คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : ตอนที่ 7
ครองขวัญรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีในตอนเช้าตรู่
เพราะมีลมหายใจอุ่นของใครบางคนรดอยู่ข้างแก้ม
คนในอ้อมกอดพยายามขยับตัวหนีด้วยหัวใจที่หวั่นไหว
แก้มสาวแดงก่ำเมื่อคิดถึงว่าตนตกอยู่ในอ้อมแขนนี้ตลอดทั้งคืน
"แอบมองคนอื่นแบบนี้ นิสัยไม่ดีนะ"
อัลเฟรโด้ขยับตัวพร้อมกับลืมตา
"คนบ้า"
ครองขวัญทุบเบาเข้าให้ที่ต้นแขน เธอตกใจเมื่อจู่ๆ ชายหนุ่มก็พึมพำเบาๆ
พร้อมกับลืมตาขึ้นมาเห็นสายตาคู่นี้จับจ้องมองอยู่อย่างจัง
"บ้าที่ไหนกัน
เขาเรียกคนรู้ตัวต่างหาก ไหนบอกซิ มองหน้าใกล้ๆ แบบนี้แล้วเห็นอะไรบ้าง"
ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นมานั่ง
"ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
นอกจากคนนอนขี้เซาที่นิสัยไม่ดีชอบแกล้งคนอื่น"
ดวงตาคู่สวยเมินหนีสายตาที่จับจ้องมองของอีกฝ่าย
"ฉันแกล้งเธอตอนไหน ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ
อุตส่าห์เอาตัวเองเป็นผ้าห่มให้หายหนาว ยังจะมาบอกว่าแกล้งอีก"
อัลเฟรโด้รู้ดีแก่ใจกว่าใครทั้งหมด ว่าต้องใช้สารพัดเล่ห์เหลี่ยมแค่ไหน ถึงจะได้มีโอกาสอุทิศตัวเองเป็นผ้าห่มให้เธอหายหนาว
"คืนนี้ฉันจะไปนอนห้องอื่น"
ครองขวัญขยับตัวลงจากเตียง ชายหนุ่มรีบลุกตามแล้วเอ่ยต่อว่า
"ท่าทางเธอจะขี้ลืมบ่อยนะ
จำไม่ได้หรือไงว่าคำสั่งของฉันคืออะไร"
"ฉันบอกแล้วไงว่าต่อไปนี้จะไม่ฟังคำสั่งคุณอีกแล้ว"
"ดื้อแต่เช้าแบบนี้ต้องทำให้รู้เสียแล้วว่า
คนขัดคำสั่งจะเจออะไรบ้าง"
อัลเฟรโด้ดึงตัวครองขวัญเข้ามาใกล้โดยไม่ทันให้หญิงสาวได้ตั้งตัว
และกำลังจะก้มหน้าลงเพื่อจะแสดงให้รู้ว่าคนขัดคำสั่งต้องถูกลงโทษแบบไหน แต่เสียงสัญญาณจากโทรศัพท์มือถือของครองขวัญดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
ร่างเล็กสะบัดตัวออกจากการถูกรั้งแล้วรีบถลาไปหาเจ้าโทรศัทพ์ที่กำลังร้องเรียกอยู่ในเวลานี้
"ใครโทร.มาแต่เช้า"
อัลเฟรโด้อยากจะเขวี้ยงเจ้าโทรศัพท์ที่ดังผิดเวลาในตอนนี้เสียเหลือเกิน
แต่เมื่อเห็นสีหน้าของครองขวัญมีความตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็นในหน้าจอโทรศัพท์
ก็ทำให้เขาต้องรีบเข้ามาดูด้วยความอยากรู้ว่าเธอกำลังดูอะไรอยู่
"ใคร"
ท่านประธานหนุ่มถามเสียงเขียว
ทำท่าจะคว้าโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของครองขวัญมาดูเสียเองให้เห็นกับตาว่า
อะไรทำให้เจ้าหล่อนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูมีความสุขได้ขนาดนั้น
"นี่ค่ะ"
ครองขวัญรีบเปิดให้ดูทันที
โชคดีที่ไม่ใช่ข้อความการต่อต่อของโซเฟียที่บอกว่าจะติดต่อกลับมาในเช้าวันนี้
แต่เป็นตัวการ์ตูนรูปสติกเกอร์น่ารักจากเพื่อนๆ ที่เมืองไทยส่งมาทักทาย
"อะไร"
