลายวิจิตร ป้ายขนาดใหญ่ไม่แพ้กันเขียนไว้ว่า "Welcome to Ganhavas"

     

                    ถึงจะเป็นเพราะว่าช่วงก่อนที่จะถึงเกาะนี้ไม่นานเขาได้ผล็อยหลับลงไปจึงไม่ได้มองเห็นความยิ่งใหญ่ของเมืองแห่งนี้จากระยะไกล แต่เพียงแค่มายืนอยู่หน้าประตูโค้งอันนี้ก็สัมผัสได้ถึงความฟุ้งเฟ้อของสถานที่ที่เรียกกันว่าเป็น"นครแห่งความฝัน"นี่เข้าเสียแล้ว

     

                    ถ้าจะให้อธิบายความรู้สึกนี้มันคล้ายๆกับตอนที่หว่องยังเป็นเด็กเและตามพ่อจากต่างจังหวัดมาดูไลฟ์คอนเสิร์ตของแกที่กรุงเทพฯ ซึ่งในกรณีนี้ไม่ได้หมายถึงหมายถึงว่ารู้สึกเหมือนตอนที่ดูคอนเสิรต์ของพ่อเขาหรอกนะ แต่หมายถึงตอนที่เห็นห้างไทยไดมารูครั้งแรกต่างหาก พวกเขาไปที่นั่นกันหลังจากจบคอนเสิร์ต มันแปลกใหม่และฟุ้งเฟ้อเช่นเดียวกันกับครั้งนี้ และที่จำได้ในครั้งอดีตคือพ่อไม่ยอมซื้อรถไฟของเล่นที่หว่องอยากได้ให้ เขาจึงจากมาด้วยความผิดหวัง และเขาก็ภาวนาให้ครั้งนี้มันต่างออกไป

     

                    ก้าวพ้นประตูมาก็พบกับพื้นที่ที่น่าจะเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ทันที ไม่มีด่านตรวจคนเข้าเมือง ไม่มีแผนกต้อนรับ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น สวนขนาดใหญ่ที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนและกิจกรรมมากมายอย่างอิสระ บ้างร้องเล่นเต้นรำทำดนตรีเปิดหมวก บ้างแสดงละครใบ้ บางคนก็โชว์กายกรรม หรืออื่นๆอีกมากมายตามแต่อัตภาพของตนหรือพื้นที่จะเอื้ออำนวย เขาไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายอะไรมากนัก แต่บรรยากาศก็ช่วยให้เขาผ่อนคลายลงไปบ้าง

     

                    หว่องยังได้พบกับวงดนรีวัยรุ่นวงหนึ่งเปิดหมวกเล่นอยู่ และบังเอิญเล่นเพลงถูกใจเขา จึงได้เจียดเศษสตางค์นิดหน่อยให้ไปโดยไม่ได้คำนึงถึงอนาคต ถือว่าเป็นค่าความชื่นชมในฐานะแฟนเพลงวง Queen ด้วยกันและได้พูดคุยกันนิดหน่อย ทำให้เขารู้สึกกลมกลืนเข้ากับเมืองแห่งนี้มากขึ้นอีกเล็กน้อย

     

                    "พี่ก็มาแจมด้วยกันซักเพลงสองเพลงซิ กีตาร์ท่าทางเจ๋งดี"

     

                    วินชักชวนด้วยท่าทีเป็นกันเอง เขาเป็นหนุ่มวัยรุ่นท่าทางอารมณ์ดีและเปิดเผยอายุไม่น่าจะห่างจากหว่องเท่าใดนักซักปีหรืออย่างมากสองปี ทำหน้าที่เล่นกีตาร์และร้องนำจุดเด่นคงจะเป็นผมสั้นที่ย้อมเป็นสีทองรวมกับท่าทางที่เป็นร๊อคเกอร์ของเขา ซึ่งหว่องได้ทราบว่าเขาเองก็เป็นคนไทยเช่นเดียวกัน เพียงแค่เขาอาศัยและเติบโตอยู่ที่นี่ตั้งแต่จำความได้ เพราะพ่อแม่ซึ่งเป็นนักดนตรี เช่นเดียวกันกับทิพย์สาวมือเบส และหนุ่มมือกลองผิวดำผู้ที่พยายามจะให้หว่องเรียกเขาว่า "เอ็มซี บีโอเอ็น"

     

                    พวกเขาเล่นด้วยกันสามเพลง ซึ่งล้วนเป็นเพลงของควีนทั้งนั้น วินถูกอกถูกใจ

    ...............................................[10 เปอร์เซนต์ รออัพต่อ]

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×