คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : SF Luhan x Chen Do You Love Me (3) END
LU x CHEN
Do You Love Me 3
ลู่หานเดินปึงปังมาตามททางที่ไม่ค่อยจะมีคนเท่าไหร่เพราะเลยเวลาเลิกเรียนมานานแล้ว อารมณ์ตอนนี้เรียกได้ว่าบูดสนิท! ทั้งโมโหเรื่องที่เพิ่งจะรู้มานั่นอีก เรื่องที่ว่าเด็กอีคิวต่ำอย่างคิม จงแด เป็นคนๆ เดียวกันกับ เฉิน เด็กที่ทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้ เด็กคนนั้นทำให้เขาต้องเจ้าชู้ควงสาวไม่ซ้ำหน้า ทั้งหมดมันก็เพียงเพราะเฉินคนเดียว...
ในตอนเด็กตอนที่อยู่จีนเขาได้รู้จักกับเด็กคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกครึ่งจีน-เกาหลี ครอบครัวของเขาและเด็กคนนั้นรู้จักกันดี เขาและเฉินหรือก็คือคิม จงแด สนิทกันมากเรียกได้ว่าไปไหนไปด้วยกันตลอดถ้าหน้าตาเหมือนกันก็คงจะเรียกว่าแฝดได้เลย เฉินเป็นเด็กน่ารัก ยิ้มง่าย อารมณ์ดี เวลาลู่หานอยู่ด้วยจึงรู้สึกมีความสุขมาก
แต่แล้ววันหนึ่ง...เด็กชายเจ้าของรอยยิ้มร่าเริงสดใสนั้นก็หายไปจากชีวิตของลู่หานโดยไม่ได้แม้กระทั่งเอ่ยคำบอกลา ครอบครัวของเฉินเองก็ไม่ได้ติดต่ออะไรมาหาครอบครัวของลู่หานเลย จนโตขึ้นเขาเลยตัดสินใจขอพ่อมาเรียนต่อที่เกาหลีด้วยความคิดที่ว่าอาจจะเจอเฉินเข้าสักวัน พอถึงวันนั้นเขาจะได้ถามว่าทำไมถึงได้ทิ้งเขาไปไม่บอกลา...
แต่พอวันนี้ตอนที่เขาเดินไปที่ห้องเก็บอุปกรณ์กีฬาที่เพิ่งจะเอาลูกบอลไปซ้อมมาเก็บไว้ เขาก็ได้ได้รู้ว่าคนที่เขาเฝ้ารอนานแสนนานนั้นอยู่เพียงแค่เอื้อมมือ และได้รู้ว่าเด็กคนนั้นตั้งใจจะปิดบังเขาว่าตนเองนั้นเป็นใคร เขาก็แทบจะก้าวขาไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก ความตั้งใจไว้ว่าจะถามอะไรมากมายตลอดช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกันนั้นก็ไม่ได้ถามหรอก... ก็คนมันโมโหอ่ะ!
“ขอคุยด้วยหน่อย...”
เสียงเข้มที่เรียกพร้อมกับที่มีมือมาจับไหล่ข้างขวาไว้ทำให้ลู่หานต้องหันกลับมามองด้วยความสงสัยทั้งที่นัยน์ตายังมีแววกรุ่นโกรธอยู่ คนตัวสูงใต้ตาคล้ำที่ลู่หานจำได้ว่าเป็นคนที่ยืนคุยกับจงแดอยู่ตอนที่เขาเดินไปเจอเมื่อไม่กี่นาทีเมื่อกี้ยืนจ้องเขานิ่ง
“มีอะไร”
“เรื่องเมื่อกี้นี้ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายได้ยินอะไรบ้างนายถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ แต่ว่าจงแด...เฉินน่ะเขาไม่ได้ทิ้งนายไปอย่างที่นายเข้าใจหรอกนะ”
“แล้วที่หายไปไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้เขาเรียกว่าอะไรล่ะ!” ให้ตายสิ ทำไมผมรู้สึกว่าตัวเองจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่เลย...
“ที่หายไปก็เพราะครอบครัวของเฉินโดนตามฆ่ายังไงล่ะ ที่หายไปโดยไม่ได้บอกใครแบบนั้นก็เพราะกลัวว่าถ้าครอบครัวของนายรู้แล้วจะเป็นห่วงจนต้องหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้แล้วจะพาลโดนเล่นงานไปด้วย เลยเลือกที่จะหนีมาแบบนั้นไง”
โดนตามฆ่า? นี่มันอะไรกัน เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น! นี่...เขาเข้าใจเฉินผิดมาตลอดเลยเหรอเนี่ย
“แล้ว...ใครเป็นคนที่ตามฆ่าครอบครัวเฉิน”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ พวกนั้นโดนล้างคอกหมดแล้ว”
“แล้วทำไมเฉินถึงต้องใส่แว่นหนา ปล่อยเนื้อปล่อยตัวเสียจนขนาดนั้นด้วยล่ะ” จริงๆ แล้วเฉินในตอนเด็กไม่ได้เป็นแบบนี้นะ ตอนเด็กๆ น่ะเฉินไม่ได้ใส่แว่นแถยังเป็นเด็กที่ชอบแต่งตัวถึงไม่มากแต่ก็ไม่ได้ปล่อยตัวขนาดนี้
“ก็เพื่อไม่ให้พวกนั้นจำได้ไง พลางตัวไม่ให้เป็นจุดเด่น อ้อ! อีกอย่างที่นายต้องรู้คือตอนนี้พ่อกับแม่ของเฉิน...เขาไปดีแล้ว”
“ห๊ะ!! หมายความว่าไง...”