ชายหนุ่มเพ่งมองมาที่หน้าจอ เห็นสติกเกอร์รูปการ์ตูนกำลังทำท่าทางแปลกๆ
แต่ก็ไม่ได้สนใจ
"เพื่อนฉันส่งสติกเกอร์มาทักทายค่ะ"
น้ำเสียงหญิงสาวอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด
"แค่นี้ก็ต้องยิ้มด้วย"
เขาแขวะด้วยความหมั่นไส้
ใจคิดไปถึงว่าเพื่อนที่ส่งมาสำคัญหรือพิเศษแค่ไหนถึงทำให้ครองขวัญยิ้มได้ขนาดนี้
"ก็มันน่ารักนี่คะ"
"ก็แค่สติกเกอร์
จะเอาอีกกี่แบบก็บอกมาเดี๋ยวจะจัดการให้"
อัลเฟรโด้ชักอยากรู้แล้วว่าใครกันที่ส่งไอ้สติกเกอร์บ้าๆ นั่นมาให้ครองขวัญ
"ถึงมันจะเป็นแค่สติกเกอร์
แต่มันก็คือสิ่งแสดงความรู้สึกของคนอื่นที่มีต่อเรา คุณไม่เคยส่งให้ใครหรือไง
หรือว่าไม่เคยมีใครส่งให้คุณ" ครองขวัญย้อนถาม
"สังคมก้มหน้า
อีกหน่อยก็ไม่ต้องพูดกันแล้วมัวแต่ส่งสติกเกอร์แทนคำพูด
เพิ่งรู้ว่าเป็นพวกบ้าโซเชี่ยล" ชายหนุ่มเหน็บแหนมอีก
วันๆ
เขายุ่งกับงานโรงแรมจนไม่มีเวลาจะทำอะไรกุ๊กกิ๊กเหมือนที่คนอื่นทำกัน
การสนทนาด้วยตัวอักษรหรือข้อความที่เป็นรูปภาพ ไม่ใช่สิ่งที่อัลเฟรโด้นิยมทำ
ธุรกิจของตระกูลรอสเซลลินีไม่ได้ดูแลผ่านสิ่งเหล่านี้
หรือแม้แต่การจะคุยกับใครสักคนให้เป็นเรื่องเป็นราว
มันก็ไม่ใช่การพิมพ์ข้อความใส่โทรศัพท์ไปมาเช่นนี้
"มันไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย
ถ้าเรารู้จักใช้มันให้เป็นประโยชน์ อย่างน้อยบางครั้งมันก็ทำให้การสื่อสารง่ายลง
เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นและส่งความคิดถึง
หรือความรู้สึกที่อยากให้คนสำคัญได้รู้ได้เห็น"
สาวน้อยแย้งและก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความตอบกลับ
"ก็แล้วทำไมไม่ไปด้วยกัน
ดูด้วยตาให้เห็นพร้อมกัน ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมันยังจะดีเสียกว่า"
อัลเฟรโด้ก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี
"แล้วถ้าเวลากับโอกาสไม่อำนวยล่ะคะ
อย่างน้อยมันก็ทำให้หายคิดถึง คลายความห่วงใย
และบอกสิ่งที่เรารู้สึกให้อีกฝ่ายได้รู้บ้าง ถึงจะโลกจะย่อลงมาอยู่ในมือมากแค่ไหน
แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกและการแสดงออกด้วยคำพูด
หรือการกระทำที่เห็นชัดเจนได้หรอกนะคะ อีกอย่าง"
"บางทีเราก็ไม่รู้ว่า
เราจะจากกันเมื่อไร พบกันอีกตอนไหน กว่าจะได้เห็นหน้ากันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
อย่างน้อยสังคมก้มหน้าของคุณถ้าใช้ให้มันเป็นประโยชน์
มันก็จะช่วยให้เราได้รู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายบ้าง ได้ถ่ายทอดความรู้สึกดีๆ
ให้แก่กันบ้าง"
"พูดเหมือนกับว่าจะตายวันนี้พรุ่งนี้งั้นแหล่ะ"
"ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ
ไม่มีอะไรอยู่กับเราคงทนถาวรได้ตลอด คุณเองก็ควรหัดเรียนรู้บ้าง
อย่างน้อยมันก็อาจจะช่วยให้คุณได้บอกความรู้สึกดีๆ กับคนที่คุณรักได้นะ"
หญิงสาวแนะนำ
"เธอเชื่อเรื่องพรหมลิขิต
บุพเพสันนิวาสหรือว่าการทำนายไหม"
เขาอดคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างตนกับสาวน้อยตรงหน้าไม่ได้
หรือว่าทุกอย่างจะถูกลิขิตให้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น
หวนคิดถึงคำพูดของมารดาเรื่องโชคลาง ความสุข และการพ้นเคราะห์
อะไรคือสิ่งที่ทำให้อัลเฟรโด้ได้พบกับผู้หญิงที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกเช่นครองขวัญกันแน่
"เชื่อค่ะ
ฉันเชื่อว่ามีบางอย่างที่เรามองไม่เห็น มักจะพาให้เรามาพบเจอกับคน สถานที่
หรือข้าวของทั้งดีและร้าย" ครองขวัญเชื่อเช่นนั้น
ทุกอย่างมีลิขิตจากคนบนฟ้าและเชื่อว่าไม่อาจหลีกหนีถ้าสิ่งนั้นถูกกำหนดมาแล้ว
"ถ้าอย่างนั้นการเจอกันของเราสองคน
ก็คงเป็นบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยซินะ
แล้วเธอคิดว่ามันเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ครองขวัญ"
ท่านประธานหนุ่มหันหน้ามาสบตากับสาวน้อย
ดวงตาของอัลเฟรโด้รอคอยคำตอบที่หญิงสาวจะเอ่ยตอบกลับมา
เขาอยากรู้เหลือเกินว่าครองขวัญจะรู้สึกเช่นไรต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้
และอยากรู้เหลือเกินว่าเจ้าหล่อนคิดอะไรกับตนบ้าง
"มันคงมีทั้งดีและร้ายค่ะ"
ครองขวัญตอบ
เธอช่างใจว่าจะบอกเขาดีหรือไม่ว่า
การเดินทางมาที่นี่นั้นได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิต
ในช่วงเวลาไม่ถึงสัปดาห์ทุกอย่างรอบตัวครองขวัญเปลี่ยนไปจนหมด
และสิ่งเหล่านี้จะจากชีวิตเธอไปในไม่ช้า
"อะไรบ้างที่ดี
และอะไรบ้างที่ร้าย" คนรอฟังถามกลับอย่างตั้งใจ
"ที่ดีคือฉันได้เจอคนที่ฉันรักและคิดถึง
ได้เดินทางมาในที่ๆ ชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้มาเองแน่ๆ"
"แล้วเรื่องร้ายล่ะ"
ชายหนุ่มถามต่อ
"เรื่องร้ายก็คงจะเป็นเรื่องการหายตัวไปของโซเฟีย
การที่ยังไม่รู้ข่าวคราวของเธอ แล้วก็การที่ฉันต้องมาอยู่ที่นี่"
"ทำไมถึงคิดว่าการมาอยู่ที่นี่เป็นเรื่องร้ายล่ะ"
อัลเฟรโด้เดินเข้ามาใกล้ๆ สายตาจับจ้องมองมาที่ใบหน้าหวาน ดวงตาของเขาจ้องมองลงไปที่นัยน์ตาคู่สวยของหญิงสาว
"ทำไมไม่คิดว่าการที่เธอได้เจอฉัน
ได้มาอยู่ที่นี่
เป็นเรื่องของคนบนฟ้าที่ลิขิตให้เรามาเจอกันด้วยความตั้งใจล่ะ"
"คุณอัลเฟรโด้"
คำพูดของท่านประธานหนุ่มเป็นเสมือนสายลมเย็นที่พัดให้หัวใจของครองขวัญชุ่มฉ่ำได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เธอไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าจะต้องเสียพื้นที่ของหัวใจให้กับคำพูดไม่กี่คำของอัลเฟรโด้
คำพูดที่ดังสะท้อนอยู่ในหัวใจว่าลิขิตของฟ้าเป็นเรื่องดีมากกว่าเรื่องร้าย
และเป็นความสุขมากกว่าความทุกข์แม้ในเวลาสั้นๆ
ที่สำคัญเป็นความสุขของหัวใจที่ไม่อาจห้ามมันด้วยเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น