Rrrrrrr
เสียงโทรศัพท์ของร่างสูงดังขึ้นขัดก่อนที่ลู่หานจะได้เอ่ยอะไรต่อ ร่างสูงล้วงเอามือถือขึ้นมาดูเบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอลู่หานเห็นคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเป็นปม คงเพราะคนที่โทรมาอาจจะเป็นคนที่ร่างสูงไม่อยากคุยด้วยหรือไม่ก็คงจะเป็นเบอร์ไม่คุ้นถึงได้ทำหน้ายุ่งขนาดนั้น
“นั่นใคร” อื้อหือ ไม่ได้ทักทงทักทายอะไรก่อนเลย แล้วเสียงนั่นยังแข็งทื่อซะจนลู่หานคิดว่าหากคนในสายนั้นเป็นตัวเองคงต้องมีสั่นอ่ะ
“ไอ้เวรไค!! มึงจับตัวจงแดไปทำไม!!”
หืม? จับตัวจงแดอย่างนั้นเหรอ! ลู่หานไม่รู้ว่าคนที่โทรมาเป็นใครแต่ก็เขยิบเข้าไปใกล้ร่างสูงมากขึ้นเพื่อที่จะได้ฟังว่าปลายสายนั้นพูดอะไรบ้าง เมื่อร่างสูงเห็นลู่หานเขยิบเข้ามาเพื่อที่จะฟังด้วยก็เปิดสปีกเกอร์โฟนให้ได้ยินด้วยกันไปเสียเลย เพราะรู้ดีว่าลู่หานเองก็คงจะเป็นห่วงจงแด
(ก็เห็นเพื่อนมึงวิ่งร้องไห้น้ำตาเต็มหน้ากูก็เลยพามาปลอบใจ ไม่ดีเหรอ?)
“ไอ้ชั่ว! มึงเอาตัวจงแดไปไว้ไหนบอกกูมาเดี๋ยวนี้นะ”
(หึ! กูจะส่งรูปเพื่อนมึงแล้วก็สถานที่ไปให้ แต่...)
“อะไร!!”
(มึง...จะต้องมาให้กูเอาคืนกับสิ่งที่มึงทำไว้กับลูกน้องกูเสียก่อน และอีกอย่างมึงห้ามให้ไอ้เพื่อนสูงเตี้ยของมึงมาด้วยเด็ดขาด ถ้าไม่อย่างนั้น...จงแดอาจจะไม่ปลอดภัยก็ได้นะ)
“ก็ได้ มึงห้ามตุกติกหรือทำอะไรจงแดเด็ดขาดไม่งั้นอย่าหาว่ากูไม่เตือน”
(หึ! โอเค)
ปลายสายถูกวางไปก่อนที่ลู่หานจะหันมาสบตากับเด็กตัวสูงด้วยใบหน้ากังวล แต่ไม่นานเสียงเตือนข้อความก็ดังขึ้นมาซึ่งก็เป็นข้อความจากคนที่โทรเข้ามาเมื่อกี้ มันเป็นข้อความภาพของจงแดที่ถูกมัดมือไพล่หลังไว้กับเก้าอี้ขาทั้งสองข้างก็ถูกมัด และที่ปากก็ถูกผ้ามัดไว้ด้วยเช่นกัน ข้อความที่สองถูกส่งมาเป็นชื่อสถานที่ที่มันจะให้ไปเจอ
เมื่อทราบที่แล้วร่างสูงของเด็กรุ่นน้องที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ลุกพรวดพราดจะวิ่งออกไปแต่ผมเองก็เป็นห่วงเฉินไม่แพ้เขาหรอกนะ! ผมจับไหล่เขาไว้เขาหยุดชะงักแล้วจึงหันมามองผม
“อะไร! ฉันรีบ”
“ฉันไปด้วย”
“เออ! ตามมา”
*****
พวกเรามาถึงที่นัดหมายด้วยความรวดเร็ว เอ่อ...อันที่จริงก็มีคนมาเพิ่มสองคน ซึ่งเขาแนะนำตัวว่าชื่อชานยอลกับแบคฮยอน และอีกอย่างหนึ่งผมก็เพิ่งจะได้รู้ว่าเจ้าเด็กรุ่นน้องใต้ตาคล้ำนี้ชื่อจื่อเทา ตามที่ได้ฟังจื่อเทากับคนที่จับตัวจงแดไป อ่า ถ้าจำไม่ผิดหมอนั่นคงชื่อไคสินะ เท่าที่ได้ฟังตอนนั้นไคบอกว่าห้ามให้เทาโทรตามเพื่อนอีกสองคนมาแต่เทาก็ไม่ได้ทำตามหรอกครับ จื่อเทาก็ยังคงโทรตามให้เพื่อนมาอยู่ดีพอผมถามว่าไม่กลัวเฉินจะตกอยู่ในอันตรายเหรอ เขาก็บอกมาเพียงแค่ว่า...
‘หมอนั่นน่ะไว้ใจไม่ได้หรอก นายไม่เคยได้ยินที่เขาบอกว่าไม่มีสัจจะในหมู่โจรรึไง’
แค่นั้นแหละครับ... ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าพวกผมมาด้วยกันทั้งหมดสี่คน แต่ว่าพวกผมทั้งสามคนจะต้องแอบซุ่มดูอยู่ห่างๆ เพื่อจะได้ให้หมอนั่นเชื่อว่าเทามาคนเดียวจริง ทีแรกผมก็ไม่เห็นด้วยเพราะอยากจะเข้าไปช่วยเฉินเหมือนกัน แต่เพราะว่าถ้าผมเข้าไปอาจจะทำให้เรื่องมันแย่มากกว่าเดิมก็ได้ ผมเลยจำต้องมาซุ่มหลบอยู่กับแบคฮยอนและชานยอลที่มองผมด้วยสายตาไม่ค่อยจะเป็นมิตรเท่าไหร่
“เอ่อ...พวกนายมีปัญหาอะไรกับฉันรึเปล่า”
“มี! รุ่นพี่แมร่งโคตรเลวหลอกเพื่อนผมทำการบ้านให้” คนที่ตัวสูงที่สุดซึ่งผมจำชื่อได้ว่าชานยอลกระซิบตอบผม เราพูดดังไม่ได้หรอกครับกลัวพวกนั้นจะได้ยิน แต่...ประโยคที่เด็กคนนี้พูดมันกลับทำให้ผมรู้สึกตัวชาวาบ
“เอ่อ...ฉัน”
“พอเถอะเรื่องพวกนั้นน่ะ ถ้าจะคุยก็คุยกันเวลาอื่นไม่ใช่ตอนที่จงแดกำลังตกอยู่ในอันตรายแบบนี้”
ผมกับเด็กที่ชื่อชานยอลหุบปากแทบจะทันทีเมื่อเจอเข้ากับสายตาที่โคตรจะน่ากลัวของอีกคน ผมชะโงกเข้าไปดูภายในโกดังร้างที่มีร่าสูงของจื่อเทายืนคุยกับผู้ชายร่างสูงอีกคน ฝั่งตรงข้ามเองก็ไม่ได้มีมากไปกว่าพวกเขาเท่าไหร่ดูๆ ไปแล้วก็คงจะจัดการไม่ยากเท่าไหร่ ไม่ใช่จะดูถูกฝีมือคู่ต่อสู้อะไรหรอกนะ แต่ด้วยความที่ผมเองก็เรียนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก เรื่องชกต่อยแบบนี้มันเลยไม่ค่อยสะทกสะท้านอะไรเขาเท่าไหร่
“นั่นไงจงแด!”