คริสเตียนกำลังจะไปทำงานตามคำสั่งของอัลเฟรโด้
แต่แล้วจู่ๆ
เจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ของโรงแรมก็โทรศัพท์ตามตัวให้เขาลงไปจัดการปัญหาบางประการ
ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร
"จดหมายแนะนำตัวจากกราเซียแมกกาซีน"
คริสเตียนรับมันมาดูด้วยท่าทีงุนงง และเมื่อเปิดอ่านจึงได้รู้ว่า
"ขอสัมภาษณ์คุณอัลเฟรโด้และคุณโซเฟีย
คู่รักคู่แห่งของนาโปลี" ผู้ช่วยคนเก่งอ่านอย่างช้าๆ
"เธอรอคำตอบอยู่ทางด้านโน้นค่ะ"
เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ผายมือไปทางด้านหลังชายหนุ่ม
"มีจดหมายแจ้งมาก่อนหรือเปล่า"
คริสเตียนย้อนถาม
"มีค่ะ
แต่ว่าเพิ่งมาถึงเมื่อเช้า" เจ้าหน้าที่คนเดิมยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้
คริสเตียนรับมาถือไว้แล้วจึงไปจัดการกับเรื่องนี้เอง
"ขอโทษครับ
ไม่ทราบว่าคุณคือคนของกราเซียแมกกาซีนใช่ไหม" ผู้ช่วยคนเก่งเอ่ยถาม
"คุณคือ"
สุภาพสตรีที่นั่งหันหลังให้รีบลุกขึ้นแล้วหมุนตัวกลับมาหาคนที่เอ่ยถามเมื่อครู่นี้
ซาร่าถอดแว่นกันแดดสีดำออกพร้อมกับส่งรอยยิ้มและยื่นมือไปทักทายอย่างเป็นมิตร
"ฉันซ่าร่า
จากกราเซียแมกกาซีนค่ะ"
"สวัสดีครับคุณซาร่า
ผมคงต้องขอโทษด้วยที่ต้องบอกให้คุณรู้ว่า คุณอัลเฟรโด้ไม่สะดวกที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ
ทั้งสิ้น" คริสเตียนตอบแทนเจ้านายได้เลย
เพราะปกติแล้วอัลเฟรโด้หรือใครในครอบครัวรอสเซลลินีไม่นิยมการให้สัมภาษณ์
ตอบคำถามใดๆ กับสื่อมวลชนทั้งต่อหน้าและลับหลังโดยไม่จำเป็น
โดยเฉพาะยิ่งถ้าเป็นนิตยสารประเภทคนดังขึ้นปกอย่างเช่นกราเซียแมกกาซีนด้วยแล้ว
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่มีทางแน่
อีกทั้งยังเป็นการสัมภาษณ์ที่มีโซเฟียเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแล้ว
ยิ่งไม่มีทางที่อัลเฟรโด้จะอนุญาตแน่
คริสเตียนเองก็ได้รับคำสั่งให้ปิดเรื่องการหายตัวไปของว่าที่เจ้าสาว
ดังนั้นไม่ต้องถามก่อนก็ตอบได้ทันทีว่าไม่
"ฉันมีจดหมายแนะนำตัวเอง
จดหมายเชิญจากกราเซียแมกกาซีน แล้วก็แจ้งวันเวลาขอพบล่วงหน้าแล้วนะคะ"
ซ่าร่าแย้ง
เธอทำการบ้านมาอย่างดี คริสเตียนนึกชมในใจ
แต่ต่อให้ทำการบ้านมาอย่างดีมากแค่ไหน อัลเฟรโด้ก็คงไม่ให้มีการสัมภาษณ์อยู่ดี
เพราะไม่เช่นนั้นถ้ามีใครรู้ว่าผู้หญิงที่เข้าพิธีวิวาห์ในวันนั้นไม่ใช่โซเฟีย เบลลูชชี่แล้วล่ะก็
งานนี้รับรองว่าวุ่นวายแน่
"ผมทราบครับ
และขอชื่นชมที่คุณทำการบ้านมาอย่างดีว่าต้องทำอย่างไรในการขอสัมภาษณ์
แต่ผมต้องขอโทษจริงๆ ที่ต้องปฎิเสธ" คริสเตียนยืนยันคำเดิม
"ขอโทษนะคะ
ไม่ทราบว่าคุณเป็นผู้จัดการของที่นี่ หรือว่าเป็นใครถึงได้มาตอบแทนคุณอัลเฟรโด้ว่าไม่ให้
ความจริงแล้วคุณควรที่จะ..."
"สำหรับกาแฟแก้วนี้ถือเป็นค่าเสียเวลาที่คุณต้องนั่งรอ
อีกสักพักผมจะให้พนักงานมานำคุณไปที่ห้องอาหาร
ถือเป็นการเลี้ยงข้าวขอบคุณที่คุณให้เกียรติสนใจเจ้านายของเรา ขอบคุณนะครับ"
ผู้ช่วยหนุ่มจบการสนทนาอย่างรวบรัดแล้วเดินจากไปในทันที
"นี่คุณ คุณ..."
ซาร่ารีบวิ่งตามไปทันที
"ฉันไม่ต้องการกินข้าวอะไรทั้งนั้น
และฉันจัดการค่ากาแฟเองได้
ขอแค่คุณช่วยเอาสิ่งที่ฉันส่งมาไปให้คุณอัลเฟรโด้ดูก่อนได้ไหม"
"ผมคิดว่าไม่จำเป็น
เจ้านายของเราไม่ชอบวุ่นวายเรื่องพวกนี้" คริสเตียนเอ่ยอย่างเย็นชา
"ใช่
ทุกคนในตระกูลรอสเซลลินีบริจาคเงินเป็นสิบล้าน
เพื่อช่วยเด็กกำพร้าผู้หิวโหยโดยไม่ต้องการแม้แต่จดหมายขอบคุณใดๆ
ธุรกิจมากมายของพวกคุณรุ่งเรืองโดยไม่ต้องอาศัยใครมาเป็นแบ็คสนับสนุน
และไม่ชอบออกงานสังคมหรูหราเหมือนที่คนอื่นๆ ทำ"
"คุณก็รู้ดีนี่" คริสเตียนยอมรับและเริ่มรู้สึกว่าแม่สาวน้อยคนนี้
ดูจะรู้จักทุกคนในครอบครัวรอสเซลลินีเป็นอย่างดีทีเดียว
"พวกคุณมีอะไรปิดบังชาวโลกงั้นหรือ
ถึงได้ไม่สามารถให้ใครรู้จักตัวตนได้" คอลัมนิสต์สาวเอ่ย
"พูดจากรุณาให้เกียรติด้วยนะครับ
คุณซาร่า ไม่อย่างนั้นกราเซียแมกกาซีนของคุณอาจมีปัญหาได้"
น้ำเสียงคริสเตียนเข้มขึ้นเล็กน้อย เขารู้ดีว่าเจ้าหล่อนกำลังใช้สงครามจิตวิทยา
แต่ก็ไม่ชอบให้ใครพูดถึงครอบครัวรอสเซลลินีในทางเสียหาย
"ฉันถามเพราะไม่รู้ค่ะ
และมีคนอื่นอีกมากที่อยากจะรู้จักความดีงามของพวกคุณ" ซาร่าเอ่ยต่อไปว่า
"คนดีมีความสามารถควรให้โลกรู้เพื่อเอาเป็นแบบอย่าง
หรือสรรเสริญในความดีงามเหล่านั้นไม่ใช่เหรอคะ"
"เชิญคุณกลับไปได้แล้ว
และขอให้ทราบว่าทุกท่านในครอบครัวรอสเซลลินีไม่ต้องการคำเยินยอจากคนอื่น
เราทำในสิ่งที่ถูกต้องและเห็นว่าสมควร ไม่จำเป็นต้องให้โลกรู้ว่าเราดีมากแค่ไหน
ขอตัวก่อนนะครับ" คริสเตียนตัดบทเพียงแค่นั้นแล้วเดินจากไปทันที
ทิ้งให้ซาร่ามองตามด้วยความขัดใจและหมั่นไส้พ่อคนปากดีที่ไม่ยอมแม้แต่จะช่วยเหลือตนสักนิด
แต่เธอก็ไม่ละความพยายามและจะหาทางเข้าถึงตัวอัลเฟรโด้เองให้ได้
อย่างน้อยถ้าไม่ให้สัมภาษณ์จริงก็ควรได้ยินจากปากของเจ้าตัว
ไม่ใช่จากลูกน้องกิ๊กก๊อกที่ลอยหน้าลอยตาตอบได้อย่างน่าหมั่นไส้ที่สุด