“ไอ้หูกางมึงจะตะโกนให้มันมาหามมึงไปกระทืบรึไง!”
ในตอนที่ร่างเล็กของเฉินที่ยังคงถูกมัดไว้ติดกับเก้าอี้ปรากฏต่อสายตาตัวเขาเองแทบจะพุ่งตัวเข้าไปในโกดังนั้นอยู่แล้ว หากแต่ก็โดนมือของเด็กทั้งสองดึงไว้ก่อนจึงทำได้เพียงเฝ้ามองดูต่อไป จากตรงนี้จนถึงที่เทากำลังคุยอยู่กับผู้ชายอีกคนมันไกลพอสมควรจนเขาชักจะหงุดหงิดที่ไม่สามารถได้ยินในสิ่งที่คนพวกนั้นกำลังคุยกันได้
อยู่ดีๆ ร่างสูงที่ยืนคุยกับเทาอยู่ก็ถีบเข้าที่ท้องของเจ้าเด็กใต้ตาคล้ำนั้นอย่างแรงจนเซล้มลงไป เด็กสองคนที่แอบซุ่มอยู่กับผมสบถออกมาอย่างหัวเสียเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้วิ่งเข้าไปในนั้น ไม่นานพวกที่เหลือก็เข้ามารุมกระทืบเทาที่ไม่มีการต่อสู้ใดๆ แต่สายตาของผมไม่ได้มองตรงไปยังที่เทาโดนรุมกระทืบแล้วในตอนนี้ ผมมองเห็นผู้ชายตัวสูงที่ยืนคุยกับเทาอยู่ก่อนหน้านั้นกำลังเดินเข้าไปหาเฉินที่กำลังพยายามดิ้นหนี ผมไม่รีรออะไรอีกแล้ววิ่งเข้าไปในโกดังนั้นทันทีแบบไม่ต้องคิด
ได้ยินเสียงร้องตามบอกให้รอด้วยจากเด็กทั้งสองที่กำลังวิ่งตามมา ผมไม่สนหรอกว่าใครจะเป็นยังไงตอนนี้ผมขอแค่ให้ผมได้ช่วยเฉินก่อนก็พอ ผมวิ่งเลยจื่อเทาที่เริ่มลุกขึ้นมาสู้บ้างแล้วตรงไปหาเฉินทันที ไอ้หมอนั่นกำลังก้มลงมาคุยอะไรสักอย่างกับคนตัวเล็กมือของมันจับคางของเฉินไว้ให้หันหน้าไปคุยกับมัน ไม่รอช้าผมรีบวิ่งเข้าไปกระโดดถีบเข้าที่ไหล่ของมันทันทีจนมันล้มถลาไปเล็กน้อย
“อย่ามายุ่งกับแฟนกู!!” ผมตะโกนใส่อย่างโมโห มันลุกขึ้นมาด้วยอาการเซเล็กน้อย
“หืม? แฟนมึงงั้นเหรอ โทษทีนะแต่ว่าอีกเดี๋ยวก็เป็นเมียกู!!”
ผลัวะ!!
หมัดหนักๆ กระทบเข้าที่ข้างแก้มซีกขวาของผมโดยที่ผมเองก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัวจนล้มลงไปกองกับพื้น กลิ่นคาวและรสเค็มปร่าคลุ้งอยู่ในปากนั้นทำให้ผมรู้ว่าตัวเองปากแตกเสียแล้ว ร่างสูงของมันไม่รอช้าพุ่งเข้ามาคร่อมร่างผมไว้แล้วซัดหมัดใส่ใบหน้าผมอีกสองสามครั้ง แต่ผมคงไม่ยอมให้มันกระทำอยู่ฝ่ายเดียวหรอกนะ ผมพลิกตัวขึ้นมาคร่อมมันไว้จัดการซัดเข้าที่ใบหน้ามันไปหลายที หูได้ยินเสียงร้องอู้อี้ของเฉินแว่วๆ
เผลอแป๊บเดียวขายาวของคนที่ผมคร่อมอยู่ก็ถีบเข้าที่สีข้างของผมอย่างจังจนล้มหงายหลังลงไป แต่คราวนี้ผมไม่ยอมให้มันตามมาคร่อมผมไว้ได้อย่างที่หวังรีบกลิ้งตัวหลบแล้วลุกขึ้นมาถีบเข้าที่สีข้างของมันคืนจนเซไปหลายก้าว
“อี้อู้อ่าน! (พี่ลู่หาน!)”