ครองขวัญกระวนกระวายแทบนั่งไม่ติดและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไล่ดูข้อความเป็นระยะ
เธอรอการติดต่อจากโซเฟียที่บอกว่าจะแจ้งให้รู้ว่าวันนี้จะเจอกันได้ที่ไหน
เสียงสัญญาณว่ามีข้อความเข้ามาดังขึ้น จึงรีบเปิดดูและพบว่า
'วันนี้ฉันจะไปหา'
'เมื่อไร ที่ไหน'
ครองขวัญพิมพ์ถามกลับไปด้วยความตื่นเต้น
'ยังไม่ได้บอกใครใช่ไหม
ว่าฉันติดต่อมา'
'ไม่ ฉันยังไม่ได้บอกใครแม้แต่เขา' หญิงสาวหมายถึงอัลเฟรโด้
ครองขวัญลังเลใจเหมือนกันว่าควรจะบอกเรื่องนี้ให้ชายหนุ่มรู้ดีหรือไม่ว่า
โซเฟียติดต่อกลับมาหาตนแล้ว และทั้งคู่กำลังจะนัดเจอกันในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
'อย่าบอกเขา ได้โปรด
ฉันไว้ใจเธอนะ ครองขวัญ'
'ไม่มีใครรู้ว่าเราติดต่อกัน และฉันก็จะไม่บอกใคร'
ครองขวัญตัดสินใจแล้ว
ถ้าให้เลือกระหว่างโซเฟียเพื่อนรัก
กับอัลเฟรโด้คนชอบสั่งที่ทำให้หัวใจเธอหวั่นไหวในหลายวันนี้
หญิงสาวก็ขอเลือกเข้าข้างเพื่อน
'ขอบใจจ้ะ
ฉันขอบคุณสำหรับทุกอย่าง'
'จะให้ฉันไปหาที่ไหน กี่โมง'
ครองขวัญอยากรู้ว่าเวลานัดที่แน่นอนเพื่อจะหาทางไปพบ
อัลเฟรโด้สั่งห้ามเธอไปไหนโดยไม่ขออนุญาตและยังย้ำอีกด้วยว่า
ถ้าไม่มีความจำเป็นก็ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด
นอกจากนี้ยังส่งคนมาเฝ้าที่หน้าห้องทำราวกับเป็นนักโทษอย่างไรอย่างนั้น
'ฝั่งตรงข้ามโรงแรมมีร้านกาแฟเล็กๆ
ฉันจะไปนั่งรอที่นั่น อีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน
อย่าลืมเอาตั๋วเครื่องบินทั้งสองใบมาให้ด้วยนะ'
"ตั๋วเครื่องบินงั้นเหรอ"
จริงซิ
ครองขวัญนึกขึ้นมาได้ว่าตั๋วเครื่องบินที่โซเฟียฝากให้จัดการให้ก่อนเดินทางมาที่นี่นั้นมีสองใบ
ใบหนึ่งเป็นชื่อของโซเฟียแต่อีกใบหนึ่งเป็นชื่อของใครนั้นจำไม่ได้จริงๆ
ครองขวัญเลือกที่จะไม่ถามถึงผู้ร่วมเดินทางอีกคนของโซเฟียในเวลานี้ และตั้งใจว่าเมื่อพบหน้าเพื่อนรักจะถามให้รู้ที่มาที่ไปของการหายตัวไปให้รู้เรื่อง
แล้วค่อยถามว่าใครคือเจ้าของตั๋วเดินทางอีกใบ
แต่ตอนนี้เธอต้องรีบหาทางไปพบโซเฟียให้เร็วที่สุด
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์
ดีใจที่มีคนรักมาเฟียคนนี้ค่า
ฝากติดตามเพจนักเขียนนะคะ
ยิปซี อิ่มอุ่น
ฝากลิงค์อีบุ๊คด้วยค่า
|
|
|
ความคิดเห็น