เสียงอู้อี้จากเฉินยังดังมาเป็นระยะผมหันไปมองน้องเล็กน้อยน้องเองก็มองผมตอบเช่นกัน ดวงตาที่ส่องแสงทอดประกายความเป็นห่วงออกมาจนผมต้องส่งยิ้มไปให้ ก่อนจะหันกลับมายกหมัดเสยเข้าที่ใต้คางของไอ้คนที่โดนผมถีบไปเมื่อกี้จนมันล้มตึงลงไปนอนกับพื้นไม่เป็นท่า
ผมรีบวิ่งเข้ามาแก้เชือกที่มัดแขนของคนตัวเล็กไว้กับเก้าอี้ทันที เชือกเส้นใหญ่ที่ใช้มัดไว้นั้นมันมัดแน่นเสียจนแขนเล็กเป็นรอยช้ำ เขามองรอยช้ำนั้นด้วยความเจ็บปวดเมื่อคิดว่าตนเองคือส่วนหนึ่งที่ทำให้น้องต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ ถ้าหากว่าเขาถามและฟังในสิ่งที่เฉินกำลังจะพูดบ้างน้องก็คงจะไม่ต้องมาเจ็บตัวอะไรแบบนี้
“พี่ลู่หาน...”
เสียงแหลมเล็กน้อยที่บัดนี้มันฟังดูแหบพร่าครางเรียกชื่อเขาเบาๆ เมื่อเขาแก้มัดออกให้หมดแล้ว เขาไม่ได้ต้องการจะฟังอะไรจากน้องตอนนี้ ในวินาทีนี้ตอนนี้ขอแค่น้องปลอดภัยเขาก็พอใจแล้ว
“เฉินพี่รู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว ขอโทษนะ พี่ขอโทษ...” ผมพูดพร้อมกับดึงคนตัวเล็กเข้ามากอด
พอได้มากอดน้องแบบนี้มันทำให้ผมได้รู้ว่าน้องเป็นคนที่ตัวเล็กมาก ผอมบางจนแทบจะเรียกได้ว่าหนังหุ้มกระดูก เมื่อเป็นแบบนี้ผมยิ่งเกลียดตัวเองที่คิดจะหลอกใช้เฉินในตอนแรกที่รู้จักเพียงแค่ว่าเขาคือ คิม จงแด เด็กที่ไอคิวสูงแต่อีคิวต่ำ ตอนนี้ผมสัญญาว่าไม่ว่าเขาจะเป็นจงแดจอมเนิร์ดหรือเป็นเฉินคนเดิมในตอนเด็กผมก็จะดูแลเขาเป็นอย่างดี
“พี่ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดผมเองต่างหากที่ผิด...ผิดที่ทิ้งพี่ไปโดยไม่บอกลาสักคำ”
“ไม่ๆๆ เฉินไม่ผิดหรอกพี่ต่างหากที่ผิด พี่หลอกใช้เฉินตอนที่เป็นจงแดจอมเนิร์ดนั่น แถมพี่ยังเข้าใจผิดคิดว่าเฉินทิ้งพี่ไปอีก...พี่ขอโทษ” ผมยิ่งกระชับอ้อมกอดแน่นเมื่อแขนเล็กทั้งสองข้างโอบกอดผมไว้เช่นกัน
“เอาเป็นว่าเรื่องทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว...เราสองคนอย่าไปคิดถึงมันอีกเลยนะ”
“ได้สิ พี่สัญญาว่าพี่จะดูแลเฉินเองแม้ตอนเป็นเด็กเนิร์ดก็ตาม”
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น แต่เพียงแค่ได้มองตากันก็ทำให้เข้าใจแล้วว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไง ร่างทั้งสองโผล่เข้ากอดกันอีกครั้งด้วยความคิดถึง ชานยอลและแบคฮยอนมองภาพนั้นด้วยสายตามึนงงส่วนจื่อเทาถึงแม้จะบอกว่าชายหนุ่มเป็นคนเย็นชาแค่ไหน แต่ในเวลานี้แววตาคมนั้นกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด...
*****
หลังจากเหตุการณ์สงบลงจงแดก็พาลู่หานกลับมาทำแผลที่บ้านของเขากับจื่อเทาที่อาศัยกันอยู่สองคน ส่วนแบคฮยอนและชานยอลก็ขอตัวกลับบ้านเพราะเริ่มดึกแล้ว มือเล็กของจงแดค่อยๆ แตะสำลีชุบยาไปที่บาดแผลบนใบหน้าหล่อเหลาด้วยความบรรจง
ลู่หานมองหน้าคนตัวเล็กอย่างไม่กระพริบตา...นานแค่ไหนที่ไม่ได้มองหน้าเฉินใกล้ๆ แต่ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่เสียงหัวใจที่เต้นรัวเร็วแบบนี้ก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป มันยังคงซื่อสัตย์และมั่นคงที่จะสั่นไหวกับคนตรงหน้านี้คนเดียว...มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าหัวใจของลู่หานมีไว้เพื่อเฉินคนเดียว
“เสร็จแล้วครับ”
“หืม เสร็จเร็วจัง” เสียงแหลมเรียกสติให้ลู่หานได้สติรีบดึงความคิดให้กลับสู่ปัจจุบัน
“ผมต้องรีบทำแผลให้เทาด้วย...”
“ฉันทำเสร็จแล้ว นายไปอาบน้ำเถอะฉันจะเตรียมอาหารรอ” เสียงเข้มที่นั่งอยู่อีกฟากเอ่ยขัดขึ้น ร่างเล็กมีท่าทีจะขัดขืนแต่เทาที่สบตากับลู่หานอยู่ทำให้คนตากวางเข้าใจความหมายที่ส่งมาจากร่างสูงได้ทันทีจึงได้เอ่ยปากช่วย
“เฉินไปอาบน้ำเถอะครับจะได้รีบมาทานข้าว”
“แต่ว่า...”
“เด็กดีต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ไม่ดื้อนะครับ” พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นจนคนฟังเป็นต้องเขว ไหนจะสายตาอ่อนโยนกับรอยยิ้มละมุนนั่นอีก แถมมือที่ลูบผมนุ่มอยู่นี้ก็ช่างอบอุ่นชวนเคลิ้มเสียจนไม่กล้าขัด
ร่างเล็กพยักหน้าเชื่อฟังแล้วจึงเดินตรงไปขึ้นบันได เมื่อหลับหลังร่างเล็กไปแล้วทั้งสองหนุ่มที่ยังนั่งกันอยู่ที่เดิมก็หันหน้ามาสบตากัน แววตาทั้งสองคู่นั้นเต็มไปด้วยความจริงจังจนบรรยากาศรอบข้างเริ่มตึงเครียด
“มีอะไรจะพูดกับฉันอีกงั้นเหรอ” เป็นลู่หานที่เปิดประเด็นก่อน
“มะรืนนี้ฉันจะกลับจีน...”
“....?”
“หมดหน้าที่ของฉันแล้วฝากนายดูแลเฉินให้ด้วย หมอนั่นน่ะอ่อนไหวกว่าที่นายเห็นเพียงแค่มีอะไรมากระทบจิตใจนิดหน่อยก็พร้อมที่จะร้องไห้ได้เสมอ...”
เทาถอนหายใจออกมานิดหน่อยแต่มุมปากก็ยังคงยกยิ้มน้อยๆ เมื่อคิดถึงความทรงจำตลอดระยะเวลาที่เขาได้รับมอบหมายให้มาเป็นผู้ดูแลคนตัวเล็ก
“...เฉินน่ะนอนละเมอหานายเกือบทุกวัน เอาแต่พร่ำบอกขอโทษซ้ำๆ จนฉันฟังแล้วชักเบื่อ หึ! แต่ตอนนี้เค้าคงไม่ต้องเพ้อขอโทษนายอีกแล้วใช่ไหม นายจะทำให้เฉินตื่นจากฝันร้ายนี้ได้ใช่ไหม”
“ฉันไม่รู้ว่าจะทำได้ดีแค่ไหนกับหน้าที่ที่นายมอบให้ แต่ฉันเองก็รักเฉินไม่ได้ต่างจากนายนักหรอก...และฉันก็จะไม่ทำให้คนที่ฉันรักต้องเสียใจและจมอยู่กับความรู้สึกผิดนั้นเป็นครั้งที่สอง...” ใบหน้าหล่อหวานจริงจังจนเทาที่นั่งอยู่อีกฝั่งอดที่จะคิ้วขมวดตามไม่ได้ “เพราะต่อจากนี้ไป...เราจะไม่พรากจากกันอีก”
จบคำของลู่หานคิ้วหนาที่ขมวดมุ่นก่อนหน้าก็ค่อยๆ คลายปมออก จื่อเทารู้ดีว่าลู่หานจะต้องทำได้อย่างที่พูด มือหนาเก็บอุปกรณ์การทำแผลที่คนตัวเล็กทิ้งไว้ไม่ยอมเก็บ หยิบเอาหลอดยายื่นให้ลู่หานพลางพยักหน้าไปทางที่ร่างเล็กเดินไปก่อนหน้านี้ ถึงจะยังไม่ค่อยเข้าใจแต่ลู่หานก็รับหลอดยานั้นมาถือไว้ มันเป็นยาทาแก้ฟกช้ำและตอนนั้นเองที่ลู่หานเริ่มจะเข้าใจในสิ่งที่อีกคนต้องการจะบอก
“เฉินเองก็บาดเจ็บถึงจะไม่มากแต่ก็ควรทายากันไว้ หน้าที่แรกของนายไปทำซะสิ เดินขึ้นไปประคูไม้สีเหลืองอ่อน”
ลู่หานยิ้มรับแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มองหลอดยาในมือด้วยหัวใจที่พองโตอย่างไม่ทราบสาเหตุรู้เพียงแค่ว่าตอนนี้เขานั้นรู้สึกมีความสุขมากถึงมากที่สุดเลยล่ะ!
“ขอบใจ...”
“อืม รีบไปเถอะฉันจะไปเตรียมอาหารรอ”
ร่างโปร่งของลู่หานเดินขึ้นบันไดมาตามทางที่เทาบอก ประตูไม้สีเหลืองอ่อนปิดสนิทลู่หาก้มลงมองหลอดยาที่อยู่ในมือแล้วยิ้มออกมาบางๆ
ก๊อกๆๆ
เมื่อมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูลู่หานก็ยกมือขึ้นเคาะพอเป็นพิธี ได้ยินเสียงแหลมตอบรับกลับมาว่าให้เข้าไปได้เขาจึงได้เปิดประตูเข้าไป ภายในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่ายติดไปทางแนวหวานๆ น่ารักๆ เหมือนกับบุคลิกของเจ้าของห้อง เมื่อเดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงน้ำไหลบ่งบอกว่ากำลังมีคนอาบน้ำอยู่
เขาไม่รู้ว่าเฉินรู้รึเปล่าว่าคนที่เข้ามาในห้องนี้เป็นเขา จะว่าไปแล้วห้องนี้ก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเจ้าของห้องติดอยู่ทำให้รู้สึกดีไปอีกแบบนะ เขาเดินสำรวจห้องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาสะดุดอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็ก บนโต๊ะนั้นมีกรอบรูปตั้งอยู่ รูปนั้นเป็นรูปของเด็กผู้ชายสองคนที่ยืนอยู่ข้างกันแล้วฉีกยิ้มกว้างให้กล้อง เขาจำได้ดีว่ารูปนี้เป็นรูปของเขากับเฉินสมัยยังเป็นเด็ก
แสดงว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเฉินเก็บรูปของเราไว้ตลอด เฉินไม่เคยลืมหรือว่าทิ้งเขาไป พอคิดว่าอีกคนยังให้ความสำคัญกับตัวเองอยู่ใบหน้าหล่อหวานก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“อ้าวพี่ลู่หานเองเหรอครับ”
“หา? อ่อ อืมๆ พี่เองแหละ อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ” มัวแต่ยืนยิ้มอยู่กับรูปจนไม่รู้ว่าอีกคนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ร่างเล็กนั้นเอ่ยปากถาม
“ครับ ว่าแต่พี่ลู่หานขึ้นมา...มีอะไรรึเปล่าครับ”
“เอ่อ คือพี่เห็นว่าแขนนายมันช้ำน่ะเลยเอายาขึ้นมาให้” ว่าแล้วก็โชว์หลอดยาให้ดู ซึ่งคนตัวเล็กก็พยักหน้าเข้าใจแล้วจึงเดินเข้ามารับยาเอาไปทาแขนที่บวมช้ำ
“พี่ว่าให้พี่ทาให้ดีกว่านะ”
“ไม่เป็นไรครับ รบกวนพี่เปล่าๆ เดี๋ยวผมทาเองก็ได้”
“ก็พี่เสนอตัวจะทาให้แล้วมันจะรบกวนได้ยังไง มานั่งเลยมา”
ไม่ฟังคำคัดค้านใดอีกลู่หานก็จัดการลากเอาคนตัวเล็กมานั่งแหมะลงที่เตียงนุ่ม ตัวเองก็นั่งหันหน้าเข้าหาน้องแล้วจึงดึงเอายาที่คนตัวเล็กถือไว้แม้ว่าตอนแรกเฉินจะพยายามยื้อไว้แต่เมื่อเห็นสายตาดุๆ จากลู่หานเลยต้องยอมปล่อย มือเรียวแตะเอายามาพอประมาณอีกมือก็เอื้อมไปดึงเอาแขนเล็กมาจับไว้แล้วค่อยบรรจงทายาให้เบาๆ
แขนเล็กนั้นบวมช้ำจนแทบเขียวแถมยังมีแผลถลอกอีกเล็กน้อยคงเพราะเสียดสีกับเชือกที่มัดไว้ ลู่หานพยายามเบามือที่สุดแต่ก็ยังได้ยินเสียงซี๊ดปากเบาๆ จากคนตัวเล็กอยู่ดี
“เจ็บเหรอ”
“เปล่าครับ แต่มันแสบๆ นิดหน่อย”
“งั้นเหรอ” เมื่อรู้ว่าคนตัวเล็กมีอาการแสบแผลลู่หานจึงจับมือเล็กนั้นยกขึ้นมาแล้วเป่าที่แผลนั้นเบาๆ
จงแดมองภาพของลู่หานที่กำลังเป่าแผลให้ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เขาคิดถึงคนคนนี้แทบตายพอจะเข้าหาได้ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าตนเองเป็นใคร ภาพผู้ชายตรงหน้าในตอนนี้มันช่างเหมือนภาพแห่งความฝันที่เขาวาดไว้ไม่มีผิด ไม่อยากจะเชื่อเลยด้วยซ้ำว่าจะได้ใกล้ชิดกันแบบนี้
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเขาอยากจะติดต่อกลับไปหาลู่หานแทบบ้า แต่ก็ติดที่ว่าความลับอาจจะแตก ครอบครัวของเขาทำงานธุรกิจเคยประสบความสำเร็จแต่ธุรกิจก็ต้องล่มเพราะถูกโกงแล้วยังถูกตามล่าเอาชีวิตอีก ครอบครัวของเขาต้องหนีหัวซุกหัวซุนกลับมาที่เกาหลี ก่อนที่พ่อกับแม่ของเขาจะถูกฆ่าในภายหลังเขาแทบทำอะไรไม่ถูกคิดว่าต้องอยู่คนเดียวเสียแล้ว แต่คุณอาที่อยู่จีนซึ่งทราบข่าวก็ส่งเทาและพ่อของเทาให้มาอยู่ด้วยที่เกาหลีพร้อมกับส่งเงินให้ใช้ทุกเดือน และไม่นานพ่อของเทาก็เสียชีวิตลง เขากับเทาเลยต้องอยู่ด้วยกันแค่สองคน
“เสร็จแล้ว ทีนี้ก็ลงไปกินข้าวกันเถอะป่านนี้หมอนั่นคงจะเตรียมอาหารเสร็จแล้ว”
“คะ...ครับ” เพราะมัวแต่จ้องอีกคนพลางคิดอะไรเพลินๆ เลยสะดุ้งเล็กน้อยตอนโดนเรียก ลู่หานส่งยิ้มบางมาให้แล้วจึงพาเขาลงมาข้างล่าง
“วันนี้มะไรกินบ้างอ่ะเทา” ส่งเสียงร้องทักเมื่อเห็นพ่อครัวประจำบ้านกำลังวุ่นอยู่กับการจัดตั้งโต๊ะ
“อ่า ก็หลายอย่างน่ะ นั่งสิ”
ทุกคนนั่งลงมองอาหารน่าตาน่ากินที่ตั้งเกือบเต็มโต๊ะขนาดกลาง ลู่หานนั่งข้างเฉินส่วนเทานั่งฝั่งตรงข้าม ดวงตาของเฉินในตอนนี้มันแวววาวเสียยิ่งกว่าอะไร ใบหน้าน่ารักเงยขึ้นมองร่างสูงฝั่งตรงข้ามเป็นเชิงว่ารอให้อีกคนอนุญาตให้กินได้ตามสบาย เทาเองก็เห็นอาการของเฉินแบบนี้ทุกครั้งที่อาหารเต็มโต๊ะเลยได้แต่หัวเราะให้พฤติกรรมน่ารักนั้นแล้วจึงพยักหน้าให้เริ่มกินได้
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารถึงแม้ว่ามันจะเงียบอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้น่าอึดอัดอะไร ใบหน้าของหนุ่มหล่อต่างสไตล์อมยิ้มยามมองคนตัวเล็กสุดที่กินไม่สนใจอะไร ลู่หานแอบทึ่งนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กนั้นกินเสียเยอะแต่แปลกที่ยังผอมแห้งขนาดนี้
“พรุ่งนี้ฉันจะกลับจีนนะ” จู่ๆ ร่างสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เอ่ยขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย คนตัวเล็กสุดเงยหน้าขึ้นมองทั้งที่ปากก็ยังเคี้ยวข้าวอยู่ตุ้ยๆ
“ไปทำไม ไปกี่วัน”
“ฉันจะกลับไปเรียนต่อที่นู่น ไปดูแลแม่น่ะอาจจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแต่ถ้าว่างๆ ฉันก็จะกลับมาเยี่ยมนายแล้วกัน”
“ทำไมเร็วงี้อ่ะ” กลายเป็นว่าตอนนี้ทั้งโต๊ะนั้นมีแค่เทาที่ยังนั่งทานข้าวช้าๆ ส่วนเฉินและลู่หานก็ได้แต่นั่งมองหน้าเทา ลู่หานมีสีหน้าปกติแต่เฉินนั้นดวงตาเฉี่ยวเบิกกว้าง คิ้วขมวดมุ่น
“ก็นายมีคนดูแลแล้ว ฉันก็เลยจะรีบกลับไปดูแลแม่บ้าง ฉันคิดว่านายคงจะดูแลเฉินได้นะ...” ประโยคสุดท้ายหันไปพูดกับลู่หาน
“แน่นอน ฉันจะดูแลเฉินอย่างดี”
“นายเองก็ดูแลตัวเองดีๆ นะเฉิน”
“ถ้านายจำเป็นที่ต้องกลับจีนจริงๆ ฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ ขอบคุณที่ดูแลฉันมาตลอดแล้วก็...อย่าลืมกลับมาเยี่ยมบ้างนะ”
“แน่นอน”
*****
หลังจากเมื่อวานที่กลุ่มของจงแดขาดเรียนกันเพื่อไปส่งเทาที่สนามบินวันนี้แต่ล่ะคนเลยต้องมานั่งทำความเข้าใจกับบทเรียนที่คนอื่นเขาเรียนไปก่อนแล้ว โดยได้ผู้ช่วยเป็นโด คยองซู และนอกจากนั้นเฉินเองที่ทุกคนเคยรู้จักกันในนามคิม จงแดจอมเนิร์ดก็ได้เปลี่ยนลุคใหม่ (อันที่จริงต้องบอกว่าเผยตัวตนที่แท้จริง) ก็ต้องตกเป็นเป้าสายตาของคนในโรงเรียนไม่เว้นแม้กระทั่งเพื่อนตัวเอง
ทุกคนในโรงเรียนไม่รู้ว่าอะไรทำให้เด็กเนิร์ดคนนั้นกลายมาเป็นเด็กหนุ่มน่ารักในตอนนี้ จะมีก็แต่เพื่อนสนิทหรือคนสนิททั่วๆ ไปเท่านั้นที่รู้เรื่องจริงซึ่งก็มีไม่มากหรอกที่เฉินสนิทด้วย นาทีแรกที่เดินเข้ามาแล้วเจอกับสายตาที่พุ่งตรงมาจากทั่วทิศยอมรับเลยว่าประหม่ามากจนแทบจะก้าวขาเดินไม่ออก ดีที่มีพี่ลู่หานคอยจับมือแล้วพาเดินเข้ามาในโรงเรียน
“จงแดเนี่ยพอไม่ใส่แว่นแล้วก็ตัดหน้าม้าใหม่ ไม่ใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่เทอะทะแล้วก็น่ารักขึ้นเยอะมากๆ เลยนะ”
“นายก็ชเราเกินไปน่ะคยองซู”
“ที่คยองซูพูดมามันก็ถูกแล้วล่ะจงแด ไม่เชื่อก็ลองมองไปรอบๆ สิ มีแต่คนมองนายทั้งนั้นโดยเฉพาะกลุ่มของรุ่นพี่ ม.6 ตรงนั้นน่ะมองนายจนแทบจะพรุนอยู่แล้ว” จงอินที่เดินเข้ามาทันพอจะได้ยินเพื่อนตัวเล็กทั้งสองคนคุยกันก็เอ่ยสมทบคยองซู
แม้ว่ากลุ่มของจงแดและคยองซูจะไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่แต่ด้วยเพราะอยู่ห้องเดียวกันแล้วต่างฝ่ายต่างก็มักจะมาติวหนังสือด้วยกันในรายวิชาที่ไม่เข้าใจนั่นเลยทำให้พอจะพูดคุยเล่นกันได้แม้จะไม่มากก็ตาม
“ไม่หรอกน่า”
“อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลยน่าจงแด ขนาดฉันเป็นเพื่อนนายตอนแรกที่เห็นนายเปลี่ยนโฉมมาก็อึ้งเหมือนกันนั่นแหละ”
“ใช่ๆ นายน่ารักมากๆ เลยล่ะ” ชายยอลเอ่ยเป็นลูกคู่ให้กับแบคฮยอน แต่ทั้งสองคนก็ไม่มีใครยอมเงยหน้าขึ้นมาจากกองสมุดเลยสักนิด อันที่จริงแล้วสองคนนี้ก็เรียนเก่งนะแต่เพราะขี้เกียจเลยไม่ค่อยจะทำงานส่งมาทำอีกทีก็ตอนที่ครูทวงงานไม่ก็มาทำเอาตอนใกล้ถึงกำหนดส่งนั่นแหละ
“...จงแด”
“หืม? ว่าไงจงอิน” จงแดที่กำลังมองเพื่อนรักทั้งสองคนปั่นการบ้านอยู่เพลินๆ ก็ต้องหันกลับมาเมื่อจงอินเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงคร่ำเครียด
“ที่จริงฉันต้องพูดกับพวกนายทั้งสี่คนนั่นแหละ แต่เพราะได้ข่าวมาว่าเทาไปเรียนต่อที่จีนแล้วฉันเลยไม่ได้มีโอกาสขอโทษหมอนั่นด้วยเลย”
“ขอโทษ? ขอโทษพวกเราเรื่องอะไรว่ะจงอิน” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมาถามชานยอลเองก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัย
“ฉันเพิ่งรู้ว่าคนที่ทำร้ายพวกนายแล้วก็จับตัวของจงแดไปคือพี่ชายของฉันเอง...ฉันขอโทษแทนหมอนั่นด้วยนะ แต่วาต่อไปนี้พวกนายสบายใจได้เพราะว่าฉันจัดการหมอนั่นให้แล้วล่ะ”
“พี่ชายจงอิน?...หมายถึงไคน่ะเหรอ”
“อืม ...ฉันขอโทษจริงๆ นะ ถ้าหากว่าฉันรู้เร็วกว่านี้ฉันจะไม่ปล่อยให้หมอนั่นจำตัวจงแดไปแน่นอน”
ทั้งจงแด ชานยอล และแบคฮยอนหันมามองหน้ากันโดยอัตโนมัติ ใบหน้าของทั้งสามคนในตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ในอารมณ์ไหน ก่อนจะเป็นจงแดที่หันกลับมามองจงอินด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอก จงอินไม่ต้องขอโทษพวกเราก็ได้จงอินไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรขนาดนั้น เรื่องมันจบไปแล้วก็ให้มันจบไปเถอะ”
“ขอบใจนะจงแด...แล้วพวกนายสองคน?”
“ก็ถ้าจงแดไม่มีปัญหาพวกฉันก็ไม่มีเหมือนกันนั่นแหละ ใช่ไหมไอ้ปาร์ค?”
“...อืม”
“ขอบใจพวกนายมากๆ เลยนะ!” ขอบคุณจากใจจริงพร้อมกับส่งยิ้มจริงใจมาให้
“ฮ่าฮาฮ่า! เรื่องแค่นี้เอง”
หลังจากที่หมดเรื่องจงอินกับคยองซูก็ขอตัวออกไปเหลือแต่กลุ่มของจงแด แบคฮยอนและชานยอลก็รีบปั่นงานไปส่วนจงแดที่ไม่รู้จะทำอะไรดีก็เลยหาหนังสือมาอ่านคั่นเวลา จนแล้วจนรอดเพราะความเบื่อร่างเล็กเลยได้แต่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
“พวกนายใกล้จะเสร็จยังเนี่ยใกล้ถึงเวลาเข้าเรียนแล้วนะ”
“ใกล้แล้วๆ”
จนแล้วจนรอดจงแดก็ต้องนั่งรอนอนรอเพื่อนทั้งสองคนอีกตามเคย แอบคิดถึงจื่อเทาแฮะ...ถ้าหมอนั่นอยู่ตอนนี้อย่างน้อยเขาก็คงไม่ต้องมานั่งแกร่วอยู่อย่างนี้หรอก แต่ถึงแม้จื่อเทาจะไม่ใช่คนช่างพูดอะไรแต่อย่างน้อยหมอนั่นก็ต้องพาเขาทำอะไรสักอย่างแล้วในเวลาแบบนี้
“ป่ะ! เสร็จแล้วเข้าห้องกัน” สิ้นสุดการรอคอยที่แสนจะน่าเบื่อ หลังจากโดดเรียนคาบเช้าไปส่งเทาแล้วคาบบ่ายจงแดสัญญาเลยว่าจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด
*****
กริ๊งงงงง!!
เสียงออดเลิกเรียนดังขึ้นประจวบกับที่ครูสั่งเลิกพอดี นักเรียนทั้งหลายก็รีบเก็บของเข้ากระเป๋าตรงดิ่งออกจากห้องส่วนจงแดที่ไม่ได้รีบอะไรก็ค่อยๆ เก็บของลงกระเป๋าอย่างใจเย็น
กรี๊ดดดดดดด!!
เสียงกรี๊ดของนักเรียนหญิงดังเข้าใกล้มาเรื่อยๆ จนจงแดที่กำลังเก็บของอยู่ต้องขมวดคิ้ว หันไปมองเพื่อนอีกสองคนก็ได้เพียงการยักไหล่ตอบกลับมา
“ก็คงจะเป็นพวกหนุ่มหล่อของโรงเรียนเดินผ่านมานั่นแหละอย่าไปสนใจเลยรีบเก็บของเหอะ”
“อืม” จงแดลงมือเก็บของที่ยังเหลืออยู่เล็กน้อยไม่ได้รู้เลยว่าเพื่อนรักทั้งสองได้เดินห่างออกไปจากตนแล้วเรียบร้อย และเสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องซึ่งมีแค่จงแดที่ยืนอยู่ในห้อง ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมาหวังจะชวนเพื่อนรักทั้งสองกลับบ้านแต่ก็ต้องผงะตกใจเมื่อพบช่อดอกไม้มาจ่ออยู่ตรงหน้า
“เป็นแฟนกับพี่นะครับ...เฉินเฉิน”
ร่างโปร่งของลู่หานนั่งลงคลุกเข่าอยู่ตรงหน้าของจงแดท่ามกลางเด็กนักเรียนที่กำลังมองมาด้วยสายตาที่แตกต่างกัน บ้างก็ฟินก็จิ้น บ้างก็มองมาด้วยความริษยา จงแดทำอะไรไม่ถูกได้แต่มองหน้าแบคฮยอนกับชานยอลสลับกันไปมา เพื่อนรักทั้งสองที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ก็ได้แต่พยักหน้าให้ยิ้มๆ
“ว่าไงครับจะยอมเป็นแฟนกับพี่ได้รึเปล่า...”
“ก็...เราเป็นแฟนกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ ทำไมผมยังต้องตอบตกลงเป็นแฟนกับพี่อีก...”
จงแดตอบเสียงค่อยพลางก้มหน้างุดจนคางแทบชิดอก ร่างโปร่งของลู่หานลุกขึ้นยืนแล้วยื่นช่อดอกไม้มาให้จงแดอีกครั้งคนตัวเล็กเองก็ยอมรับมาแต่โดยดีก่อนที่จะต้องตกใจอีกครั้งเมื่อแขนแกร่งของคนที่ตัวสูงกว่านั้นรวบเอวบางเข้าไปกอดแน่น แขนเล็กเองก็กอดตอบใบหน้าใสซุกลงกับอกอุ่นอย่างคิดถึง
“รักนะครับ...เฉินเฉินของเก่อ”
.
.
.
.
.
.
“อื้อ รักเหมือนกันครับ”
END
จบแบบโคตรมึน
ขอโทษด้วยนะคะ
พอดีวุ่นกะงานศพญาตินิดหน่อย
สมองไม่ค่อยแล่นเลย เค้าขอโทษจริงนะ T-T
พอดีว่าเพื่อนไรท์ยืมโน๊ตบุ๊คไปทำงาน
แล้วมันเผลอกดลบฟิคที่ไรท์แต่งเกือบหมดเลยค่ะ
เลยต้องแต่งใหม่ // กรีดร้อง
เจอกันเร็วๆ นี้ค่ะ
ความคิดเห็น